56

FRM issue 4 (Febuary 2013)

  • Upload
    frmfans

  • View
    228

  • Download
    0

Embed Size (px)

DESCRIPTION

FRM : For Ride Magazine issue 4 Febuary 2013 (Special Test "Bike Of The Year 2013") Find us : www.facebook.com/FRMfans

Citation preview

Page 1: FRM issue 4 (Febuary 2013)
Page 2: FRM issue 4 (Febuary 2013)
Page 3: FRM issue 4 (Febuary 2013)
Page 4: FRM issue 4 (Febuary 2013)

ISSUE 04 FEBUARY 2013

News Update ............................................ 6FRM 12 Chosen Stars ............................ 13เต็มอิ่มกับบททดสอบ 12 รุ่น 12 คัน ที่สุดในใจ FRMNew Launch Suzuki ...............................38ซูซูกิ เล็ทส์…อีโค่ มอเตอร์ไซค์ รุ่นล่าสุดของเมืองไทยTechKnow ................................................42เจาะลึกเทคโนโลยีขั้นเทพของระบบหัวฉีด YEC_FIThe Journey ............................................ 46ภาค 4 กับการตะลุย 5 ขุนเขาในมาเลเซียSpeed-R Suit Review ...........................50สัมผัสชุดแข่งคุณภาพดีจากไต้หวันGear Hunter ............................................52Forma Ice AB17 เรชซิ่งบูทสุดเจ็บจากอิตาลี่Inter News ............................................... 54ข่าวสารจากต่างแดน

เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา...FRM ได้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงาน “Thailand Bike of The Year 2013” ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อเฟ้นหาสุดยอดรถจักรยานยนต์ประเภทต่างๆ เพื่อมอบรางวัลยอดเยี่ยมให้กับบริษัทผู้ผลิต ท�าให้มือทดสอบของ FRM ได้สัมผัสกับรถจักรยานยนต์หลากรุ่นหลายสไตล์มากกว่า 30 คันเลยทีเดียว ซึ่งทีมงาน FRM ก็ถือโอกาสนี้ “เลือก” รถจักรยานยนต์ 12 รุ่น ซึ่งเป็น “ที่สุด” ในความรู้สึกจากการที่ได้ขับขี่ทดสอบครั้งนี้ออกมาจัดท�าเป็นสกู๊ป “FRM 12 chosen Stars from Bike of The Year 2013” ส่วนจะมีรุ่นใดจากค่ายไหนบ้างที่เป็นที่สุดในใจของ FRM บ้างนั้น ต้องพลิกอ่านด้านใน!!!

นอกจากจะเต็มอิ่มกับบททดสอบที่อัดแน่นแบบเต็มพิกัดแล้ว...ฉบับนี้เรายังเอาใจเหล่าไรเดอร์ที่รักการขับขี่ ด้วยการจัดรีวิวชุดหนัง “Speed-R” ซึ่งเป็น Racing Suit จากไต้หวัน กับ “Forma Ice AB17” รองเท้าบูทลายพิเศษจากอิตาลี่ เพื่อเป็นข้อมูลให้กับคนที่ก�าลังมองหาไรดิ้งเกียร์คุณภาพดีราคาประหยัดได้เลือกได้ตัดสินใจกัน...

และฉบับนี้ก็ยังมีเรื่องราวของการเปิดตัวรถ อีโค่ มอเตอร์ไซค์ รุ่นล่าสุดอย่าง “ซูซูกิ Let’s” ที่เปิดตัวกันไปแบบสดๆ ร้อนๆ เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมาให้ได้รับชมกัน รวมถึงการเจาะลึกเทคโนโลยีแห่งความประหยัดขั้นเทพของระบบหัวฉีด YEC_FI ที่อยู่ในรถจักรยานยนต์ครอบครัว “ยามาฮ่า สปาร์ค 115 หัวฉีดใหม่” ว่าเพราะเหตุใดจึงท�าให้รถรุ่นนี้ท�าสถิติประหยัดน�้ามันได้ถึง 84.15 กม./ลิตร...อย่าพลาดการติดตามนะครับ!!!

Executive Editor : Nopdon Phaengphet นพดล แผงเพชร, Editorial : Kampol Gaensuwan กัมพล แก่นสุวรรณ์, Komz Giggs, Mr. BlackSpecial Guest : Nicky PH & Franco Angeloni VEDETT /////, Graphic Design : Komkrit Sakulvilailerd คมกริช สกุลวิไลเลิศ, Photographer : FRM Team, บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา : Nopdon Phaengphet นพดล แผงเพชร, โรงพิมพ์/เพลท : เอส.ออฟเซ็ทกราฟฟิคดีไซน์จัดจ�าหน่าย : บริษัท ส�านักพิมพ์ นุชนารถ จ�ากัด, ส�านักงาน ฟอร์ไรด์แมกกาซีน : 12/76 ซอยนาคนิวาส 59 ถนนนาคนิวาส แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10230 โทร. 0-2932-8716, 08-9499-1927

FRM TEAM

Message From EDITOR

e-mail : [email protected]

facebook.com/FRMfans

42

13

38

52

Page 5: FRM issue 4 (Febuary 2013)

ISSUE 04 FEBUARY 2013

News Update ............................................ 6FRM 12 Chosen Stars ............................ 13เต็มอิ่มกับบททดสอบ 12 รุ่น 12 คัน ที่สุดในใจ FRMNew Launch Suzuki ...............................38ซูซูกิ เล็ทส์…อีโค่ มอเตอร์ไซค์ รุ่นล่าสุดของเมืองไทยTechKnow ................................................42เจาะลึกเทคโนโลยีขั้นเทพของระบบหัวฉีด YEC_FIThe Journey ............................................ 46ภาค 4 กับการตะลุย 5 ขุนเขาในมาเลเซียSpeed-R Suit Review ...........................50สัมผัสชุดแข่งคุณภาพดีจากไต้หวันGear Hunter ............................................52Forma Ice AB17 เรชซิ่งบูทสุดเจ็บจากอิตาลี่Inter News ............................................... 54ข่าวสารจากต่างแดน

เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา...FRM ได้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงาน “Thailand Bike of The Year 2013” ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อเฟ้นหาสุดยอดรถจักรยานยนต์ประเภทต่างๆ เพื่อมอบรางวัลยอดเยี่ยมให้กับบริษัทผู้ผลิต ท�าให้มือทดสอบของ FRM ได้สัมผัสกับรถจักรยานยนต์หลากรุ่นหลายสไตล์มากกว่า 30 คันเลยทีเดียว ซึ่งทีมงาน FRM ก็ถือโอกาสนี้ “เลือก” รถจักรยานยนต์ 12 รุ่น ซึ่งเป็น “ที่สุด” ในความรู้สึกจากการที่ได้ขับขี่ทดสอบครั้งนี้ออกมาจัดท�าเป็นสกู๊ป “FRM 12 chosen Stars from Bike of The Year 2013” ส่วนจะมีรุ่นใดจากค่ายไหนบ้างที่เป็นที่สุดในใจของ FRM บ้างนั้น ต้องพลิกอ่านด้านใน!!!

นอกจากจะเต็มอิ่มกับบททดสอบที่อัดแน่นแบบเต็มพิกัดแล้ว...ฉบับนี้เรายังเอาใจเหล่าไรเดอร์ที่รักการขับขี่ ด้วยการจัดรีวิวชุดหนัง “Speed-R” ซึ่งเป็น Racing Suit จากไต้หวัน กับ “Forma Ice AB17” รองเท้าบูทลายพิเศษจากอิตาลี่ เพื่อเป็นข้อมูลให้กับคนที่ก�าลังมองหาไรดิ้งเกียร์คุณภาพดีราคาประหยัดได้เลือกได้ตัดสินใจกัน...

และฉบับนี้ก็ยังมีเรื่องราวของการเปิดตัวรถ อีโค่ มอเตอร์ไซค์ รุ่นล่าสุดอย่าง “ซูซูกิ Let’s” ที่เปิดตัวกันไปแบบสดๆ ร้อนๆ เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมาให้ได้รับชมกัน รวมถึงการเจาะลึกเทคโนโลยีแห่งความประหยัดขั้นเทพของระบบหัวฉีด YEC_FI ที่อยู่ในรถจักรยานยนต์ครอบครัว “ยามาฮ่า สปาร์ค 115 หัวฉีดใหม่” ว่าเพราะเหตุใดจึงท�าให้รถรุ่นนี้ท�าสถิติประหยัดน�้ามันได้ถึง 84.15 กม./ลิตร...อย่าพลาดการติดตามนะครับ!!!

Executive Editor : Nopdon Phaengphet นพดล แผงเพชร, Editorial : Kampol Gaensuwan กัมพล แก่นสุวรรณ์, Komz Giggs, Mr. BlackSpecial Guest : Nicky PH & Franco Angeloni VEDETT /////, Graphic Design : Komkrit Sakulvilailerd คมกริช สกุลวิไลเลิศ, Photographer : FRM Team, บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา : Nopdon Phaengphet นพดล แผงเพชร, โรงพิมพ์/เพลท : เอส.ออฟเซ็ทกราฟฟิคดีไซน์จัดจ�าหน่าย : บริษัท ส�านักพิมพ์ นุชนารถ จ�ากัด, ส�านักงาน ฟอร์ไรด์แมกกาซีน : 12/76 ซอยนาคนิวาส 59 ถนนนาคนิวาส แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10230 โทร. 0-2932-8716, 08-9499-1927

FRM TEAM

Message From EDITOR

e-mail : [email protected]

facebook.com/FRMfans

42

13

38

52

Page 6: FRM issue 4 (Febuary 2013)
Page 7: FRM issue 4 (Febuary 2013)
Page 8: FRM issue 4 (Febuary 2013)
Page 9: FRM issue 4 (Febuary 2013)
Page 10: FRM issue 4 (Febuary 2013)
Page 11: FRM issue 4 (Febuary 2013)
Page 12: FRM issue 4 (Febuary 2013)
Page 13: FRM issue 4 (Febuary 2013)
Page 14: FRM issue 4 (Febuary 2013)

YamahaNouvo SX

รถออโตเมติก “รุ่นใหญ่” จากค่ายส้อมเสียงที่เปิดตัวเมื่อปีก่อนโดยพัฒนาจากรุ่น Nouvo Elegance ขึ้นมาพร้อมยัดเทคโนโลยีใหม่เข้าไปเพียบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ 125 ซีซี. หัวฉีด ไฟหน้าโปรเจคเตอร์และอื่นๆ เรามาดูกันดีกว่าว่าเจ้า Nouvo SX 125 คันนี้จะมีสมรรถนะเป็นยังไงบ้างในโบนันซ่าเซอร์กิต

Handling & Braking อย่างแรกที่เราทดสอบก่อนเลยก็คือการควบคุมรถและการเบรก ความแรง

ของเบรกหน้าแรงพอจะหยุดรถที่ความเร็ว 80 กม/ชม. ได้สบาย เบรกหลังหนึบดีและไม่มีเสียงเบรกกวนใจ ยางหน้า-หลังแก้มเตี้ยได้อารมณ์สปอร์ต ไซส์ยาง 70/90 หน้าและ 80/90 หลังบนล้อขอบ 16 ซึ่งก็นับว่าเกาะถนนได้ดีแม้จะเจอกับโค้งที่ความเร็ว 80-100 กม/ชม. ก็ตาม มาดูในส่วนของโช้คหน้ากันบ้าง ดูเหมือนว่าส�าหรับการขับขี่แบบธรรมดาเหมือนใช้บนถนนทั่วไปโช้คหน้าจะท�างานได้ดี แต่เมื่อลุยโค้งที่ความเร็วสูงเกิดอาการยวบเล็กน้อย โช้คหลังถ้าให้คะแนนความสบายจากเต็ม 10 คงได้ซัก 8 เพราะเมื่อเจอกับหลุมที่ความเร็ว 80 กม./ชม. จะออกอาการกระเด้ง แต่อย่างที่บอกว่าในสนามก็อีกเรื่องนึงบนถนนกับการใช้งานจริงก็อีกเรื่องนึงครับ เบาะที่นั่งถูกอัพเกรดมาใหม่นุ่มสบายก้นและใหญ่รองรับกับก้นขนาดใหญ่ของคนตัวใหญ่ได้ดี ท่านั่ง – มุมการจับแฮนด์ และพักเท้าวางต�าแหน่งสัมพันธ์กัน สามารถปรับท่านั่งขับขี่ได้หลายแบบตามลักษณะของถนน ช่วงท้องรถและชิ้นส่วนด้านข้างอย่างขาตั้งคู่และขาตั้งข้างสูงจากพื้นก�าลังดีไม่ครูดพื้นเวลาแบนเข้าโค้ง ถ้าจะให้หาข้อผิดพลาดมาซัก 1 จุดส�าหรับ Nouvo SX ก็คงจะเป็น “กระจกข้าง” ที่เล็กไปนิดนึง แต่โดยรวมในส่วนของ Handling และ Braking รวมไปถึงชิ้นส่วนเพื่อความปลอดภัยนับว่ายอดเยี่ยม

Engine & Accelerationจุดเด่นของ Nouvo SX 125 อยู่ที่เครื่องยนต์ 124 ซีซี. พร้อมกระบอก

สูบ DiASil ลูกสูบฟอร์จ วาล์วแบบโรลเลอร์ร็อคเก็ต ระบายความร้อนด้วยน�้าเต็มระบบ เสริมทัพความแรงแฝงความประหยัดด้วยหัวฉีดอัจฉริยะ YMJET ที่เข้ามาจัดการกับปัญหา “กินน�้ามัน” ที่เคยมีคนบ่นไว้ในรุ่น Nouvo Elegance ในด้านอัตราการกินเชื้อเพลิงของรถแต่ละรุ่นเราไม่ได้ทดสอบเนื่องจากเวลามีจ�ากัด แต่ที่ได้ทดลองก็คือ “อัตราเร่ง” ทั้งออกตัว – ต้น – กลาง – ปลาย ของรถแต่ละรุ่น Nouvo SX ออกตัวได้ดีระดับหนึ่ง ไม่กระชากมากเกินไปและไม่อืดจนน่าเบื่อ เสียงเครื่องยนต์และห้องสายพานเงียบว่ารุ่นพี่แถมลื่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด ลอง “หลอก” หัวฉีดด้วยการออกตัวช้าๆ แล้วเปิดคันเร่งจนสุดเพื่อดูว่าหัวฉีดจะปรับตัวทันไหม? ปรากฏว่า YMJET สามารถจ่ายน�้ามันเชื้อเพลิงเข้าจุดระเบิด

ตามปริมาณคันเร่งที่บิดได้เป็นอย่างดีส่งผลให้รถพุ่งไปข้างหน้าทันทีแบบไม่มีสะดุด เอาเป็นว่าหายสงสัยกันไปในส่วนของระบบเชื้อเพลิง...ในส่วนของเครื่องยนต์ แม้น�้าหนักตัวรถจะมากถึง 111 กก. แต่มันก็ยังท�าความเร็วได้ดี ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ราวๆ 110 กม/ชม. (ก่อนจะผ่อนคันเร่งเพื่อเข้าโค้ง) ไม่ว่าจะเป็นช่วงขึ้นทางโค้งชันหรือจังหวะออกจากโค้งคันเร่งก็ตอบสนองได้ดีตลอดเวลา ก�าลังความแรงของ Nouvo SX จะอยู่ในช่วง “ต้น-กลาง” ซึ่งนับว่าได้เปรียบและมีประโยชน์ส�าหรับการใช้ในเมือง

Final Resultสรุปกันเลยดีกว่าส�าหรับ Nouvo SX

รถออโตเมติกที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “นวตกรรมระดับเทพ” ผ่านการทดสอบในสนามด้วยคะแนนความพอใจที่ค่อนข้างสูง ทั้งขนาดใหญ่ก�าลังดีของตัวรถที่รองรับตั้งแต่เด็กวัยรุ่นไปจนถึงครอบครัวพ่อแม่ลูก การคอนโทรลรถ

ดีเยี่ยมเมื่อเทียบกับความยาวตัวรถ โช้คหน้าหลังท�างานได้ดีในระดับหนึ่งเพียงพอกับการใช้ในเมือง ก�าลังแรงบิดตอบสนองทันใจผู้ใช้และที่ส�าคัญเป็นระบบหัวฉีด ส่วนรูปร่างภายนอกของ Nouvo SX คงไม่ต้องบรรยายมาก เพราะไฟหน้าโปรเจคเตอร์ดวงเดียวก็ “เซ็กซี่” บาดใจคณะกรรมการแล้วครับ มาดูคะแนนของ Nouvo SX กันดีกว่า....

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 9/10

Handling : 9/10 8/10

Suspension : 9/10 8/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 8/10 7/10

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201314 15

Page 15: FRM issue 4 (Febuary 2013)

YamahaNouvo SX

รถออโตเมติก “รุ่นใหญ่” จากค่ายส้อมเสียงที่เปิดตัวเมื่อปีก่อนโดยพัฒนาจากรุ่น Nouvo Elegance ขึ้นมาพร้อมยัดเทคโนโลยีใหม่เข้าไปเพียบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ 125 ซีซี. หัวฉีด ไฟหน้าโปรเจคเตอร์และอื่นๆ เรามาดูกันดีกว่าว่าเจ้า Nouvo SX 125 คันนี้จะมีสมรรถนะเป็นยังไงบ้างในโบนันซ่าเซอร์กิต

Handling & Braking อย่างแรกที่เราทดสอบก่อนเลยก็คือการควบคุมรถและการเบรก ความแรง

ของเบรกหน้าแรงพอจะหยุดรถที่ความเร็ว 80 กม/ชม. ได้สบาย เบรกหลังหนึบดีและไม่มีเสียงเบรกกวนใจ ยางหน้า-หลังแก้มเตี้ยได้อารมณ์สปอร์ต ไซส์ยาง 70/90 หน้าและ 80/90 หลังบนล้อขอบ 16 ซึ่งก็นับว่าเกาะถนนได้ดีแม้จะเจอกับโค้งที่ความเร็ว 80-100 กม/ชม. ก็ตาม มาดูในส่วนของโช้คหน้ากันบ้าง ดูเหมือนว่าส�าหรับการขับขี่แบบธรรมดาเหมือนใช้บนถนนทั่วไปโช้คหน้าจะท�างานได้ดี แต่เมื่อลุยโค้งที่ความเร็วสูงเกิดอาการยวบเล็กน้อย โช้คหลังถ้าให้คะแนนความสบายจากเต็ม 10 คงได้ซัก 8 เพราะเมื่อเจอกับหลุมที่ความเร็ว 80 กม./ชม. จะออกอาการกระเด้ง แต่อย่างที่บอกว่าในสนามก็อีกเรื่องนึงบนถนนกับการใช้งานจริงก็อีกเรื่องนึงครับ เบาะที่นั่งถูกอัพเกรดมาใหม่นุ่มสบายก้นและใหญ่รองรับกับก้นขนาดใหญ่ของคนตัวใหญ่ได้ดี ท่านั่ง – มุมการจับแฮนด์ และพักเท้าวางต�าแหน่งสัมพันธ์กัน สามารถปรับท่านั่งขับขี่ได้หลายแบบตามลักษณะของถนน ช่วงท้องรถและชิ้นส่วนด้านข้างอย่างขาตั้งคู่และขาตั้งข้างสูงจากพื้นก�าลังดีไม่ครูดพื้นเวลาแบนเข้าโค้ง ถ้าจะให้หาข้อผิดพลาดมาซัก 1 จุดส�าหรับ Nouvo SX ก็คงจะเป็น “กระจกข้าง” ที่เล็กไปนิดนึง แต่โดยรวมในส่วนของ Handling และ Braking รวมไปถึงชิ้นส่วนเพื่อความปลอดภัยนับว่ายอดเยี่ยม

Engine & Accelerationจุดเด่นของ Nouvo SX 125 อยู่ที่เครื่องยนต์ 124 ซีซี. พร้อมกระบอก

สูบ DiASil ลูกสูบฟอร์จ วาล์วแบบโรลเลอร์ร็อคเก็ต ระบายความร้อนด้วยน�้าเต็มระบบ เสริมทัพความแรงแฝงความประหยัดด้วยหัวฉีดอัจฉริยะ YMJET ที่เข้ามาจัดการกับปัญหา “กินน�้ามัน” ที่เคยมีคนบ่นไว้ในรุ่น Nouvo Elegance ในด้านอัตราการกินเชื้อเพลิงของรถแต่ละรุ่นเราไม่ได้ทดสอบเนื่องจากเวลามีจ�ากัด แต่ที่ได้ทดลองก็คือ “อัตราเร่ง” ทั้งออกตัว – ต้น – กลาง – ปลาย ของรถแต่ละรุ่น Nouvo SX ออกตัวได้ดีระดับหนึ่ง ไม่กระชากมากเกินไปและไม่อืดจนน่าเบื่อ เสียงเครื่องยนต์และห้องสายพานเงียบว่ารุ่นพี่แถมลื่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด ลอง “หลอก” หัวฉีดด้วยการออกตัวช้าๆ แล้วเปิดคันเร่งจนสุดเพื่อดูว่าหัวฉีดจะปรับตัวทันไหม? ปรากฏว่า YMJET สามารถจ่ายน�้ามันเชื้อเพลิงเข้าจุดระเบิด

ตามปริมาณคันเร่งที่บิดได้เป็นอย่างดีส่งผลให้รถพุ่งไปข้างหน้าทันทีแบบไม่มีสะดุด เอาเป็นว่าหายสงสัยกันไปในส่วนของระบบเชื้อเพลิง...ในส่วนของเครื่องยนต์ แม้น�้าหนักตัวรถจะมากถึง 111 กก. แต่มันก็ยังท�าความเร็วได้ดี ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ราวๆ 110 กม/ชม. (ก่อนจะผ่อนคันเร่งเพื่อเข้าโค้ง) ไม่ว่าจะเป็นช่วงขึ้นทางโค้งชันหรือจังหวะออกจากโค้งคันเร่งก็ตอบสนองได้ดีตลอดเวลา ก�าลังความแรงของ Nouvo SX จะอยู่ในช่วง “ต้น-กลาง” ซึ่งนับว่าได้เปรียบและมีประโยชน์ส�าหรับการใช้ในเมือง

Final Resultสรุปกันเลยดีกว่าส�าหรับ Nouvo SX

รถออโตเมติกที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “นวตกรรมระดับเทพ” ผ่านการทดสอบในสนามด้วยคะแนนความพอใจที่ค่อนข้างสูง ทั้งขนาดใหญ่ก�าลังดีของตัวรถที่รองรับตั้งแต่เด็กวัยรุ่นไปจนถึงครอบครัวพ่อแม่ลูก การคอนโทรลรถ

ดีเยี่ยมเมื่อเทียบกับความยาวตัวรถ โช้คหน้าหลังท�างานได้ดีในระดับหนึ่งเพียงพอกับการใช้ในเมือง ก�าลังแรงบิดตอบสนองทันใจผู้ใช้และที่ส�าคัญเป็นระบบหัวฉีด ส่วนรูปร่างภายนอกของ Nouvo SX คงไม่ต้องบรรยายมาก เพราะไฟหน้าโปรเจคเตอร์ดวงเดียวก็ “เซ็กซี่” บาดใจคณะกรรมการแล้วครับ มาดูคะแนนของ Nouvo SX กันดีกว่า....

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 9/10

Handling : 9/10 8/10

Suspension : 9/10 8/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 8/10 7/10

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201314 15

Page 16: FRM issue 4 (Febuary 2013)

YamahaMio 125i

ตัวจี๊ดที่ตีคู่มากับ Nouvo SX นั่นก็คือ Mio 125i สปอร์ตออโตเมติกตัวเต็มแรงเกินตัว พรีเซ็นเตอร์ของรถคันนี้คือ ธีรศิลป์ แดงดา ศูนย์หน้าทีมเมืองทองยูไนเต็ด Yamaha จับ Mio 125 ตัวเก่าปรับปรุงใหม่หมดจดทั้งเครื่องยนต์ หัวฉีดและหน้าตา มาดูกันดีกว่าว่าเจ้า Mio 125i ใหม่จะท�าลายสถิติความแรงของรุ่นมันลงได้หรือไม่

Handling & Brakingรถไซส์กะทัดรัดขนาดนี้ (กว้างxยาวxสูง = 700x1,855x1,070 มม.) ดูไม่ค่อยเหมาะกับ

นักทดสอบสูง 189 ซม. เท่าไหร่นัก แต่มันก็ให้อารมณ์สปอร์ตในคราบออโตเมติกได้เหมือนกัน ก้มลงมองดูหน้ายางขนาด 70/90 ด้านหน้าและ 90/80 ด้านหลังแล้วก็นึกในใจว่า “แก้มเตี้ยขนาดนี้จะขี่ให้เข่าเช็ดพื้นไปเลย” เพราะว่ายางแบบสปอร์ตท�าให้เราคิดว่า Mio 125i คันนี้ต้อง “มันส์” แน่ๆ เริ่มวอร์มช่วงแรกกับ “สลาลอม” (Slalom) อ้อมกรวยเพื่อปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับรถ ดูเหมือนว่า Mio 125i จะได้เปรียบเรื่องช่วงตัวรถที่สั้นท�าให้เลี้ยวได้เร็ว เมื่อรวม

กับยางหน้าแก้มเตี้ยแต่หน้ากว้างแล้วยิ่งท�าให้การพลิกรถซ้าย-ขวาได้เร็วยิ่งขึ้น มุมเลี้ยวกว้างบวกกับพื้นที่วางเท้าที่พอดีช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการโยกรถ เบาะที่นั่งแบนราบแบบรถสปอร์ตให้ความนุ่มระดับหนึ่ง (อาจถูกใจวัยรุ่นหลายคน) แต่เมื่อนั่งนานๆ อาจรู้สึกเมื่อยได้ถ้าต้องวิ่งทางไกล ในส่วนของโช้คหน้า-หลังบอกได้เลยว่า “เกาะถนนดีนัก” เข้าโค้งที่ความเร็วสูงไม่มีอาการส่ายหรือสับให้เห็น ด้านเบรก...เบรกหน้าของ Mio 125i “จี๊ด” มากจนต้องระวังอย่าเผลอเหนี่ยวเบรกแรงเกินไป เมื่อใช้เบรกหน้าควรคู่กับเบรกหลังจะท�าให้การขับขี่นุ่มนวลหยุดได้ดั่งใจทั้งในและนอกโค้ง น�้าหนักตัวรถเบา (100กก.) ช่วยให้เกิดความคล่องตัวสูงส�าหรับเจ้า Mio 125i คันนี้

Engine & Accelerationเครื่องยนต์ 124 ซีซี. ของ Mio 125i มีออพชั่นความแรงแบบเดียวกับรุ่นพี่

อย่าง Nouvo SX นั่นก็คือ ชุดกระบอกสูบ DiASil ลูกสูบฟอร์จ วาล์วโรลเลอร์ ระบบระบายความร้อนแบบหม้อน�้าไหลเวียนเต็มระบบ ระบบเชื้อเพลิงรุ่นใหม่หัวฉีดอัจฉริยะ YMJET แทนที่คาร์บูเรเตอร์ซึ่งคงจะ “ประหยัด” กว่ารุ่นเก่าแน่นอน อีกจุดที่เปลี่ยนแปลงส�าหรับเครื่องยนต์ก็คือปลายท่อไอเสียที่สั้นลงแต่กลับดูโหดกว่าเดิม สตาร์ทเครื่องยนต์เงียบกริบแตกต่างจากรุ่นเก่า อัตราเร่งในช่วงต้นของ Mio 125i นับว่าแรงจนน่าตกใจ ความรู้สึกของการสะบัดคันเร่งเล่นคือ “กระชาก” แต่ก็ยังผสมผสานความนุ่มนวลในแบบฉบับของรถออโตเมติกได้อย่างลงตัว ผ่านการวอร์มอัพในช่วงแรกอย่างสบายๆ ด้วยการใช้คันเร่งเพียง 10% จากนั้นเจอกับของจริงเมื่อเปิดคันเร่ง 100% ในสนาม ความเร็วทางตรงก่อนถึงช่วงโค้งขวาใหญ่เกือบถึง 110 กม/ชม. เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมค่ายอย่าง Nouvo SX นับว่า Mio 125i ออกตัวและส่งก�าลังช่วงแรงกลาง-ปลายได้ดีกว่ามาก ความเร็วในโค้งที่ 90 กม./ชม. สามารถเดินคันเร่งออกได้ทันที ก�าลังเครื่องยนต์เหลือมากพอส�าหรับการเติมคันเร่งขึ้นเขา FRM ฟันธงไปเลยว่า Mio 125i แรงครอบคลุมทั้ง “ต้น-กลาง-ปลาย” เรียกว่าขี่ในสนามก็ได้ ขี่ใช้ประจ�าวันก็คงมันส์ไม่หยอก ถ้าให้หาข้อด้อยของ Mio 125i ก็คงเป็นเบาะไม่สบายก้นเท่าที่ควร....แต่มันก็ยังขี่สนุกอยู่ดี!

Final Resultเครื่องยนต์รุ่นใหม่แกร่งเกินตัวจริงๆ ตอบรับความบ้าคลั่งของนักบิดได้ทุกรูปแบบ

ก�าลังเครื่องยนต์ครอบคลุมความแรงทุกรูปแบบการใช้งาน เหมาะกับวัยรุ่นใจร้อนและคุณพ่อบ้านขาสปอร์ต โช้คหน้าหลังเกาะถนนดีเข้ากันได้กับหน้ายางขนาดใหญ่แถมแก้มเตี้ยสะใจ นอกจากแรงแล้วยังมีตัวช่วยประหยัดซึ่งก็คือระบบหัวฉีดอัจฉริยะ YMJET ในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไปโดนโคมไฟหน้ารวมกันเป็นโคมเดี่ยวก็ดูดุไม่แพ้โฉมเก่า FRM อยากให้ผู้อ่านลองด้วยตัวเองมากกว่าเชื่อเราครับ โหดจริงๆ Mio 125i คันนี้!

