Upload
doxuyen
View
237
Download
0
Embed Size (px)
Citation preview
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
75
ได้อา่นบทความทา่นวชิยั ววิติเสว ี เรือ่ง “ไตส่วนผูพ้พิากษา :
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก้าวล่วงอำานาจตุลาการจริงหรือ”
ท่านเชิญชวนผู้สนใจแลกเปลี่ยน “วาทกรรมทางนิติศาสตร์” (Legal
discourse) ในประเด็นดังกล่าว แต่เริ่มเดิมทีผู้เขียนเห็นว่ามีนักวิชาการออกมา
แสดงความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวมากมายแล้ว จึงไม่ปรารถนากล่าว
ซำ้ายำ้าความให้ซำ้าซ้อน แต่บทความของท่านวิชัยจุดเชื้อไฟทางอารมณ์ของ
ผู้เขียนให้จำาต้องนำาเสนอข้อเท็จจริงอันเป็นมุมมองที่อาจเห็นต่างหรือ
เห็นพ้องกับบทความของท่านวิชัยตามที่จะได้ลำาดับความต่อไป
ป.ป.ช.ไต่สวนผู้พิพากษา : สร้างสรรค์หรือแทรกแซง ประโยชน์สุดท้ายใครได้ใครเสีย
สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ *
* ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุุทธรณ์ภาค ๑ ช่วยทำางานในตำาแหน่งผู้พิพาทหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์
ประจำาสำานักประธานศาลฎีกา
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
76
๑. ค ว า ม เ จ็ บ ป ว ด ข อ ง
ท่านวิชัยที่ถูกกล่าวหาว่า เหยียบยำ่า
สถาบันตุลาการกับความสุขความ
ภาคภูมิใจในฐานะอดีตผู้พิพากษา
ปั จ จุ บั น ผู้ พิ พ า ก ษ า ศ า ล
ยุติธรรมทั่วประเทศมีจำานวนประมาณ
๔,๓๐๐ ท่านผู้เขียนเชื่อมั่นว่าทันทีที่
ผู้พิพากษาทุกคนทราบข้อเท็จจริงว่า
เ พี ย ง เ พ ร า ะ ผู้ พิ พ า ก ษ า ค น ห นึ่ ง
ใช้ดุลพินิจโดยสุจริตตามกฎหมายออกหมายจับท่านสุนัย มโนมัยอุดม
อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ เคยดำารงตำาแหน่งเป็นข้าราชการ
ตุลาการศาลยุติธรรม ต้องได้รับบาปเคราะห์ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.
แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนในข้อกล่าวหาว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่า
ได้กระทำาความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำาความผิดต่อตำาแหน่ง
หน้ าที่ ร า ช ก า รหรื อ ก ร ะทำ า ค ว าม ผิ ดต่ อตำ า แหน่ ง หน้ าที่ ใ น
การยุติธรรม โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย
แก่ผู้ต้องหาตามคำาสั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ ๔๐๕/๒๕๕๒ นั้น ผู้เขียน
อยากเรียนท่านวิชัยว่าตัวท่านเจ็บปวดเพียงลำาพังแต่ระคนเจือปนด้วยความสุข
ควบคู่กันไป แต่ผู้พิพากษาหลายพันคนโดยเฉพาะท่านอิทธิพล โสขุมา
ผู้ถูกกล่าวหาต้องเจ็บปวดรวดร้าวระคนปนทุกข์ไร้ร่องรอยความสุขอย่างสิ้นเชิง
เพราะต้องตั้งคำาถามกับตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนว่า เหตุใดการปฏิบัติหน้าที่
ในทางตุลาการที่มิได้มีเจตนาหรือพฤติการณ์ใดๆ บ่งชี้ไปในทางที่มิชอบหรือ
ละเมิดฝ่าฝืนทุจริตผิดกฎหมาย จึงต้องมาเผชิญวิบากกรรมถูกตั้งข้อหาว่า
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
77
เป็นบุคคลที่มีเหตุสงสัยว่ากระทำาความผิดกฎหมายในข้อหาร้ายแรงมีอัตรา
โทษสูงสุดถึงจำาคุกตลอดชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๐๒
หรือคำาว่า “สุจริตคือเกราะบังศาสตร์พ้อง” จะสิ้นมนต์ขลังคลายความ
ศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงวลีที่ปลอบประโลมใจกันเท่านั้น
๒. ความชอบธรรมในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน
ของ ป.ป.ช. กรณีท่านสุนัยเป็นผู้กล่าวหา
ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่งกับท่านวิชัยที่ว่า ผู้พิพากษามิใช่อภิสิทธิ์ชน
ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเหมือนประชาชนและต้องปกปักรักษาความบริสุทธิ์
ยุติธรรมในพระปรมาภิไธยไว้ด้วยชีวิต ผู้เขียนและผู้พิพากษาทุกคนต่าง
สำานึกรับรู้เข้าใจในข้อเท็จจริงข้อกฎหมายและพันธกิจอันเป็นอุดมการณ์
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
78
ตามหน้าที่เหมือนลมหายใจเข้าออกและเห็นต่อไปด้วยว่าผู้พิพากษาที่กระทำาผิด
กฎหมายก็ต้องถูกฟ้องร้องดำาเนินคดีเช่นผู้กระทำาผิดทั่วไป มิได้รับสิทธิพิเศษ
เหนือคนอื่น แต่ท่านก็ต้องยอมรับว่าในอีกสถานภาพหนึ่ง ผู้พิพากษาได้รับ
ฉันทานุมัติจากสังคมให้ทำาหน้าที่เป็นกรรมการคนกลางที่แบกรับภาระของ
คู่ความประชาชนและประเทศชาติไว้ในความรับผิดชอบที่ถูกจับจองมองดู
ตรวจสอบถึงความถูกต้องเที่ยงธรรมเป็นธรรมเป็นกลาง อิสระ ปราศจาก
อคติในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี ท่ามกลางความขัดแย้งที่เดิมพัน
ภายใต้สิทธิเสรีภาพ ชีวิตร่างกายและผลประโยชน์อันมหาศาลของคู่ความ
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
79