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 9/10

Handling : 10/10 9/10

Suspension : 10/10 9/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 11/10 11/10

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201316 17

Page 17: FRM issue 4 (Febuary 2013)

YamahaMio 125i

ตัวจี๊ดที่ตีคู่มากับ Nouvo SX นั่นก็คือ Mio 125i สปอร์ตออโตเมติกตัวเต็มแรงเกินตัว พรีเซ็นเตอร์ของรถคันนี้คือ ธีรศิลป์ แดงดา ศูนย์หน้าทีมเมืองทองยูไนเต็ด Yamaha จับ Mio 125 ตัวเก่าปรับปรุงใหม่หมดจดทั้งเครื่องยนต์ หัวฉีดและหน้าตา มาดูกันดีกว่าว่าเจ้า Mio 125i ใหม่จะท�าลายสถิติความแรงของรุ่นมันลงได้หรือไม่

Handling & Brakingรถไซส์กะทัดรัดขนาดนี้ (กว้างxยาวxสูง = 700x1,855x1,070 มม.) ดูไม่ค่อยเหมาะกับ

นักทดสอบสูง 189 ซม. เท่าไหร่นัก แต่มันก็ให้อารมณ์สปอร์ตในคราบออโตเมติกได้เหมือนกัน ก้มลงมองดูหน้ายางขนาด 70/90 ด้านหน้าและ 90/80 ด้านหลังแล้วก็นึกในใจว่า “แก้มเตี้ยขนาดนี้จะขี่ให้เข่าเช็ดพื้นไปเลย” เพราะว่ายางแบบสปอร์ตท�าให้เราคิดว่า Mio 125i คันนี้ต้อง “มันส์” แน่ๆ เริ่มวอร์มช่วงแรกกับ “สลาลอม” (Slalom) อ้อมกรวยเพื่อปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับรถ ดูเหมือนว่า Mio 125i จะได้เปรียบเรื่องช่วงตัวรถที่สั้นท�าให้เลี้ยวได้เร็ว เมื่อรวม

กับยางหน้าแก้มเตี้ยแต่หน้ากว้างแล้วยิ่งท�าให้การพลิกรถซ้าย-ขวาได้เร็วยิ่งขึ้น มุมเลี้ยวกว้างบวกกับพื้นที่วางเท้าที่พอดีช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการโยกรถ เบาะที่นั่งแบนราบแบบรถสปอร์ตให้ความนุ่มระดับหนึ่ง (อาจถูกใจวัยรุ่นหลายคน) แต่เมื่อนั่งนานๆ อาจรู้สึกเมื่อยได้ถ้าต้องวิ่งทางไกล ในส่วนของโช้คหน้า-หลังบอกได้เลยว่า “เกาะถนนดีนัก” เข้าโค้งที่ความเร็วสูงไม่มีอาการส่ายหรือสับให้เห็น ด้านเบรก...เบรกหน้าของ Mio 125i “จี๊ด” มากจนต้องระวังอย่าเผลอเหนี่ยวเบรกแรงเกินไป เมื่อใช้เบรกหน้าควรคู่กับเบรกหลังจะท�าให้การขับขี่นุ่มนวลหยุดได้ดั่งใจทั้งในและนอกโค้ง น�้าหนักตัวรถเบา (100กก.) ช่วยให้เกิดความคล่องตัวสูงส�าหรับเจ้า Mio 125i คันนี้

Engine & Accelerationเครื่องยนต์ 124 ซีซี. ของ Mio 125i มีออพชั่นความแรงแบบเดียวกับรุ่นพี่

อย่าง Nouvo SX นั่นก็คือ ชุดกระบอกสูบ DiASil ลูกสูบฟอร์จ วาล์วโรลเลอร์ ระบบระบายความร้อนแบบหม้อน�้าไหลเวียนเต็มระบบ ระบบเชื้อเพลิงรุ่นใหม่หัวฉีดอัจฉริยะ YMJET แทนที่คาร์บูเรเตอร์ซึ่งคงจะ “ประหยัด” กว่ารุ่นเก่าแน่นอน อีกจุดที่เปลี่ยนแปลงส�าหรับเครื่องยนต์ก็คือปลายท่อไอเสียที่สั้นลงแต่กลับดูโหดกว่าเดิม สตาร์ทเครื่องยนต์เงียบกริบแตกต่างจากรุ่นเก่า อัตราเร่งในช่วงต้นของ Mio 125i นับว่าแรงจนน่าตกใจ ความรู้สึกของการสะบัดคันเร่งเล่นคือ “กระชาก” แต่ก็ยังผสมผสานความนุ่มนวลในแบบฉบับของรถออโตเมติกได้อย่างลงตัว ผ่านการวอร์มอัพในช่วงแรกอย่างสบายๆ ด้วยการใช้คันเร่งเพียง 10% จากนั้นเจอกับของจริงเมื่อเปิดคันเร่ง 100% ในสนาม ความเร็วทางตรงก่อนถึงช่วงโค้งขวาใหญ่เกือบถึง 110 กม/ชม. เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมค่ายอย่าง Nouvo SX นับว่า Mio 125i ออกตัวและส่งก�าลังช่วงแรงกลาง-ปลายได้ดีกว่ามาก ความเร็วในโค้งที่ 90 กม./ชม. สามารถเดินคันเร่งออกได้ทันที ก�าลังเครื่องยนต์เหลือมากพอส�าหรับการเติมคันเร่งขึ้นเขา FRM ฟันธงไปเลยว่า Mio 125i แรงครอบคลุมทั้ง “ต้น-กลาง-ปลาย” เรียกว่าขี่ในสนามก็ได้ ขี่ใช้ประจ�าวันก็คงมันส์ไม่หยอก ถ้าให้หาข้อด้อยของ Mio 125i ก็คงเป็นเบาะไม่สบายก้นเท่าที่ควร....แต่มันก็ยังขี่สนุกอยู่ดี!

Final Resultเครื่องยนต์รุ่นใหม่แกร่งเกินตัวจริงๆ ตอบรับความบ้าคลั่งของนักบิดได้ทุกรูปแบบ

ก�าลังเครื่องยนต์ครอบคลุมความแรงทุกรูปแบบการใช้งาน เหมาะกับวัยรุ่นใจร้อนและคุณพ่อบ้านขาสปอร์ต โช้คหน้าหลังเกาะถนนดีเข้ากันได้กับหน้ายางขนาดใหญ่แถมแก้มเตี้ยสะใจ นอกจากแรงแล้วยังมีตัวช่วยประหยัดซึ่งก็คือระบบหัวฉีดอัจฉริยะ YMJET ในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไปโดนโคมไฟหน้ารวมกันเป็นโคมเดี่ยวก็ดูดุไม่แพ้โฉมเก่า FRM อยากให้ผู้อ่านลองด้วยตัวเองมากกว่าเชื่อเราครับ โหดจริงๆ Mio 125i คันนี้!

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 9/10

Handling : 10/10 9/10

Suspension : 10/10 9/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 11/10 11/10

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201316 17

Page 18: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 9/10

Handling : 9/10 9/10

Suspension : 9/10 8/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 8/10 7/10

อันที่จริงแล้วเจ้า TTX ที่ว่านี้เคยถูกจับทดสอบโหดๆ โดยกลุ่มสื่อมวลชนบนเส้นทาง อุดรธานี - เวียงจันทร์ – หลวงพระบาง มาแล้ว! เพราะงั้นสบายใจได้เรื่องระบบช่วงล่างและก�าลังเครื่องยนต์ ใครที่เคยไปลาวคงรู้ดีว่าถนนนั้นหาที่เรียบไม่ได้เลย แถมเส้นทางขึ้นลงเขาตลอดเวลา....แล้วถ้าจับ TTX วิ่งในสนามล่ะจะเป็นยังไง?

Handling & Brakingด้วยความสูงจากเบาะถึงพื้น 780 มม. ซึ่งนับว่าสูงกว่ารถออโตเมติก

รุ่นอื่นๆ ท�าให้นักทดสอบร่างสูงของเรารู้สึกคุ้นเคยกับความสูงระดับนี้ ดีไซน์ตัวรถดูเหมือนจะถูกออกแบบมาให้เป็น “ออโตเมติกโมตาร์ด” อารมณ์ประมาณ...กึ่งๆ วิบาก กึ่งๆ ทางเรียบ แต่เมื่อสังเกตุล้อหลังขนาดใหญ่และยางไซส์ใหญ่กว่ารถออโตเมติกทั่วไป (หมายถึงหน้ากว้างน่ะครับ) ท�าให้เราคิดว่า TTX น่าจะเป็นรถที่ขี่สนุกและต้องลองดูกันซักตั้ง กระโดดขึ้นคร่อม TTX รู้สึกถึงความมั่นคงโดยเฉพาะเบาะที่ไม่นุ่มเกินไปและไม่แข็งเกินไป รูปทรงเบาะเรียบๆ นอกจากดูดีแล้วยังสไลด์ตัวไปหน้าหรือหลังได้ง่ายเพื่อให้เข้ากับรูปแบบการขับขี่ แฮนด์บาร์ทรงกว้างก�าลังดีท�าให้รู้สึกคล้ายขี่รถวิบาก กระจกทรง 6 เหลี่ยมดีไซน์สวยแถมมองเห็นชัด สตาร์ทช่วงแรกกับสลาลอม..TTX สามารถโยกซ้ายขวาได้ง่ายและคล่องตัวกว่า Mio 125i ที่ส�าคัญคือความรู้สึก “สนุก” เมื่อได้อยู่บนหลังเจ้า TTX คันนี้ แฮนด์บาร์กว้างท�ามุมองศาพอดีกับท่านั่งไม่ว่าจะเลือกสไตล์การขี่แบบ Lean Out หรือ Lean With ก็ลงตัว เบรกหน้าให้ก�าลังแรงเบรกดี เบรกหลังแบบดรัมนุ่มเหมือนกับโมเดลอื่นๆ ของยามาฮ่า จากสลาลอมออกมาวิ่งจริงในสนาม ดูเหมือนว่าโช้คหลังจะออกอาการ “สับ” บ้างที่ความเร็วสูงหรืออาจเกิดจากช่วงตัวรถที่สูงก็เป็นได้ แต่ส�าหรับการขับขี่ธรรมดาส�าหรับ TTX นับว่านุ่มมาก ความรู้สึกที่ได้จากโช้คหน้าและหลังคล้ายๆ กับขี่รถวิบากเลยทีเดียว ใครชอบรถวิบากแต่ก็รักออโตเมติกเราแนะน�าเลยครับคันนี้ TTX

Engine & Accelerationเครื่องยนต์ 113.6 ซีซี. มาพร้อมเทคโนโลยีเดียวกันกับทั้ง Nouvo SX

และ Mio 125i นั่นก็คือกระบอกสูบสุดแกร่ง DiASil ลูกสูบฟอร์จอัดขึ้นรูป กระเดื่องวาล์วแบบโรลเลอร์ ที่แตกต่างก็คือระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะตัวกระบอกสูบท�าจากวัสดุที่ระบายความร้อนได้ดีอยู่แล้ว เครื่องยนต์สตาร์ทเงียบคันเร่งเดินนุ่มมือ ก�าลังอัตราเร่งของ TTX ดูเหมือนจะเน้นที่แรงต้น – กลาง ส่วนปลายก็เน้นไหลเอา ความเร็วสูงสุดที่ท�าได้อยู่ที่ 95 กม./ชม. แม้อัตราเร่งจะไม่รุนแรงเท่า Mio 125i (เพราะต่างซีซี. กัน) แต่รอบต้นก็นับว่า “พึ่งพาได้” โดยเฉพาะช่วงการออกตัว หลังจากทดสอบเข้าโค้งซ�้าแล้วซ�้าอีกก็พอจะบอกได้ว่า TTX ขี่บนทางเรียบก็สนุกไม่แพ้ทางฝุ่น จุดเด่นของเครื่องยนต์ TTX คงจะอยู่ที่ความลื่นไหลของรอบ ถ้าแฮนด์บาร์ของ TTX เล็กกว่านี้ก็คงขี่ในเมืองสนุกโดยเฉพาะการซอกแซกฝ่ารถติด (แต่ถ้าใครมีทักษะก็คงผ่านได้แบบสบายๆ) อีกหนึ่งจุดเด่นที่เข้ามาสนับสนุนความน่าขี่ของ TTX ก็คือระบบหัวฉีด YMJET นอกจากขี่สนุกแล้วยังประหยัดน�้ามันในเวลาเดียวกัน...

Final ResultTTX เป็นหนึ่งในรถ “ของเล่นคนรวย” ที่เราก็อยากจะมีไว้ซักคัน มัน

ขี่สนุกและตอบสนองการใช้งานแบบโหดๆ ได้ดี ช่วงตัวรถที่สูงถูกใจ หน้าตารถที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากหนังทรานส์ฟอร์มเมอร์ แฮนด์บาร์เปลือยได้อารมณ์แบบลุยๆ เมื่อรวมเข้ากับเทคโนโลยีภายในเครื่องยนต์ท�าให้รู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะมีรถ “ลุยๆ” ไว้ตอบสนองความบ้าซักคัน แต่ FRM ก็ไม่ลืมคุณแม่บ้านทั้งหลายนะครับ เพราะ TTX ก็เหมาะกับสาวๆ ขาลุยที่ชอบรถหน้ายางใหญ่สะใจแถมปลอดภัยทุกเส้นทาง TTX เนี่ยแหละเหมาะกับถนนเมืองกรุงนัก!

Yamaha

TTXFor Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201318 19

Page 19: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 9/10

Handling : 9/10 9/10

Suspension : 9/10 8/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 8/10 7/10

อันที่จริงแล้วเจ้า TTX ที่ว่านี้เคยถูกจับทดสอบโหดๆ โดยกลุ่มสื่อมวลชนบนเส้นทาง อุดรธานี - เวียงจันทร์ – หลวงพระบาง มาแล้ว! เพราะงั้นสบายใจได้เรื่องระบบช่วงล่างและก�าลังเครื่องยนต์ ใครที่เคยไปลาวคงรู้ดีว่าถนนนั้นหาที่เรียบไม่ได้เลย แถมเส้นทางขึ้นลงเขาตลอดเวลา....แล้วถ้าจับ TTX วิ่งในสนามล่ะจะเป็นยังไง?

Handling & Brakingด้วยความสูงจากเบาะถึงพื้น 780 มม. ซึ่งนับว่าสูงกว่ารถออโตเมติก

รุ่นอื่นๆ ท�าให้นักทดสอบร่างสูงของเรารู้สึกคุ้นเคยกับความสูงระดับนี้ ดีไซน์ตัวรถดูเหมือนจะถูกออกแบบมาให้เป็น “ออโตเมติกโมตาร์ด” อารมณ์ประมาณ...กึ่งๆ วิบาก กึ่งๆ ทางเรียบ แต่เมื่อสังเกตุล้อหลังขนาดใหญ่และยางไซส์ใหญ่กว่ารถออโตเมติกทั่วไป (หมายถึงหน้ากว้างน่ะครับ) ท�าให้เราคิดว่า TTX น่าจะเป็นรถที่ขี่สนุกและต้องลองดูกันซักตั้ง กระโดดขึ้นคร่อม TTX รู้สึกถึงความมั่นคงโดยเฉพาะเบาะที่ไม่นุ่มเกินไปและไม่แข็งเกินไป รูปทรงเบาะเรียบๆ นอกจากดูดีแล้วยังสไลด์ตัวไปหน้าหรือหลังได้ง่ายเพื่อให้เข้ากับรูปแบบการขับขี่ แฮนด์บาร์ทรงกว้างก�าลังดีท�าให้รู้สึกคล้ายขี่รถวิบาก กระจกทรง 6 เหลี่ยมดีไซน์สวยแถมมองเห็นชัด สตาร์ทช่วงแรกกับสลาลอม..TTX สามารถโยกซ้ายขวาได้ง่ายและคล่องตัวกว่า Mio 125i ที่ส�าคัญคือความรู้สึก “สนุก” เมื่อได้อยู่บนหลังเจ้า TTX คันนี้ แฮนด์บาร์กว้างท�ามุมองศาพอดีกับท่านั่งไม่ว่าจะเลือกสไตล์การขี่แบบ Lean Out หรือ Lean With ก็ลงตัว เบรกหน้าให้ก�าลังแรงเบรกดี เบรกหลังแบบดรัมนุ่มเหมือนกับโมเดลอื่นๆ ของยามาฮ่า จากสลาลอมออกมาวิ่งจริงในสนาม ดูเหมือนว่าโช้คหลังจะออกอาการ “สับ” บ้างที่ความเร็วสูงหรืออาจเกิดจากช่วงตัวรถที่สูงก็เป็นได้ แต่ส�าหรับการขับขี่ธรรมดาส�าหรับ TTX นับว่านุ่มมาก ความรู้สึกที่ได้จากโช้คหน้าและหลังคล้ายๆ กับขี่รถวิบากเลยทีเดียว ใครชอบรถวิบากแต่ก็รักออโตเมติกเราแนะน�าเลยครับคันนี้ TTX

Engine & Accelerationเครื่องยนต์ 113.6 ซีซี. มาพร้อมเทคโนโลยีเดียวกันกับทั้ง Nouvo SX

และ Mio 125i นั่นก็คือกระบอกสูบสุดแกร่ง DiASil ลูกสูบฟอร์จอัดขึ้นรูป กระเดื่องวาล์วแบบโรลเลอร์ ที่แตกต่างก็คือระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะตัวกระบอกสูบท�าจากวัสดุที่ระบายความร้อนได้ดีอยู่แล้ว เครื่องยนต์สตาร์ทเงียบคันเร่งเดินนุ่มมือ ก�าลังอัตราเร่งของ TTX ดูเหมือนจะเน้นที่แรงต้น – กลาง ส่วนปลายก็เน้นไหลเอา ความเร็วสูงสุดที่ท�าได้อยู่ที่ 95 กม./ชม. แม้อัตราเร่งจะไม่รุนแรงเท่า Mio 125i (เพราะต่างซีซี. กัน) แต่รอบต้นก็นับว่า “พึ่งพาได้” โดยเฉพาะช่วงการออกตัว หลังจากทดสอบเข้าโค้งซ�้าแล้วซ�้าอีกก็พอจะบอกได้ว่า TTX ขี่บนทางเรียบก็สนุกไม่แพ้ทางฝุ่น จุดเด่นของเครื่องยนต์ TTX คงจะอยู่ที่ความลื่นไหลของรอบ ถ้าแฮนด์บาร์ของ TTX เล็กกว่านี้ก็คงขี่ในเมืองสนุกโดยเฉพาะการซอกแซกฝ่ารถติด (แต่ถ้าใครมีทักษะก็คงผ่านได้แบบสบายๆ) อีกหนึ่งจุดเด่นที่เข้ามาสนับสนุนความน่าขี่ของ TTX ก็คือระบบหัวฉีด YMJET นอกจากขี่สนุกแล้วยังประหยัดน�้ามันในเวลาเดียวกัน...

Final ResultTTX เป็นหนึ่งในรถ “ของเล่นคนรวย” ที่เราก็อยากจะมีไว้ซักคัน มัน

ขี่สนุกและตอบสนองการใช้งานแบบโหดๆ ได้ดี ช่วงตัวรถที่สูงถูกใจ หน้าตารถที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากหนังทรานส์ฟอร์มเมอร์ แฮนด์บาร์เปลือยได้อารมณ์แบบลุยๆ เมื่อรวมเข้ากับเทคโนโลยีภายในเครื่องยนต์ท�าให้รู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะมีรถ “ลุยๆ” ไว้ตอบสนองความบ้าซักคัน แต่ FRM ก็ไม่ลืมคุณแม่บ้านทั้งหลายนะครับ เพราะ TTX ก็เหมาะกับสาวๆ ขาลุยที่ชอบรถหน้ายางใหญ่สะใจแถมปลอดภัยทุกเส้นทาง TTX เนี่ยแหละเหมาะกับถนนเมืองกรุงนัก!

Yamaha

TTXFor Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201318 19

Page 20: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 9/10

Handling : 10/10 9/10

Suspension : 10/10 9/10

Engine : 10/10 9/10

Acceleration : 8/10 7/10

SuzukiSkydrive125

กระโดดย้ายค่ายกันมาที่ค่ายตัว S กับ Suzuki Skydrive เรายังคงขลุกอยู่กับรถออโตเมติกซึ่งแต่ละค่ายก็มี “จุดเด่น” แตกต่างกันไป แต่ที่แน่ๆ เคยมีแฟนคลับซูซูกิเคยบอกกับเราว่า “ซูซูกิเครื่องอึด ปลายดี โช้คแน่น” ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหนแต่คงต้องลองลงสนามไปหวดกันดูซักตั้ง

Handling & Brakingรูปร่างเพรียวบางคอดกลางของเจ้า Skydrive มีที่มาจากรุ่นพี่ยักษ์ใหญ่ บิ๊กสกู๊ตเตอร์

ในต�านาน Skywave ซึ่งได้รับความนิยมมากในต่างประเทศ Skydrive จึงได้รับถ่ายทอดจุดเด่นบางส่วนมาไว้ด้วยเช่นกัน เริ่มจากเบาะที่นั่งซึ่งแม้จะดูเล็กกะทัดรัดแต่กลับให้ความรู้สึกสบายก้นอย่างบอกไม่ถูก พักเท้าขนาดใหญ่รองรับกับเท้าไซส์ใหญ่ได้สบาย องศาการวางแขนและจับแฮนด์บาร์ออกไปในแนวสปอร์ตนิดๆ แฮนด์ไซส์กะทัดรัดก�าลังดีน่าจะเหมาะกับการขับขี่ในเมืองเป็นพิเศษเพราะสามารถมุดผ่านช่วงรถติดได้สะดวก ยางหน้า 70/90 ขอบ 14 และยางหลัง 80/90 ขอบ 14 ช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับรถ ในช่วงสลาลอม...การคอนโทรลรถท�าได้ง่ายแต่ส�าหรับคนตัวสูงอาจเจอกับอาการ “แฮนด์ชนเข่า”แก้ปัญหาได้ด้วยการสไลด์ตัวไปด้านหลังเล็กน้อย เมื่อเจอกับโค้งเราก็ “ใส่ให้เต็มที่” ปรากฏว่าโช้ค “หนึบ” จริงๆ ไม่มีอาการส่ายหรือย้วยของโช้คแม้ว่าน�้าหนักตัวคนขี่จะหนักถึง 90 กก. โช้คดี-ยางดี FRM คอนเฟิร์มครับ จากโค้งที่น่ากลัวก็กลายเป็นเรื่องสนุกเมื่อได้ลองขี่ Skydrive คันนี้ เบรกหน้า-หลัง “อยู่มือ” แม้ยางจะแก้มไม่เตี้ยมากแต่ก็สามารถ “เข้าได้จนสุด” ขอบยาง...ไม่น่าเชื่อว่ารถไซส์เล็กหุ่นเพรียวบางจะซ่อนสมรรถนะที่ดีขนาดนี้ไว้ภายใน...สรุปแล้วช่วงล่างแน่นจริงๆ ครับ

Engine & AccelerationSkydrive มาพร้อมเครื่องยนต์ 124 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยอากาศ ตามด้วยระบบ

หัวฉีดอัจฉริยะ Fi ที่ผ่านมาตรฐานค่าไอเสียระดับ 6 เมื่อลองบิดดูซักพักก็รู้สึกว่าก�าลังของเครื่องยนต์ในช่วงต้น-กลางได้มาตรฐานรถออโตเมติกทั่วไป ส�าหรับคนตัวใหญ่อาจรู้สึกว่ามันอืดในช่วงแรกด้วยซ�้า แต่เมื่อได้ท�าความคุ้นเคยซักพักก็รู้ว่า Skydrive เป็นรถที่ได้เปรียบในเรื่องของก�าลังแรงปลาย ที่ 80-90 กม/ชม. รถสามารถเติมคันเร่งให้ไหลไปได้อีก เหมาะกับการขี่ทางไกลหรือใช้งานระยะทางยาวเช่นวิ่งไปท�างาน 20-30 กม ขึ้นไปจะรู้สึกสบายไม่ต้องเค้นรถมาก ระบบหัวฉีดช่วยจ่ายน�้ามันเชื้อเพลิงจุดระเบิดอย่างแม่นย�า นั่นท�าให้สภาพอากาศหรืออุณหภูมิไม่สามารถท�าอะไรเจ้า Skydrive คันนี้ได้…

Final Resultสรุปว่าที่มีคนบอกกับเราว่า “ซูซูกิเครื่องอึด ปลายดี โช้คแน่น” นั้นจริง! ครับ เพราะ

เครื่องเงียบแต่วิ่งดี ก�าลังแรงปลายมาต่อเนื่องเมื่อได้ความเร็วระดับที่ต้องการ แถมโช้คก็หนึบและเกาะถนนได้ดีจนแทบไม่น่าเชื่อ ใครตัวใหญ่แต่ชอบรถไซส์เล็กมาทางนี้เลยครับ Skydrive เป็นตัวเลือกที่ผ่านบททดสอบโหดๆ ของนักทดสอบ FRM มาได้ เพราะงั้นผู้ใช้ทั่วจึงมั่นใจได้ว่า หนึบ แน่น แน่นอน!

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201320 21

Page 21: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 9/10

Handling : 10/10 9/10

Suspension : 10/10 9/10

Engine : 10/10 9/10

Acceleration : 8/10 7/10

SuzukiSkydrive125

กระโดดย้ายค่ายกันมาที่ค่ายตัว S กับ Suzuki Skydrive เรายังคงขลุกอยู่กับรถออโตเมติกซึ่งแต่ละค่ายก็มี “จุดเด่น” แตกต่างกันไป แต่ที่แน่ๆ เคยมีแฟนคลับซูซูกิเคยบอกกับเราว่า “ซูซูกิเครื่องอึด ปลายดี โช้คแน่น” ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหนแต่คงต้องลองลงสนามไปหวดกันดูซักตั้ง

Handling & Brakingรูปร่างเพรียวบางคอดกลางของเจ้า Skydrive มีที่มาจากรุ่นพี่ยักษ์ใหญ่ บิ๊กสกู๊ตเตอร์

ในต�านาน Skywave ซึ่งได้รับความนิยมมากในต่างประเทศ Skydrive จึงได้รับถ่ายทอดจุดเด่นบางส่วนมาไว้ด้วยเช่นกัน เริ่มจากเบาะที่นั่งซึ่งแม้จะดูเล็กกะทัดรัดแต่กลับให้ความรู้สึกสบายก้นอย่างบอกไม่ถูก พักเท้าขนาดใหญ่รองรับกับเท้าไซส์ใหญ่ได้สบาย องศาการวางแขนและจับแฮนด์บาร์ออกไปในแนวสปอร์ตนิดๆ แฮนด์ไซส์กะทัดรัดก�าลังดีน่าจะเหมาะกับการขับขี่ในเมืองเป็นพิเศษเพราะสามารถมุดผ่านช่วงรถติดได้สะดวก ยางหน้า 70/90 ขอบ 14 และยางหลัง 80/90 ขอบ 14 ช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับรถ ในช่วงสลาลอม...การคอนโทรลรถท�าได้ง่ายแต่ส�าหรับคนตัวสูงอาจเจอกับอาการ “แฮนด์ชนเข่า”แก้ปัญหาได้ด้วยการสไลด์ตัวไปด้านหลังเล็กน้อย เมื่อเจอกับโค้งเราก็ “ใส่ให้เต็มที่” ปรากฏว่าโช้ค “หนึบ” จริงๆ ไม่มีอาการส่ายหรือย้วยของโช้คแม้ว่าน�้าหนักตัวคนขี่จะหนักถึง 90 กก. โช้คดี-ยางดี FRM คอนเฟิร์มครับ จากโค้งที่น่ากลัวก็กลายเป็นเรื่องสนุกเมื่อได้ลองขี่ Skydrive คันนี้ เบรกหน้า-หลัง “อยู่มือ” แม้ยางจะแก้มไม่เตี้ยมากแต่ก็สามารถ “เข้าได้จนสุด” ขอบยาง...ไม่น่าเชื่อว่ารถไซส์เล็กหุ่นเพรียวบางจะซ่อนสมรรถนะที่ดีขนาดนี้ไว้ภายใน...สรุปแล้วช่วงล่างแน่นจริงๆ ครับ

Engine & AccelerationSkydrive มาพร้อมเครื่องยนต์ 124 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยอากาศ ตามด้วยระบบ

หัวฉีดอัจฉริยะ Fi ที่ผ่านมาตรฐานค่าไอเสียระดับ 6 เมื่อลองบิดดูซักพักก็รู้สึกว่าก�าลังของเครื่องยนต์ในช่วงต้น-กลางได้มาตรฐานรถออโตเมติกทั่วไป ส�าหรับคนตัวใหญ่อาจรู้สึกว่ามันอืดในช่วงแรกด้วยซ�้า แต่เมื่อได้ท�าความคุ้นเคยซักพักก็รู้ว่า Skydrive เป็นรถที่ได้เปรียบในเรื่องของก�าลังแรงปลาย ที่ 80-90 กม/ชม. รถสามารถเติมคันเร่งให้ไหลไปได้อีก เหมาะกับการขี่ทางไกลหรือใช้งานระยะทางยาวเช่นวิ่งไปท�างาน 20-30 กม ขึ้นไปจะรู้สึกสบายไม่ต้องเค้นรถมาก ระบบหัวฉีดช่วยจ่ายน�้ามันเชื้อเพลิงจุดระเบิดอย่างแม่นย�า นั่นท�าให้สภาพอากาศหรืออุณหภูมิไม่สามารถท�าอะไรเจ้า Skydrive คันนี้ได้…

Final Resultสรุปว่าที่มีคนบอกกับเราว่า “ซูซูกิเครื่องอึด ปลายดี โช้คแน่น” นั้นจริง! ครับ เพราะ

เครื่องเงียบแต่วิ่งดี ก�าลังแรงปลายมาต่อเนื่องเมื่อได้ความเร็วระดับที่ต้องการ แถมโช้คก็หนึบและเกาะถนนได้ดีจนแทบไม่น่าเชื่อ ใครตัวใหญ่แต่ชอบรถไซส์เล็กมาทางนี้เลยครับ Skydrive เป็นตัวเลือกที่ผ่านบททดสอบโหดๆ ของนักทดสอบ FRM มาได้ เพราะงั้นผู้ใช้ทั่วจึงมั่นใจได้ว่า หนึบ แน่น แน่นอน!

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201320 21

Page 22: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 11/10 11/10

Handling : 8/10 8/10

Suspension : 8/10 8/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 9/10 8/10

HondaClick 125i

มาต่อกับค่ายปีกนก Honda ที่ดูเหมือนว่า Click 125i จะโดนตาเราไม่น้อยจนต้องจับมาทดสอบให้มันรู้กันไปว่ารถที่เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์เจ๋งๆ อย่าง Combi Brake, Idiling Stop ระบบสตาร์ทแบบอัลเตอร์เนเตอร์และระบบหัวฉีด PGM-FI จะมีสมรรถนะยังไงเมื่อต้องลงหวดในสนามแบบนี้!

Handling + BrakingHonda Click 125i เป็นหนึ่งในรถยอดนิยมจากค่ายฮอนด้าที่ครองใจชาว 2 ล้อหลาย

คน สาเหตุหลักก็คือระบบความปลอดภัย เริ่มจากยางขนาดใหญ่ 80/90 ขอบ 14 หน้าและ 90/90 ขอบ 14 หลัง ยางใหญ่นอกจากดูสปอร์ตแล้วยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยไม่ว่าจะจากหลุมบ่อหรือกรวดทราย เพราะหน้าสัมผัสพื้นถนนที่มากกว่าจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ ขยับขึ้นมาด้านบนกับเบาะที่นุ่มสบายเป็นพิเศษ นุ่มจนเรียกได้ว่า “นุ่มแบบฮอนด้า” ขยับต่อมาที่แฮนด์ทรงสูง (ยกสูงจนไม่โดนขายาวๆ ของนักทดสอบ) ความกว้างของแฮนด์ก�าลังดีจับได้แบบอยู่มือ กระจกมองข้างทรงใบไม้ใหญ่แต่สั้นเหมาะกับนักมุดที่สุด ช่วงพักเท้าวางเท้าได้หลายรูปแบบรองรับกับผู้ขี่ทุกไซส์ จุดแรกที่รู้สึกแปลกใจก็คือหน้ายางใหญ่และกลมจนท�าให้รถเอนลงไปได้มากกว่าปกติ แต่ถ้าใช้เวลากับ Click 125i คันนี้ซักพักก็จะรู้สึกชินและสนุกกับการเข้าโค้ง ระยะห่างจากท้องรถถึงพื้นค่อนข้างสูงท�าให้สามารถเข้าโค้งได้แบนกว่า Click ตัวเก่า โช้คหน้าหลังออกอาการส่ายบ้างเมื่อลองโหนโค้งที่ความเร็ว (อาจเป็นเพราะน�้าหนักตัวที่มากถึง 90 กก.ของผู้ขี่ก็เป็นได้) ส�าหรับการขับขี่ธรรมดานับว่าระบบโช้คของ Click 125i นุ่มได้ระดับก�าลังดี เมื่อบวกกับเบาะที่นุ่มแล้วยิ่งท�าให้ไม่อยากลุกออกจากรถคันนี้ไปไหนเลยทีเดียว ในส่วนจุดเด่นที่พูดถึงไปก่อนหน้านี้นั่นก็คือ Combi Brake ทีเด็ดของเจ้า Click 125i…ระบบจะท�างานช่วยเบรกล้อหลังทันทีที่แตะเบรกหน้าช่วยให้ระยะเบรกสั้นลงและออกแรงน้อยลงกว่าเก่า เราลองเบรกแบบไม่ทันตั้งตัวที่ความเร็วราว 80 กม/ชม. ระบบเบรกช่วยไม่ให้เกิดอาการล้อล็อคหรือล้อหน้าสไลด์ซึ่งแตกต่างจากระบบเบรกธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด ได้ใจไปเต็มๆ กับระบบ Combi Brake

Engine & Accelerationเครื่องยนต์ 124.8 ซีซี. SOHC ระบายความร้อนด้วยน�้ามาพร้อมอัตราส่วนการอัด

11.0:1 ไฮไลท์ของพาร์ทนี้อยู่ที่ระบบหัวฉีด PGM-FI อัพเกรดระบบสตาร์ทใหม่โดยไม่ต้องใช้ไดสตาร์ทกับเทคโนโลยี Alternator Start ช่วยให้สตาร์ทเงียบและเบาจนแทบไม่รู้สึกว่าสตาร์ท ตัวที่เราขี่มีระบบ Idling Stop มาให้ด้วยซึ่งไม่ได้ใช้ในการทดสอบเพราะต้องขี่วนรอบสนาม ในส่วนของอัตราเร่งนับว่าแรงต้น-กลางน่าประทับใจ แม้ยางจะใหญ่กว่ารุ่นอื่นแต่กลับออกตัวได้ดี ส่วนแรงปลายใกล้เคียงกับออโตเมติก 125 ซีซี. ในคลาสเดียวกัน การตอบสนองของคันเร่งค่อนข้างเร็วโดยเฉพาะเมื่อต้องการความเร็วขณะออกจากโค้ง นี่น่าจะท�าให้ Click 125i วิ่งฉิวในเมืองใหญ่ที่การจราจรติดขัด ไม่แปลกใจเลยว่าท�าไม Click 125i ถึงเป็นรถในใจของใครหลายๆ คน FRM ขอให้นิยามสมรรถนะของเครื่องยนต์ Click 125i คันนี้ไว้ว่า “ต้นดีขี่ง่ายสไตล์ฮอนด้า”

Final Resultยังคงเป็นที่ถูกใจนักทดสอบในส่วนของระบบความ

ปลอดภัยไม่ว่าจะเป็น Combi Brake หรือยางไซส์ใหญ่ ส่วนเสริมอย่างระบบ Idling Stop แม้จะไม่ได้ทดสอบแต่ก็รู้สึกดีที่มี “ของเล่น” ติดรถมาให้ด้วย เครื่องยนต์ของ Click 125i ตอบสนองดีในรอบต้น-กลาง แรงบิดน่าประทับที่สุดในรอบต้น แถมสตาร์ทนิ่มสุดๆ ด้วยระบบ Alternator Start ทั้งหมดท�าให้ Click 125i เป็นหนึ่งในรถออโตเมติกกึ่งสปอร์ตที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยและออพชั่นให้กับผู้ใช้ ใครชอบยางใหญ่และระบบ Combi Brake มาทางนี้ได้เลย

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201322 23

Page 23: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 11/10 11/10

Handling : 8/10 8/10

Suspension : 8/10 8/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 9/10 8/10

HondaClick 125i

มาต่อกับค่ายปีกนก Honda ที่ดูเหมือนว่า Click 125i จะโดนตาเราไม่น้อยจนต้องจับมาทดสอบให้มันรู้กันไปว่ารถที่เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์เจ๋งๆ อย่าง Combi Brake, Idiling Stop ระบบสตาร์ทแบบอัลเตอร์เนเตอร์และระบบหัวฉีด PGM-FI จะมีสมรรถนะยังไงเมื่อต้องลงหวดในสนามแบบนี้!

Handling + BrakingHonda Click 125i เป็นหนึ่งในรถยอดนิยมจากค่ายฮอนด้าที่ครองใจชาว 2 ล้อหลาย

คน สาเหตุหลักก็คือระบบความปลอดภัย เริ่มจากยางขนาดใหญ่ 80/90 ขอบ 14 หน้าและ 90/90 ขอบ 14 หลัง ยางใหญ่นอกจากดูสปอร์ตแล้วยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยไม่ว่าจะจากหลุมบ่อหรือกรวดทราย เพราะหน้าสัมผัสพื้นถนนที่มากกว่าจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ ขยับขึ้นมาด้านบนกับเบาะที่นุ่มสบายเป็นพิเศษ นุ่มจนเรียกได้ว่า “นุ่มแบบฮอนด้า” ขยับต่อมาที่แฮนด์ทรงสูง (ยกสูงจนไม่โดนขายาวๆ ของนักทดสอบ) ความกว้างของแฮนด์ก�าลังดีจับได้แบบอยู่มือ กระจกมองข้างทรงใบไม้ใหญ่แต่สั้นเหมาะกับนักมุดที่สุด ช่วงพักเท้าวางเท้าได้หลายรูปแบบรองรับกับผู้ขี่ทุกไซส์ จุดแรกที่รู้สึกแปลกใจก็คือหน้ายางใหญ่และกลมจนท�าให้รถเอนลงไปได้มากกว่าปกติ แต่ถ้าใช้เวลากับ Click 125i คันนี้ซักพักก็จะรู้สึกชินและสนุกกับการเข้าโค้ง ระยะห่างจากท้องรถถึงพื้นค่อนข้างสูงท�าให้สามารถเข้าโค้งได้แบนกว่า Click ตัวเก่า โช้คหน้าหลังออกอาการส่ายบ้างเมื่อลองโหนโค้งที่ความเร็ว (อาจเป็นเพราะน�้าหนักตัวที่มากถึง 90 กก.ของผู้ขี่ก็เป็นได้) ส�าหรับการขับขี่ธรรมดานับว่าระบบโช้คของ Click 125i นุ่มได้ระดับก�าลังดี เมื่อบวกกับเบาะที่นุ่มแล้วยิ่งท�าให้ไม่อยากลุกออกจากรถคันนี้ไปไหนเลยทีเดียว ในส่วนจุดเด่นที่พูดถึงไปก่อนหน้านี้นั่นก็คือ Combi Brake ทีเด็ดของเจ้า Click 125i…ระบบจะท�างานช่วยเบรกล้อหลังทันทีที่แตะเบรกหน้าช่วยให้ระยะเบรกสั้นลงและออกแรงน้อยลงกว่าเก่า เราลองเบรกแบบไม่ทันตั้งตัวที่ความเร็วราว 80 กม/ชม. ระบบเบรกช่วยไม่ให้เกิดอาการล้อล็อคหรือล้อหน้าสไลด์ซึ่งแตกต่างจากระบบเบรกธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด ได้ใจไปเต็มๆ กับระบบ Combi Brake

Engine & Accelerationเครื่องยนต์ 124.8 ซีซี. SOHC ระบายความร้อนด้วยน�้ามาพร้อมอัตราส่วนการอัด

11.0:1 ไฮไลท์ของพาร์ทนี้อยู่ที่ระบบหัวฉีด PGM-FI อัพเกรดระบบสตาร์ทใหม่โดยไม่ต้องใช้ไดสตาร์ทกับเทคโนโลยี Alternator Start ช่วยให้สตาร์ทเงียบและเบาจนแทบไม่รู้สึกว่าสตาร์ท ตัวที่เราขี่มีระบบ Idling Stop มาให้ด้วยซึ่งไม่ได้ใช้ในการทดสอบเพราะต้องขี่วนรอบสนาม ในส่วนของอัตราเร่งนับว่าแรงต้น-กลางน่าประทับใจ แม้ยางจะใหญ่กว่ารุ่นอื่นแต่กลับออกตัวได้ดี ส่วนแรงปลายใกล้เคียงกับออโตเมติก 125 ซีซี. ในคลาสเดียวกัน การตอบสนองของคันเร่งค่อนข้างเร็วโดยเฉพาะเมื่อต้องการความเร็วขณะออกจากโค้ง นี่น่าจะท�าให้ Click 125i วิ่งฉิวในเมืองใหญ่ที่การจราจรติดขัด ไม่แปลกใจเลยว่าท�าไม Click 125i ถึงเป็นรถในใจของใครหลายๆ คน FRM ขอให้นิยามสมรรถนะของเครื่องยนต์ Click 125i คันนี้ไว้ว่า “ต้นดีขี่ง่ายสไตล์ฮอนด้า”

Final Resultยังคงเป็นที่ถูกใจนักทดสอบในส่วนของระบบความ

ปลอดภัยไม่ว่าจะเป็น Combi Brake หรือยางไซส์ใหญ่ ส่วนเสริมอย่างระบบ Idling Stop แม้จะไม่ได้ทดสอบแต่ก็รู้สึกดีที่มี “ของเล่น” ติดรถมาให้ด้วย เครื่องยนต์ของ Click 125i ตอบสนองดีในรอบต้น-กลาง แรงบิดน่าประทับที่สุดในรอบต้น แถมสตาร์ทนิ่มสุดๆ ด้วยระบบ Alternator Start ทั้งหมดท�าให้ Click 125i เป็นหนึ่งในรถออโตเมติกกึ่งสปอร์ตที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยและออพชั่นให้กับผู้ใช้ ใครชอบยางใหญ่และระบบ Combi Brake มาทางนี้ได้เลย

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201322 23

Page 24: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 11/10 11/10

Handling : 10/10 9/10

Suspension : 9/10 8/10

Engine : 10/10 9/10

Acceleration : 10/10 9/10

SYMMaxsym

400i

เปลี่ยนอารมณ์จากออโตเมติกไซส์เล็กมาเป็นรุ่นใหญ่ “บิ๊กสกู๊ตเตอร์” แบรนด์ไต้หวันอย่าง SYM Maxsym 400i กันบ้าง ค�าว่ารถไต้หวันหมายความว่า “เทคโนโลยีและความปราณีตที่แตกต่างจากรถจีน” ใช่แล้วครับ! รถไต้หวันนั้นแตกต่างจากรถจีนโดยสิ้นเชิงทั้งด้านคุณภาพและสมรรถนะ...ว่าแล้วก็มาเจาะลึกกันดีกว่า

Handling & Brakingน�้าหนักตัวก่อนขึ้นชกชั่งได้ 224 กก. ยอมรับ

ว่าหนักพอสมควรส�าหรับรถ Big Scooter แต่มาดูชิ้นส่วนต่างๆ ที่ท�าให้มันหนักขนาดนี้กันดีกว่า เริ่มจากบอดี้ขนาดใหญ่กว้าง 825 มม. ยาว 2,700 มม. สูง 1,400 มม. ระยะห่างฐานล้อ 1,570 มม. ยางหน้าขนาด 120/70 ขอบ 15 ส่วนยางหลัง 160/60 ขอบ 14 แปลกที่ไซส์ไม่เท่ากัน อาจท�าให้หายากยี่ห้ออื่นล�าบากแต่เชื่อว่าศูนย์บริการมีเตรียมไว้รอบริการแน่นอน เบาะที่นั่งขนาดใหญ่สะใจถูกแบ่งเป็น 2 ชั้นแถมมีตัว “บล็อค” หลังหรือพนักพิงทั้งคนขี่และคนซ้อนให้ นอกจากให้ความ

สบายเมื่อต้องขี่นานๆ แล้วยังช่วยเพิ่มความมั่นใจอีกด้วย พักเท้ายาวสุดเหยียดวางเท้าได้ 3 แบบคือทัวริ่ง ธรรมดา และเรซซิ่ง มีช่วงเว้าระหว่างพักเท้าส�าหรับท่ายืนพักระหว่างรถติด (ขาและเท้าจะได้ไม่เกะกะและเป็นอันตรายอีกต่อไป) แฮนด์บาร์ยกสูงเล็กน้อยพร้อมมีปุ่มควบคุมต่างๆ เพียบพร้อม เจ๋งที่มีปุ่มเปิดเบาะแถมมาด้วย เมื่อลองสังเกตแฮนด์ด้านซ้ายและขวาจะเห็นกระปุกน�้ามันเบรก...ทั้งเบรกหน้าและหลังเป็นแบบดิสก์แถมพ่วงระบบ ABS เพิ่มความมั่นใจอีกชั้น....ลองกระแทกเบรกที่ความเร็วสูงพบว่าระบบ ABS ท�างานได้ยอดเยี่ยมไม่มีอาการล้อล็อคหรือสไลด์ให้เสียวเล่น ท่านั่งขี่ให้อารมณ์แบบรถทัวริ่งสบายแต่ก็มั่นคงทั้งในโค้งและทางตรง จุดด้อยของ Maxsym เท่าที่พบก็คือ “กระจกเชยไปหน่อย” แต่มันก็ไม่มีได้มีผลกับการขับขี่ ยางหน้าหลังเกาะถนนดีและสามารถเข้าโค้งที่ความเร็วได้สบาย โช้คหน้าหลังรับน�้าหนักแรงกดได้ดีโดยเฉพาะในโค้ง แต่ดูเหมือนโช้คหลังจะต้องปรับให้เข้ากับน�้าหนักและลักษณะการขับขี่หน่อยเพราะออกอาการส่ายเล็กน้อย ส�าหรับการใช้งานปกติหรือการออกทริปนับว่า Maxsym ครอบคลุมการท่องเที่ยวทั่วไทย

Engine & Acceleratingจัดมาเต็ม 399 ซีซี. พร้อมระบบหัวฉีดแบบนี้มันต้องลองดูซักตั้ง ทางตรง

ที่ยาวที่สุดของสนามโบนันซ่า เจ้า Maxsym คันนี้สามารถค�าความเร็วก่อนหมดทางตรงได้ที่ 160 กม/ชม. (และมันน่าจะไปต่อได้มากกว่านี้อีก) เรื่องแรงบิดคงต้องบอกว่า “ระวังหงายท้อง” เพราะก�าลังแรงบิดดีมากจนโช้คหน้ายกขึ้นทันทีที่บิด (แต่ไม่ได้ยกล้อนะครับ) เสียงเครื่องยนต์ดังในแบบฉบับรถบิ๊กสกู๊ตเตอร์ซึ่งเราคิดว่าเสียงแบบนี้แหละที่เรียกร้องให้เราเปิดคันเร่งเดินเครื่องเข้าหาโค้ง แรงบิดต่อเนื่องจากต้นสู่ปลายไหลลื่นไม่มีอาการสะดุด คงเกิดจากระบบหัวฉีดที่คอยค�านวณการจ่ายเชื้อเพลิงอย่างแม่นย�า คันเร่งสอบสนองดีชนิดที่ว่า “บิดเท่าไหร่ไปเท่านั้น” แม้ขนาดตัวจะใหญ่หรือน�้าหนักตัวจะมากแค่ไหนแต่ก�าลังของเครื่องยนต์ก็เพียงพอส�าหรับการท�าความเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ อย่างเช่นจังหวะแซงหรือจังหวะออกจากโค้งที่อาจต้องท�าความเร็วส่งต่อออกไป เครื่องยนต์ก�าลังแรงสูงแต่ก็มีแรงเบรกเครื่องยนต์ (Engine Brake) ที่พึ่งพาได้ ส�าหรับช่วงลงทางลาดชันแค่ผ่อนคันเร่งก็ช่วยให้รถชะลอลงได้แล้ว สรุปแล้วสมรรถนะเครื่องยนต์ออโตเมติก 400 ซีซี. ของ Maxsym 400i คันนี้นับว่าแรงสมตัวจริงๆ

Final Resultราคาค่าตัว 2 แสนต้นเมื่อเทียบกับความแรงและความสะดวกสบายที่ได้จาก

SYM Maxsym 400i นับว่าคุ้มค่าและน่ามีไว้ครอบครองซักคันครับ ส�าหรับคนที่เบื่อการหวดรถสปอร์ตเที่ยวต่างจังหวัด เราขอแนะน�าให้ลองหันมามองรถ Big Scooter จากไต้หวันคันนี้ดูครับ ไม่ว่าจะขี่เที่ยวคนเดียวหรือซ้อนก็ชิลล์ๆ แถมขี่สบายสไตล์ออโตเมติกด้วยครับ

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201324 25

Page 25: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 11/10 11/10

Handling : 10/10 9/10

Suspension : 9/10 8/10

Engine : 10/10 9/10

Acceleration : 10/10 9/10

SYMMaxsym

400i

เปลี่ยนอารมณ์จากออโตเมติกไซส์เล็กมาเป็นรุ่นใหญ่ “บิ๊กสกู๊ตเตอร์” แบรนด์ไต้หวันอย่าง SYM Maxsym 400i กันบ้าง ค�าว่ารถไต้หวันหมายความว่า “เทคโนโลยีและความปราณีตที่แตกต่างจากรถจีน” ใช่แล้วครับ! รถไต้หวันนั้นแตกต่างจากรถจีนโดยสิ้นเชิงทั้งด้านคุณภาพและสมรรถนะ...ว่าแล้วก็มาเจาะลึกกันดีกว่า

Handling & Brakingน�้าหนักตัวก่อนขึ้นชกชั่งได้ 224 กก. ยอมรับ

ว่าหนักพอสมควรส�าหรับรถ Big Scooter แต่มาดูชิ้นส่วนต่างๆ ที่ท�าให้มันหนักขนาดนี้กันดีกว่า เริ่มจากบอดี้ขนาดใหญ่กว้าง 825 มม. ยาว 2,700 มม. สูง 1,400 มม. ระยะห่างฐานล้อ 1,570 มม. ยางหน้าขนาด 120/70 ขอบ 15 ส่วนยางหลัง 160/60 ขอบ 14 แปลกที่ไซส์ไม่เท่ากัน อาจท�าให้หายากยี่ห้ออื่นล�าบากแต่เชื่อว่าศูนย์บริการมีเตรียมไว้รอบริการแน่นอน เบาะที่นั่งขนาดใหญ่สะใจถูกแบ่งเป็น 2 ชั้นแถมมีตัว “บล็อค” หลังหรือพนักพิงทั้งคนขี่และคนซ้อนให้ นอกจากให้ความ

สบายเมื่อต้องขี่นานๆ แล้วยังช่วยเพิ่มความมั่นใจอีกด้วย พักเท้ายาวสุดเหยียดวางเท้าได้ 3 แบบคือทัวริ่ง ธรรมดา และเรซซิ่ง มีช่วงเว้าระหว่างพักเท้าส�าหรับท่ายืนพักระหว่างรถติด (ขาและเท้าจะได้ไม่เกะกะและเป็นอันตรายอีกต่อไป) แฮนด์บาร์ยกสูงเล็กน้อยพร้อมมีปุ่มควบคุมต่างๆ เพียบพร้อม เจ๋งที่มีปุ่มเปิดเบาะแถมมาด้วย เมื่อลองสังเกตแฮนด์ด้านซ้ายและขวาจะเห็นกระปุกน�้ามันเบรก...ทั้งเบรกหน้าและหลังเป็นแบบดิสก์แถมพ่วงระบบ ABS เพิ่มความมั่นใจอีกชั้น....ลองกระแทกเบรกที่ความเร็วสูงพบว่าระบบ ABS ท�างานได้ยอดเยี่ยมไม่มีอาการล้อล็อคหรือสไลด์ให้เสียวเล่น ท่านั่งขี่ให้อารมณ์แบบรถทัวริ่งสบายแต่ก็มั่นคงทั้งในโค้งและทางตรง จุดด้อยของ Maxsym เท่าที่พบก็คือ “กระจกเชยไปหน่อย” แต่มันก็ไม่มีได้มีผลกับการขับขี่ ยางหน้าหลังเกาะถนนดีและสามารถเข้าโค้งที่ความเร็วได้สบาย โช้คหน้าหลังรับน�้าหนักแรงกดได้ดีโดยเฉพาะในโค้ง แต่ดูเหมือนโช้คหลังจะต้องปรับให้เข้ากับน�้าหนักและลักษณะการขับขี่หน่อยเพราะออกอาการส่ายเล็กน้อย ส�าหรับการใช้งานปกติหรือการออกทริปนับว่า Maxsym ครอบคลุมการท่องเที่ยวทั่วไทย

Engine & Acceleratingจัดมาเต็ม 399 ซีซี. พร้อมระบบหัวฉีดแบบนี้มันต้องลองดูซักตั้ง ทางตรง

ที่ยาวที่สุดของสนามโบนันซ่า เจ้า Maxsym คันนี้สามารถค�าความเร็วก่อนหมดทางตรงได้ที่ 160 กม/ชม. (และมันน่าจะไปต่อได้มากกว่านี้อีก) เรื่องแรงบิดคงต้องบอกว่า “ระวังหงายท้อง” เพราะก�าลังแรงบิดดีมากจนโช้คหน้ายกขึ้นทันทีที่บิด (แต่ไม่ได้ยกล้อนะครับ) เสียงเครื่องยนต์ดังในแบบฉบับรถบิ๊กสกู๊ตเตอร์ซึ่งเราคิดว่าเสียงแบบนี้แหละที่เรียกร้องให้เราเปิดคันเร่งเดินเครื่องเข้าหาโค้ง แรงบิดต่อเนื่องจากต้นสู่ปลายไหลลื่นไม่มีอาการสะดุด คงเกิดจากระบบหัวฉีดที่คอยค�านวณการจ่ายเชื้อเพลิงอย่างแม่นย�า คันเร่งสอบสนองดีชนิดที่ว่า “บิดเท่าไหร่ไปเท่านั้น” แม้ขนาดตัวจะใหญ่หรือน�้าหนักตัวจะมากแค่ไหนแต่ก�าลังของเครื่องยนต์ก็เพียงพอส�าหรับการท�าความเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ อย่างเช่นจังหวะแซงหรือจังหวะออกจากโค้งที่อาจต้องท�าความเร็วส่งต่อออกไป เครื่องยนต์ก�าลังแรงสูงแต่ก็มีแรงเบรกเครื่องยนต์ (Engine Brake) ที่พึ่งพาได้ ส�าหรับช่วงลงทางลาดชันแค่ผ่อนคันเร่งก็ช่วยให้รถชะลอลงได้แล้ว สรุปแล้วสมรรถนะเครื่องยนต์ออโตเมติก 400 ซีซี. ของ Maxsym 400i คันนี้นับว่าแรงสมตัวจริงๆ

Final Resultราคาค่าตัว 2 แสนต้นเมื่อเทียบกับความแรงและความสะดวกสบายที่ได้จาก

SYM Maxsym 400i นับว่าคุ้มค่าและน่ามีไว้ครอบครองซักคันครับ ส�าหรับคนที่เบื่อการหวดรถสปอร์ตเที่ยวต่างจังหวัด เราขอแนะน�าให้ลองหันมามองรถ Big Scooter จากไต้หวันคันนี้ดูครับ ไม่ว่าจะขี่เที่ยวคนเดียวหรือซ้อนก็ชิลล์ๆ แถมขี่สบายสไตล์ออโตเมติกด้วยครับ

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201324 25

Page 26: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 10/10

Handling : 10/10 10/10

Suspension : 10/10 10/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 10/10 10/10

YamahaSpark 115

หัวฉีดใหม่

เปิดตัวกันไปสดๆ ร้อนๆ กับรถเกียร์เพื่อ “คนใช้งานจริง” ออกแบบมาพร้อมสโลแกน “แรงดี ประหยัดจริง ขั้นเทพ” พร้อมพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ เจ เจตริน งานนี้ยามาฮ่าซุ่มวิจัยและทดสอบอยู่นานจนออกมาเป็น Spark 115 หัวฉีดใหม่ พร้อมระบบหัวฉีดใหม่ YEC_FI ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นคู่แข่งรถเกียร์ที่น่าจับตามอง...จะดีจะเจ๋งสมค�าร�่าลือหรือไม่มาดูกัน!

Handling & Brakingอย่างแรกที่ต้องสังเกตก็คือ “ยาง” แม้จะบอกว่า Spark 115

หัวฉีดใหม่ เป็นรถสไตล์ “แม่บ้าน” แต่ยางที่ใส่ให้มามันออกแนว “เรซซิ่ง” ชัดๆ แก้มเตี้ยสะใจน่าจะถูกใจทั้งครอบครัว ยกตัวอย่างคุณแม่บ้านอยากได้รถแม่บ้าน แต่คุณลูกก็สามารถสนุกกับรถคันเดียวกันได้ในการขี่ที่ต่างสไตล์ เราพิสูจน์แล้วในช่วงสลาลอม ยางแก้มเตี้ยจนท�าให้รถ “เอนแบบอัตโนมัติ” เรียกว่าใช้ความพยายามน้อยมากในการคอนโทรลรถผ่านกรวยแต่ละกรวย ส�าหรับโค้งใหญ่ที่ใช้ความเร็วสูงยางของ Spark 115 หัวฉีดใหม่ เดิมๆ ที่ให้มากับรถเกาะถนนได้ดีไม่ออกอาการงอแง ที่สัมผัสได้ในนาทีที่แบนเข้าโค้งคือ “ท้องรถสูง พักเท้าสูง ไม่ครูดพื้น” ท�าให้เรารู้สึกมั่นใจกับรถคันนี้มากกว่าเดิม ช่วงแฮนด์ที่สั้นก�าลังดีไม่ยืดยาวถูกใจนักทดสอบเป็นพิเศษ ในด้านก�าลังแรงเบรกเข้าขั้นมาตรฐาน จะมีก็แค่เบรกหน้าที่ให้ก�าลังแรงเบรกดีตามแบบฉบับยามาฮ่า (ใครเคยขี่รถยามาฮ่าคงรู้ว่าเบรกหน้า “จิก” ดีมาก) ในส่วนของโช้คซึ่งเราก็ถูกใจพอสมควรเมื่อลองกดเข้าโค้งที่ความเร็วสูงดู...มันเอาอยู่และไม่ออกอาการสั่นหรือส่าย คุณผู้ใช้ตัวใหญ่สบายใจได้เลยครับเมื่ออยู่บนหลังเจ้า Spark 115 หัวฉีดใหม่ คันนี้ สรุปในส่วนของการคอนโทรลรถนับว่ายอดเยี่ยม แม้จะเป็นรถสไตล์แม่บ้านแต่กลับให้ความรู้สึกมันส์ในแบบสปอร์ตด้วยบาลานซ์ตัวรถที่ดี

Engine & Accelerationเครื่องยนต์บล็อกใหม่ล่าสุด 4 จังหวะ 115 ซีซี.

ตัวนี้ไม่ได้ใช้กระบอกสูบ DiASil แต่ก็ใช้เทคโนโลยีใหม่ในการท�ากระบอกสูบ นั่นก็คือกระบอกสูบแบบ “หนาม” ที่ส่งผลให้กระบอกสูบยึดตัวแน่นกับเสื้อสูบท�าให้ส่งก�าลังได้เต็มที่ มาพร้อมหัวฉีดรุ่นใหม่ YEC_FI หัวฉีดที่สามารถ “ตั้งรอบเดินเบา” ได้!! ที่ส�าคัญแม้ว่าแบตเตอรี่รถจะหมดก็ยังสามารถสตาร์ทเท้าใช้งานต่อได้ เป็นเรื่องแปลกส�าหรับหรับรถหัวฉีดที่ต้องการก�าลังไฟไปเลี้ยงกล่อง ECU ที่ควบคุมหลายชิ้นส่วนส�าคัญทั่วรถ พักเรื่องในห้องเรียนไว้แค่นี้แล้วมาดูสมรรถนะกันดีกว่า ก�าลังแรงบิดออกตัวที่เกียร์ 1 ค่อนข้างแรงแต่อยู่บนพื้นฐานความนุ่มนวล สับเกียร์เปลี่ยนไปมาไม่พบอาการกระตุกหรือสะดุดของเครื่องยนต์ (คลัทช์คงตั้งมาดี) บิดคันเร่งส่งต่อแรงในช่วงเกียร์ 2–3 รู้สึกต่อเนื่องและไหลลื่นสัมพันธ์กับความเร็ว เครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้ระบบหัวฉีดท�าให้เสียงการท�างานที่เงียบลื่นหูกว่าเก่า ที่เครื่องยนต์มีตัวกันเท้าโดนความร้อนจากเครื่องทั้ง 2 ฝั่งเอาใจคุณแม่บ้านที่กลัวเท้าพองเวลาขี่จ่ายตลาด ลงหวดในสนาม 3-4 รอบได้ใช้จนหมดตั้งแต่เกียร์ 1–4 ที่ใช้มากสุดคือเกียร์ 3 และ 4 ส�าหรับเตรียมตัวเข้าโค้งและเชนจ์เกียร์ออกจากโค้ง เมื่อเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะดีขนาดนี้รวมกับคอนโทรลลิ่งรถที่ดียิ่งท�าให้ขี่สนุกจนไม่อยากเปลี่ยนรถเลยทีเดียว

Final Resultหน้าตาภายนอกดู “ซิ่ง” และเพรียวลมขึ้นแต่ก็มี

ช่องส�าหรับติดตั้งตระกร้าและตะแกรงท้ายยืนยันความเป็นรถครอบครัวส�าหรับใช้งาน แต่ขุมพลังที่ซ่อนอยู่ก็พร้อมแบกน�้าหนักเดินหน้าไม่ว่าจะเป็นการขนส่งหรือการขี่จ่ายตลาดหรือจะขี่เที่ยววันหยุดก็ลงตัวทั้งนั้น ยามาฮ่าออกแบบมา “เผื่อ” ครอบคลุมการใช้งานในทุกๆ ด้านโดยเน้นที่ความทนทานและความประหยัดควบคู่กันไป รถเกียร์ทรงเพรียวสมรรถนะเยี่ยมแถมประหยัดคันนี้จะเป็นที่จับตามองของตลาดรถครอบครัวปีนี้แน่ๆ

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201326 27

Page 27: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 10/10

Handling : 10/10 10/10

Suspension : 10/10 10/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 10/10 10/10

YamahaSpark 115

หัวฉีดใหม่

เปิดตัวกันไปสดๆ ร้อนๆ กับรถเกียร์เพื่อ “คนใช้งานจริง” ออกแบบมาพร้อมสโลแกน “แรงดี ประหยัดจริง ขั้นเทพ” พร้อมพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ เจ เจตริน งานนี้ยามาฮ่าซุ่มวิจัยและทดสอบอยู่นานจนออกมาเป็น Spark 115 หัวฉีดใหม่ พร้อมระบบหัวฉีดใหม่ YEC_FI ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นคู่แข่งรถเกียร์ที่น่าจับตามอง...จะดีจะเจ๋งสมค�าร�่าลือหรือไม่มาดูกัน!

Handling & Brakingอย่างแรกที่ต้องสังเกตก็คือ “ยาง” แม้จะบอกว่า Spark 115

หัวฉีดใหม่ เป็นรถสไตล์ “แม่บ้าน” แต่ยางที่ใส่ให้มามันออกแนว “เรซซิ่ง” ชัดๆ แก้มเตี้ยสะใจน่าจะถูกใจทั้งครอบครัว ยกตัวอย่างคุณแม่บ้านอยากได้รถแม่บ้าน แต่คุณลูกก็สามารถสนุกกับรถคันเดียวกันได้ในการขี่ที่ต่างสไตล์ เราพิสูจน์แล้วในช่วงสลาลอม ยางแก้มเตี้ยจนท�าให้รถ “เอนแบบอัตโนมัติ” เรียกว่าใช้ความพยายามน้อยมากในการคอนโทรลรถผ่านกรวยแต่ละกรวย ส�าหรับโค้งใหญ่ที่ใช้ความเร็วสูงยางของ Spark 115 หัวฉีดใหม่ เดิมๆ ที่ให้มากับรถเกาะถนนได้ดีไม่ออกอาการงอแง ที่สัมผัสได้ในนาทีที่แบนเข้าโค้งคือ “ท้องรถสูง พักเท้าสูง ไม่ครูดพื้น” ท�าให้เรารู้สึกมั่นใจกับรถคันนี้มากกว่าเดิม ช่วงแฮนด์ที่สั้นก�าลังดีไม่ยืดยาวถูกใจนักทดสอบเป็นพิเศษ ในด้านก�าลังแรงเบรกเข้าขั้นมาตรฐาน จะมีก็แค่เบรกหน้าที่ให้ก�าลังแรงเบรกดีตามแบบฉบับยามาฮ่า (ใครเคยขี่รถยามาฮ่าคงรู้ว่าเบรกหน้า “จิก” ดีมาก) ในส่วนของโช้คซึ่งเราก็ถูกใจพอสมควรเมื่อลองกดเข้าโค้งที่ความเร็วสูงดู...มันเอาอยู่และไม่ออกอาการสั่นหรือส่าย คุณผู้ใช้ตัวใหญ่สบายใจได้เลยครับเมื่ออยู่บนหลังเจ้า Spark 115 หัวฉีดใหม่ คันนี้ สรุปในส่วนของการคอนโทรลรถนับว่ายอดเยี่ยม แม้จะเป็นรถสไตล์แม่บ้านแต่กลับให้ความรู้สึกมันส์ในแบบสปอร์ตด้วยบาลานซ์ตัวรถที่ดี

Engine & Accelerationเครื่องยนต์บล็อกใหม่ล่าสุด 4 จังหวะ 115 ซีซี.