ฤาจะลอยแพปล่อยให้ผู้พิพากษาเผชิญชะตากรรมถูกลอบทำาร้ายใน
สนามรบโดยปราศจากเสื้อเกราะหรือรถกันกระสุนในการปกป้องเภทภัย
กรายกลำ้าในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งจะดูโหดร้ายไม่เป็นธรรมกับภาระกิจ
ที่สุ่มเสี่ยงอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เช่นเดียวกับเหตุการณ์วันที่
๑๐ เมษาเลือดในปีนี้ที่มีทหาร พลเรือนบาดเจ็บล้มตายจำานวนมาก
ดังที่เป็นข่าวดังไปทั่วไปโลก
ประเด็นที่ผู้เขียนขอหยิบยกมาเป็นหัวข้อปุจฉาและวิสัชนาประการ
แรกคือคำาสั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ ๔๐๕/๒๕๕๒ กล่าวอ้างเหตุแห่งความ
ชอบธรรมที่ต้องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนท่านอิทธิพว่าเป็นกรณีตาม
มาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งบัญญัติว่า “เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ได้รับคำากล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๘๔ หรือมีเหตุอันควร
สงสัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดกระทำาความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่
กระทำาความผิดต่อตำาแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำาความผิดต่อ
ตำาแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำาเนินการ
ตามหมวด ๔ การไต่สวนข้อเท็จจริง” ปัญหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ต้องตอบโจทย์ในข้อแรกมีว่า ๑. ท่านสุนัยได้แสดงเจตนากล่าวหาท่าน
อิทธิพลว่ากระทำาความผิด
ตามข้อหาในมาตรา ๘๘
หรือไม่ ๒. มีพยานหลักฐาน
ใ ด ส นั บ ส นุ น ว่ า ค ณ ะ
กรรมการ ป.ป.ช. มี เหตุ
อันควรสงสัยจนถึงขนาดว่า
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
80
ท่ า น อิ ท ธิ พ ล ก ร ะ ทำ า ค ว า ม ผิ ด
ต า ม ข้ อ ก ล่ า ว ห า ใ น ม า ต ร า
๘๘ ผู้ เขียนขอเชิญชวนผู้อ่ าน
ทุกท่านมาวิสัชนาค้นหาคำาตอบ
ต่อประเด็นที่ตั้งไว้
ประเด็นแรก หลังจาก
ท่านอิทธิพลออกหมายจับท่าน
สุนัยแล้ว วันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๑
ท่านสุนัยยื่นคำาร้องขอเพิกถอน
หมายจับต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านอิทธิพลซึ่งเป็นผู้พิพากษา
ในขณะนั้นได้มีคำาสั่งว่า “ศาลได้ใช้ดุลพินิจตามอำานาจหน้าที่และพยาน
หลักฐานโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงไม่มีเหตุเพิกถอนหมายจับและระงับ
การดำาเนินการตามหมายจับ ยกคำาร้อง” ต่อมาวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๑
ท่านสุนัยยื่นอุทธรณ์คำาสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วันที่ ๑๑ มิถุนายน
๒๕๕๑ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มีคำาสั่งให้เพิกถอนหมายจับท่านสุนัย วันที่ ๒๗
มิถุนายน ๒๕๕๑ พนักงานสอบสวนยื่นฎีกา ปัจจุบันคดียังอยู่ในระหว่าง
การพิจารณาของศาลฎีกา ปรากฏว่าหลัง
จากศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มีคำาสั่งเพิกถอน
หมายจับแล้วท่านสุนัยได้ยื่นคำาร้อง
ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวหา
ว่า พ.ต.ท. ณ กับ พ.ต.อ . ธ
กับพวกว่ากระทำาความผิดฐาน
ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำาความผิด
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
81
ต่ อ ตำ า แ ห น่ ง ห น้ า ที่ ร า ช ก า ร ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ป . ป . ช . จึ ง แ ต่ ง ตั้ ง
คณะอนุกรรมการไต่สวนนายตำารวจทั้งสองนาย วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๑
คณะอนุกรรมการไต่สวนสรุปผลการไต่สวนมีความเห็นว่า พฤติการณ์
และการกระทำาของนายตำารวจทั้งสองนายเป็นความผิดวินัยและความผิด
อาญา ซึ่งการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนดังกล่าว สอดคล้องกับ
ข้อกฎหมายมาตรา ๘๘ ที่ว่า ๑. ต้องมีผู้กล่าวหา ๒. เป็นการกล่าวหาเป็น
หนังสือลงลายมือของผู้กล่าวหา และ ๓. มีรายละเอียดตามข้อกล่าวหา
และพฤติการณ์แห่งการกระทำาความผิดตามข้อกล่าวหาพร้อมพยานหลักฐาน
แต่ข้อที่เป็นพิรุธน่าประหลาดใจคือ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน
ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งนี้ ไม่ได้กล่าวหาว่าท่านอิทธิพลว่ามีส่วนร่วม
ในการกระทำาความผิดด้วย จนกระทั่งวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เวลา
ล่วงพ้นมา ๑ ปีเศษ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ
ไต่สวนท่านอิทธิพลในข้อหาเดียวกันกับ
นายตำารวจทั้งสองนาย ปุจฉาจึงมีว่า
ท่านสุนัยได้ร้องเรียนเอาผิดกับ
ท่านอิทธิพลตั้ งแต่แรกเริ่ม
หรือไม่ หรือท่านสุนัยร้อง
เ รี ย น ท่ า น อิ ท ธิ พ ล เ พิ่ ม
เ ติ ม ห ลั ง จ า ก ที่ ค ณ ะ
อ นุ ก ร ร ม ก า ร ป . ป . ช .