ตัวนี้ไม่ได้ใช้กระบอกสูบ DiASil แต่ก็ใช้เทคโนโลยีใหม่ในการท�ากระบอกสูบ นั่นก็คือกระบอกสูบแบบ “หนาม” ที่ส่งผลให้กระบอกสูบยึดตัวแน่นกับเสื้อสูบท�าให้ส่งก�าลังได้เต็มที่ มาพร้อมหัวฉีดรุ่นใหม่ YEC_FI หัวฉีดที่สามารถ “ตั้งรอบเดินเบา” ได้!! ที่ส�าคัญแม้ว่าแบตเตอรี่รถจะหมดก็ยังสามารถสตาร์ทเท้าใช้งานต่อได้ เป็นเรื่องแปลกส�าหรับหรับรถหัวฉีดที่ต้องการก�าลังไฟไปเลี้ยงกล่อง ECU ที่ควบคุมหลายชิ้นส่วนส�าคัญทั่วรถ พักเรื่องในห้องเรียนไว้แค่นี้แล้วมาดูสมรรถนะกันดีกว่า ก�าลังแรงบิดออกตัวที่เกียร์ 1 ค่อนข้างแรงแต่อยู่บนพื้นฐานความนุ่มนวล สับเกียร์เปลี่ยนไปมาไม่พบอาการกระตุกหรือสะดุดของเครื่องยนต์ (คลัทช์คงตั้งมาดี) บิดคันเร่งส่งต่อแรงในช่วงเกียร์ 2–3 รู้สึกต่อเนื่องและไหลลื่นสัมพันธ์กับความเร็ว เครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้ระบบหัวฉีดท�าให้เสียงการท�างานที่เงียบลื่นหูกว่าเก่า ที่เครื่องยนต์มีตัวกันเท้าโดนความร้อนจากเครื่องทั้ง 2 ฝั่งเอาใจคุณแม่บ้านที่กลัวเท้าพองเวลาขี่จ่ายตลาด ลงหวดในสนาม 3-4 รอบได้ใช้จนหมดตั้งแต่เกียร์ 1–4 ที่ใช้มากสุดคือเกียร์ 3 และ 4 ส�าหรับเตรียมตัวเข้าโค้งและเชนจ์เกียร์ออกจากโค้ง เมื่อเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะดีขนาดนี้รวมกับคอนโทรลลิ่งรถที่ดียิ่งท�าให้ขี่สนุกจนไม่อยากเปลี่ยนรถเลยทีเดียว

Final Resultหน้าตาภายนอกดู “ซิ่ง” และเพรียวลมขึ้นแต่ก็มี

ช่องส�าหรับติดตั้งตระกร้าและตะแกรงท้ายยืนยันความเป็นรถครอบครัวส�าหรับใช้งาน แต่ขุมพลังที่ซ่อนอยู่ก็พร้อมแบกน�้าหนักเดินหน้าไม่ว่าจะเป็นการขนส่งหรือการขี่จ่ายตลาดหรือจะขี่เที่ยววันหยุดก็ลงตัวทั้งนั้น ยามาฮ่าออกแบบมา “เผื่อ” ครอบคลุมการใช้งานในทุกๆ ด้านโดยเน้นที่ความทนทานและความประหยัดควบคู่กันไป รถเกียร์ทรงเพรียวสมรรถนะเยี่ยมแถมประหยัดคันนี้จะเป็นที่จับตามองของตลาดรถครอบครัวปีนี้แน่ๆ

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201326 27

Page 28: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 9/10

Handling : 9/10 9/10

Suspension : 9/10 9/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 8/10 7/10

SuzukiShogunAxelo R125

อาวุธลับทีเด็ดของซูซูกิกับขุนพลจอมดาบที่มาพร้อมความเฉียบคมทั้งดีไซน์และเครื่องยนต์ จุดเด่นของ Suzuki Shogun Axel R 125 อยู่ที่ดิสก์เบรกหลังและบอดี้ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรุ่นใหญ่ของซูซูกิ มาดูกันว่า “โชกัน แอ๊คเซโล่ อาร์” ตัวนี้จะวิ่งได้โหดเหมือนหน้าตามันหรือไม่

Handling & Brakingเริ่มต้นการวิเคราะห์จากล้อแม็กลายกังหันลม 5

ก้าน (ตั้งชื่อให้เอง) สีด�าดุดันพร้อมยางขนาดใหญ่หน้ากลมดูราวกับว่ามันพร้อมจะลุยทันทีที่เราพร้อม สีที่เราได้ทดสอบเป็นสีขาว-ฟ้าเอกลักษณ์แบบฉบับซูซูกิซึ่งถ้าใครเคยเห็นรุ่นใหญ่อย่าง GSXR 1000 คงรู้ว่า Axelo ถอดอารมณ์ความสปอร์ตมาใส่ไว้รอบคัน เบาะที่นั่งของซูซูกิค่อนข้างหนึบทั้งตัววัสดุที่หุ้มและเนื้อโฟมด้านใน เรียกได้ว่านั่งสบายก�าลังดี เมื่อลองขึ้นนั่งบนหลัง Axelo แล้วลองจับแฮนด์ก็จะพบว่าได้มุมก�าลังดี แต่รู้สึกว่าพักเท้านิ่มไปนิดนึง ผู้ผลิตคงเผื่อคุณผู้หญิงแต่มันก็อาจท�าให้รู้สึกไม่มั่นใจส�าหรับคุณผู้ชายขาสาดโค้ง (รู้สึกเหมือนพักเท้ามันขยับได้ แต่ที่จริงเป็นเพราะยางพักเท้านิ่ม) แฮนด์และปลอกแฮนด์ของ Axelo จับแล้วรู้สึกนุ่มมือที่ส�าคัญมี “กันล้มปลายแฮนด์” มาให้ด้วยท�าให้คนตัวใหญ่-มือใหญ่จะรู้สึกสบายและไม่รู้สึกน้อยใจที่ตัวเองมือใหญ่อีกต่อไป...ควงเจ้า Axelo ผ่านช่วงสลาลอมไปได้ด้วยดี หน้ายางกว้าง-ใหญ่ช่วยให้ได้เปรียบและคล่องตัว ข้อสังเกตของ Axelo ที่เราพบก็คือ “ท้องรถเตี้ย” ท�าให้พักเท้าครูดกับพื้นเมื่อเข้าโค้งแรงๆ แต่ยางที่เกาะถนนและโช้คที่เซ็ตมาอย่างลงตัวก็ช่วยให้ผ่านโค้งไปได้อย่างปลอดภัย...ดูเหมือนรถคันนี้พยายามบอกกับเราว่า “อยากเอนลงไปมากกว่านี้อีกนะ คนขี่น่ะกล้ารึเปล่า?”

Engine & Accelerationเครื่องยนต์ 124 ซีซี. SOHC ระบายความร้อนด้วยอากาศ

จุดเด่นของเครื่องยนต์ Suzuki Shogun Axelo R คือกระบอกสูบ SCEM เสริมทัพความแรงด้วยระบบหัวฉีด Fi เติมเต็มเทคโนโลยีในเครื่องด้วยบาลานเซอร์ที่คอยท�าหน้าที่กระจายบานลานซ์ให้เครื่องยนต์ ช่วยให้ท�างานนิ่งเงียบไม่มีอาการสั่นให้ร�าคาญใจ อ้อลืมบอกไปว่า Suzuki มีจุดเด่นเหมือนกันทุกรุ่นก็คือ กรองน�้ามันเครื่อง ข้อดีของกรองน�้ามันเครื่องก็คือช่วยให้น�้ามันเครื่องถูกกรองเอาแต่ส่วนที่สะอาดเข้าไปหล่อเลี้ยงทั่วเครื่องยนต์ แต่มันก็มีข้อเสียคือ...คุณแม่บ้านบางคนขี้เกียจเปลี่ยนอาจท�าให้กรองตันได้เมื่อใช้เป็นเวลานาน แต่นั่นมันหน้าที่ของผู้ใช้ ส่วนของเราคือหวดเจ้า Axelo ลงสนามแบบไม่ปราณี ก�าลังแรงบิดของ Axelo ในช่วงต้น-กลางถือว่าธรรมดา ส�าหรับคนตัวใหญ่น�้าหนักเยอะอาจบ่นว่าอืด แต่เมื่อไล่เกียร์ดีๆ ไปจนถึงเกียร์ 3-4 จะพบว่ารอบเริ่มมาเครื่องเริ่มวิ่งรถเริ่มไหล ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ “ซูซูกิเน้นแรงปลาย” ท�าให้ Axelo เป็นรถครอบครัวอีกหนึ่งคันที่เหมาะจะใช้วิ่งทางไกล เกียร์ 4 เกียร์ถูกเตะสลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อหาข้อผิดพลาด ซึ่งเราก็ไม่พบอาการกระตุกหรือสะดุดแต่อย่างใด เครื่องยนต์ท�างานลื่นไหลดีอาจจะเป็นเพราะกระบอกสูบ SCEM ก็เป็นได้ (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง SCEM ได้ใน FRM ฉบับที่ 2 ครับ) น่าเสียดายที่ไม่มีตัวกันความร้อนที่เครื่อง แต่เมื่อลองสัมผัสด้วยมือดูก็พบว่าร้อนไม่มากคงเป็นเพราะการระบายอากาศที่ดี สรุปไปเลยว่าเครื่องยนต์ Suzuki Shogun Axelo ยังคงคอนเซ็ปต์เน้นที่แรงปลายครับ

Final Resultเป็นที่น่าพอใจส�าหรับรถรุ่นใหม่จากซูซูกิ หน้าตาสีสันและดีไซน์ดู

โฉบเฉี่ยวดี ที่ปรับปรุงเข้ามาจากรุ่นก่อนก็คือระบบหัวฉีดซึ่งตอนแรกรู้สึกแปลกใจกับก�าลังในรอบต้น-กลางที่ “คาดหวัง” จะจี๊ดกว่านี้ แต่สรุปรวมจากการทดสอบในสนามว่า “รอบเครื่องนุ่ม ปลายไหล ยางใหญ่สะใจ” สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น...Suzuki Shogun Axelo R คันนี้ต้องลองด้วยตัวเอง มันอาจเหมาะกับคุณ!

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201328 29

Page 29: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 9/10

Handling : 9/10 9/10

Suspension : 9/10 9/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 8/10 7/10

SuzukiShogunAxelo R125

อาวุธลับทีเด็ดของซูซูกิกับขุนพลจอมดาบที่มาพร้อมความเฉียบคมทั้งดีไซน์และเครื่องยนต์ จุดเด่นของ Suzuki Shogun Axel R 125 อยู่ที่ดิสก์เบรกหลังและบอดี้ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรุ่นใหญ่ของซูซูกิ มาดูกันว่า “โชกัน แอ๊คเซโล่ อาร์” ตัวนี้จะวิ่งได้โหดเหมือนหน้าตามันหรือไม่

Handling & Brakingเริ่มต้นการวิเคราะห์จากล้อแม็กลายกังหันลม 5

ก้าน (ตั้งชื่อให้เอง) สีด�าดุดันพร้อมยางขนาดใหญ่หน้ากลมดูราวกับว่ามันพร้อมจะลุยทันทีที่เราพร้อม สีที่เราได้ทดสอบเป็นสีขาว-ฟ้าเอกลักษณ์แบบฉบับซูซูกิซึ่งถ้าใครเคยเห็นรุ่นใหญ่อย่าง GSXR 1000 คงรู้ว่า Axelo ถอดอารมณ์ความสปอร์ตมาใส่ไว้รอบคัน เบาะที่นั่งของซูซูกิค่อนข้างหนึบทั้งตัววัสดุที่หุ้มและเนื้อโฟมด้านใน เรียกได้ว่านั่งสบายก�าลังดี เมื่อลองขึ้นนั่งบนหลัง Axelo แล้วลองจับแฮนด์ก็จะพบว่าได้มุมก�าลังดี แต่รู้สึกว่าพักเท้านิ่มไปนิดนึง ผู้ผลิตคงเผื่อคุณผู้หญิงแต่มันก็อาจท�าให้รู้สึกไม่มั่นใจส�าหรับคุณผู้ชายขาสาดโค้ง (รู้สึกเหมือนพักเท้ามันขยับได้ แต่ที่จริงเป็นเพราะยางพักเท้านิ่ม) แฮนด์และปลอกแฮนด์ของ Axelo จับแล้วรู้สึกนุ่มมือที่ส�าคัญมี “กันล้มปลายแฮนด์” มาให้ด้วยท�าให้คนตัวใหญ่-มือใหญ่จะรู้สึกสบายและไม่รู้สึกน้อยใจที่ตัวเองมือใหญ่อีกต่อไป...ควงเจ้า Axelo ผ่านช่วงสลาลอมไปได้ด้วยดี หน้ายางกว้าง-ใหญ่ช่วยให้ได้เปรียบและคล่องตัว ข้อสังเกตของ Axelo ที่เราพบก็คือ “ท้องรถเตี้ย” ท�าให้พักเท้าครูดกับพื้นเมื่อเข้าโค้งแรงๆ แต่ยางที่เกาะถนนและโช้คที่เซ็ตมาอย่างลงตัวก็ช่วยให้ผ่านโค้งไปได้อย่างปลอดภัย...ดูเหมือนรถคันนี้พยายามบอกกับเราว่า “อยากเอนลงไปมากกว่านี้อีกนะ คนขี่น่ะกล้ารึเปล่า?”

Engine & Accelerationเครื่องยนต์ 124 ซีซี. SOHC ระบายความร้อนด้วยอากาศ

จุดเด่นของเครื่องยนต์ Suzuki Shogun Axelo R คือกระบอกสูบ SCEM เสริมทัพความแรงด้วยระบบหัวฉีด Fi เติมเต็มเทคโนโลยีในเครื่องด้วยบาลานเซอร์ที่คอยท�าหน้าที่กระจายบานลานซ์ให้เครื่องยนต์ ช่วยให้ท�างานนิ่งเงียบไม่มีอาการสั่นให้ร�าคาญใจ อ้อลืมบอกไปว่า Suzuki มีจุดเด่นเหมือนกันทุกรุ่นก็คือ กรองน�้ามันเครื่อง ข้อดีของกรองน�้ามันเครื่องก็คือช่วยให้น�้ามันเครื่องถูกกรองเอาแต่ส่วนที่สะอาดเข้าไปหล่อเลี้ยงทั่วเครื่องยนต์ แต่มันก็มีข้อเสียคือ...คุณแม่บ้านบางคนขี้เกียจเปลี่ยนอาจท�าให้กรองตันได้เมื่อใช้เป็นเวลานาน แต่นั่นมันหน้าที่ของผู้ใช้ ส่วนของเราคือหวดเจ้า Axelo ลงสนามแบบไม่ปราณี ก�าลังแรงบิดของ Axelo ในช่วงต้น-กลางถือว่าธรรมดา ส�าหรับคนตัวใหญ่น�้าหนักเยอะอาจบ่นว่าอืด แต่เมื่อไล่เกียร์ดีๆ ไปจนถึงเกียร์ 3-4 จะพบว่ารอบเริ่มมาเครื่องเริ่มวิ่งรถเริ่มไหล ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ “ซูซูกิเน้นแรงปลาย” ท�าให้ Axelo เป็นรถครอบครัวอีกหนึ่งคันที่เหมาะจะใช้วิ่งทางไกล เกียร์ 4 เกียร์ถูกเตะสลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อหาข้อผิดพลาด ซึ่งเราก็ไม่พบอาการกระตุกหรือสะดุดแต่อย่างใด เครื่องยนต์ท�างานลื่นไหลดีอาจจะเป็นเพราะกระบอกสูบ SCEM ก็เป็นได้ (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง SCEM ได้ใน FRM ฉบับที่ 2 ครับ) น่าเสียดายที่ไม่มีตัวกันความร้อนที่เครื่อง แต่เมื่อลองสัมผัสด้วยมือดูก็พบว่าร้อนไม่มากคงเป็นเพราะการระบายอากาศที่ดี สรุปไปเลยว่าเครื่องยนต์ Suzuki Shogun Axelo ยังคงคอนเซ็ปต์เน้นที่แรงปลายครับ

Final Resultเป็นที่น่าพอใจส�าหรับรถรุ่นใหม่จากซูซูกิ หน้าตาสีสันและดีไซน์ดู

โฉบเฉี่ยวดี ที่ปรับปรุงเข้ามาจากรุ่นก่อนก็คือระบบหัวฉีดซึ่งตอนแรกรู้สึกแปลกใจกับก�าลังในรอบต้น-กลางที่ “คาดหวัง” จะจี๊ดกว่านี้ แต่สรุปรวมจากการทดสอบในสนามว่า “รอบเครื่องนุ่ม ปลายไหล ยางใหญ่สะใจ” สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น...Suzuki Shogun Axelo R คันนี้ต้องลองด้วยตัวเอง มันอาจเหมาะกับคุณ!

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201328 29

Page 30: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 9/10

Handling : 10/10 9/10

Suspension : 10/10 10/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 9/10 8/10

KawasakiNinja 250

หลังจากเปิดตัวไปเมื่อหลายปีก่อนพร้อมปลุกกระแสรถ Bigbike ให้บูมขึ้นเมื่อ Kawasaki ส่ง Ninja 250 ลงลุยตลาดรถ 2 ล้อและในที่สุดก็ได้รับความนิยมจนยอดสั่งจองยาวเหยียด กว่าจะได้รถต้องรอนานถึง 3 เดือนเลยทีเดียว มาปีนี้ Ninja ได้ถูกอัพเกรดใหม่ทั้งรูปโฉม ตัวเฟรมและเครื่องยนต์ ว่าแต่ว่ายกเครื่องมาใหม่จะไฉไลกว่าเก่ารึเปล่าล่ะ ?

Handling & Brakingแน่นอนว่าอัพเกรดมาใหม่ก็ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเริ่มจากมิติกันก่อน ตัว

รถยาวขึ้นจากเดิม 2,010 มม. เป็น 2,085 มม. แต่ความสูงกลับลดลงเล็กน้อยจาก 1,115 มม. เหลือ 1,110 มม. (น่าจะถูกใจคนร่างเล็ก) น�้าหนักตัวเพิ่มขึ้นจาก 169 กก. เป็น 172 กก. องศาการเลี้ยวของเรคและระยะเทรลเพิ่มขึ้นจาก 26องศา/82มม. เป็น 27 องศา/93 มม. ยางหลังขยับขึ้นจาก 130/70 เป็น 140/70 ขอบ 17 ดูจากภายนอกด้วยสายตาพบว่าถังน�้ามันโหนกขึ้นและยาวขึ้นท�าให้เบาะสไลด์ออกไปข้างหลังอีกเล็กน้อยช่วยให้ท่าการขับขี่ดูสปอร์ตขึ้น-โหดขึ้นอีกระดับ แฟริ่งรอบคันดูเฉี่ยวขึ้นมีมิติมากขึ้นกว่าเก่าสมกับเป็นรถปี 2013 เมื่อลองนั่งดูพบว่าเบาะถูกพัฒนาใหม่ให้นุ่มขึ้นและกว้างขึ้นกว่ารุ่นเก่า ไฮไลท์ทีเด็ดของ Ninja 250 ตัวใหม่อยู่ที่โคมไฟคู่หน้าที่ดูคมราวกับได้ขี่ตัวใหญ่อย่าง Ninja 636 เลยทีเดียว ปลายท่อรูปทรงใหม่ล�้าขึ้นเก๋ขึ้นกว่าเก่า เมื่อได้ลองขี่เข้าโซนสลาลอมก็พบว่าเป็นรถสปอร์ตคลาส 250 ซีซี. ที่ค่อนข้างคล่องตัว แฮนด์จับโช้คแม้จะดูเหมือนควบคุมยากแต่กลับช่วยให้เข้าโค้งง่ายขึ้นและออกแรงน้อยลง ตัวถังน�้ามันที่โหนกมากขึ้นช่วยให้มีพื้นที่ส�าหรับพักหน้าอกในจังหวะหมอบท�าความเร็ว ในขณะที่หมอบสามารถมองผ่านวินด์ชีลด์ได้ด้วย ระยะก้านเบรกและคลัทช์ลงตัวไม่ห่างหรือชิดแฮนด์เกินไป เหนี่ยวได้ทั้ง 2 นิ้วและ 4 นิ้ว พักเท้าวางต�าแหน่งลงตัวท�าให้โดยรวมการหวด Ninja 250 ลงสนามเป็นอีกหนึ่งความสนุกของการทดสอบ เจ้านินจารุ่นที่เราทดสอบมี “แผ่นปิดโหนกหลัง” พร้อมชิ้นโฟมเล็กๆ เอาไว้พักหลัง หลายคนอาจชอบแต่ส�าหรับคนตัวยาวอย่างเรากลับคิดว่ามันอึดอัด ในส่วนของยางหลังที่ใหญ่ขึ้นช่วยให้สามารถ “แบน” โค้งได้มากขึ้นได้อารมณ์เหมือนขี่รถแข่ง เบรกหน้า-หลัง ยังคงเหมือนเดิมคือเป็นดิสก์เบรกธรรมดา ไม่มีระบบ ABS มาเป็นออพชั่นให้เลือกใช้ แต่เบรกที่ติดรถมาก็มีก�าลังเพียงพออยู่แล้วครับ สรุปได้ว่าในส่วนของ Handling Ninja 250 คันนี้ออกแบบมาอย่างลงตัวสามารถขับขี่ได้คล่องแม้แต่คนที่ไม่เคยขี่รถสปอร์ตมาก่อน

Engine & Accelerationเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง 249 ซีซี. DOHC 4 จังหวะระบายความร้อนด้วยน�้า

พร้อมเกียร์ 6 สปีดและระบบหัวฉีดอัจฉริยะ ทั้งหมดนี้รวมกันออกมาเป็นก�าลังแรงบิดในสไตล์ 2 สูบทวินซึ่งจัดจ้านในรอบกลาง-ปลาย รอบต้นไม่ว่าจะถูกทอนก�าลังลงให้ขี่ง่ายหรือเป็นธรรมชาติของ Ninja 250 อยู่แล้วก็ตาม แต่ที่แน่ๆ คือเรารู้สึกว่าก�าลังเครื่องยนต์ในรอบต้นนั้น “เป็นมิตร” กับผู้ใช้และออกตัวได้ง่ายไม่ค่อยกระชาก คลัทช์นุ่มมือ...เกียร์นุ่มละมุนไม่มีอาการสับหรือโยน คันเร่งตอบสนองได้ดีจนน่าตกใจ (แรงเกิน 250 ซีซี.) จุดเด่นอีกข้อของ Ninja 250 ที่เราถูกใจก็คือ Engine Brake เครื่องยนต์ 2 สูบของนินจามีเอ็นจิ้นเบรกที่ลงตัวไม่กระชากแม้จะตบเกียร์ลงรวดเดียว 2 เกียร์ก็ตาม ความเร็วสูงสุดที่ท�าได้ (ก่อนจะหมดทางตรง) อยู่ที่ 140 กม./ชม. อาจเป็นเพราะน�้าหนักที่มากและรูปร่างสูงของนักทดสอบจึงท�าให้ไม่สามารถท�าความเร็วได้มากกว่านี้ แต่เอาเป็น Ninja 250 ไฉไลกว่าเก่าจริงๆ ใครที่มีงบไม่มากเจ้านินจา 250 คันนี้แหละตอบโจทย์การใช้งานทั้งในเมืองและขี่เที่ยวต่างจังหวัดในช่วงวันหยุด

Final Resultเหมือน Kawasaki จะได้ยินความคิดของผู้ใช้จึงปรับปรุงให้ Ninja 250 ขี่ได้

ง่ายขึ้นและคล่องตัวขึ้นแถมยังดูดุไม่ต่างจากรุ่นใหญ่จนท�าให้หลายๆ คนหลงรัก รถ 250 ซีซี. ราคาแสนกลางๆ นับว่าคุ้มค่ากับการลงทุนเพราะสามารถใช้ขี่ไปท�างานและไปเที่ยวได้ในคันเดียว

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201330 31

Page 31: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 9/10

Handling : 10/10 9/10

Suspension : 10/10 10/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 9/10 8/10

KawasakiNinja 250

หลังจากเปิดตัวไปเมื่อหลายปีก่อนพร้อมปลุกกระแสรถ Bigbike ให้บูมขึ้นเมื่อ Kawasaki ส่ง Ninja 250 ลงลุยตลาดรถ 2 ล้อและในที่สุดก็ได้รับความนิยมจนยอดสั่งจองยาวเหยียด กว่าจะได้รถต้องรอนานถึง 3 เดือนเลยทีเดียว มาปีนี้ Ninja ได้ถูกอัพเกรดใหม่ทั้งรูปโฉม ตัวเฟรมและเครื่องยนต์ ว่าแต่ว่ายกเครื่องมาใหม่จะไฉไลกว่าเก่ารึเปล่าล่ะ ?

Handling & Brakingแน่นอนว่าอัพเกรดมาใหม่ก็ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเริ่มจากมิติกันก่อน ตัว

รถยาวขึ้นจากเดิม 2,010 มม. เป็น 2,085 มม. แต่ความสูงกลับลดลงเล็กน้อยจาก 1,115 มม. เหลือ 1,110 มม. (น่าจะถูกใจคนร่างเล็ก) น�้าหนักตัวเพิ่มขึ้นจาก 169 กก. เป็น 172 กก. องศาการเลี้ยวของเรคและระยะเทรลเพิ่มขึ้นจาก 26องศา/82มม. เป็น 27 องศา/93 มม. ยางหลังขยับขึ้นจาก 130/70 เป็น 140/70 ขอบ 17 ดูจากภายนอกด้วยสายตาพบว่าถังน�้ามันโหนกขึ้นและยาวขึ้นท�าให้เบาะสไลด์ออกไปข้างหลังอีกเล็กน้อยช่วยให้ท่าการขับขี่ดูสปอร์ตขึ้น-โหดขึ้นอีกระดับ แฟริ่งรอบคันดูเฉี่ยวขึ้นมีมิติมากขึ้นกว่าเก่าสมกับเป็นรถปี 2013 เมื่อลองนั่งดูพบว่าเบาะถูกพัฒนาใหม่ให้นุ่มขึ้นและกว้างขึ้นกว่ารุ่นเก่า ไฮไลท์ทีเด็ดของ Ninja 250 ตัวใหม่อยู่ที่โคมไฟคู่หน้าที่ดูคมราวกับได้ขี่ตัวใหญ่อย่าง Ninja 636 เลยทีเดียว ปลายท่อรูปทรงใหม่ล�้าขึ้นเก๋ขึ้นกว่าเก่า เมื่อได้ลองขี่เข้าโซนสลาลอมก็พบว่าเป็นรถสปอร์ตคลาส 250 ซีซี. ที่ค่อนข้างคล่องตัว แฮนด์จับโช้คแม้จะดูเหมือนควบคุมยากแต่กลับช่วยให้เข้าโค้งง่ายขึ้นและออกแรงน้อยลง ตัวถังน�้ามันที่โหนกมากขึ้นช่วยให้มีพื้นที่ส�าหรับพักหน้าอกในจังหวะหมอบท�าความเร็ว ในขณะที่หมอบสามารถมองผ่านวินด์ชีลด์ได้ด้วย ระยะก้านเบรกและคลัทช์ลงตัวไม่ห่างหรือชิดแฮนด์เกินไป เหนี่ยวได้ทั้ง 2 นิ้วและ 4 นิ้ว พักเท้าวางต�าแหน่งลงตัวท�าให้โดยรวมการหวด Ninja 250 ลงสนามเป็นอีกหนึ่งความสนุกของการทดสอบ เจ้านินจารุ่นที่เราทดสอบมี “แผ่นปิดโหนกหลัง” พร้อมชิ้นโฟมเล็กๆ เอาไว้พักหลัง หลายคนอาจชอบแต่ส�าหรับคนตัวยาวอย่างเรากลับคิดว่ามันอึดอัด ในส่วนของยางหลังที่ใหญ่ขึ้นช่วยให้สามารถ “แบน” โค้งได้มากขึ้นได้อารมณ์เหมือนขี่รถแข่ง เบรกหน้า-หลัง ยังคงเหมือนเดิมคือเป็นดิสก์เบรกธรรมดา ไม่มีระบบ ABS มาเป็นออพชั่นให้เลือกใช้ แต่เบรกที่ติดรถมาก็มีก�าลังเพียงพออยู่แล้วครับ สรุปได้ว่าในส่วนของ Handling Ninja 250 คันนี้ออกแบบมาอย่างลงตัวสามารถขับขี่ได้คล่องแม้แต่คนที่ไม่เคยขี่รถสปอร์ตมาก่อน

Engine & Accelerationเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง 249 ซีซี. DOHC 4 จังหวะระบายความร้อนด้วยน�้า

พร้อมเกียร์ 6 สปีดและระบบหัวฉีดอัจฉริยะ ทั้งหมดนี้รวมกันออกมาเป็นก�าลังแรงบิดในสไตล์ 2 สูบทวินซึ่งจัดจ้านในรอบกลาง-ปลาย รอบต้นไม่ว่าจะถูกทอนก�าลังลงให้ขี่ง่ายหรือเป็นธรรมชาติของ Ninja 250 อยู่แล้วก็ตาม แต่ที่แน่ๆ คือเรารู้สึกว่าก�าลังเครื่องยนต์ในรอบต้นนั้น “เป็นมิตร” กับผู้ใช้และออกตัวได้ง่ายไม่ค่อยกระชาก คลัทช์นุ่มมือ...เกียร์นุ่มละมุนไม่มีอาการสับหรือโยน คันเร่งตอบสนองได้ดีจนน่าตกใจ (แรงเกิน 250 ซีซี.) จุดเด่นอีกข้อของ Ninja 250 ที่เราถูกใจก็คือ Engine Brake เครื่องยนต์ 2 สูบของนินจามีเอ็นจิ้นเบรกที่ลงตัวไม่กระชากแม้จะตบเกียร์ลงรวดเดียว 2 เกียร์ก็ตาม ความเร็วสูงสุดที่ท�าได้ (ก่อนจะหมดทางตรง) อยู่ที่ 140 กม./ชม. อาจเป็นเพราะน�้าหนักที่มากและรูปร่างสูงของนักทดสอบจึงท�าให้ไม่สามารถท�าความเร็วได้มากกว่านี้ แต่เอาเป็น Ninja 250 ไฉไลกว่าเก่าจริงๆ ใครที่มีงบไม่มากเจ้านินจา 250 คันนี้แหละตอบโจทย์การใช้งานทั้งในเมืองและขี่เที่ยวต่างจังหวัดในช่วงวันหยุด

Final Resultเหมือน Kawasaki จะได้ยินความคิดของผู้ใช้จึงปรับปรุงให้ Ninja 250 ขี่ได้

ง่ายขึ้นและคล่องตัวขึ้นแถมยังดูดุไม่ต่างจากรุ่นใหญ่จนท�าให้หลายๆ คนหลงรัก รถ 250 ซีซี. ราคาแสนกลางๆ นับว่าคุ้มค่ากับการลงทุนเพราะสามารถใช้ขี่ไปท�างานและไปเที่ยวได้ในคันเดียว

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201330 31

Page 32: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 9/10

Handling : 9/10 8/10

Suspension : 9/10 8/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 10/10 9/10

HondaCBR 250

ที่สุดของรถสูบเดียว 250 ซีซี. เจ้าแห่งความนิยมในหมู่วัยรุ่น Honda CBR 250 สปอร์ตไซส์เล็กที่ใครก็ใฝ่ฝันถึง เครื่องยนต์สูบเดียวจัดจ้านโดนใจ รูปทรงถอดแบบมาจาก VFR1200 เป๊ะๆ โดยเฉพาะไฟหน้า รูปทรงเพรียวโหนกนูนถูกใจแฟนๆ ค่ายปีกนกหลายคน มาดูสมรรถนะของมันกันดีกว่า

Handling & BrakingCBR 250 เปิดตัวมาพร้อมกับ CBR 150 ซึ่งดูภายนอก

ต่างกันไม่มากแต่ที่แน่ๆ คือ CBR 250 มีออพชั่นให้เลือกเป็นระบบเบรก ABS ซึ่งนับว่าเป็นข้อเสนอที่ดีมากกับการเพิ่มเงินอีกแค่ราวหนึ่งหมื่นบาท ความรู้สึกแรกที่ได้นั่งคร่อมบนหลัง CBR 250 ก็คือ “รถคันเล็กไปส�ำหรับคนตัวสูง” ถังน�้ามันทรงอ้วนและสั้นบวกกับเบาะที่นั่งที่สไลด์ตัวไปด้านหลังได้น้อยท�าให้รู้สึกว่าแขนและขาอยู่ใกล้กันมากเกินไป เมื่อใช้เวลากับ CBR 250 คันนี้ซักพักก็เริ่มรู้สึกคุ้นกับมัน ด้านหน้าแฮนด์จับโช้คให้ความรู้สึกไวท�าให้การขี่ซิกแซ็กเร็วกว่ารุ่นอื่น ใครที่ไม่ชินอาจรู้สึกว่าด้านหน้าของรถควบคุมยาก เบรกหน้าและหลังให้ก�าลังแรงเบรกเหมาะสมกับขนาดของรถ เบรกหน้าค่อนข้างหนึบและเพียงพอส�าหรับการขับขี่ในชีวิตประจ�าวัน ในส่วนของยางเกาะถนนได้ดีแต่รู้สึกลื่นเมื่อเปิดคันเร่งออกจากโค้ง โช้คหน้าหลังเข้าขากันดีแต่รู้สึกว่าโช้คหลังจะมีอาการยวบบ้างที่ความเร็วสูง

Engine & Accelerationเครื่องยนต์สูบเดียว 249.6 ซีซี. พร้อม

ระบบหัวฉีด PGM-FI DOHC ระบายความร้อนด้วยน�้า ขึ้นชื่อว่าสูบเดียวก็ต้องเน้นก�าลังที่รอบต้นอยู่แล้ว ทันทีที่บิดคันเร่ง CBR 250 ก็พุ่งออกด้านหน้าอย่างดุดัน ก�าคลัทช์สับเปลี่ยนเกียร์ขึ้นเป็นเกียร์ 2 เพื่อเข้าสู่โซนสลาลอมแล้วลองเล่นกับฝูงกรวยดู พบว่าการเดินคันเร่งต่อเนื่องท�าได้ดีมีอาการกระชากบ้างบางครั้งที่เผลอเปิดคันเร่งเกินลิมิต (ก็รถมันแรงน่ะนะ) จากนั้นเข้าสู่ทางตรงกับการไล่เกียร์ 6 สปีด อย่างสะใจทีละเกียร์ การเดินคันเร่งเปลี่ยนเกียร์ต่อเกียร์รู้สึกว่ารอบเครื่องยนต์เดินเร็วกกว่ารถ 2 สูบ แต่เมื่อผ่อนคันเร่งกลับรู้สึกถึงแรงดึงจาก Engine Brake ซึ่งท�าให้รู้สึก “แปลกใจ” เล็กน้อยแต่ก็สามารถเดินคันเร่งพิชิตโค้งต่อไปได้ ช่วงแฮนด์ ท่านั่ง และพักเท้าดูเหมือนจะบังคับให้เราต้องหมอบเพื่อเข้าสู่ท่าขับขี่แบบสปอร์ตซึ่งนั่นท�าให้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ ความเร็วที่ท�าได้ก่อนถึงโค้งอยู่ที่ประมาณ 140 กม./ชม. เครื่องยนต์มีเสียงดังบ้างที่รอบสูงแต่ไม่ค่อยสั่น สรุปว่า Honda CBR 250 แรงรอบต้น-กลาง ส่วนปลายไหลลื่น

Final Resultเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในคลาส 250 ซีซี. ที่

เข้ามาครองใจวัยรุ่นทั่วประเทศ รอบเครื่องยนต์จัดจ้านในช่วงต้น-กลางดูเหมือนจะเหมาะกับการใช้ขับขี่ในเมืองซึ่งต้องเน้นที่ก�าลังรอบต้นเป็นพิเศษ ส�าหรับคนที่ตัวใหญ่อาจรู้สึกไม่ค่อยสบายกับท่านั่ง ซึ่งก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการสไลด์ตัวมาด้านหลังจนชนเบาะคนซ้อน มุมองศาแฮนด์แคบและหน้ารถไวท�าให้รู้สึก “เหวอ” ได้เมื่อคนขี่ไม่ชิน แต่เมื่อท�าความรู้จักกันไปซักพักกลับรู้สึกสนุกไปรอบคันเร่งที่จัดจ้านโดนใจ

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201332 33

Page 33: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 9/10

Handling : 9/10 8/10

Suspension : 9/10 8/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 10/10 9/10

HondaCBR 250

ที่สุดของรถสูบเดียว 250 ซีซี. เจ้าแห่งความนิยมในหมู่วัยรุ่น Honda CBR 250 สปอร์ตไซส์เล็กที่ใครก็ใฝ่ฝันถึง เครื่องยนต์สูบเดียวจัดจ้านโดนใจ รูปทรงถอดแบบมาจาก VFR1200 เป๊ะๆ โดยเฉพาะไฟหน้า รูปทรงเพรียวโหนกนูนถูกใจแฟนๆ ค่ายปีกนกหลายคน มาดูสมรรถนะของมันกันดีกว่า

Handling & BrakingCBR 250 เปิดตัวมาพร้อมกับ CBR 150 ซึ่งดูภายนอก

ต่างกันไม่มากแต่ที่แน่ๆ คือ CBR 250 มีออพชั่นให้เลือกเป็นระบบเบรก ABS ซึ่งนับว่าเป็นข้อเสนอที่ดีมากกับการเพิ่มเงินอีกแค่ราวหนึ่งหมื่นบาท ความรู้สึกแรกที่ได้นั่งคร่อมบนหลัง CBR 250 ก็คือ “รถคันเล็กไปส�ำหรับคนตัวสูง” ถังน�้ามันทรงอ้วนและสั้นบวกกับเบาะที่นั่งที่สไลด์ตัวไปด้านหลังได้น้อยท�าให้รู้สึกว่าแขนและขาอยู่ใกล้กันมากเกินไป เมื่อใช้เวลากับ CBR 250 คันนี้ซักพักก็เริ่มรู้สึกคุ้นกับมัน ด้านหน้าแฮนด์จับโช้คให้ความรู้สึกไวท�าให้การขี่ซิกแซ็กเร็วกว่ารุ่นอื่น ใครที่ไม่ชินอาจรู้สึกว่าด้านหน้าของรถควบคุมยาก เบรกหน้าและหลังให้ก�าลังแรงเบรกเหมาะสมกับขนาดของรถ เบรกหน้าค่อนข้างหนึบและเพียงพอส�าหรับการขับขี่ในชีวิตประจ�าวัน ในส่วนของยางเกาะถนนได้ดีแต่รู้สึกลื่นเมื่อเปิดคันเร่งออกจากโค้ง โช้คหน้าหลังเข้าขากันดีแต่รู้สึกว่าโช้คหลังจะมีอาการยวบบ้างที่ความเร็วสูง

Engine & Accelerationเครื่องยนต์สูบเดียว 249.6 ซีซี. พร้อม

ระบบหัวฉีด PGM-FI DOHC ระบายความร้อนด้วยน�้า ขึ้นชื่อว่าสูบเดียวก็ต้องเน้นก�าลังที่รอบต้นอยู่แล้ว ทันทีที่บิดคันเร่ง CBR 250 ก็พุ่งออกด้านหน้าอย่างดุดัน ก�าคลัทช์สับเปลี่ยนเกียร์ขึ้นเป็นเกียร์ 2 เพื่อเข้าสู่โซนสลาลอมแล้วลองเล่นกับฝูงกรวยดู พบว่าการเดินคันเร่งต่อเนื่องท�าได้ดีมีอาการกระชากบ้างบางครั้งที่เผลอเปิดคันเร่งเกินลิมิต (ก็รถมันแรงน่ะนะ) จากนั้นเข้าสู่ทางตรงกับการไล่เกียร์ 6 สปีด อย่างสะใจทีละเกียร์ การเดินคันเร่งเปลี่ยนเกียร์ต่อเกียร์รู้สึกว่ารอบเครื่องยนต์เดินเร็วกกว่ารถ 2 สูบ แต่เมื่อผ่อนคันเร่งกลับรู้สึกถึงแรงดึงจาก Engine Brake ซึ่งท�าให้รู้สึก “แปลกใจ” เล็กน้อยแต่ก็สามารถเดินคันเร่งพิชิตโค้งต่อไปได้ ช่วงแฮนด์ ท่านั่ง และพักเท้าดูเหมือนจะบังคับให้เราต้องหมอบเพื่อเข้าสู่ท่าขับขี่แบบสปอร์ตซึ่งนั่นท�าให้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ ความเร็วที่ท�าได้ก่อนถึงโค้งอยู่ที่ประมาณ 140 กม./ชม. เครื่องยนต์มีเสียงดังบ้างที่รอบสูงแต่ไม่ค่อยสั่น สรุปว่า Honda CBR 250 แรงรอบต้น-กลาง ส่วนปลายไหลลื่น

Final Resultเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในคลาส 250 ซีซี. ที่

เข้ามาครองใจวัยรุ่นทั่วประเทศ รอบเครื่องยนต์จัดจ้านในช่วงต้น-กลางดูเหมือนจะเหมาะกับการใช้ขับขี่ในเมืองซึ่งต้องเน้นที่ก�าลังรอบต้นเป็นพิเศษ ส�าหรับคนที่ตัวใหญ่อาจรู้สึกไม่ค่อยสบายกับท่านั่ง ซึ่งก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการสไลด์ตัวมาด้านหลังจนชนเบาะคนซ้อน มุมองศาแฮนด์แคบและหน้ารถไวท�าให้รู้สึก “เหวอ” ได้เมื่อคนขี่ไม่ชิน แต่เมื่อท�าความรู้จักกันไปซักพักกลับรู้สึกสนุกไปรอบคันเร่งที่จัดจ้านโดนใจ

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201332 33

Page 34: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 11/10 11/10

Handling : 10/10 10/10

Suspension : 10/10 10/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 10/10 10/10

KawasakiNinja 650

การทดสอบเดินทางมาถึงรุ่นใหญ่สุดของรายการนั่นก็คือรุ่น 650 ซีซี. ที่เราเล็งไว้ว่าต้องจับหวดให้ได้ก็คือ Ninja 650 คันนี้ แม้จะใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกันแต่โครงสร้างและชิ้นส่วนภายนอกนั้นแตกต่างกันตามจุดประสงค์ที่มันถือก�าเนิดขึ้นมา ว่าแต่.... Ninja 650 เกิดมาเพื่ออะไรล่ะ?

Handling & Brakingส�าหรับเรื่องรายละเอียดเกี่ยวชิ้นส่วนต่างๆ คงไม่ต้องพูดเยอะเพราะ

ว่า Ninja 650 เป็นรถที่ถูกออกแบบทุกชิ้นส่วนมาอย่างลงตัวไม่ว่าจะเป็นแฮนด์บาร์ซึ่งเป็นแฮนด์บาร์จริงๆ ไม่ใช่แฮนด์จับโช้คเหมือนรถสปอร์ตทั่วไป นี่ท�าให้ Ninja 650 จัดอยู่ในประเภทรถกึ่งสปอร์ตกึ่งทั่วริ่ง ท่านั่ง การวางขา และการขับขี่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามเส้นทางที่เราเดินทาง เรียกว่าขี่แบบทางไกลก็ได้ท�าความเร็วก็ดี วินด์ชีลด์ขนาดใหญ่ช่วยบังลมได้ดีทั้งในสนามและบนถนน (แต่ดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์มากกว่าเวลาออกทริป) ถังน�้ามันทรงสปอร์ตสามารถวางหน้าอกและแขนได้เมื่อต้องการหมอบท�าความเร็ว เบาะที่นั่งใหญ่สะใจรองรับการนั่งเป็นเวลานาน ก้านเบรก-ก้านคลัทช์แบบปรับระดับได้ช่วยจัดการปัญหาส�าหรับคนมือใหญ่หรือเล็กเกินมาตรฐาน เจ๋งที่สุดในส่วนของการคอนโทรลรถก็คือเบรก ABS ไม่ว่าจะเจอกับสภาพถนนแบบไหนหรือต้องเบรกที่ความเร็วเท่าไหร่ เบรก ABS จะคอยช่วยป้องกันไม่ให้ล้อล็อคและสไลด์อย่างเด็ดขาด ลองเบรกที่ความเร็วแตกต่างกันระบบ ABS ก็ยังคงท�างานได้ยอดเยี่ยม โช้คหน้ามีระยะยุบตัวก�าลังดีและหนึบใช้ได้ส่วนโช้คหลังสามารถปรับสปริงได้หลายระดับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีส�าหรับคนที่ชอบออกเที่ยวโดยมีคนซ้อน ออกแบบลงตัวขับขี่คล่องตัวครอบคลุมทั้งทัวริ่งและสปอร์ต...

Engine & Accelerationเครื่องยนต์ 2 สูบ 649 ซีซี. 4 จังหวะระบายความร้อนด้วย

น�้า DOHC 8 วาล์ว เนื่องจากเป็นรถ 2 สูบจังหวะออกตัวจึงนุ่มไม่ออกอาการกระชาก ซุ่มเสียงเครื่องยนต์จากปลายท่อที่ให้เสียงโทนทุ้มนุ่มลึก รถไซส์ใหญ่แบบนี้แต่กลับมีการตอบสนองของคันเร่งที่นุ่มกว่าที่คิดไว้ ขอแค่เปิดคันเร่งช้าๆ เนียนในจังหวะออกตัว Ninja 650 ก็พร้อมต้อนรับคุณเข้าสู่เส้นทางความมันส์อย่างสุภาพ แต่ใช่ว่ามันจะไร้ซึ่งพิษภัย...สัตว์ร้ายที่ซ่อนอยู่ภายใต้เครื่องยนต์ 645 ซีซี. พร้อมพุ่งออกมาทันทีที่เรียกหา คันเร่ง รอบเครื่อง สุ้มเสียงเปลี่ยนไปจากเดิมเมื่อเดินคันเร่ง เสียงเครื่องยนต์ 2 สูบค�ารามออกมาอย่างชัดเจนเมื่อกระแทกคันเร่งเข้าหาโค้ง ก�าลัง Engine Brake ของ Ninja 650 มากพอจะปรับลดความเร็วส�าหรับการเปลี่ยนเกียร์ก่อนเข้าโค้งที่ความเร็วสูง ส�าหรับการเดินคันเร่งออกจากโค้งก็นุ่มนวลและเป็นมิตรกับคนขี่ ความเร็วสูงสุดก่อนหมดทางตรงท�าได้ที่ราวๆ 160 กม./ชม. แถมคันเร่งยังเหลืออีกพอสมควร (เท่าที่เคยทดสอบไว้...Ninja650 ท�าความเร็วได้ถึง 220 กม./ชม.) สรุปแล้ว Ninja 650 เป็นรถที่รอบเครื่องเดินนุ่มในช่วงออกตัวแต่ก็พร้อมพุ่งทยานทันทีที่เดินคันเร่ง เรียกว่า “แรงสั่งได้” ดีกว่า....

Final Resultบทสรุปของ Kawasaki Ninja 650 คงยังไม่จบแค่นี้เพราะเรามีโอกาสทดสอบแค่ 4

รอบสนามเท่านั้น แต่ด้วยเวลาสั้นๆ ที่ได้อยู่กับมันเราบอกได้เลยว่าดีไซน์ลงตัว บอดี้ยอดเยี่ยม เครื่องยนต์ทรงพลังแรงสั่งได้ ท่วงท่าการขับขี่ผ่อนคลายก็ได้จะซิ่งก็พร้อม ที่ส�าคัญมาพร้อมเบรก ABS ทุกคัน (เพื่อนๆ ชาวมาเลเซียของเราอิจฉาคนไทยที่ได้ใช้รถตระกูล 650 ที่มาพร้อม ABS)...งานนี้ต้องมีทดสอบกันอีกรอบแน่ๆ กับ Ninja 650

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201334 35

Page 35: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 11/10 11/10

Handling : 10/10 10/10

Suspension : 10/10 10/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 10/10 10/10

KawasakiNinja 650

การทดสอบเดินทางมาถึงรุ่นใหญ่สุดของรายการนั่นก็คือรุ่น 650 ซีซี. ที่เราเล็งไว้ว่าต้องจับหวดให้ได้ก็คือ Ninja 650 คันนี้ แม้จะใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกันแต่โครงสร้างและชิ้นส่วนภายนอกนั้นแตกต่างกันตามจุดประสงค์ที่มันถือก�าเนิดขึ้นมา ว่าแต่.... Ninja 650 เกิดมาเพื่ออะไรล่ะ?

Handling & Brakingส�าหรับเรื่องรายละเอียดเกี่ยวชิ้นส่วนต่างๆ คงไม่ต้องพูดเยอะเพราะ

ว่า Ninja 650 เป็นรถที่ถูกออกแบบทุกชิ้นส่วนมาอย่างลงตัวไม่ว่าจะเป็นแฮนด์บาร์ซึ่งเป็นแฮนด์บาร์จริงๆ ไม่ใช่แฮนด์จับโช้คเหมือนรถสปอร์ตทั่วไป นี่ท�าให้ Ninja 650 จัดอยู่ในประเภทรถกึ่งสปอร์ตกึ่งทั่วริ่ง ท่านั่ง การวางขา และการขับขี่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามเส้นทางที่เราเดินทาง เรียกว่าขี่แบบทางไกลก็ได้ท�าความเร็วก็ดี วินด์ชีลด์ขนาดใหญ่ช่วยบังลมได้ดีทั้งในสนามและบนถนน (แต่ดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์มากกว่าเวลาออกทริป) ถังน�้ามันทรงสปอร์ตสามารถวางหน้าอกและแขนได้เมื่อต้องการหมอบท�าความเร็ว เบาะที่นั่งใหญ่สะใจรองรับการนั่งเป็นเวลานาน ก้านเบรก-ก้านคลัทช์แบบปรับระดับได้ช่วยจัดการปัญหาส�าหรับคนมือใหญ่หรือเล็กเกินมาตรฐาน เจ๋งที่สุดในส่วนของการคอนโทรลรถก็คือเบรก ABS ไม่ว่าจะเจอกับสภาพถนนแบบไหนหรือต้องเบรกที่ความเร็วเท่าไหร่ เบรก ABS จะคอยช่วยป้องกันไม่ให้ล้อล็อคและสไลด์อย่างเด็ดขาด ลองเบรกที่ความเร็วแตกต่างกันระบบ ABS ก็ยังคงท�างานได้ยอดเยี่ยม โช้คหน้ามีระยะยุบตัวก�าลังดีและหนึบใช้ได้ส่วนโช้คหลังสามารถปรับสปริงได้หลายระดับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีส�าหรับคนที่ชอบออกเที่ยวโดยมีคนซ้อน ออกแบบลงตัวขับขี่คล่องตัวครอบคลุมทั้งทัวริ่งและสปอร์ต...

Engine & Accelerationเครื่องยนต์ 2 สูบ 649 ซีซี. 4 จังหวะระบายความร้อนด้วย

น�้า DOHC 8 วาล์ว เนื่องจากเป็นรถ 2 สูบจังหวะออกตัวจึงนุ่มไม่ออกอาการกระชาก ซุ่มเสียงเครื่องยนต์จากปลายท่อที่ให้เสียงโทนทุ้มนุ่มลึก รถไซส์ใหญ่แบบนี้แต่กลับมีการตอบสนองของคันเร่งที่นุ่มกว่าที่คิดไว้ ขอแค่เปิดคันเร่งช้าๆ เนียนในจังหวะออกตัว Ninja 650 ก็พร้อมต้อนรับคุณเข้าสู่เส้นทางความมันส์อย่างสุภาพ แต่ใช่ว่ามันจะไร้ซึ่งพิษภัย...สัตว์ร้ายที่ซ่อนอยู่ภายใต้เครื่องยนต์ 645 ซีซี. พร้อมพุ่งออกมาทันทีที่เรียกหา คันเร่ง รอบเครื่อง สุ้มเสียงเปลี่ยนไปจากเดิมเมื่อเดินคันเร่ง เสียงเครื่องยนต์ 2 สูบค�ารามออกมาอย่างชัดเจนเมื่อกระแทกคันเร่งเข้าหาโค้ง ก�าลัง Engine Brake ของ Ninja 650 มากพอจะปรับลดความเร็วส�าหรับการเปลี่ยนเกียร์ก่อนเข้าโค้งที่ความเร็วสูง ส�าหรับการเดินคันเร่งออกจากโค้งก็นุ่มนวลและเป็นมิตรกับคนขี่ ความเร็วสูงสุดก่อนหมดทางตรงท�าได้ที่ราวๆ 160 กม./ชม. แถมคันเร่งยังเหลืออีกพอสมควร (เท่าที่เคยทดสอบไว้...Ninja650 ท�าความเร็วได้ถึง 220 กม./ชม.) สรุปแล้ว Ninja 650 เป็นรถที่รอบเครื่องเดินนุ่มในช่วงออกตัวแต่ก็พร้อมพุ่งทยานทันทีที่เดินคันเร่ง เรียกว่า “แรงสั่งได้” ดีกว่า....

Final Resultบทสรุปของ Kawasaki Ninja 650 คงยังไม่จบแค่นี้เพราะเรามีโอกาสทดสอบแค่ 4

รอบสนามเท่านั้น แต่ด้วยเวลาสั้นๆ ที่ได้อยู่กับมันเราบอกได้เลยว่าดีไซน์ลงตัว บอดี้ยอดเยี่ยม เครื่องยนต์ทรงพลังแรงสั่งได้ ท่วงท่าการขับขี่ผ่อนคลายก็ได้จะซิ่งก็พร้อม ที่ส�าคัญมาพร้อมเบรก ABS ทุกคัน (เพื่อนๆ ชาวมาเลเซียของเราอิจฉาคนไทยที่ได้ใช้รถตระกูล 650 ที่มาพร้อม ABS)...งานนี้ต้องมีทดสอบกันอีกรอบแน่ๆ กับ Ninja 650

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201334 35

Page 36: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 10/10

Handling : 10/10 9/10

Suspension : 9/10 9/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 10/10 10/10

HondaCBR 500R

Handling & BrakingCBR500R เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันคนละเรื่องกับ CBR250 ช่วงตัวที่ใหญ่ขึ้น

ยาวขึ้น “ห้องโดยสาร” หรือพื้นที่นั่งกว้างมากขึ้นรองรับกันคนตัวใหญ่ ด้านหน้าเป็นไฟคู่คล้าย CBR1000RR ได้อารมณ์ใกล้เคียงตัวแข่งที่สุด ท้ายรถเพรียวแต่มองบางมุมอาจดูไม่แตกต่างจาก CBR150 หรือ CBR250 ที่ต่างกันก็คงเป็นเครื่องยนต์และยาง ยางเดิมติดรถจัดมาเต็มเหนี่ยวด้านหน้า 120/70 ชอบ 17 และหลัง 160/60 ขอบ 17 เรียกว่าพร้อมลุยทุกโค้งพร้อมลงทุกสนาม เจตนาในการผลิตของ CBR500R คงท�าออกมารองรับคนรัก Honda Bigbike ที่อยากได้รถใช้ขี่ไปท�างานในวันธรรมดาและสามารถลงหวดในสนามกับเพื่อนในช่วงวันหยุดได้ เราว่า Honda เริ่มมาถูกทางแล้วกับรูปร่างหน้าตาและชิ้นส่วนเพื่อความปลอดภัยทั้งหลาย แน่นอนว่ารถใหญ่ขนาดนี้ต้องมาพร้อมเบรก ABS ซึ่งน่าเสียดายที่ด้านหน้าไม่ใช่ดิสก์เบรกคู่ เมื่อลองนั่งคร่อมรถและลองขยับปรับท่าทางดูก็พบว่าสามารถขยับตัวไปมาได้ง่าย พักเท้าค่อนข้างนิ่มท�าให้รู้สึกไม่มั่นคงแต่เมื่อหาต�าแหน่งวางเท้าได้ก็มั่นใจอีกครั้ง แฮนด์จับโช้คค่อนข้างมีมุมการการจับที่แคบแต่ก็ได้อารมณ์แบบรถสปอร์ต ส�าหรับการคอนโทรลรถนับว่าอยู่ในระดับมาตรฐานไม่หวือหวาแต่ก็ไม่น่ากลัวส�าหรับมือใหม่ เสียดายที่ก้านเบรกและคลัทช์ไม่สามารถปรับระดับได้ แต่ก็มีของแต่งออกมารอให้เป็นเจ้าของอยู่ ในด้านของก�าลังแรงเบรก ABS ช่วยกระจายแรงเบรกได้ดีและไม่มีอาการล็อคของล้อให้เห็น สรุปโดยรวมถ้าให้คะแนนเต็ม 10 การควบคุมรถได้ไป 8 ครับ

Engine and Accelerationเครื่องยนต์ 471 ซีซี. 2 สูบทวิน DOHC ระบายความร้อนด้วยน�้า นาทีแรกที่ได้ลอง

สตาร์ทเครื่องยนต์พบว่าเสียงนิ่มเงียบ โดยเฉพาะเสียงจากปลายท่อที่เงียบจบแทบไม่ได้ยินเสียงจนกระทั่งบิดคันเร่ง จังหวะออกตัวอยู่ในระดับมาตรฐานไม่ดีดเกินไป เครื่องยนต์เดินเรียบกว่า CBR250 ที่เป็นรถสูบเดียว อัตราเร่งของ CBR500 ครอบคลุมรอบต้น-กลางและปลาย เกียร์ 6 เกียร์ส่งก�าลัง สู่ปลายทางสุดท้ายแห่งความแรงได้เป็นอย่างดี เกียร์ 6 สปีดสามารถเตะขึ้นหรือตบลงได้อย่างอิสระไม่มีอาการติดขัด เกียร์แต่ละเกียร์ลงล็อคเป็นอย่างดี เครื่องยนต์ไร้อาการสั่นที่รอบสูงแถมยังคงเงียบตลอดการทดสอบ แม้พิกัดเครื่องยนต์จะอยู่ที่ 471 ซีซี. แต่แรงบิดที่ได้ค่อนข้างน่าพอใจและช่วยให้ขี่สนุกแม้ว่าสนามจะกว้างและขี่ยากก็ตาม คงต้องให้เวลากับเจ้า CBR500R มากกว่าจ�านวนรอบ 4 รอบในสนามเราถึงจะบอกอย่างละเอียดได้ว่าจุดไหนเด่นจุดไหนด้อย...แต่ส�าหรับการทดสอบวันนี้ถือว่าน่าพอใจมากครับ รถใหม่เทคโนโลยีใหม่แถมราคาเบาๆ จับต้องได้แบบนี้น่าจะถูกใจวัยรุ่นหลายคนครับ

Final Resultน้องใหม่มาแรง CBR500R เป็นรถ 2 สูบรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคา

หน้าตาและสมรรถนะที่ตอบโจทย์หลายๆ ด้านของผู้ใช้ นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของรถ Bigbike ที่จะออกมาโลดกันบนถนนและจ�าเป็นจุดเริ่มต้นการออกเดินทางของใครหลายๆ คน

น้องใหม่ล่าสุดของวงการ Bigbike กับ Honda CBR500R ถอดแบบความแรงรับถ่ายทอดความแกร่งจากตัวแข่งระดับโลก เพียงแค่ถูกย่อลงมาจาก 4 สูบเป็น 2 สูบเพื่อให้เข้ากับความต้องการตลาด หลังจากที่มีกระแสเรียกร้องจากแฟนๆฮอนด้ามานานถึงตัว 500 ซีซี. ที่ว่านี้...ในที่สุดก็ถึงเวลาทดสอบสมรรถนะซะที

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201336 37

Page 37: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Normal Use Hardcore Use

Braking : 10/10 10/10

Handling : 10/10 9/10

Suspension : 9/10 9/10

Engine : 10/10 10/10

Acceleration : 10/10 10/10

HondaCBR 500R

Handling & BrakingCBR500R เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันคนละเรื่องกับ CBR250 ช่วงตัวที่ใหญ่ขึ้น

ยาวขึ้น “ห้องโดยสาร” หรือพื้นที่นั่งกว้างมากขึ้นรองรับกันคนตัวใหญ่ ด้านหน้าเป็นไฟคู่คล้าย CBR1000RR ได้อารมณ์ใกล้เคียงตัวแข่งที่สุด ท้ายรถเพรียวแต่มองบางมุมอาจดูไม่แตกต่างจาก CBR150 หรือ CBR250 ที่ต่างกันก็คงเป็นเครื่องยนต์และยาง ยางเดิมติดรถจัดมาเต็มเหนี่ยวด้านหน้า 120/70 ชอบ 17 และหลัง 160/60 ขอบ 17 เรียกว่าพร้อมลุยทุกโค้งพร้อมลงทุกสนาม เจตนาในการผลิตของ CBR500R คงท�าออกมารองรับคนรัก Honda Bigbike ที่อยากได้รถใช้ขี่ไปท�างานในวันธรรมดาและสามารถลงหวดในสนามกับเพื่อนในช่วงวันหยุดได้ เราว่า Honda เริ่มมาถูกทางแล้วกับรูปร่างหน้าตาและชิ้นส่วนเพื่อความปลอดภัยทั้งหลาย แน่นอนว่ารถใหญ่ขนาดนี้ต้องมาพร้อมเบรก ABS ซึ่งน่าเสียดายที่ด้านหน้าไม่ใช่ดิสก์เบรกคู่ เมื่อลองนั่งคร่อมรถและลองขยับปรับท่าทางดูก็พบว่าสามารถขยับตัวไปมาได้ง่าย พักเท้าค่อนข้างนิ่มท�าให้รู้สึกไม่มั่นคงแต่เมื่อหาต�าแหน่งวางเท้าได้ก็มั่นใจอีกครั้ง แฮนด์จับโช้คค่อนข้างมีมุมการการจับที่แคบแต่ก็ได้อารมณ์แบบรถสปอร์ต ส�าหรับการคอนโทรลรถนับว่าอยู่ในระดับมาตรฐานไม่หวือหวาแต่ก็ไม่น่ากลัวส�าหรับมือใหม่ เสียดายที่ก้านเบรกและคลัทช์ไม่สามารถปรับระดับได้ แต่ก็มีของแต่งออกมารอให้เป็นเจ้าของอยู่ ในด้านของก�าลังแรงเบรก ABS ช่วยกระจายแรงเบรกได้ดีและไม่มีอาการล็อคของล้อให้เห็น สรุปโดยรวมถ้าให้คะแนนเต็ม 10 การควบคุมรถได้ไป 8 ครับ

Engine and Accelerationเครื่องยนต์ 471 ซีซี. 2 สูบทวิน DOHC ระบายความร้อนด้วยน�้า นาทีแรกที่ได้ลอง

สตาร์ทเครื่องยนต์พบว่าเสียงนิ่มเงียบ โดยเฉพาะเสียงจากปลายท่อที่เงียบจบแทบไม่ได้ยินเสียงจนกระทั่งบิดคันเร่ง จังหวะออกตัวอยู่ในระดับมาตรฐานไม่ดีดเกินไป เครื่องยนต์เดินเรียบกว่า CBR250 ที่เป็นรถสูบเดียว อัตราเร่งของ CBR500 ครอบคลุมรอบต้น-กลางและปลาย เกียร์ 6 เกียร์ส่งก�าลัง สู่ปลายทางสุดท้ายแห่งความแรงได้เป็นอย่างดี เกียร์ 6 สปีดสามารถเตะขึ้นหรือตบลงได้อย่างอิสระไม่มีอาการติดขัด เกียร์แต่ละเกียร์ลงล็อคเป็นอย่างดี เครื่องยนต์ไร้อาการสั่นที่รอบสูงแถมยังคงเงียบตลอดการทดสอบ แม้พิกัดเครื่องยนต์จะอยู่ที่ 471 ซีซี. แต่แรงบิดที่ได้ค่อนข้างน่าพอใจและช่วยให้ขี่สนุกแม้ว่าสนามจะกว้างและขี่ยากก็ตาม คงต้องให้เวลากับเจ้า CBR500R มากกว่าจ�านวนรอบ 4 รอบในสนามเราถึงจะบอกอย่างละเอียดได้ว่าจุดไหนเด่นจุดไหนด้อย...แต่ส�าหรับการทดสอบวันนี้ถือว่าน่าพอใจมากครับ รถใหม่เทคโนโลยีใหม่แถมราคาเบาๆ จับต้องได้แบบนี้น่าจะถูกใจวัยรุ่นหลายคนครับ