ไต่สวนนายตำารวจทั้งสอง
นายเสร็จสิ้นแล้ว หรือหาก
อาศัยคำาร้องเรียนของท่านสุนัย
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
82
ฉบับแรก เหตุใดคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่ไต่สวนท่านอิทธิพลตั้งแต่แรก
เริ่มพร้อมผู้ถูกกล่าวหารายอื่น ทั้งที่เป็นเหตุการณ์และข้อเท็จจริงเดียวกัน
หากเป็นการร้องเรียนเพิ่มเติมท่านสุนัยร้องเรียนเมื่อใด กุญแจที่จะเปิดไขไป
สู่ปริศนาที่ผู้เขียนค้นพบก็คือ แท้จริงแล้วท่านสุนัยไม่มีเจตนาร้องเรียนกล่าว
หาเอาผิดท่านอิทธิพลในการปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาผู้ออกหมายจับตนเอง
ตั้งแต่เริ่มต้น ดังหนังสือของท่านสุนัย ฉบับวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๓ ที่มีถึง
สำานักงานศาลยุติธรรมและประธานกรรมการ ป.ป.ช. ใจความว่าข้าพเจ้า
มิได้มีเจตนาร้องเรียนนายอิทธิพลต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือ
ต้องการให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำาเนินการต่อนายอิทธิพลในเรื่อง
ดังกล่าวแต่อย่างใด กล่าวโดยสรุปคือท่านสุนัยไม่ได้กล่าวหาท่านอิทธิพล
และไม่ได้มีการร้องเรียนหรือมีข้อเท็จจริงใหม่เพิ่มเติม แต่ประสงค์ให้คณะ
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
83
กรรมการ ป.ป.ช. ยุติเรื่องการไต่สวนท่านอิทธิพล คำาถามที่ผู้เขียนและ
ผู้พิพากษาจำานวนมากอยากได้คำาตอบจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็คือ เมื่อ
ท่านสุนัยยืนยันข้อเท็จจริงมาโดยตลอดว่าไม่ได้มีเจตนาร้องเรียนเอาผิดกับ
ท่านอิทธิพล ไม่มีการร้องเรียนเพิ่มเติมและไม่ต้องการให้คณะกรรมการ
ป.ป.ช. ดำาเนินการไต่สวนท่านอิทธิพลในเรื่องดังกล่าวต่อไป แล้วเหตุใด
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังคงเดินหน้าไต่สวนโดยไม่ฟังเจตนาของท่านสุนัยที่
เป็นผู้เสียหาย หรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. เข้าใจว่ามีอิสระในการใช้ดุลพินิจ
ตีความเจตนาของท่านสุนัยเกินเลยไปจากเจตนาที่ท่านสุนัยยืนยันตัวบุคคล
ผู้ถูกกล่าวหา หรือว่าเวลาที่ล่วงพ้นมา ๑ ปี จากการไต่สวนนายตำารวจ
ทั้งสองนาย คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีพยานหลักฐานใหม่จนมีเหตุสงสัยว่า
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
84
ท่านอิทธิพลกระทำาผิดตามกฎหมาย หรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ทราบว่า
นายตำารวจทั้งสองนายผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์คำาสั่งศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ต่อ
ศาลฎีกา และปัจจุบันคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา หรือ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่าแม้คดีจะอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ
ศาลฎีกา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็มีอำานาจไต่สวนท่านอิทธิพลควบคู่ไปกับการ
ทบทวนคำาสั่ งของศาลฎีกาได้ หากหลักการเช่นนี้ถูกต้อง ต่อไปใน
อนาคต คู่ความที่เห็นว่าตนเองเสียเปรียบในเชิงคดีหรือหวังผลคดีในทาง
มิชอบก็อาจยืมมือคณะกรรมการ ป.ป.ช. ร้องเรียนกล่าวหาผู้พิพากษาได้ เช่น
ผู้พิพากษาไม่บันทึกคำาเบิกความพยานเพราะเห็นว่า ไม่เกี่ยวกับประเด็น
แห่งคดี ซึ่งคู่ความฝ่ายนั้นควรร้องคัดค้านขอให้ศาลจดบันทึกไว้ในสำานวน
เพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาต่อไป แต่ไม่กระทำากลับมาร้องต่อคณะ
กรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้ไต่สวนว่าผู้พิพากษาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือ
ผู้พิพากษาไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารให้ฝ่ายโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
85