Final Resultน้องใหม่มาแรง CBR500R เป็นรถ 2 สูบรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคา

หน้าตาและสมรรถนะที่ตอบโจทย์หลายๆ ด้านของผู้ใช้ นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของรถ Bigbike ที่จะออกมาโลดกันบนถนนและจ�าเป็นจุดเริ่มต้นการออกเดินทางของใครหลายๆ คน

น้องใหม่ล่าสุดของวงการ Bigbike กับ Honda CBR500R ถอดแบบความแรงรับถ่ายทอดความแกร่งจากตัวแข่งระดับโลก เพียงแค่ถูกย่อลงมาจาก 4 สูบเป็น 2 สูบเพื่อให้เข้ากับความต้องการตลาด หลังจากที่มีกระแสเรียกร้องจากแฟนๆฮอนด้ามานานถึงตัว 500 ซีซี. ที่ว่านี้...ในที่สุดก็ถึงเวลาทดสอบสมรรถนะซะที

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201336 37

Page 38: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Suzuki Let’s โดนๆ มันส์ๆ...ไปลองขี่กันดีกว่า

Let’s Concept : Sporty Scooterด้วยแนวคิดการออกแบบ “ซูซูกิ เล็ทส์” เพื่อให้เป็นที่สุดแห่งรถ

จักรยานยนต์สปอร์ตออโตเมติกที่มีความโดดเด่น ในด้านการดีไซน์ รูปลักษณ์ที่สวยงาม มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยทีมวิศวกร มีความมุ่งมั่นในการคิดค้น ออกแบบพร้อมผสมผสานจิตวิญญาณทั้งหมดที่มีลงไปในการพัฒนา “ซูซูกิ เล็ทส์” เพื่อให้เป็นรถจักรยานยนต์ออโตเมติกที่มีรูปทรงสปอร์ตยอดนิยมได้อย่างลงตัว ตลอดจนยังคงความเป็น อีโค่ มอเตอร์ไซค์ ตามแบบฉบับ มอเตอร์ไซค์อีโค่ ต้อง ซูซูกิ

“ซูซูกิ เล็ทส์” จึงได้ถูกคิดค้น พัฒนาและดีไซน์ทุกสัดส่วนให้มีความสนุกสนานในทุกการขับขี่ ด้วยการน�าองค์ประกอบที่ส�าคัญต่างๆ ตลอดจนทุกความต้องการของผู้บริโภคมารวมเข้าไว้เป็นหนึ่งเดียว จนพัฒนากลายเป็นสุดยอดรถจักรยานยนต์ที่ผสมผสานกับ “เทคโนโลยี” อย่าง “LEaP” (ลีพ) เทคโนโลยี พร้อมหัวฉีดอัจฉริยะ Fi ให้ก�าลังและแรงบิดเป็นเยี่ยม เปี่ยมประสิทธิภาพ มีอัตราการประหยัดน�้ามันเชื้อเพลิงสูงสุด น�้าหนักเบา ขนาดกะทัดรัด และที่ส�าคัญขับขี่ง่าย เหมาะกับสรีระของคนไทยทุกคน ซูกิ...เดินหน้าตอกย�้ากระแส อีโค่ เทรนด์ ครั้งใหม่ประเดิมปี 2013 ด้วย

การเปิดตัว “Suzuki Let’s” รถจักรยานยนต์ออโตเมติกรุ่นใหม่ล่าสุด ที่พร้อมจะให้คุณสนุกไปกับวิถีชีวิตในแบบ “อีโค่” ที่สุดแห่งนวัตกรรมเพื่อโลกยิ้มได้อีกครั้ง กับการตอกย�้า “แนวคิดรักษ์โลก” ให้คนที่รักความประหยัดและรักษ์โลกทุกคน ร่วมอัพเทรนด์ไปกับ “ปฏิบัติการ Suzuki Let’s Goes Green” เส้นทางสีเขียว เส้นทางที่ซูซูกิและชาวสองล้อ ร่วมสร้างเทรนด์ใหม่ๆ ในการขับขี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างที่ไม่เคยมีมอเตอร์ไซค์คันไหนค่ายไหนตระหนักถึงมากเช่นนี้ และมุ่งให้ความส�าคัญกับ “โลกใบนี้” มากเท่าเรา

ซู

ส�าหรับงานแถลงข่าวเปิดตัวรถจักรยานยนต์ “ซูซูกิ เล็ทส์” นี้ ได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สุดอลังการ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2556 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี โดยได้รับเกียรติจากผู้แทนจ�าหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิทั่วประเทศและสื่อมวลชนจ�านวนมากเข้าร่วมงานเปิดตัว อีโค่ มอเตอร์ไซค์ รุ่นนี้อย่างคับคั่ง โดยภายในบริเวณงาน ซูซูกิ ได้จัดดิสเพลย์ หลากหลายมุมภายใต้คอนเซ็ปต์ “Let’s Rock” ที่พร้อมจะพาผู้เข้าร่วมงานเปิดตัวครั้งนี้สนุกและมันส์ไปกับดนตรีร็อค โดยมีสาวสวยมาดเข้มและพระเอกในงานอย่าง “ซูซูกิ เล็ทส์” ที่มาในมาดสุดเท่ เร้าใจ อวดโฉบกันอย่างมากมาย นอกจาก “ซูซูกิ เล็ทส์” แล้ว ทางซูซูกิ ยังได้เผยโฉม อีโค่ มอเตอร์ไซค์ รุ่นพี่อย่าง “ซูซูกิ เน็กซ์” ซึ่งมาพร้อมกับลุคใหม่ พัฒนาสีสันไปอีกขั้น อัพสไตล์เหนือกว่าอีกระดับ ในงานนี้อีกด้วย ปิดท้ายด้วยงานเลี้ยงที่ทาง ซูซูกิ ได้น�าดารานักแสดง อาทิ เกรท วรินทร, มารี เบิร์นเนอร์, มิ้น ชาลิตา, ซี ฉัตรปวีณ์, ณัฐ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, จิ๊บ วสุ และ หรั่ง ร็อคเคสตร้า มาสร้างความบันเทิงให้กับแขกที่มาร่วมงานได้เพลิดเพลินกันอย่างเต็มที่ในบรรยากาศแบบ “Let’s Rock”

New Launch…

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201338 39

Page 39: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Suzuki Let’s โดนๆ มันส์ๆ...ไปลองขี่กันดีกว่า

Let’s Concept : Sporty Scooterด้วยแนวคิดการออกแบบ “ซูซูกิ เล็ทส์” เพื่อให้เป็นที่สุดแห่งรถ

จักรยานยนต์สปอร์ตออโตเมติกที่มีความโดดเด่น ในด้านการดีไซน์ รูปลักษณ์ที่สวยงาม มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยทีมวิศวกร มีความมุ่งมั่นในการคิดค้น ออกแบบพร้อมผสมผสานจิตวิญญาณทั้งหมดที่มีลงไปในการพัฒนา “ซูซูกิ เล็ทส์” เพื่อให้เป็นรถจักรยานยนต์ออโตเมติกที่มีรูปทรงสปอร์ตยอดนิยมได้อย่างลงตัว ตลอดจนยังคงความเป็น อีโค่ มอเตอร์ไซค์ ตามแบบฉบับ มอเตอร์ไซค์อีโค่ ต้อง ซูซูกิ

“ซูซูกิ เล็ทส์” จึงได้ถูกคิดค้น พัฒนาและดีไซน์ทุกสัดส่วนให้มีความสนุกสนานในทุกการขับขี่ ด้วยการน�าองค์ประกอบที่ส�าคัญต่างๆ ตลอดจนทุกความต้องการของผู้บริโภคมารวมเข้าไว้เป็นหนึ่งเดียว จนพัฒนากลายเป็นสุดยอดรถจักรยานยนต์ที่ผสมผสานกับ “เทคโนโลยี” อย่าง “LEaP” (ลีพ) เทคโนโลยี พร้อมหัวฉีดอัจฉริยะ Fi ให้ก�าลังและแรงบิดเป็นเยี่ยม เปี่ยมประสิทธิภาพ มีอัตราการประหยัดน�้ามันเชื้อเพลิงสูงสุด น�้าหนักเบา ขนาดกะทัดรัด และที่ส�าคัญขับขี่ง่าย เหมาะกับสรีระของคนไทยทุกคน ซูกิ...เดินหน้าตอกย�้ากระแส อีโค่ เทรนด์ ครั้งใหม่ประเดิมปี 2013 ด้วย

การเปิดตัว “Suzuki Let’s” รถจักรยานยนต์ออโตเมติกรุ่นใหม่ล่าสุด ที่พร้อมจะให้คุณสนุกไปกับวิถีชีวิตในแบบ “อีโค่” ที่สุดแห่งนวัตกรรมเพื่อโลกยิ้มได้อีกครั้ง กับการตอกย�้า “แนวคิดรักษ์โลก” ให้คนที่รักความประหยัดและรักษ์โลกทุกคน ร่วมอัพเทรนด์ไปกับ “ปฏิบัติการ Suzuki Let’s Goes Green” เส้นทางสีเขียว เส้นทางที่ซูซูกิและชาวสองล้อ ร่วมสร้างเทรนด์ใหม่ๆ ในการขับขี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างที่ไม่เคยมีมอเตอร์ไซค์คันไหนค่ายไหนตระหนักถึงมากเช่นนี้ และมุ่งให้ความส�าคัญกับ “โลกใบนี้” มากเท่าเรา

ซู

ส�าหรับงานแถลงข่าวเปิดตัวรถจักรยานยนต์ “ซูซูกิ เล็ทส์” นี้ ได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สุดอลังการ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2556 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี โดยได้รับเกียรติจากผู้แทนจ�าหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิทั่วประเทศและสื่อมวลชนจ�านวนมากเข้าร่วมงานเปิดตัว อีโค่ มอเตอร์ไซค์ รุ่นนี้อย่างคับคั่ง โดยภายในบริเวณงาน ซูซูกิ ได้จัดดิสเพลย์ หลากหลายมุมภายใต้คอนเซ็ปต์ “Let’s Rock” ที่พร้อมจะพาผู้เข้าร่วมงานเปิดตัวครั้งนี้สนุกและมันส์ไปกับดนตรีร็อค โดยมีสาวสวยมาดเข้มและพระเอกในงานอย่าง “ซูซูกิ เล็ทส์” ที่มาในมาดสุดเท่ เร้าใจ อวดโฉบกันอย่างมากมาย นอกจาก “ซูซูกิ เล็ทส์” แล้ว ทางซูซูกิ ยังได้เผยโฉม อีโค่ มอเตอร์ไซค์ รุ่นพี่อย่าง “ซูซูกิ เน็กซ์” ซึ่งมาพร้อมกับลุคใหม่ พัฒนาสีสันไปอีกขั้น อัพสไตล์เหนือกว่าอีกระดับ ในงานนี้อีกด้วย ปิดท้ายด้วยงานเลี้ยงที่ทาง ซูซูกิ ได้น�าดารานักแสดง อาทิ เกรท วรินทร, มารี เบิร์นเนอร์, มิ้น ชาลิตา, ซี ฉัตรปวีณ์, ณัฐ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, จิ๊บ วสุ และ หรั่ง ร็อคเคสตร้า มาสร้างความบันเทิงให้กับแขกที่มาร่วมงานได้เพลิดเพลินกันอย่างเต็มที่ในบรรยากาศแบบ “Let’s Rock”

New Launch…

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201338 39

Page 40: FRM issue 4 (Febuary 2013)

ฝาครอบท่อไอเสีย

ออกแบบดีไซน์ให้เข้ากับตัวรถได้ลงตัวและสวยงาม ช่วยป้องกันผู้โดยสารจากความร้อนท่อไอเสียอีกด้วย นั่งซ้อนทีไร หายห่วงจากความร้อน

Let’s Rock SeriesLet’s สสีนัความมันส์ แสบ แซ่บ ครัง้ใหม่ทีใ่ห้คุณจีด๊กว่า...มันส์กว่า!!

หากคุณชอบอะไรที่แตกต่างกว่า นี่แหละทางเลือกใหม่ ที่ใช่กว่าส�าหรับคุณ เพราะครั้งนี้ ซูซูกิ พร้อมน�าเสนอความมันส์ครั้งใหม่ที่เฉี่ยวกว่า เปรี้ยวกว่า กับทางเลือกใหม่ที่ตรงใจกว่า ด้วยสีสันพันธุ์ร็อค ที่คุณจะต้องประทับใจ “ซูซูกิ เล็ทส์” ความเท่ ความมันส์ ที่สวยสะท้านใจ จนคุณอยากชวนก๊วนซ่าสส์ ออกไปซี๊ดซ๊าดด้วยกัน

“ซูซูกิ เล็ทส์” สายพันธุ์ความแรง ที่ออกตัวพร้อมกันเป็นแก็งค์ ให้คุณแรงงงง มันส์ ได้สะใจยิ่งกว่า กับ 5 สีสันที่บิดมันส์สนั่นเมือง ไม่ว่าจะเฉดสีไหน ก็ร้อนแรง พร้อมโจนทะยานในแบบที่คุณต้องว้าววววส…..นี่แหละมอเตอร์ไซค์ในฝันที่ตั้งตารอคอย

Let’s Show Timeเวลามันส์ เวลา Let’sถ้าคุณพร้อม ก็ได้เวลาโลดแล่นไปกับ Let’s Rock

ส�าหรับคนที่กล้าฉีก มั่นใจสุดๆ ก็สนุกมันส์ในแบบ สีชมพู-ด�า (GUS) ซ่าสสสเปรี้ยวนี่เลย สีน�้าเงิน-ขาว (HWA) ซ่าสสสมันส์ไม่หวั่นใครโลดแล่นไปกับ สีเขียว-ขาว (JSJ) และจัดมาเป็นพิเศษส�าหรับคนเข้มเต็มสูบ ให้แซ่บบกว่า ฮิปกว่ามันส์กว่ากับสองคู่แรง สีแดง-ด�า (JTU) และ สีแดง-เทา (AJQ) ในราคาเปิดตัวที่ไม่แรงเกินคุณจับจอง แค่เพียง 41,900 บาท ซื้อวันนี้!! รับหมวกกันน็อค ซูซูกิ เล็ทส์ พิเศษเฉพาะ 5,000 คันแรกเท่านั้น ตั้งแต่ 1 ก.พ. - 31 มี.ค. 2556 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด ซูซูกิ เล็ทส์ พร้อมจัดเต็ม พบความมันส์ พบ Let’s ที่โชว์รูมซูซูกิ วันนี้!!

LEaP Technology : (Light Efficient and Powerful)

Light : เครื่องยนต์ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีขนาดกะทัดรัดและน�้าหนักเบา เพื่อลดการรสูญเสียพลังงานเชิงกลและลดแรงเสียดทานแต่ยังคงความแข็งแรง ทนทานตลอดการใช้งาน

Efficient : ดีไซน์ระบบส่งก�าลังขับเคลื่อนอัตโนมัติ CVT (Continuously Variable Trans-mission) ใหม่ พร้อมติดตั้งต�าแหน่งหัวฉีดใหม่ให้ใกล้ห้องเผาไหม้มากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการท�างานเครื่องยนต์ และประหยัดเชื้อเพลิงได้ดีเยี่ยม

and Powerful : เครื่องยนต์ขนาด 112.7 ซีซี ที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้ก�าลังและแรงบิดที่ดีเยี่ยมตอบสนองทุกอัตราเร่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วย LEaP Technology (ลีพ เทคโนโลยี) พร้อมหัวฉีด Fi ใหม่ ช่วยประหยัดน�้ามันเชื้อเพลิงถึง 56 กม./ลิตร*

*ผ่านมาตรฐานการทดสอบ ECE-40MODE โดยวิศวกร ซูซูกิ

“ซซูกู ิเลท็ส์” มาตรฐานใหม่ของรถจกัรยานยนต์ออโตเมตกิLet’s ECO Design ใหม่กว่า ล�า้หน้ากว่า ด้วยการออกแบบและดไีซน์

“ซูซูกิ เล็ทส์” ที่สุดแห่งมอเตอร์ไซค์ อีโค่ คันนี้ ได้รับการออกแบบให้มีน�้าหนักเบา ขนาดกะทัดรัด เพื่อการขับขี่ที่คล่องตัว ควบคุมรถได้ง่าย ที่ส�าคัญ “ซูซูกิ เล็ทส์” ออกแบบมาเพื่อสรีระของคนไทยทุกคน พร้อมชุดฝาครอบตัวถัง น�้าหนักเบาแต่ทว่าแข็งแรง ทนทาน พร้อมจะพาคุณโฉบเฉี่ยวในทุกเส้นทางของความเร้าใจ การันตีทุกความ “ฮิป” อินเทรนด์ !!

New Launch…

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201340 41

Page 41: FRM issue 4 (Febuary 2013)

ฝาครอบท่อไอเสยี

ออกแบบดีไซน์ให้เข้ากับตัวรถได้ลงตัวและสวยงาม ช่วยป้องกันผู้โดยสารจากความร้อนท่อไอเสียอีกด้วย นั่งซ้อนทีไร หายห่วงจากความร้อน

Let’s Rock SeriesLet’s สสีนัความมนัส์ แสบ แซ่บ ครัง้ใหม่ทีใ่ห้คณุจีด๊กว่า...มนัส์กว่า!!

หากคุณชอบอะไรที่แตกต่างกว่า นี่แหละทางเลือกใหม่ ที่ใช่กว่าส�าหรับคุณ เพราะครั้งนี้ ซูซูกิ พร้อมน�าเสนอความมันส์ครั้งใหม่ที่เฉี่ยวกว่า เปรี้ยวกว่า กับทางเลือกใหม่ที่ตรงใจกว่า ด้วยสีสันพันธุ์ร็อค ที่คุณจะต้องประทับใจ “ซูซูกิ เล็ทส์” ความเท่ ความมันส์ ที่สวยสะท้านใจ จนคุณอยากชวนก๊วนซ่าสส์ ออกไปซี๊ดซ๊าดด้วยกัน

“ซูซูกิ เล็ทส์” สายพันธุ์ความแรง ที่ออกตัวพร้อมกันเป็นแก็งค์ ให้คุณแรงงงง มันส์ ได้สะใจยิ่งกว่า กับ 5 สีสันที่บิดมันส์สนั่นเมือง ไม่ว่าจะเฉดสีไหน ก็ร้อนแรง พร้อมโจนทะยานในแบบที่คุณต้องว้าววววส…..นี่แหละมอเตอร์ไซค์ในฝันที่ตั้งตารอคอย

Let’s Show Timeเวลามนัส์ เวลา Let’sถ้าคุณพร้อม ก็ได้เวลาโลดแล่นไปกับ Let’s Rock

ส�าหรับคนที่กล้าฉีก มั่นใจสุดๆ ก็สนุกมันส์ในแบบ สีชมพู-ด�า (GUS) ซ่าสสสเปรี้ยวนี่เลย สีน�้าเงิน-ขาว (HWA) ซ่าสสสมันส์ไม่หวั่นใครโลดแล่นไปกับ สีเขียว-ขาว (JSJ) และจัดมาเป็นพิเศษส�าหรับคนเข้มเต็มสูบ ให้แซ่บบกว่า ฮิปกว่ามันส์กว่ากับสองคู่แรง สีแดง-ด�า (JTU) และ สีแดง-เทา (AJQ) ในราคาเปิดตัวที่ไม่แรงเกินคุณจับจอง แค่เพียง 41,900 บาท ซื้อวันนี้!! รับหมวกกันน็อค ซูซูกิ เล็ทส์ พิเศษเฉพาะ 5,000 คันแรกเท่านั้น ตั้งแต่ 1 ก.พ. - 31 มี.ค. 2556 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด ซูซูกิ เล็ทส์ พร้อมจัดเต็ม พบความมันส์ พบ Let’s ที่โชว์รูมซูซูกิ วันนี้!!

LEaP Technology : (Light Efficient and Powerful)

Light : เครื่องยนต์ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีขนาดกะทัดรัดและน�้าหนักเบา เพื่อลดการรสูญเสียพลังงานเชิงกลและลดแรงเสียดทานแต่ยังคงความแข็งแรง ทนทานตลอดการใช้งาน

Efficient : ดีไซน์ระบบส่งก�าลังขับเคลื่อนอัตโนมัติ CVT (Continuously Variable Trans-mission) ใหม่ พร้อมติดตั้งต�าแหน่งหัวฉีดใหม่ให้ใกล้ห้องเผาไหม้มากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการท�างานเครื่องยนต์ และประหยัดเชื้อเพลิงได้ดีเยี่ยม

and Powerful : เครื่องยนต์ขนาด 112.7 ซีซี ที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้ก�าลังและแรงบิดที่ดีเยี่ยมตอบสนองทุกอัตราเร่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วย LEaP Technology (ลีพ เทคโนโลยี) พร้อมหัวฉีด Fi ใหม่ ช่วยประหยัดน�้ามันเชื้อเพลิงถึง 56 กม./ลิตร*

*ผ่านมาตรฐานการทดสอบ ECE-40MODE โดยวิศวกร ซูซูกิ

“ซซูกู ิเลท็ส์” มาตรฐานใหม่ของรถจกัรยานยนต์ออโตเมตกิLet’s ECO Design ใหม่กว่า ล�า้หน้ากว่า ด้วยการออกแบบและดไีซน์

“ซูซูกิ เล็ทส์” ที่สุดแห่งมอเตอร์ไซค์ อีโค่ คันนี้ ได้รับการออกแบบให้มีน�้าหนักเบา ขนาดกะทัดรัด เพื่อการขับขี่ที่คล่องตัว ควบคุมรถได้ง่าย ที่ส�าคัญ “ซูซูกิ เล็ทส์” ออกแบบมาเพื่อสรีระของคนไทยทุกคน พร้อมชุดฝาครอบตัวถัง น�้าหนักเบาแต่ทว่าแข็งแรง ทนทาน พร้อมจะพาคุณโฉบเฉี่ยวในทุกเส้นทางของความเร้าใจ การันตีทุกความ “ฮิป” อินเทรนด์ !!

New Launch…

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201340 41

Page 42: FRM issue 4 (Febuary 2013)

]YEC_FI หัวฉีดใหม่ จ่ายไว เข้าใจง่าย ดูแลง่าย ชาวบ้านก็ท�าได้!!

ยามาฮ่าพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยอาศัยต้นแบบหัวฉีดรถเกียร์จากรุ่นพี่อย่าง Spark 135i แต่การปรับเปลี่ยนแค่เล็กๆ น้อยๆ คงไม่ใช่วิถีของยามาฮ่า ทีมวิศวกรจึงออกแบบหัวฉีดใหม่หมดจดพร้อมกับชื่อใหม่ว่า “YEC_FI” ที่ย่อมาจาก “Yamaha Ecology Fuel Injection” แปลสั้นๆ ว่าหัวฉีดเพื่อความประหยัด แต่ก่อนจะไปเจาะลึกหัวฉีด YEC_FI เรามาดูความเปลี่ยนแปลงในระบบจ่ายเชื้อเพลิงกันก่อนดีกว่า

- ท่อไอดีที่ต่อกับเรือนลิ้นเร่งและหัวฉีดสั้นลงจนเรียกได้ว่า “หัวฉีดรุ่นใหม่เสียบอยู่กับฝาวาล์ว” เลยก็ว่าได้ นั่นท�าให้ช่วยลดระยะเวลาการเดินทางของเชื้อเพลิง ส่งผลให้จ่ายเชื้อเพลิงได้เร็วขึ้นและแม่นย�ามากขึ้นหลายเท่า

- จากเดิมที่คอท่อไอดีคดงอเพื่อหลบกรองอากาศเนื่องจากระบบคาร์บูเรเตอร์ต้องการพื้นที่มาก...แต่ YEC_FI และเรือนลิ้นเร่งซึ่งมีขนาดเล็กจนท�าให้สามารถต่อท่อ “ตรง” ดิ่งเข้าไปที่หน้าวาล์วไอดีได้เลย ช่วยลดอัตราการสูญเสียและไม่คงที่ของเชื้อเพลิง แถมคอท่อไอดีถูกรีดให้เล็กลงเพื่อช่วยบีบมวลอากาศและเชื้อเพลิงให้แน่นขึ้นก่อนเข้าสู่ขบวนการจุดระเบิด

YEC_FI & Engine Technologyinside Spark 115i

อนรับปีใหม่กับเทคโนโลยีใหม่ในวงการมอเตอร์ไซค์ของเรา จะมีซักกี่คนที่รู้ว่า Yamaha ได้ใส่เทคโนโลยีรุ่นล่าสุดให้กับรถครอบครัวรุ่นใหม่อย่าง “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่” ซึ่งนอกจากจะมีระบบหัวฉีดรุ่นใหม่แล้ว ก็ยังมีเทคโนโลยีใหม่เจ๋งๆ ในเครื่องยนต์ซ่อนอยู่ชนิดที่ถ้าไม่เปิดออกมาดูคงไม่ได้รู้กันแน่ๆ แล้วมันก็เป็นหน้าที่ของ FRM ที่จะตีแผ่ความจริงพร้อมเปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่ภายใน “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่” คันนี้!

ต้

- เซ็นเซอร์หลายชิ้นถูกติดตั้งเข้าไปรอบคันรถ เพื่อวัดหาค่าไอเสียอย่างเช่นที่คอท่อไอเสีย, เซ็นเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิเครื่องยนต์, เซ็นเซอร์ที่เรือนลิ้นเร่งที่ตรวจได้ทั้งอุณหภูมิขาเข้า ต�าแหน่งเรือนลิ้นเร่ง และแรงดันอากาศขาเข้า และภายในเครื่องยนต์ยังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับเพลาข้อเหวี่ยงคอยช่วยส่งข้อมูลกลับไปที่กล่อง ECU เพื่อประมวลผลแบบรอบต่อรอบ

จากที่กล่าวไปข้างต้นเป็นเพียงแค่ “ความเปลี่ยนแปลง” ในส่วนของระบบน�าเชื้อเพลิงเท่านั้น ในส่วนของการท�างานของ YEC_FI หัวฉีดรุ่นใหม่นั้นมีดังต่อไปนี้

- YEC_FI ใช้หัวฉีดแบบ 4 รูเนื่องจากเป็นระบบที่แรงดันน�้ามันสูงมาก ข้อดีของหัวฉีด 4 รู ก็คือ ช่วยกระจายเชื้อเพลิงให้เป็นละอองละเอียดยิบ

- เรือนลิ้นเร่งใช้สายคันเร่งแบบดึงกลับ 2 สายช่วยลดภาระการท�างานของสายคันเร่งแบบเส้นเดียว แถมช่วยยืดอายุการใช้งานอีกด้วย

- จุดเด่นที่ถือเป็นไฮไลท์ของ YEC_FI ของ “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่” คือ “ตั้งรอบเดินเบาได้” เนื่องจากทีมค้นคว้าข้อมูลของยามาฮ่าลงพื้นที่ท�าการส�ารวจพฤติกรรมของผู้บริโภคแล้วพบว่า ผู้ใช้รถต่างจังหวัดไม่ค่อยเข้าศูนย์บริการตามก�าหนด นั่นหมายความว่าหัวฉีดมีสิทธิ “ตัน” ได้ เมื่อหัวฉีดตันจะท�าให้เครื่องยนต์เดินไม่เรียบและส่งผลต่อการขับขี่ได้ ส�าหรับบางพื้นที่ที่มีฝุ่นมากหรืออากาศไม่สะอาด...อีกหนึ่งจุดที่จะเกิดปัญหาก็คือ “เซ็นเซอร์เดินเบา” เมื่อมีฝุ่นเข้าไปเกาะที่เรือนลิ้นเร่งมากๆ อาจท�าให้เซ็นเซอร์ตัวนี้ที่มีหน้าที่คอยปรับรอบเดินเบารถท�างานบกพร่องได้....วิศวกรของยามาฮ่าจึงปรับปรุงให้ YEC_FI สามารถตั้งรอบเดินเบาได้ด้วยการสกรูเพียง 1 ตัว (เหมือนการตั้งรอบคาร์บูเรเตอร์) ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้รถแบบไหนก็สามารถปรับรอบเดินเบาให้ถูกใจและเข้ากับพื้นที่ที่ใช้งานได้

- ส่วนเสริมที่ช่วยให้ YEC_FI ท�างานได้ทุกสภาพอากาศและทุกสถานการณ์ก็คือ “ตัวส�ารองไฟ” หลายคนคงเคยเจอกับปัญหาแบตเสื่อม, แบตหมด สตาร์ทไม่ได้ เพราะระบบหัวฉีดต้องใช้กระแสไฟฟ้าเข้าไปเลี้ยงกล่อง ECU… แต่ส�าหรับ “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่” และระบบหัวฉีด YEC_FI นั่นยังสามารถท�างานต่อได้แม้แบตจะหมด ขอแค่สตาร์ทเท้าติดก็สามารถวิ่งต่อได้เหมือนเดิม เรียกว่ายังไงก็กลับบ้านได้แน่ๆ แม้แบตจะหมด (แต่ถ้าน�้ามันหมดเนี่ยตัวใครตัวมัน)

ในส่วนของหัวฉีดรุ่นใหม่ YEC_FI คงมีรายละเอียดเพียงเท่านี้ ส่วนด้านอัตราการกินน�้ามันและค�าถามที่ว่า “หัวฉีดรุ่นใหม่จะประหยัดแค่ไหน” งานนี้ต้องให้คุณพิสูจน์เองครับ เพราะโครงการเดินสายกิจกรรม “ท้าประหยัด...ขั้นเทพ กับสปาร์ค 115 หัวฉีดใหม่” ที่ท�าการแข่งขี่ประหยัดน�้ามันไปทั่วประเทศนั้น นับว่าได้ผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ เพราะชาวบ้านทั่วไปก็ยังสามารถขี่ประหยัดน�้ามันได้มากกว่าค่ามาตรฐานที่โรงงานก�าหนด...ช่วงต่อไปเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ซ่อนอยู่ภายในเครื่องยนต์ “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่” ครับ

TECHKNOW

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201342 43

Page 43: FRM issue 4 (Febuary 2013)

]YEC_FI หัวฉีดใหม่ จ่ายไว เข้าใจง่าย ดูแลง่าย ชาวบ้านก็ท�าได้!!

ยามาฮ่าพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยอาศัยต้นแบบหัวฉีดรถเกียร์จากรุ่นพี่อย่าง Spark 135i แต่การปรับเปลี่ยนแค่เล็กๆ น้อยๆ คงไม่ใช่วิถีของยามาฮ่า ทีมวิศวกรจึงออกแบบหัวฉีดใหม่หมดจดพร้อมกับชื่อใหม่ว่า “YEC_FI” ที่ย่อมาจาก “Yamaha Ecology Fuel Injection” แปลสั้นๆ ว่าหัวฉีดเพื่อความประหยัด แต่ก่อนจะไปเจาะลึกหัวฉีด YEC_FI เรามาดูความเปลี่ยนแปลงในระบบจ่ายเชื้อเพลิงกันก่อนดีกว่า

- ท่อไอดีที่ต่อกับเรือนลิ้นเร่งและหัวฉีดสั้นลงจนเรียกได้ว่า “หัวฉีดรุ่นใหม่เสียบอยู่กับฝาวาล์ว” เลยก็ว่าได้ นั่นท�าให้ช่วยลดระยะเวลาการเดินทางของเชื้อเพลิง ส่งผลให้จ่ายเชื้อเพลิงได้เร็วขึ้นและแม่นย�ามากขึ้นหลายเท่า

- จากเดิมที่คอท่อไอดีคดงอเพื่อหลบกรองอากาศเนื่องจากระบบคาร์บูเรเตอร์ต้องการพื้นที่มาก...แต่ YEC_FI และเรือนลิ้นเร่งซึ่งมีขนาดเล็กจนท�าให้สามารถต่อท่อ “ตรง” ดิ่งเข้าไปที่หน้าวาล์วไอดีได้เลย ช่วยลดอัตราการสูญเสียและไม่คงที่ของเชื้อเพลิง แถมคอท่อไอดีถูกรีดให้เล็กลงเพื่อช่วยบีบมวลอากาศและเชื้อเพลิงให้แน่นขึ้นก่อนเข้าสู่ขบวนการจุดระเบิด

YEC_FI & Engine Technologyinside Spark 115i

อนรับปีใหม่กับเทคโนโลยีใหม่ในวงการมอเตอร์ไซค์ของเรา จะมีซักกี่คนที่รู้ว่า Yamaha ได้ใส่เทคโนโลยีรุ่นล่าสุดให้กับรถครอบครัวรุ่นใหม่อย่าง “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่” ซึ่งนอกจากจะมีระบบหัวฉีดรุ่นใหม่แล้ว ก็ยังมีเทคโนโลยีใหม่เจ๋งๆ ในเครื่องยนต์ซ่อนอยู่ชนิดที่ถ้าไม่เปิดออกมาดูคงไม่ได้รู้กันแน่ๆ แล้วมันก็เป็นหน้าที่ของ FRM ที่จะตีแผ่ความจริงพร้อมเปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่ภายใน “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่” คันนี้!