เพราะเห็นว่าเป็นการยืมมือศาลเรียกเอกสารจากบุคคลภายนอกที่
ไม่เกี่ยวกับคดีเพราะต้องการเอาไปใช้อ้างในเรื่องอื่นจึงแกล้งฟ้องจำาเลยเป็น
คดี หรือศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว แต่ศาลสูงอนุญาตให้ปล่อย
ชั่วคราวจำาเลยเป็นต้น ซึ่งหากแปลว่าการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาดังที่
กล่าวมามีเหตุสงสัยว่าเป็นการกระทำาความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำา
ความผิดต่อตำาแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำาความผิดต่อตำาแหน่งหน้าที่
ในการยุติธรรม ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำานาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ
ไต่สวนผู้พิพากษาได้ตามคำาร้องเรียนของผู้กล่าวหาได้แล้ว กฎหมายวิธี
พิจารณาความแพ่งและกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาก็คงเป็นหมัน
พิกลพิการเป็นแน่แท้และคู่ความที่สบช่วงร้องเรียนก็จะใช้คณะกรรมการ
ป.ป.ช. เป็นเครื่องมือมาไต่สวนผู้พิพากษาเพื่อหวังผลในทางคดีที่เป็น
ประโยชน์แก่ตนในหนทางที่มิชอบได้
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
86
ปุจฉาข้อสองคือ มีพยานหลักฐานใดที่
สนับสนุนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุ
อั น ค ว ร ส ง สั ย ว่ า ท่ า น อิ ท ธิ พ ล ก ร ะ ทำ า
ผิ ด ก ฎ ห ม า ย จ น ต้ อ ง แ ต่ ง ตั้ ง ค ณ ะ
อนุกรรมการไต่สวน ในประเด็นนี้
ไม่ ว่ าจะพิจารณาจากเจตนาท่ าน
สุนัยที่ทำาหนังสือถึงประธานกรรมการ
ป .ป .ช . ว่ าไม่ มี เ จตนาร้ อ ง เ รี ยน
ท่านอิทธิพลและไม่ประสงค์ให้คณะ
กรรมการ ป.ป.ช. ดำาเนินการต่อท่าน
อิทธิพลในเรื่องดังกล่าวต่อไป และคดียังไม่ถึงที่สุด
ผู้เขียนจึงยังค้นหาคำาตอบไม่พบว่า เหตุที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. สงสัย
ว่าท่านอิทธิพลกระทำาความผิดกฎหมายนั้น เป็นการอนุมานคาดหมาย
จากเจตนาท่านสุนัยหรือจากผลการไต่สวนนายตำารวจทั้งสองนาย ไม่ว่า
ข้อเท็จจริงจะเป็นประการใด คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ต้องจำานนกับพยานหลักฐาน
ที่ว่าท่านสุนัยไม่ได้ร้องเรียนท่านอิทธิพลและไม่ปรากฏพฤติการณ์อันใด
ว่าท่านอิทธิพลประพฤติทุจริตคิดมิชอบอย่างไร รวมทั้งศาลฎีกายังมิได้มี
คำาพิพากษาหรือคำาสั่งในเรื่องนี้ หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. อ้างว่ามีอำานาจโดย
ชอบธรรมตามกฎหมายสามารถไต่สวนท่านอิทธิพลได้แล้วความเป็นอิสระ
ในการพิจารณาอรรถคดีของศาลตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๙๗ คงเป็นความเป็นอิสระในอุดมคติแค่นามธรรมเท่านั้น รวมทั้ง
ที่สหประชาชาติได้ประกาศหลักการพื้นฐานว่าด้วยความเป็นอิสระของฝ่าย
ตุลาการ (United Nations, Base Principles on the Independence of the
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
87
Judiciary) ว่า “ความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการจะต้องได้รับการรับประกัน
โดยรัฐและถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายรัฐทุกรัฐและหน่วยงาน
อื่นๆ มีหน้าที่จะต้องเคารพและรักษาความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ
และกฎบัตรสากลของผู้พิพากษา (Universal Charter of the Judge)
ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ได้รับการรับรองโดยผู้พิพากษาจากทุกภูมิภาคทั่วโลก
ได้บัญญัติไว้ว่า “ความเป็นอิสระของผู้พิพากษานั้นเป็นสิ่งจำาเป็นที่ขาดไม่ได้
ของความยุติธรรมที่ทรงความเที่ยงธรรมภายใต้กฎหมาย มันแยกขาดออกไป
ไม่ได้ ทุกสถาบันและทุกหน่วยงานที่มีอำานาจไม่ว่าจะเป็นในระดับชาติ
หรือในระดับนานาชาติจะต้องเคารพคุ้มครองปกป้องความเป็นอิสระนั้น”
ซึ่งเป็นหลักการสากลที่รับรองความเป็นอิสระของผู้พิพากษาที่เป็นหลัก
ประกันความเป็นธรรมของคู่ความและประชาชน และเป็นหลักการ
สำาคัญในการปกครองบ้านเมืองซึ่งเป็นที่ยอมรับในนานาอารยประเทศ
ก็คงถูกกัดกร่อนบ่อนทำาลายไปด้วย เมื่อพิจารณารัฐธรรมนูญแห่งราช
อาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ แล้ว จะเห็น
ได้ว่าผู้พิพากษาเป็นผู้ใช้อำานาจอธิปไตย
ท า ง ตุ ล า ก า ร ใ น พ ร ะ ป ร ม า ภิ ไ ธ ย
พระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ
แ ต ก ต่ า ง จ า ก ข้ า ร า ช ก า ร ห รื อ
เจ้าหน้าที่ของรัฐอื่น โดยรัฐธรรมนูญ
แ ห่ ง ร า ช อ า ณ า จั ก ร ไ ท ย ไ ด้
ร ะ บุ เ กี่ ย ว กั บ อำ า น า จ ห น้ า ที่
ค ว า ม เ ป็ น อิ ส ร ะ ก า ร แ ต่ ง ตั้ ง
การพ้นจากตำาแหน่ง การลงโทษ ฯลฯ
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
88
ของผู้พิพากษาไว้โดยเฉพาะเจาะจงอย่างชัดเจน หากรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทยประสงค์จะให้มีการตรวจสอบผู้พิพากษาเป็นกรณี
อื่นนอกเหนือจาก ๑) ผู้พิพากษาถูกตรวจสอบการใช้ดุลพินิจโดย
ศาลที่สูงกว่า เช่น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา ๒) ถูกตรวจสอบโดย
คู่ความว่าได้กระทำาความผิดทางอาญาในความผิดต่อตำาแหน่งหน้าที่
ในการยุติธรรมโดยอาจถูกฟ้องเป็นคดีอาญา ๓) ถูกตรวจสอบใน
ทางวินัยและจริยธรรมโดยคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมแล้ว
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยก็คงจะบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า
ให้กระบวนการตรวจสอบของคณะกรรมการ ป.ป.ช. นั้นรวมถึง
ผู้พิพากษาและตุลาการไว้โดยเฉพาะเจาะจง เช่น ในมาตรา ๒๗๐ ของ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติให้การถอดถอนจากตำาแหน่ง
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
89
โดยวุฒิสภาบังคับกับผู้ดำารงตำาแหน่งดังต่อไปนี้ด้วย คือ (๒) ผู้พิพากษาหรือ
ตุลาการด้วย แต่เมื่อมาตรา ๒๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่ง
เป็นบทบัญญัติหลักในการกำาหนดอำานาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ไม่ได้ระบุให้อำานาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการตรวจสอบการใช้อำานาจ
ของผู้พิพากษาไว้อย่างชัดเจน การที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ กำาหนดขอบเขต
อำานาจในการตรวจสอบของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่อาจหมายรวมถึง
ผู้พิพากษาและอาจขัดกับรัฐธรรมนูญด้วย
ผู้เขียนเห็นกับท่านวิชัยต่อไปว่า “ความคุ้มกันทางตุลาการ”
เหมือนรั้วกำาแพงประตูบ้านที่เป็นเกราะอ่อนคุ้มครองผู้ทำาหน้าที่ในทาง
ตุลาการ แต่มิใช่ เป็นภูมิคุ้มกันโดยสิ้นเชิง โดยตรวจสอบมิได้
ท่านวิชัยกล่าวว่า การไต่สวนผู้พิพากษา
เป็นการไต่สวนข้อเท็จจริงเบื้องต้น
ประดุจดังการไต่สวนมูลฟ้อง
ที่ ถื อ ว่ า ท่ า น อิ ท ธิ พ ล ยั ง
มิได้ตกเป็นผู้ถูกกระทำาผิด
หรือจำาเลย และ “ตราบใด
คณะอนุกรรมการไต่สวน
ยังไม่แจ้ง ข้อกล่าวหาแก่
ผู้ถูกกล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหา
ไม่มีหน้าที่ตอบคำาถามใดๆ
ต่ อคณะอนุกรรมการไต่สวน
อย่ า งกระบวนการสอบสวนของ
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
90
พนักงานสอบสวน การไต่สวนข้อเท็จจริงเป็นกระบวนการที่จะทำาให้เกิด
ความชัดเจน ซึ่งถ้าผลการไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดที่แสดงว่า
ท่านอิทธิพลกระทำาการใดจนถึงขนาดทำาให้ตนเองอยู่นอกขอบเขตของ
ความคุ้มกันทางตุลาการแล้ว คณะอนุกรรมการไต่สวนก็ย่อมเสนอ
คณะกรรมการ ป .ป .ช . ให้ เ รื่ อ งตกไป . . . ”ในข้ อนี้ ผู้ เ ขี ยน เห็นว่ า
ข้อเท็จจริงรับฟังยุติแล้วว่า ท่านสุนัยมิได้ร้องเรียนกล่าวหาท่านอิทธิพล
ว่ากระทำาความผิดกฎหมายและคดีเรื่องเพิกถอนหมายจับยังไม่ถึงที่สุด