ต้

- เซ็นเซอร์หลายชิ้นถูกติดตั้งเข้าไปรอบคันรถ เพื่อวัดหาค่าไอเสียอย่างเช่นที่คอท่อไอเสีย, เซ็นเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิเครื่องยนต์, เซ็นเซอร์ที่เรือนลิ้นเร่งที่ตรวจได้ทั้งอุณหภูมิขาเข้า ต�าแหน่งเรือนลิ้นเร่ง และแรงดันอากาศขาเข้า และภายในเครื่องยนต์ยังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับเพลาข้อเหวี่ยงคอยช่วยส่งข้อมูลกลับไปที่กล่อง ECU เพื่อประมวลผลแบบรอบต่อรอบ

จากที่กล่าวไปข้างต้นเป็นเพียงแค่ “ความเปลี่ยนแปลง” ในส่วนของระบบน�าเชื้อเพลิงเท่านั้น ในส่วนของการท�างานของ YEC_FI หัวฉีดรุ่นใหม่นั้นมีดังต่อไปนี้

- YEC_FI ใช้หัวฉีดแบบ 4 รูเนื่องจากเป็นระบบที่แรงดันน�้ามันสูงมาก ข้อดีของหัวฉีด 4 รู ก็คือ ช่วยกระจายเชื้อเพลิงให้เป็นละอองละเอียดยิบ

- เรือนลิ้นเร่งใช้สายคันเร่งแบบดึงกลับ 2 สายช่วยลดภาระการท�างานของสายคันเร่งแบบเส้นเดียว แถมช่วยยืดอายุการใช้งานอีกด้วย

- จุดเด่นที่ถือเป็นไฮไลท์ของ YEC_FI ของ “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่” คือ “ตั้งรอบเดินเบาได้” เนื่องจากทีมค้นคว้าข้อมูลของยามาฮ่าลงพื้นที่ท�าการส�ารวจพฤติกรรมของผู้บริโภคแล้วพบว่า ผู้ใช้รถต่างจังหวัดไม่ค่อยเข้าศูนย์บริการตามก�าหนด นั่นหมายความว่าหัวฉีดมีสิทธิ “ตัน” ได้ เมื่อหัวฉีดตันจะท�าให้เครื่องยนต์เดินไม่เรียบและส่งผลต่อการขับขี่ได้ ส�าหรับบางพื้นที่ที่มีฝุ่นมากหรืออากาศไม่สะอาด...อีกหนึ่งจุดที่จะเกิดปัญหาก็คือ “เซ็นเซอร์เดินเบา” เมื่อมีฝุ่นเข้าไปเกาะที่เรือนลิ้นเร่งมากๆ อาจท�าให้เซ็นเซอร์ตัวนี้ที่มีหน้าที่คอยปรับรอบเดินเบารถท�างานบกพร่องได้....วิศวกรของยามาฮ่าจึงปรับปรุงให้ YEC_FI สามารถตั้งรอบเดินเบาได้ด้วยการสกรูเพียง 1 ตัว (เหมือนการตั้งรอบคาร์บูเรเตอร์) ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้รถแบบไหนก็สามารถปรับรอบเดินเบาให้ถูกใจและเข้ากับพื้นที่ที่ใช้งานได้

- ส่วนเสริมที่ช่วยให้ YEC_FI ท�างานได้ทุกสภาพอากาศและทุกสถานการณ์ก็คือ “ตัวส�ารองไฟ” หลายคนคงเคยเจอกับปัญหาแบตเสื่อม, แบตหมด สตาร์ทไม่ได้ เพราะระบบหัวฉีดต้องใช้กระแสไฟฟ้าเข้าไปเลี้ยงกล่อง ECU… แต่ส�าหรับ “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่” และระบบหัวฉีด YEC_FI นั่นยังสามารถท�างานต่อได้แม้แบตจะหมด ขอแค่สตาร์ทเท้าติดก็สามารถวิ่งต่อได้เหมือนเดิม เรียกว่ายังไงก็กลับบ้านได้แน่ๆ แม้แบตจะหมด (แต่ถ้าน�้ามันหมดเนี่ยตัวใครตัวมัน)

ในส่วนของหัวฉีดรุ่นใหม่ YEC_FI คงมีรายละเอียดเพียงเท่านี้ ส่วนด้านอัตราการกินน�้ามันและค�าถามที่ว่า “หัวฉีดรุ่นใหม่จะประหยัดแค่ไหน” งานนี้ต้องให้คุณพิสูจน์เองครับ เพราะโครงการเดินสายกิจกรรม “ท้าประหยัด...ขั้นเทพ กับสปาร์ค 115 หัวฉีดใหม่” ที่ท�าการแข่งขี่ประหยัดน�้ามันไปทั่วประเทศนั้น นับว่าได้ผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ เพราะชาวบ้านทั่วไปก็ยังสามารถขี่ประหยัดน�้ามันได้มากกว่าค่ามาตรฐานที่โรงงานก�าหนด...ช่วงต่อไปเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ซ่อนอยู่ภายในเครื่องยนต์ “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่” ครับ

TECHKNOW

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201342 43

Page 44: FRM issue 4 (Febuary 2013)

]กระบอกสูบแบบหนาม – กรองน�้ามันอัจฉริยะ – คันสตาร์ทจอมพลัง

เริ่มต้นด้วย “กระบอกสูบแบบหนาม” หลายคนได้ยินค�านี้แล้วก็ตอบกลับมาว่า “ลูกสูบก็เป็นรอยสิพี่”…จริงๆ แล้วไอ้เจ้าหนามที่ว่าเนี่ยอยู่ภายนอกกระบอกสูบครับ เค้าผลิตกระบอกสูบขึ้นมาก่อนโดยตั้งใจท�าให้ผิวภายนอกเป็นหนามคล้ายๆ หนามเตยถี่ยิบ แล้วจากนั้นเค้าก็น�ากระบอกสูบไปประกอบเข้ากับเสื้อสูบ เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการก็จะได้กระบอกสูบแบบหนามที่ “ล็อค” ติดกับเสื้อสูบ นอกจากช่วยให้กระบอกสูบคงที่ไม่เคลื่อนไหวเมื่อเจอกับความร้อนแล้ว ยังช่วยระบายความร้อนผ่านหนามกระจายออกสู่ครีบระบายอากาศได้ดีอีกด้วย...มีคนถามอีกว่า “อ้าวพี่แบบนี้มันก็ตีปลอกไม่นะสิ”….ทีมวิศวกรตอบค�าถามนี้ให้แล้วครับว่า “เรามีลูกสูบให้อีก 2 ไซส์” นั่นแปลว่าเราสามารถคว้านกระบอกสูบหนามนี้ได้ 2 ครั้ง 2 ไซส์ครับ....ทีเด็ดของการคว้านอีก 2 ไซส์อยู่ที่ YEC_FI ยังสามารถปรับปริมาณเชื้อเพลิงตามการขยายของกระบอกสูบได้ด้วย เจ๋งมั้ยล่ะ?

*ขอบคุณทีมช่างเทคนิคและวิศวกรจาก บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จ�ากัด ที่ให้ความรู้แล้วรายละเอียดในการท�าคอลลัมน์ครับ

“กรองน�้ามันเครื่องอัจฉริยะ”...เป็นเพราะคอนเซ็ปต์ของยามาฮ่า “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่” ตัวใหม่ที่ว่า “แรงดี ประหยัดจริง ขั้นเทพ” ท�าให้กรองน�้ามันเครื่องเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน รถครอบครัวรุ่นนี้ ที่มาของมันก็มาจากการท�าการส�ารวจอีกนั่นแหละ เพราะว่ากลุ่มผู้ใช้งานที่เป็นเป้าหมายของผู้ผลิตเป็นคนที่ "ใช้งานจริง" เพราะฉะนั้นเมื่อรถจะต้องถูกใช้งานจริงใช้งานหนัก มันก็ต้องทนต่อสภาวะเหล่านี้ให้ได้ เมื่อน�้ามันเครื่องสะอาดอยู่เสมอเครื่องยนต์ก็จะท�างานได้ดีและทนทานกว่ารถที่ไม่มีกรองตัวนี้....แต่ที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือมันเป็น “กรองอัจฉริยะ” เนื่องจากการส�ารวจพบว่า บางทีผู้ใช้บางคนก็ “ลืม” เปลี่ยนกรองน�้ามันเครื่องเพราะใช้บริการร้านช่างทั่วไป เมื่อกรองน�้ามันเครื่องตันจึงท�าให้เครื่องยนต์เกิดการสึกหรอเร็ว...วิศวกรของยามาฮ่าจึงออกแบบกรองชนิดพิเศษที่มี “วาล์วเปิด-ปิด” ซ่อนอยู่ที่ก้นกรอง....ในกรณีที่ผู้ใช้เปลี่ยนกรองตามก�าหนดระยะก็คงไม่เกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อผู้ใช้ลืมเปลี่ยนกรองและเมื่อกรองน�้ามันเครื่องตัน...แรงดันน�้ามันจะเปิดวาล์วที่ก้นกรองท�าให้น�้ามันเครื่องยังคงไหลไปเลี้ยงฝาวาล์วและลูกสูบต่อไปได้...แม้จะเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ แต่ก็ถูกคิดถูกพัฒนามาอย่างดีเพื่อผู้ใช้

นอกจากชิ้นส่วนหลักที่กล่าวไปแล้วก็ยังมีฝาวาล์วรุ่นใหม่ที่เปิดได้ง่ายมากแถมเพิ่มพื้นที่การเซอร์วิสให้กว้างขึ้นจนช่างสามารถใช้ 2 มือท�างานซ่อมได้อย่างสบาย มีการเพิ่มเติมลูกปืนเข้าไปที่แคมชาฟท์เพื่อเพิ่มบาลานซ์และลดเสียงดังจากการท�างานของเครื่องยนต์...สรุปแล้ว “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่” เป็นรถรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองเพราะเต็มไปด้วยเทคโนโลยีเจ๋งๆ เต็มคันรถ เอาไว้เราได้ลองเจ้า “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่” แบบเต็มไม้เต็มมือเมื่อไหร่จะมาบอกเล่าผลการทดสอบให้ฟังกันครับ…

มาต่อกันที่ “คันสตาร์ทจอมพลัง”…คุณเคยมั้ยกับการสตาร์ทเท้าไปนานๆ แล้วเกิดอาการ “คันสตาร์ทรูด” เมื่อมันรูดแล้วคุณท�ายังไงครับ?.... “เชื่อมสิครับพี่” “ซื้อใหม่สิน้อง” “เข็นสตาร์ทเอา” “ผ่าเครื่องเลย”....ต่อไปนี้ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะยามาฮ่าแก้ปัญหานี้ให้คุณแล้วด้วย “คันสตาร์ทจอมพลัง!” ไม่มีไม่ต้องกังวลกับการขันน็อตเบอร์ 10 ให้แน่นอีกต่อไป นี่คือคันสตาร์ทรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีใน “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่”...ไม่มีรูให้ใส่น็อตยึด แค่เสียบคันสตาร์ทเข้าไปที่แกนสตาร์ทแล้วขันโบลท์ (น็อต) ล็อคเพียงตัวเดียวก็เป็นอันจบ...เพราะว่ารูคันสตาร์ทมีขนาดพอดีกับแกนสตาร์ทท�าให้ไม่มีพื้นที่ว่างและหมดโอกาสรูดเมื่อใช้ไปนานๆ เป็นการยืดอายุการใช้งานและง่ายต่อการถอดบ�ารุงรักษาครับ

TECHKNOW

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201344 45

Page 45: FRM issue 4 (Febuary 2013)

]กระบอกสูบแบบหนาม – กรองน�้ามันอัจฉริยะ – คันสตาร์ทจอมพลัง

เริ่มต้นด้วย “กระบอกสูบแบบหนาม” หลายคนได้ยินค�านี้แล้วก็ตอบกลับมาว่า “ลูกสูบก็เป็นรอยสิพี่”…จริงๆ แล้วไอ้เจ้าหนามที่ว่าเนี่ยอยู่ภายนอกกระบอกสูบครับ เค้าผลิตกระบอกสูบขึ้นมาก่อนโดยตั้งใจท�าให้ผิวภายนอกเป็นหนามคล้ายๆ หนามเตยถี่ยิบ แล้วจากนั้นเค้าก็น�ากระบอกสูบไปประกอบเข้ากับเสื้อสูบ เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการก็จะได้กระบอกสูบแบบหนามที่ “ล็อค” ติดกับเสื้อสูบ นอกจากช่วยให้กระบอกสูบคงที่ไม่เคลื่อนไหวเมื่อเจอกับความร้อนแล้ว ยังช่วยระบายความร้อนผ่านหนามกระจายออกสู่ครีบระบายอากาศได้ดีอีกด้วย...มีคนถามอีกว่า “อ้าวพี่แบบนี้มันก็ตีปลอกไม่นะสิ”….ทีมวิศวกรตอบค�าถามนี้ให้แล้วครับว่า “เรามีลูกสูบให้อีก 2 ไซส์” นั่นแปลว่าเราสามารถคว้านกระบอกสูบหนามนี้ได้ 2 ครั้ง 2 ไซส์ครับ....ทีเด็ดของการคว้านอีก 2 ไซส์อยู่ที่ YEC_FI ยังสามารถปรับปริมาณเชื้อเพลิงตามการขยายของกระบอกสูบได้ด้วย เจ๋งมั้ยล่ะ?

*ขอบคุณทีมช่างเทคนิคและวิศวกรจาก บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จ�ากัด ที่ให้ความรู้แล้วรายละเอียดในการท�าคอลลัมน์ครับ

“กรองน�้ามันเครื่องอัจฉริยะ”...เป็นเพราะคอนเซ็ปต์ของยามาฮ่า “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่” ตัวใหม่ที่ว่า “แรงดี ประหยัดจริง ขั้นเทพ” ท�าให้กรองน�้ามันเครื่องเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน รถครอบครัวรุ่นนี้ ที่มาของมันก็มาจากการท�าการส�ารวจอีกนั่นแหละ เพราะว่ากลุ่มผู้ใช้งานที่เป็นเป้าหมายของผู้ผลิตเป็นคนที่ "ใช้งานจริง" เพราะฉะนั้นเมื่อรถจะต้องถูกใช้งานจริงใช้งานหนัก มันก็ต้องทนต่อสภาวะเหล่านี้ให้ได้ เมื่อน�้ามันเครื่องสะอาดอยู่เสมอเครื่องยนต์ก็จะท�างานได้ดีและทนทานกว่ารถที่ไม่มีกรองตัวนี้....แต่ที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือมันเป็น “กรองอัจฉริยะ” เนื่องจากการส�ารวจพบว่า บางทีผู้ใช้บางคนก็ “ลืม” เปลี่ยนกรองน�้ามันเครื่องเพราะใช้บริการร้านช่างทั่วไป เมื่อกรองน�้ามันเครื่องตันจึงท�าให้เครื่องยนต์เกิดการสึกหรอเร็ว...วิศวกรของยามาฮ่าจึงออกแบบกรองชนิดพิเศษที่มี “วาล์วเปิด-ปิด” ซ่อนอยู่ที่ก้นกรอง....ในกรณีที่ผู้ใช้เปลี่ยนกรองตามก�าหนดระยะก็คงไม่เกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อผู้ใช้ลืมเปลี่ยนกรองและเมื่อกรองน�้ามันเครื่องตัน...แรงดันน�้ามันจะเปิดวาล์วที่ก้นกรองท�าให้น�้ามันเครื่องยังคงไหลไปเลี้ยงฝาวาล์วและลูกสูบต่อไปได้...แม้จะเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ แต่ก็ถูกคิดถูกพัฒนามาอย่างดีเพื่อผู้ใช้

นอกจากชิ้นส่วนหลักที่กล่าวไปแล้วก็ยังมีฝาวาล์วรุ่นใหม่ที่เปิดได้ง่ายมากแถมเพิ่มพื้นที่การเซอร์วิสให้กว้างขึ้นจนช่างสามารถใช้ 2 มือท�างานซ่อมได้อย่างสบาย มีการเพิ่มเติมลูกปืนเข้าไปที่แคมชาฟท์เพื่อเพิ่มบาลานซ์และลดเสียงดังจากการท�างานของเครื่องยนต์...สรุปแล้ว “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่” เป็นรถรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองเพราะเต็มไปด้วยเทคโนโลยีเจ๋งๆ เต็มคันรถ เอาไว้เราได้ลองเจ้า “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่” แบบเต็มไม้เต็มมือเมื่อไหร่จะมาบอกเล่าผลการทดสอบให้ฟังกันครับ…

มาต่อกันที่ “คันสตาร์ทจอมพลัง”…คุณเคยมั้ยกับการสตาร์ทเท้าไปนานๆ แล้วเกิดอาการ “คันสตาร์ทรูด” เมื่อมันรูดแล้วคุณท�ายังไงครับ?.... “เชื่อมสิครับพี่” “ซื้อใหม่สิน้อง” “เข็นสตาร์ทเอา” “ผ่าเครื่องเลย”....ต่อไปนี้ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะยามาฮ่าแก้ปัญหานี้ให้คุณแล้วด้วย “คันสตาร์ทจอมพลัง!” ไม่มีไม่ต้องกังวลกับการขันน็อตเบอร์ 10 ให้แน่นอีกต่อไป นี่คือคันสตาร์ทรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีใน “Yamaha Spark 115 หัวฉีดใหม่”...ไม่มีรูให้ใส่น็อตยึด แค่เสียบคันสตาร์ทเข้าไปที่แกนสตาร์ทแล้วขันโบลท์ (น็อต) ล็อคเพียงตัวเดียวก็เป็นอันจบ...เพราะว่ารูคันสตาร์ทมีขนาดพอดีกับแกนสตาร์ทท�าให้ไม่มีพื้นที่ว่างและหมดโอกาสรูดเมื่อใช้ไปนานๆ เป็นการยืดอายุการใช้งานและง่ายต่อการถอดบ�ารุงรักษาครับ

TECHKNOW

For Ride Magazine Febuary 2013For Ride Magazine Febuary 201344 45

Page 46: FRM issue 4 (Febuary 2013)

THE J

OU

RN

EY

�� ไล่ตามแสงสุดท้ายก่อนจะหายไปในความมืด...ออกตัวจากยอดเขาเฟรเซอร์เกือบๆ บ่าย 3 โมง ดูเหมือนเราจะ

ต้องท�าเวลาให้ทันกับระยะทางอีกร้อยกิโลเมตรที่รอเราอยู่...แน่นอนว่าทางลงจากเขาเฟรเซอร์ก็ยังคงโหดไม่แพ้ขาขึ้น (อยากรู้ว่าโหดยังไง...ตามอ่านในเล่มที่แล้วครับ) อุปสรรคของการขี่ลงจากเทือกเขาเฟรเซอร์ที่นอกจากความลื่นของพื้นและอากาศที่เริ่มเย็นลงแล้ว...ความอิ่มยังเป็นอีกปัญหาที่ท�าให้ขยับตัวได้ล�าบาก โชคดีที่เราเลือกใช้เสื้อแจ็คเก็ต Clover Air Jet 2 ที่ค่อนข้างให้ตัวได้แม้ว่าพุงจะขยายออกก็ตาม เพราะเรารู้ว่าอากาศจะต้องเย็นลงอีกเราจึงหยิบเอา “ชั้นกันหนาว” ของกางเกง Clover GTS ออกมาใส่ ซึ่งมันก็ช่วยให้ขาอุ่นตลอดการเดินทางช่วงเย็น หลังจากลุยกับโค้งขวา 350 โค้ง และโค้งซ้ายอีก 550 โค้ง (มันไม่ได้เยอะขนาดนั้นหรอกครับ แค่อยากสื่อให้เห็นว่าโค้งมันเยอะมากกก!) ไม่นานเราก็หลุดพ้นจากโค้งภูเขามาวิ่งบนพื้นราบอีกครั้ง เราแวะเติมน�้ามันที่เขต Raub (ราอุ๊บ) ใครที่จะเดินทางต่อไปยังคาเมรอน แนะน�าให้แวะเติมไว้ก่อนเลยครับ เพราะปั๊มจะเริ่มหายากแล้ว!

Sham (แชม) หัวหน้าขบวนบอกว่า “เดี๋ยวเราจะต้องเจอกับความมืดแล้วหละ ข้างหน้าเป็นสวนปาล์มขนาดใหญ่ นอกจากรถมอเตอร์ไซค์ของชาวบ้านแล้ว อีกสิ่งที่ต้องระวังก็คือ “เสือ” เนื่องจากพื้นที่

�� คล�าทางในความมืด�ดื่มด�าท้องฟ้าและแสงดาว“ในค�่ำคืนที่ฟ้ำนั้นไม่มีดำวอยู่ตรงนี้ ฉันยังคงก้ำวไป”…ท้องฟ้าเปลี่ยน

จากสีส้มเป็นสีแสดก่อนจะเป็นสีทองแล้วก็กลายเป็นความมืดสนิท...ตอนนี้เราบอกได้แค่ว่าเราอยู่ “ตรงไหนสักแห่ง” ระหว่างทางไปยัง Cameron Highland เพราะถนนที่เราใช้ไม่มีไฟซักดวง...แต่เราก็สามารถมเดินทางต่อได้เพราะเค้าฝัง “ตัวสะท้อนแสง” ส�าหรับแบ่งเลนไว้ในถนน นอกจากนี้ยังมีป้ายบอกลักษณะโค้งและป้ายเตือนแบบสะท้อนแสงไว้คอยช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางกลางคืนด้วย...เดินทางในความมืดได้ไม่นานเราก็เริ่มเห็นแสงไฟพร้อมป้ายต้อนรับบอกว่า “ขอต้อนรับเข้าสู่เขต Cameron” สัญชาติญาณนักบิดบอกให้เตรียมตัวเจอกับโค้งซึ่งเป็นของคู่กับภูเขา

“คำเมรอน” แตกต่างจากภูเขาลูกอื่นตรงที่ ถนนเลนกว้างท�าให้เข้าโค้งได้ง่ายและปลอดภัยกว่าที่เก็นติ้งและเฟรเซอร์ ดูเหมือนการเดินทางกลางคืนในมาเลเซียจะไม่น่ากลัวเหมือนที่บ้านเรา เพราะมีตัวสะท้อนแสงช่วยบอกทางตลอดเวลา แถมมีไฟเป็นระยะในเขตชุมชน...ความรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกเกิดขึ้นทันทีที่ขี่ฝ่ามวลอากาศเย็น นั่นแปลว่า “เราใกล้ถึงแล้ว!?” ลักษณะการขับขี่ของเราในช่วงนี้จะเป็นการขี่ตามกันเป็นขบวนโดยเว้นช่วงห่างประมาณ 3 เมตร โชคดีที่รถ Versys ของ Izan ติดไฟส่องทางและขี่รั้งท้ายเพื่อช่วยส่องสว่างเพิ่มความปลอดภัยให้กับทริป แม้ทางจะมืดแต่ด้วยคุณภาพที่ดีของถนนพร้อมอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยท�าให้เราสามารถท�าความเร็วได้ที่ 120 กม/ชม. หลังจากกวาดตาพยายามหาแสงแห่งความเจริญตลอด 2 ข้างทาง...ในที่สุดเราก็เห็นแสงสีเหลืองเป็นกลุ่ม...นั่นต้องเป็นหมู่บ้านหรือโรงแรมหรืออะไรซักอย่างแน่ๆ เมื่อใกล้ขึ้นเราก็ได้รู้ว่าที่แท้มันคือ “แปลงดอกไม้อนามัย” เนื่องจากอากาศที่นี่ค่อนข้างเย็นคล้ายภาคเหนือบ้านเราท�าให้ชาวเขาที่นี่สามารถปลูกดอกไม้ได้ดี ที่แปลกก็คือเค้าปลูกในเรือนเพาะช�าที่เป็นพลาสติกอย่างดีและชาวบ้านที่นี่ท�าสวนดอกไม้กันอย่างเป็นระเบียบ เรียกได้ว่าถ้ามองไกลๆ จะเห็นภูเขาแถบนี้เป็นกลุ่มแสงสีเหลือคล้ายมองเมืองเชียงใหม่จากดอยสุเทพ

ยิ่งเข้าใกล้แหล่งชุมชนยิ่งได้เห็นอะไรที่แปลกตาออกไป ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตของชาวเขาและคนงานที่ออกเดินช้อปปิ้งจับจ่ายใน “ตลาดนัด” ที่ดูคล้ายกับของบ้านเรา ชาวบ้านที่นี่หน้าตาออกไปทางคนจีน มีชาวอินเดียและมาเลย์น้อยมาก เรายังคงมุ่งหน้าต่อไปยังที่หมายของเรานั่นก็คือโรงแรม “The Strawberry Park” ชื่อน่ารักแต่อยู่ที่ไหนไม่รู้ แต่ที่รู้ก็คือเราเจอจุดแวะพักทานมื้อเย็น (มื้อดึก) กันแล้ว ที่นี่เรียกว่า Thana Rata (ธนารัฐ) ซึ่งแปลว่าที่ราบเรียบ ที่นี่เป็นจุดท่องเที่ยวลักษณะคล้าย Night Market เพราะเต็มไปด้วยร้านอาหารและของกุ๊กกิ๊กน่ารัก แม้จะเป็นช่วงเวลา 3 ทุ่มก็ยังมีคนนั่งทานอาหารกันจนแน่นทุกร้าน แล้วเราก็ได้ร้านในที่สุด...มื้อดึกของเราคือ Chicken Chop จานใหญ่....จากตรงนี้เหลืออีกแค่ 10 กม. ก็จะถึงที่พักแล้ว!

�� หนาวเย็นแบบไม่ต้องมีแอร์-น�้าเย็นจนแทบอยากจากวิ่งผ่านขับชิลล์ๆ กันได้ซักพักก็มาถึงที่พัก นั่นก็คือ The Strawberry Park…ว่าแต่ท�าไมมันถึง

ชื่อเหมือนสวนสตรอเบอรี่ล่ะ ? เอาไว้หาค�าตอบกันพรุ่งนี้ดีกว่า วันนี้เช็คอินเข้าห้องนอนก่อน...ทันทีที่เข้าห้องนอนได้ก็รีบหารีโมทแอร์ แล้วเราก็ได้พบกับความจริงที่ว่า “ที่นี่ไม่มีแอร์” อากาศเย็นจากข้างนอกที่แทรกซึมเข้ามาทางช่องประตูและหน้าต่างล้วนแล้วแต่มาจาก “ธรรมชาติ” ล้วนๆ ที่นี่ไม่มีทั้งแอร์และเครื่องท�าความอุ่น...ใครกลัวหนาวให้พา “แฟน” มาด้วยจะดีที่สุดครับ ห้องนอนหรูหราอลังการกับคิงเบด (King Bed) ขนาดใหญ่นอนได้ 6 คน ห้องน�้าแยกส่วนอย่างดีแถมมีน�้าอุ่น (ที่ไม่ค่อยจะอุ่น) ให้ใช้ด้วย สอบถามราคาค่าห้องพบว่าอยู่ที่ 2000-6000 บาท/คืน นับว่าคุ้มส�าหรับความเย็นและบรรยากาศ (ที่เราเห็นแต่ความมืด) ถอดไรดิ้งเกียร์ออกปุ๊ปก็สั่นปั๊ป รองเท้าแตะในห้องพอช่วยบรรเทาความเย็นจากเท้าได้ ส�าหรับน�้าอุ่นต้องเปิดทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาทีมันถึงจะเริ่มอุ่น

*ข้อควรระวัง* ใครที่ไม่คุ้นกับความเย็นขนาด 8-10 องศาแนะน�าให้เอาน�้าร้อนมาราด “ฝารองชักโครก” ก่อนนั่ง ไม่งั้นล่ะก็....ฮึฮึฮึ....บ๊ายบายค�่าคืนอันหนาวเหน็บ...พรุ่งนี้เราจะออกส�ารวจ Cameron Highland กัน!!

อนรับเดือนแห่งควำมรักกับเนื้อเรื่องกำรผจญภัยที่ยังคง

ด�ำเนินต่อไปกับ The 5 Mountains Tour ครำวก่อนเรำทิ้งทุกท่ำนไว้ที่ร้ำนอำหำรบนยอดเขำ Fraser Hills พร้อมแนะแนววิธีกำรสั่งอำหำรไปแล้ว...วันนี้เรำจะออกเดินทำงกันต่อลงจำกภูเขำเฟรเซอร์ลูกนี้เพื่อไปยังภูเขำลูกที่ 3 นั่นก็คือ Cameron Highland ที่รำบสูงที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยว และที่ส�ำคัญเหมำะกับคู่รักที่ต้องกำรเก็บเกี่ยวช่วงเวลำดีๆ กับบรรยำกำศไร่ชำกว้ำงสุดลูกหูลูกตำที่นี่!...กระโดดขึ้นท้ำย Versys ไปกับเรำกันต่อเลย!

DiscoveringThe CameronHighland

ต้

แถวนี้สมบูรณ์มาก เลยอาจมีสัตว์ป่าออกมาจ๊ะเอ๋เราได้ เมื่อ 2 เดือนก่อนผมกับเพื่อนเจอเสือบนถนนเส้นนี้...หนีกันแทบไม่ทัน”…ตายแล้ว!! (เสียงสูง) พูดจาปลอบใจกันแบบนี้! นอกจากความมืดที่จะเป็นอุปสรรคแล้วยังมีเสืออีกเหรอเนี่ย!...เอาน่ะ หวดกันเร็วขนาดนี้หวังว่าเสือคงตามไม่ทัน แสงเริ่มน้อยชักเริ่มมองทางล�าบาก...แต่โชคดีที่เราเตรียมชีลด์ใสมาเปลี่ยนให้กับหมวก Real Kevlar ซึ่งใช้เวลาถอดเปลี่ยนไม่ถึง 1 นาที...ระหว่างที่ก�าลังบอกลาแสงอาทิตย์อยู่นั้น “ฝูงแมลง” ก็ออกมาต้อนรับเราแทน ใครใส่หมวกวิบากหรือเปิดชีลด์ทิ้งไว้เมื่อวิ่งผ่านป่าหรือสวนปาล์มให้ปิดชีลด์หรือหาผ้ามาอุดรูลมเลยครับ เพราะความเร็วที่เราใช้อยู่ที่ 140 กม./ชม. ท�าให้สารพัดแมลงละลายติดหน้าชีลด์ทันทีที่ปะทะ ถึงจุดนี้ใครใช้ถุงมือกึ่งผ้าคงได้เปรียบกว่าเพราะสามารถเช็ดแมลงออกจากชีลด์ได้ง่าย...ดูนาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลา 18.30 นาฬิกา...พระอาทิตย์ก�าลังจะพาแสงสุดท้ายลาลับขอบฟ้าไปแล้วสินะ! ต้องมีสมาธิมากกว่านี้ในการขับขี่ช่วงต่อไป

เปิดประตูสู่มาเลเซียPart4

5 Mountains TourThe Journey

For Ride Magazine February 2013For Ride Magazine February 201346 47

Page 47: FRM issue 4 (Febuary 2013)

THE J

OU

RN

EY

�� ไล่ตามแสงสุดท้ายก่อนจะหายไปในความมืด...ออกตัวจากยอดเขาเฟรเซอร์เกือบๆ บ่าย 3 โมง ดูเหมือนเราจะ

ต้องท�าเวลาให้ทันกับระยะทางอีกร้อยกิโลเมตรที่รอเราอยู่...แน่นอนว่าทางลงจากเขาเฟรเซอร์ก็ยังคงโหดไม่แพ้ขาขึ้น (อยากรู้ว่าโหดยังไง...ตามอ่านในเล่มที่แล้วครับ) อุปสรรคของการขี่ลงจากเทือกเขาเฟรเซอร์ที่นอกจากความลื่นของพื้นและอากาศที่เริ่มเย็นลงแล้ว...ความอิ่มยังเป็นอีกปัญหาที่ท�าให้ขยับตัวได้ล�าบาก โชคดีที่เราเลือกใช้เสื้อแจ็คเก็ต Clover Air Jet 2 ที่ค่อนข้างให้ตัวได้แม้ว่าพุงจะขยายออกก็ตาม เพราะเรารู้ว่าอากาศจะต้องเย็นลงอีกเราจึงหยิบเอา “ชั้นกันหนาว” ของกางเกง Clover GTS ออกมาใส่ ซึ่งมันก็ช่วยให้ขาอุ่นตลอดการเดินทางช่วงเย็น หลังจากลุยกับโค้งขวา 350 โค้ง และโค้งซ้ายอีก 550 โค้ง (มันไม่ได้เยอะขนาดนั้นหรอกครับ แค่อยากสื่อให้เห็นว่าโค้งมันเยอะมากกก!) ไม่นานเราก็หลุดพ้นจากโค้งภูเขามาวิ่งบนพื้นราบอีกครั้ง เราแวะเติมน�้ามันที่เขต Raub (ราอุ๊บ) ใครที่จะเดินทางต่อไปยังคาเมรอน แนะน�าให้แวะเติมไว้ก่อนเลยครับ เพราะปั๊มจะเริ่มหายากแล้ว!