จึงมีข้อพิจารณาว่า เมื่อท่านสุนัยซึ่งเป็นผู้เสียหายหรือโจทก์ไม่ติดใจดำาเนินคดี
โดยได้แสดงเจตนายื่นคำาร้องขอถอนฟ้องหรือคำาร้องเรียนแล้ว เหตุใด
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่อนุญาตให้ท่านสุนัยถอนฟ้องหรือคำาร้องเรียน
แล้วจำาหน่ายคดี เช่นกรณีถอนฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องหรือในชั้นพิจารณา
คดีของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับที่ท่านวิชัยอ้างถึง หาก
เปรียบเทียบหลักการไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาต้อง
มีผู้ เกี่ยวข้อง ๓ ฝ่ายคือตัวความฝ่าย
โจทก์ จำาเลย และศาล ทั้งจำาเลย
ยังสามารถแต่งตั้ งทนายความ
ซักค้านหรือส่งพยานเอกสาร
ประกอบการถามค้านพยาน
โ จ ท ก์ ไ ด้ ด้ ว ย แ ต่ ก ร ณี ท่ า น
อิทธิพลหาได้อยู่ ในหลักการ
เดียวกันนี้ ไม่ เพราะท่านสุนัย
มิได้ เป็นโจทก์ร้องหรือฟ้องท่าน
อิทธิพลแต่คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
91
กลับทำาหน้าที่ เป็นโจทก์เสียเอง ประการต่อไปในการไต่สวนมูลฟ้อง
ต้องมีข้อเท็จจริงแห่งคำาฟ้องอันเป็นองค์ประกอบแห่งความผิดทาง
กฎหมายแต่กรณีท่านอิทธิพลหาได้มีข้อเท็จจริงอื่นอันเป็นพฤติการณ์ที่
กล่าวหายืนยันการกระทำาของท่านอิทธิพลแต่อย่างใดไม่ คณะกรรมการ
ป.ป.ช. คงอาศัยข้อหาตามกฎหมายในมาตรา ๘๘ มาเอาผิดท่านอิทธิพล
อันมีลักษณะเป็นคำาฟ้องหรือข้อกล่าวหาที่ เคลือบคลุมและประการ
ที่สาม คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำาหน้าที่เป็นโจทก์ฟ้อง สอบสวนไต่สวน
และตัดสินเอง ไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหามีโอกาสซักค้านหรือพิสูจน์
หักล้างข้อกล่าวหาเพราะท่านวิชัยเป็นผู้กล่าวในบทความว่า ผู้ถูกกล่าวหา
ไม่มีหน้าที่ตอบคำาถามใดๆ ต่อคณะอนุกรรมการไต่สวน ฉะนั้นตรรกเรื่อง
ไต่สวนมูลฟ้องจึงมิอาจหยิบยกนำามาใช้เปรียบเทียบในกรณีนี้ได้ ดังนั้นการที ่
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ติดใจไต่สวนเอาความกับท่านอิทธิพลต่อไป แสดงว่า
กฎหมาย ป.ป.ช. ให้อำานาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. อยู่เหนือเจตนาผู้เสียหาย
ที่สามารถกระทำาการตามที่ตนเองเห็นว่ามีเหตุสงสัยได้ตามลำาพัง หากหลักการ
หรือกฎหมายให้อำานาจคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไว้เช่นนั้นจริงย่อมแสดงว่า
ต่อจากนี้ หากวันใดคณะกรรมการ ป.ป.ช. สงสัยว่าผู้พิพากษาคนใด กระทำา
ผิดกฎหมายตามมาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ย่อมสามารถแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนโดยไม่จำาต้องมีผู้กล่าวหา เช่นนี้
เท่ากับว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำานาจเหนือทุกองค์กรในประเทศนี้ มี
ดุลพินิจอิสระอย่างกว้างขวางจนน่าเกรงขามอย่างยิ่ง หรืออาจกล่าวได้ว่า
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอิสระจนสามารถก้าวล่วงตรวจสอบดุลพินิจทำาลาย
และความเป็นอิสระของทุกองค์กรภาครัฐ แล้วความคุ้มกันทางตุลาการที่
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
92
ท่านวิชัยกล่าวถึงจะยังหลงเหลือและมีอยู่จริงหรือ
สำาหรับกรณีท่านอิทธิพล ข้อเท็จจริงได้ความว่า วันที่ ๒๙ ธันวาคม
๒๕๕๒ ประธานอนุกรรมการไต่สวนมีหนังสือถึงท่านอิทธิพลว่า ให้มาลง
ลายมือและรับทราบคำาสั่งในบันทึกรับทราบคำาสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ
ไต่สวนภายใน ๑๕ วัน และหากประสงค์จะคัดค้านผู้ได้รับการแต่งตั้ง
เป็นอนุกรรมการไต่สวน ให้ทำาคำาคัดค้านเป็นหนังสือแสดงข้อเท็จจริงที่
เป็นเหตุแห่งการคัดค้าน...” ในหนังสือฉบับเดียวกันแจ้งต่อไปว่า “ด้วย
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีคำาสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน กรณี
มีเหตุสงสัยว่าท่านกระทำาความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำาความผิด
ต่อตำาแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำาความผิดต่อตำาแหน่งหน้าที่
ในการยุติธรรม ขณะท่านดำารงตำาแหน่งผู้พิพากษาศาลจังหวัด
พระนครศรีอยุธยา ท่านเกี่ ยวข้องกับการออกหมายจับและ
การอนุญาตให้ออกหมายจับนายสุนัย มโนมัยอุดม ผู้ต้องหาในคดี
หมิ่นประมาทโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่
ผู้ต้องหา...” ข้อเท็จจริงจึงอาจไม่ตรงกับที่ท่านวิชัยบอกกล่าวในบทความว่า
การไต่สวนเป็นกระบวนที่ทำาให้เกิดความชัดเจนเท่านั้น ผู้เขียนกลับเห็นว่า
กระบวนแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน โดยมีการกล่าวหาเบื้องต้นว่า
มีเหตุสงสัยว่าท่านอิทธิพลทำาผิดกฎหมายและให้มารับทราบคำาสั่งแต่งตั้ง
คณะอนุกรรมการไต่สวน เท่ากับเป็นการตั้งข้อกล่าวหาแล้วว่าท่านอิทธิพล
กระทำาผิดกฎหมาย ทั้งที่ก่อนออกหมายจับท่านสุนัย พนักงานสอบสวนขอ
หมายเรียก ๒ ครั้งเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๑ และวันที่ ๒ เมษายน
๒๕๕๑ แต่ศาลชั้นต้นยกคำาร้อง วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๑ ถึงวันที่
๓ มิถุนายน ๒๕๕๑ พนักงานสอบสวนจึงขอออกหมายจับท่านสุนัย
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
93
รวม ๓ ครั้ง โดยการส่งหมายที่ชอบแล้ว ครั้งสุดท้ายจึงมีการออกหมายจับ
ท่านสุนัย ก่อนออกหมายเรียกและหมายจับผู้พิพากษาที่เกี่ยวข้องได้ประชุม
ปรึกษากันทั้งศาลและท่านอิทธิพลได้ปรึกษาอธิบดีผู้พิพากษาภาค ๑
และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลทุกครั้ง ศึกษาข้อกฎหมายตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและข้อบังคับของประธานศาลฎีกา
ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการออกคำาสั่งหรือหมายอาญา
พ.ศ. ๒๕๔๘ อย่างครบถ้วนรอบด้านก่อนออกคำาสั่ง ซึ่งถือว่ามีความ
รัดกุมถ้วนถี่มากเพียงพอที่จะเป็นหลักประกันว่า ท่านอิทธิพลมิได้กระทำา
การตามอำาเภอใจโดยลำาพัง หรือมีพฤติการณ์ส่อว่ากระทำาการโดยทุจริต
ผิดกฎหมายตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มองต่างมุม ถ้าความสุจริต
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
94
รอบคอบในระดับนี้ยังต้องถูกตั้งข้อสงสัยว่ากระทำาผิดกฎหมายหรือ
ทุจริตต่อหน้าที่ จนถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนตรวจสอบสงสัยใน
ความสุจริต ผู้เขียนก็ไม่ทราบเช่นกัน แล้วมาตรฐานการทำางานระดับ
ใดของผู้พิพากษาจึงจะไม่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในสายตาคณะกรรมการ
ป.ป.ช. ข้อสำาคัญการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ
ไต่สวนแล้วข้อเท็จจริงปรากฏเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ ทุกสาขา จะมีสัก
กี่คนที่เชื่อโดยสนิทใจว่าท่านอิทธิพลปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตปราศจาก
อดติ ความเสียหายต่อชื่อเสียงเกียรติคุณ ความเชื่อถือแห่งวิชาชีพส่วนตัว
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
95
และวงศ์ตระกูลใครจะกอบกู้เยียวยา เพราะสังคมอาจเชื่อคล้อยตามไป
ส่วนหนึ่งแล้วว่าท่านอิทธิพลน่าจะมีมลทินมัวหมองจึงถูกคณะอนุกรรมการ
ป.ป.ช . ทำ าการไต่สวนรวมทั้ งถ้ าระดับมาตรฐานการทำางานของ
ท่ านอิทธิพลที่ ป รึ กษาผู้ บั งคับบัญชาทุกระดับชั้ นก่ อนออกคำ าสั่ ง
ศึกษากฎหมายและระเบียบอย่างครบถ้วน ให้โอกาสท่านสุนัย ๔-๕ ครั้ง
ก่อนออกหมายจับยังมีมูลสงสัยว่าเป็นความผิดกฎหมาย แล้วต่อไปจะมี
ผู้พิพากษาคนใดมั่นใจได้ว่า หากมีคดีในทำานองเดียวกันแล้วคู่ความไปร้อง
เรียนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในเหตุเดียวกัน คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะไม่
แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนผู้พิพากษาอีก ซึ่งในหลักอินทภาษที่บรรจุ
ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์บัญญัติหลักการไว้ว่า เมื่อใดก็ตามที่ผู้พิพากษา
มีอคติ ๔ ประการคือ โลภาคติ โทสาคติ โมหาคติ และภยาคติ อย่างหนึ่ง
อย่างใดแล้วความยุติธรรมย่อมเบี่ยงเบนเสียไป โดยเฉพาะภยาคติ คือ
ความลำาเอียงเพราะความกลัว ตราบใดที่ผู้พิพากษาเกรงกลัวผู้บังคับบัญชา
ให้โทษ กลั่นแกล้ง หรือถูกบุคคลองค์กรใดสามารถใช้อำานาจโดยตรง โดย
อ้อมกดดันบีบบังคับทำาให้ผู้พิพากษาบังเกิดความกลัวภัยต่อชีวิต ร่างกาย
ชื่อเสียงของตนเองและครอบครัว ดังเช่นที่ท่านอิทธิพลถูกคณะกรรมการ
ป.ป.ช. ไต่สวนแล้ว ผลร้ายกับความหายนะแห่งคดีและความเป็นธรรมย่อม
ตกแก่ตัวความ ประชาชนและสังคม เช่น ความกลัวว่าจะถูกกล่าวหาว่า
ทุจริต จึงต้องลงโทษจำาคุกจำาเลยไว้ก่อน หรือไม่ให้ประกันตัว หรือไม่ออก
หมายค้น ไม่ออกหมายจับ เป็นต้น ผลลัพธ์สุดท้ายความยุติธรรมแท้จริงที่
ทุกคนแสวงหาก็อาจทุพพลภาพเสียไป กระบวนการยุติธรรมก็จะขัดข้อง
เดือดร้อน คนสุจริตอาจจะได้รับผลร้าย อาชญากรก็จะลอยนวลดังคำาที่ว่า
“กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย นำ้าเต้าน้อยจะถอยจม” เพียงเพราะผู้พิพากษารู้สึกว่า
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
96
ภูมิคุ้มกันทางตุลาการในการทำางานโดยสุจริต ไม่สามารถเป็นเกราะกำาบัง
ปกป้องคุ้มครองตนเองได้
ผู้เขียนเชื่อว่า ข้อเท็จจริงที่ผู้เขียนลำาดับมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ทราบความจริงดี การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. บางท่านออกมายืนยันว่า
มีอำานาจตรวจสอบไต่สวนท่านอิทธิพลได้ ในทำานองเดียวกันหากจะมี
ผู้พิพากษาเรือนร้อยเรือนพันออกมาแสดงจุดยืนเพื่อพิทักษ์ปกป้อง
หลักการความเป็นอิสระของการใช้อำานาจและดุลพินิจที่สุจริตว่า ควรจะต้อง
ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายด้วยเช่นกันก็หาใช่เป็นการท้าทาย
กดดันคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่อย่างใดไม่ เพราะเป็นเสรีภาพในการ
แสดงความคิดเห็นในทางวิชาการตามรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ได้ต้องการเป็น
ปฏิปักษ์กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. สำาหรับคดีตัวอย่างที่ท่านวิชัยหยิบยกใน
บทความ ผู้เขียนเห็นว่าข้อเท็จจริงต่างกับกรณีของท่านอิทธิพลจึงมิอาจ
นำามาเทียบเคียงได้ สุดท้ายผู้เขียนเห็นว่าแม้แต่กระบวนพิจารณาที่ผิด
ระเบียบ ผิดหลง ไม่ว่าศาลเห็นเองหรือคู่ความร้องขอ ศาลก็ยังเพิกถอน
คำาสั่งตัวเองเพื่อคืนความเป็นธรรมและความถูกต้องให้แก่คู่ความได้ คำาฟ้อง
ในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ที่ยื่นฟ้องต่อศาล มีจำานวนมากที่ศาลชั้นต้น
ยกฟ้องโดยไม่จำาต้องไต่สวนมูลฟ้องเพราะข้อเท็จจริงตามคำาฟ้องไม่มีมูล
เป็นความผิดอาญา บรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดการกระทำา
ไม่เป็นความผิด หรือโจทก์ไม่มีอำานาจฟ้องเป็นต้น ผู้เขียนจึงเชื่อว่า คณะ
กรรมการ ป.ป.ช. ล้วนแต่เป็นผู้ใหญ่ที่ทรงภูมิปัญญามีหลักการและองอาจ
หาญกล้า และเป็นบุคคลที่ผู้เขียนให้ความเคารพนับถือ น่าจะหาทางออก
ในเรื่องนี้อย่างถูกต้องเป็นธรรมได้ และขอให้กรณีท่านอิทธิพลเป็นเหยื่อ
ของสถานการณ์คนแรกและคนสุดท้ายอย่าให้ความทุกข์ระทมกัดกิน
ว า ร ส า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ป ริ ทั ศ น์
97
อยู่ในหัวใจของท่านอิทธิพลและ ผู้พิพากษาผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตจนกว่า
ลมหายใจสุดท้ายของชีวิต และข้อสำาคัญอย่าทำาให้ความยุติธรรมที่เป็น
ประโยชน์สุดท้ายสูงสุดของประชาชนต้องถูกกัดกร่อนบ่อนเซาะทำาลายลง
เพราะ “ผู้พิพากษาเป็นบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องทางตุลาการ”