Sham (แชม) หัวหน้าขบวนบอกว่า “เดี๋ยวเราจะต้องเจอกับความมืดแล้วหละ ข้างหน้าเป็นสวนปาล์มขนาดใหญ่ นอกจากรถมอเตอร์ไซค์ของชาวบ้านแล้ว อีกสิ่งที่ต้องระวังก็คือ “เสือ” เนื่องจากพื้นที่

�� คล�าทางในความมืด�ดื่มด�าท้องฟ้าและแสงดาว“ในค�่ำคืนที่ฟ้ำนั้นไม่มีดำวอยู่ตรงนี้ ฉันยังคงก้ำวไป”…ท้องฟ้าเปลี่ยน

จากสีส้มเป็นสีแสดก่อนจะเป็นสีทองแล้วก็กลายเป็นความมืดสนิท...ตอนนี้เราบอกได้แค่ว่าเราอยู่ “ตรงไหนสักแห่ง” ระหว่างทางไปยัง Cameron Highland เพราะถนนที่เราใช้ไม่มีไฟซักดวง...แต่เราก็สามารถมเดินทางต่อได้เพราะเค้าฝัง “ตัวสะท้อนแสง” ส�าหรับแบ่งเลนไว้ในถนน นอกจากนี้ยังมีป้ายบอกลักษณะโค้งและป้ายเตือนแบบสะท้อนแสงไว้คอยช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางกลางคืนด้วย...เดินทางในความมืดได้ไม่นานเราก็เริ่มเห็นแสงไฟพร้อมป้ายต้อนรับบอกว่า “ขอต้อนรับเข้าสู่เขต Cameron” สัญชาติญาณนักบิดบอกให้เตรียมตัวเจอกับโค้งซึ่งเป็นของคู่กับภูเขา

“คำเมรอน” แตกต่างจากภูเขาลูกอื่นตรงที่ ถนนเลนกว้างท�าให้เข้าโค้งได้ง่ายและปลอดภัยกว่าที่เก็นติ้งและเฟรเซอร์ ดูเหมือนการเดินทางกลางคืนในมาเลเซียจะไม่น่ากลัวเหมือนที่บ้านเรา เพราะมีตัวสะท้อนแสงช่วยบอกทางตลอดเวลา แถมมีไฟเป็นระยะในเขตชุมชน...ความรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกเกิดขึ้นทันทีที่ขี่ฝ่ามวลอากาศเย็น นั่นแปลว่า “เราใกล้ถึงแล้ว!?” ลักษณะการขับขี่ของเราในช่วงนี้จะเป็นการขี่ตามกันเป็นขบวนโดยเว้นช่วงห่างประมาณ 3 เมตร โชคดีที่รถ Versys ของ Izan ติดไฟส่องทางและขี่รั้งท้ายเพื่อช่วยส่องสว่างเพิ่มความปลอดภัยให้กับทริป แม้ทางจะมืดแต่ด้วยคุณภาพที่ดีของถนนพร้อมอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยท�าให้เราสามารถท�าความเร็วได้ที่ 120 กม/ชม. หลังจากกวาดตาพยายามหาแสงแห่งความเจริญตลอด 2 ข้างทาง...ในที่สุดเราก็เห็นแสงสีเหลืองเป็นกลุ่ม...นั่นต้องเป็นหมู่บ้านหรือโรงแรมหรืออะไรซักอย่างแน่ๆ เมื่อใกล้ขึ้นเราก็ได้รู้ว่าที่แท้มันคือ “แปลงดอกไม้อนามัย” เนื่องจากอากาศที่นี่ค่อนข้างเย็นคล้ายภาคเหนือบ้านเราท�าให้ชาวเขาที่นี่สามารถปลูกดอกไม้ได้ดี ที่แปลกก็คือเค้าปลูกในเรือนเพาะช�าที่เป็นพลาสติกอย่างดีและชาวบ้านที่นี่ท�าสวนดอกไม้กันอย่างเป็นระเบียบ เรียกได้ว่าถ้ามองไกลๆ จะเห็นภูเขาแถบนี้เป็นกลุ่มแสงสีเหลือคล้ายมองเมืองเชียงใหม่จากดอยสุเทพ

ยิ่งเข้าใกล้แหล่งชุมชนยิ่งได้เห็นอะไรที่แปลกตาออกไป ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตของชาวเขาและคนงานที่ออกเดินช้อปปิ้งจับจ่ายใน “ตลาดนัด” ที่ดูคล้ายกับของบ้านเรา ชาวบ้านที่นี่หน้าตาออกไปทางคนจีน มีชาวอินเดียและมาเลย์น้อยมาก เรายังคงมุ่งหน้าต่อไปยังที่หมายของเรานั่นก็คือโรงแรม “The Strawberry Park” ชื่อน่ารักแต่อยู่ที่ไหนไม่รู้ แต่ที่รู้ก็คือเราเจอจุดแวะพักทานมื้อเย็น (มื้อดึก) กันแล้ว ที่นี่เรียกว่า Thana Rata (ธนารัฐ) ซึ่งแปลว่าที่ราบเรียบ ที่นี่เป็นจุดท่องเที่ยวลักษณะคล้าย Night Market เพราะเต็มไปด้วยร้านอาหารและของกุ๊กกิ๊กน่ารัก แม้จะเป็นช่วงเวลา 3 ทุ่มก็ยังมีคนนั่งทานอาหารกันจนแน่นทุกร้าน แล้วเราก็ได้ร้านในที่สุด...มื้อดึกของเราคือ Chicken Chop จานใหญ่....จากตรงนี้เหลืออีกแค่ 10 กม. ก็จะถึงที่พักแล้ว!

�� หนาวเย็นแบบไม่ต้องมีแอร์-น�้าเย็นจนแทบอยากจากวิ่งผ่านขับชิลล์ๆ กันได้ซักพักก็มาถึงที่พัก นั่นก็คือ The Strawberry Park…ว่าแต่ท�าไมมันถึง

ชื่อเหมือนสวนสตรอเบอรี่ล่ะ ? เอาไว้หาค�าตอบกันพรุ่งนี้ดีกว่า วันนี้เช็คอินเข้าห้องนอนก่อน...ทันทีที่เข้าห้องนอนได้ก็รีบหารีโมทแอร์ แล้วเราก็ได้พบกับความจริงที่ว่า “ที่นี่ไม่มีแอร์” อากาศเย็นจากข้างนอกที่แทรกซึมเข้ามาทางช่องประตูและหน้าต่างล้วนแล้วแต่มาจาก “ธรรมชาติ” ล้วนๆ ที่นี่ไม่มีทั้งแอร์และเครื่องท�าความอุ่น...ใครกลัวหนาวให้พา “แฟน” มาด้วยจะดีที่สุดครับ ห้องนอนหรูหราอลังการกับคิงเบด (King Bed) ขนาดใหญ่นอนได้ 6 คน ห้องน�้าแยกส่วนอย่างดีแถมมีน�้าอุ่น (ที่ไม่ค่อยจะอุ่น) ให้ใช้ด้วย สอบถามราคาค่าห้องพบว่าอยู่ที่ 2000-6000 บาท/คืน นับว่าคุ้มส�าหรับความเย็นและบรรยากาศ (ที่เราเห็นแต่ความมืด) ถอดไรดิ้งเกียร์ออกปุ๊ปก็สั่นปั๊ป รองเท้าแตะในห้องพอช่วยบรรเทาความเย็นจากเท้าได้ ส�าหรับน�้าอุ่นต้องเปิดทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาทีมันถึงจะเริ่มอุ่น

*ข้อควรระวัง* ใครที่ไม่คุ้นกับความเย็นขนาด 8-10 องศาแนะน�าให้เอาน�้าร้อนมาราด “ฝารองชักโครก” ก่อนนั่ง ไม่งั้นล่ะก็....ฮึฮึฮึ....บ๊ายบายค�่าคืนอันหนาวเหน็บ...พรุ่งนี้เราจะออกส�ารวจ Cameron Highland กัน!!

อนรับเดือนแห่งควำมรักกับเนื้อเรื่องกำรผจญภัยที่ยังคง

ด�ำเนินต่อไปกับ The 5 Mountains Tour ครำวก่อนเรำทิ้งทุกท่ำนไว้ที่ร้ำนอำหำรบนยอดเขำ Fraser Hills พร้อมแนะแนววิธีกำรสั่งอำหำรไปแล้ว...วันนี้เรำจะออกเดินทำงกันต่อลงจำกภูเขำเฟรเซอร์ลูกนี้เพื่อไปยังภูเขำลูกที่ 3 นั่นก็คือ Cameron Highland ที่รำบสูงที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยว และที่ส�ำคัญเหมำะกับคู่รักที่ต้องกำรเก็บเกี่ยวช่วงเวลำดีๆ กับบรรยำกำศไร่ชำกว้ำงสุดลูกหูลูกตำที่นี่!...กระโดดขึ้นท้ำย Versys ไปกับเรำกันต่อเลย!

DiscoveringThe CameronHighland

ต้

แถวนี้สมบูรณ์มาก เลยอาจมีสัตว์ป่าออกมาจ๊ะเอ๋เราได้ เมื่อ 2 เดือนก่อนผมกับเพื่อนเจอเสือบนถนนเส้นนี้...หนีกันแทบไม่ทัน”…ตายแล้ว!! (เสียงสูง) พูดจาปลอบใจกันแบบนี้! นอกจากความมืดที่จะเป็นอุปสรรคแล้วยังมีเสืออีกเหรอเนี่ย!...เอาน่ะ หวดกันเร็วขนาดนี้หวังว่าเสือคงตามไม่ทัน แสงเริ่มน้อยชักเริ่มมองทางล�าบาก...แต่โชคดีที่เราเตรียมชีลด์ใสมาเปลี่ยนให้กับหมวก Real Kevlar ซึ่งใช้เวลาถอดเปลี่ยนไม่ถึง 1 นาที...ระหว่างที่ก�าลังบอกลาแสงอาทิตย์อยู่นั้น “ฝูงแมลง” ก็ออกมาต้อนรับเราแทน ใครใส่หมวกวิบากหรือเปิดชีลด์ทิ้งไว้เมื่อวิ่งผ่านป่าหรือสวนปาล์มให้ปิดชีลด์หรือหาผ้ามาอุดรูลมเลยครับ เพราะความเร็วที่เราใช้อยู่ที่ 140 กม./ชม. ท�าให้สารพัดแมลงละลายติดหน้าชีลด์ทันทีที่ปะทะ ถึงจุดนี้ใครใช้ถุงมือกึ่งผ้าคงได้เปรียบกว่าเพราะสามารถเช็ดแมลงออกจากชีลด์ได้ง่าย...ดูนาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลา 18.30 นาฬิกา...พระอาทิตย์ก�าลังจะพาแสงสุดท้ายลาลับขอบฟ้าไปแล้วสินะ! ต้องมีสมาธิมากกว่านี้ในการขับขี่ช่วงต่อไป

เปิดประตูสู่มาเลเซียPart4

5 Mountains TourThe Journey

For Ride Magazine February 2013For Ride Magazine February 201346 47

Page 48: FRM issue 4 (Febuary 2013)

DISCOVERING THE CAMERON HIGHLAND

THE J

OU

RN

EY

�� ไร่ชา�ฟาร์มสตรอเบอรี่�อุโมงค์กาลเวลาและป่าฝน!ตื่นเช้าแบบหนาวๆ ใต้ผ้าห่มหนา 3 ชั้นพร้อมกับความคิดที่ว่า “รู้งี้ใส่ชุดขี่

มอเตอร์ไซค์นอนไปเลยดีกว่า” เพราะอากาศเย็นมาก เราเลยขออนุญาต “ไม่อาบน�้า” แล้วกัน! โปรแกรมของเราวันนี้ไม่มีการขี่โหดๆ เหมือนเมื่อ 2 วันก่อน ที่เราต้องท�าก็คือ “ออกส�ารวจ” Cameron Highland (คาเมรอน ไฮแลนด์) หรือที่ราบสูงคาเมรอนนั่นแหละ โชคดีที่วันนี้เราขี่เที่ยวกันแบบตัวเปล่าไม่ต้องมีสัมภาระเกะกะท้ายรถ แต่โชคร้ายของผมก็คือ “ผมโดนหลอก” เรื่องของเรื่องก็คือ หัวหน้าทริป Izan บอกว่า “วันนี้ไม่ต้องขี่โหดๆ แต่งตัวชิลล์ๆ ไปก็ได้ แต่ถ้ากลัวหนาวใส่ชุดไรดิ้งเกียร์ไปก็ดี แต่รองเท้าเอาที่มันเดินสบายๆ นะ”….ด้วยความกลัวหนาวก็เลยต้องใส่ชุดไรดิ้งเกียร์ แต่ข้างล่างเป็นรองเท้าแตะ...ก็เค้าบอกว่าใส่สบายๆ นี่นา! อุ่นทั้งตัวแต่สุดท้ายก็มาหนาวที่เท้า...บรื๋ออ

ก้าวแรกที่เดินออกจากห้องก็ต้องขนลุก...แต่ไม่ใช่เพราะความหนาว เป็นเพราะบรรยากาศที่นี่ สีเขียวชะอุ่มที่ห้อมล้อมรอบตัวเราประกอบไปด้วยต้นสนหลากหสายพันธุ์ที่พบเห็นได้เฉพาะในเขตหนาว ต้นไม้แปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นในเมืองไทย ไอหมอกที่สังเกตได้ชัดแถมมีไอความร้อนออกจากปากเวลาพูด แสงแดดถูกทอนความร้อนและความแรงด้วยหมอกที่ปกคลุมพื้นที่ ความรู้สึกตอนนี้มีแค่ความตื่นเต้นจนลืมความหนาวไปเลยทีเดียว...จัดการมื้อเช้าที่โรงแรมเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทางส�ารวจคาเมรอนกันซะที จุดหมายแรกของวันนี้คือ BOH Teh Plantation

�� BOH�Teh�plantationจากโรงแรมที่พักขี่กันแบบเรื่อยๆ ผ่านตลาดสตรอเบอรี่ที่มองไปทางไหนก็

เห็นแต่สตรอเบอรี่เต็มไปหมด...ผ่านไป 30 นาที (เพราะรถติด) ก็มาถึงแยกที่เลี้ยวซ้ายเพื่อขึ้นเขาไปดูไร่ชากัน ถนนที่เคยลาดยางกลายเป็นทางขรุขระผสมกับทางปูนและทางลาดยางเป็นบางช่วง จังหวะเลี้ยวมุมเขาต้องคอยบีบแตรบอกว่า “เราก�าลังจะมา”…แต่ถ้ามีเสียงบอกกลับมาว่า “เราก็ก�าลังจะไป” ก็ให้หยุดชิดด้านในเขาเพื่อให้รถวิ่งสวนทางไปก่อน *ห้ามขี่แบบเรซซิ่งเข่าเช็ดพื้นหรือขี่เบียดเขาแบบใน TT Isle of Man เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะได้ลงไปดูยอดชาเขียวแบบใกล้ชิด! ไม่นานเราก็ถูกรอบล้อมด้วยไร่ชาขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะมองขึ้นไปหรือมองลงมาก็จะเห็นแต่ไร่ชาไกลสุดลูกหูลูกตา...

ว่าแต่ท�าไมไร่ชาบางไร่ ต้นชาบางต้นมันเป็นพุ่มๆ สีน�้าตาลล่ะ?...ไปหาค�าตอบกัน ใช้เวลาขี่บนเขาประมาณ 15 นาทีเราก็มาถึง BOH Teh Plantation ไร่ชาชื่อดังของที่นี่ นอกจากศูนย์การเรียนรู้และประวัติความเป็นมาของชายี่ห้อ BOH แล้วยังมีร้านชาของของตัวเอง ทีเด็ดมันอยู่ที่ร้านชาของ BOH สร้างยื่นออกไปจากภูเขาอีกที ฟิลคล้ายยืนอยู่บนภูชี้ฟ้าที่มองลงไปด้านล่างจะเห็นเป็นไรชา...เรียกได้ว่าเห็นวิวแบบ 360 องศากันไปเลย มาถึงไร่ชาก็ต้องลองชิมชารสชาติขึ้นชื่อดู...ที่เราลองทดสอบเป็น BOH Gold Blend วิธีชงชาที่นี่คือ...ใส่ชาลงไปในกาน�้าร้อน จากนั้นเมื่อต้องการดื่มก็ใช้ “กระชอน” ที่ปากถ้วยชาแล้วรินน�้าชาออกจากกา จากนั้นเติมน�้าตาลหรือนมหรือไม่ใส่อะไรเลยก็ได้แล้วจิบดู ยิ่งถ้าจิบคู่กับชีสเค้กหรือพายร้อนๆ แล้วล่ะก็รับรองว่าไม่อยากลุกไปไหนเลยทีเดียว....เช้าๆ แบบนี้ชาหอมๆ ร้อนๆ ไล่ความหนาวและความหิวเป็นที่เรียบร้อยก็ถึงเวลาออกทัวร์ที่หมายต่อไป….ป่ามอส สวนผีเสื้อ ไร่สตรอเบอรี่และอุโมงค์กาลเวลา

�� Mossy�Forest�กับหมอกเวทมนตร์ตลอดทั้งปีเคลื่อนพลจากไร่ชามาที่ Mossy Forest (ป่ามอส) ซึ่งอยู่เหนือไร่ชาขึ้นมา

ไม่ไกลนัก แม้ Mossy Forest จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เมื่อได้ลองเดินไต่ตามบันใดไม้ขึ้นไปจะพบกับ “พรมมอส” และทะเลหมอกและไอเย็นที่ถูกพัดมาจากพื้นที่ว่างเปล่าสีขาว (มองไม่เห็นจริงๆ ว่ามันคืออะไร) พื้นทางเดินที่ชื้นแฉะ กิ่งไม้ขนาดใหญ่พาดขวางระหว่างทางให้เราเลือกระหว่างการปีนข้ามหรือลอดไป มอสรูปทรงแปลกๆ ที่ไม่เคยพบเห็นที่บ้านเรา...นี่ยังส�ารวจไม่ทันทั่ว Cameron เลย แค่นี้ก็รู้สึกว่าคุ้มค่าซะแล้ว! สูดอากาศเย็นบริสุทธิ์เข้าปอดให้เต็มที่ ต่อไปเป็นอุโมงค์กาลเวลา !?

�� ทะลุมิติย้อนเวลากับ�Time�Tunnelจากยอดเขากลับลงมาที่ระดับที่ราบสูงอีกครั้ง ขาลงเรา

แวะดูต้นไม้แปลกๆ และผีเสื้อที่สวนผีเสื้อ จากนั้นก็ขี่ย้อนกลับมาทางเก่า ไม่นานนักเราก็มาถึง Time Tunnel (อุโมงค์กาลเวลา) สถานที่ท่องเที่ยวที่บางคนก็ขับรถผ่านไปโดยไม่รู้ว่ามันคืออะไร หน้าตาภายนอกดูเหมือนเพิงไม้ที่แฝงตัวอยู่กับที่พักรถและร้านอาหาร แต่เมื่อได้เข้าไปด้านในก็จะรู้ว่ามันคือ “พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์” ดีๆ นี่เอง อารมณ์ที่ได้รับคล้ายกับการเข้าไปดู Ripley’s Believe it or Not ที่พัทยา แต่เนื่องจากเค้ารวบรวมเอาสิ่งของจากยุคเก่าตั้งแต่เริ่มสร้างประเทศมาเลเซียมาจนถึงปัจจุบันเอาไว้ มีทั้งของเก่าที่ยังสภาพดีอย่างกระป๋องไมโลอายุ 60 ปี ถ่านไฟฉายรุ่นแรก และความเป็นมาว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้เข้ามามีบทบาทในมาเลเซียได้ยังไง เราใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงเพื่อเดินชมของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ยังคงสภาพเหมือนใหม่...ที่ส�าคัญการจัดวางของโชว์ของที่นี่ค่อนข้างใกล้ชิดกับผู้ชมจนสามารถสัมผัสได้ มีก็แค่ของชิ้นเล็กที่มีมูลค่ามากที่ต้องเก็บไว้ในตู้กระจก ที่ถูกใจเพื่อนร่วมทริปชาวนิวซีแลนด์ที่สุดคงจะเป็นแผ่นเสียงวงโปรดจากวันวานที่เคยฟัง การที่ได้เห็นแผ่นเสียงเพลงร็อครุ่นคุณพ่ออีกครั้ง

�� Time�Tunnel�Café กาแฟสตรอเบอรี่รสดีกับขนมปังไข่ลวกหัวหน้าแก๊งค์พาเดินออกจากถ�้ากาลเวลาแล้วเลี้ยวซ้ายไปยัง Time Tunnel Café ดูเหมือนเมนู

เด็ดของที่นี่จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากสตรอเบอรี่ เมื่อบวกเอานิสัยการดื่มชาและกาแฟของคนมาเลเซียเข้ากันผลิตผลของพื้นที่นี้จึงท�าให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมานั่นก็คือ “กาแฟสดสตรอเบอรี่” กลิ่นหอมของกาแฟกับขนมปังกระเทียมคู่ซุปเห็ดและขนมปังที่ราดหน้าด้วยไข่ลวกช่างเป็นอะไรที่ชื่นใจที่สุด จุดเด่นของร้านกาแฟ Time Nunnel Café อยู่ที่วิวของไร่สตรอเบอรี่ที่สามารถมองผ่านหน้าต่างลงไปเห็นคนงานก�าลังดูแลและเก็บสตรอเบอรี่กันแบบสดๆ มองดูนาฬิกาก็พบว่าเวลาล่วงเลยมาถึงเกือบ 4 โมงเย็น ได้เวลาพักผ่อนเก็บเกี่ยวบรรยากาศพระอาทิตย์ตกที่โรงแรมซะที วันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนจะโบกมือลาที่ราบสูงคาเมรอนในเช้าวันพรุ่งนี้…

ในที่สุด FRM ก็สามารถพิชิตภูเขาลูกที่ 3 ได้ส�าเร็จแถมเก็บภาพบรรยากาศสวยๆ มาฝากคุณผู้อ่านให้รู้สึกเหมือนได้ไปอยู่ที่นั่นกับเราเลยทีเดียว เล่มหน้าเราจะออกเดินทางไปต่อยังภูเขาลูกที่ 4 Titiwangsa กับป่าฝนเขตร้อน !?

For Ride Magazine February 2013For Ride Magazine February 201348 49

Page 49: FRM issue 4 (Febuary 2013)

DISCOVERING THE CAMERON HIGHLANDTH

E JO

UR

NEY

�� ไร่ชา�ฟาร์มสตรอเบอรี่�อุโมงค์กาลเวลาและป่าฝน!ตื่นเช้าแบบหนาวๆ ใต้ผ้าห่มหนา 3 ชั้นพร้อมกับความคิดที่ว่า “รู้งี้ใส่ชุดขี่

มอเตอร์ไซค์นอนไปเลยดีกว่า” เพราะอากาศเย็นมาก เราเลยขออนุญาต “ไม่อาบน�้า” แล้วกัน! โปรแกรมของเราวันนี้ไม่มีการขี่โหดๆ เหมือนเมื่อ 2 วันก่อน ที่เราต้องท�าก็คือ “ออกส�ารวจ” Cameron Highland (คาเมรอน ไฮแลนด์) หรือที่ราบสูงคาเมรอนนั่นแหละ โชคดีที่วันนี้เราขี่เที่ยวกันแบบตัวเปล่าไม่ต้องมีสัมภาระเกะกะท้ายรถ แต่โชคร้ายของผมก็คือ “ผมโดนหลอก” เรื่องของเรื่องก็คือ หัวหน้าทริป Izan บอกว่า “วันนี้ไม่ต้องขี่โหดๆ แต่งตัวชิลล์ๆ ไปก็ได้ แต่ถ้ากลัวหนาวใส่ชุดไรดิ้งเกียร์ไปก็ดี แต่รองเท้าเอาที่มันเดินสบายๆ นะ”….ด้วยความกลัวหนาวก็เลยต้องใส่ชุดไรดิ้งเกียร์ แต่ข้างล่างเป็นรองเท้าแตะ...ก็เค้าบอกว่าใส่สบายๆ นี่นา! อุ่นทั้งตัวแต่สุดท้ายก็มาหนาวที่เท้า...บรื๋ออ

ก้าวแรกที่เดินออกจากห้องก็ต้องขนลุก...แต่ไม่ใช่เพราะความหนาว เป็นเพราะบรรยากาศที่นี่ สีเขียวชะอุ่มที่ห้อมล้อมรอบตัวเราประกอบไปด้วยต้นสนหลากหสายพันธุ์ที่พบเห็นได้เฉพาะในเขตหนาว ต้นไม้แปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นในเมืองไทย ไอหมอกที่สังเกตได้ชัดแถมมีไอความร้อนออกจากปากเวลาพูด แสงแดดถูกทอนความร้อนและความแรงด้วยหมอกที่ปกคลุมพื้นที่ ความรู้สึกตอนนี้มีแค่ความตื่นเต้นจนลืมความหนาวไปเลยทีเดียว...จัดการมื้อเช้าที่โรงแรมเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทางส�ารวจคาเมรอนกันซะที จุดหมายแรกของวันนี้คือ BOH Teh Plantation

�� BOH�Teh�plantationจากโรงแรมที่พักขี่กันแบบเรื่อยๆ ผ่านตลาดสตรอเบอรี่ที่มองไปทางไหนก็

เห็นแต่สตรอเบอรี่เต็มไปหมด...ผ่านไป 30 นาที (เพราะรถติด) ก็มาถึงแยกที่เลี้ยวซ้ายเพื่อขึ้นเขาไปดูไร่ชากัน ถนนที่เคยลาดยางกลายเป็นทางขรุขระผสมกับทางปูนและทางลาดยางเป็นบางช่วง จังหวะเลี้ยวมุมเขาต้องคอยบีบแตรบอกว่า “เราก�าลังจะมา”…แต่ถ้ามีเสียงบอกกลับมาว่า “เราก็ก�าลังจะไป” ก็ให้หยุดชิดด้านในเขาเพื่อให้รถวิ่งสวนทางไปก่อน *ห้ามขี่แบบเรซซิ่งเข่าเช็ดพื้นหรือขี่เบียดเขาแบบใน TT Isle of Man เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะได้ลงไปดูยอดชาเขียวแบบใกล้ชิด! ไม่นานเราก็ถูกรอบล้อมด้วยไร่ชาขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะมองขึ้นไปหรือมองลงมาก็จะเห็นแต่ไร่ชาไกลสุดลูกหูลูกตา...

ว่าแต่ท�าไมไร่ชาบางไร่ ต้นชาบางต้นมันเป็นพุ่มๆ สีน�้าตาลล่ะ?...ไปหาค�าตอบกัน ใช้เวลาขี่บนเขาประมาณ 15 นาทีเราก็มาถึง BOH Teh Plantation ไร่ชาชื่อดังของที่นี่ นอกจากศูนย์การเรียนรู้และประวัติความเป็นมาของชายี่ห้อ BOH แล้วยังมีร้านชาของของตัวเอง ทีเด็ดมันอยู่ที่ร้านชาของ BOH สร้างยื่นออกไปจากภูเขาอีกที ฟิลคล้ายยืนอยู่บนภูชี้ฟ้าที่มองลงไปด้านล่างจะเห็นเป็นไรชา...เรียกได้ว่าเห็นวิวแบบ 360 องศากันไปเลย มาถึงไร่ชาก็ต้องลองชิมชารสชาติขึ้นชื่อดู...ที่เราลองทดสอบเป็น BOH Gold Blend วิธีชงชาที่นี่คือ...ใส่ชาลงไปในกาน�้าร้อน จากนั้นเมื่อต้องการดื่มก็ใช้ “กระชอน” ที่ปากถ้วยชาแล้วรินน�้าชาออกจากกา จากนั้นเติมน�้าตาลหรือนมหรือไม่ใส่อะไรเลยก็ได้แล้วจิบดู ยิ่งถ้าจิบคู่กับชีสเค้กหรือพายร้อนๆ แล้วล่ะก็รับรองว่าไม่อยากลุกไปไหนเลยทีเดียว....เช้าๆ แบบนี้ชาหอมๆ ร้อนๆ ไล่ความหนาวและความหิวเป็นที่เรียบร้อยก็ถึงเวลาออกทัวร์ที่หมายต่อไป….ป่ามอส สวนผีเสื้อ ไร่สตรอเบอรี่และอุโมงค์กาลเวลา

�� Mossy�Forest�กับหมอกเวทมนตร์ตลอดทั้งปีเคลื่อนพลจากไร่ชามาที่ Mossy Forest (ป่ามอส) ซึ่งอยู่เหนือไร่ชาขึ้นมา

ไม่ไกลนัก แม้ Mossy Forest จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เมื่อได้ลองเดินไต่ตามบันใดไม้ขึ้นไปจะพบกับ “พรมมอส” และทะเลหมอกและไอเย็นที่ถูกพัดมาจากพื้นที่ว่างเปล่าสีขาว (มองไม่เห็นจริงๆ ว่ามันคืออะไร) พื้นทางเดินที่ชื้นแฉะ กิ่งไม้ขนาดใหญ่พาดขวางระหว่างทางให้เราเลือกระหว่างการปีนข้ามหรือลอดไป มอสรูปทรงแปลกๆ ที่ไม่เคยพบเห็นที่บ้านเรา...นี่ยังส�ารวจไม่ทันทั่ว Cameron เลย แค่นี้ก็รู้สึกว่าคุ้มค่าซะแล้ว! สูดอากาศเย็นบริสุทธิ์เข้าปอดให้เต็มที่ ต่อไปเป็นอุโมงค์กาลเวลา !?

�� ทะลุมิติย้อนเวลากับ�Time�Tunnelจากยอดเขากลับลงมาที่ระดับที่ราบสูงอีกครั้ง ขาลงเรา

แวะดูต้นไม้แปลกๆ และผีเสื้อที่สวนผีเสื้อ จากนั้นก็ขี่ย้อนกลับมาทางเก่า ไม่นานนักเราก็มาถึง Time Tunnel (อุโมงค์กาลเวลา) สถานที่ท่องเที่ยวที่บางคนก็ขับรถผ่านไปโดยไม่รู้ว่ามันคืออะไร หน้าตาภายนอกดูเหมือนเพิงไม้ที่แฝงตัวอยู่กับที่พักรถและร้านอาหาร แต่เมื่อได้เข้าไปด้านในก็จะรู้ว่ามันคือ “พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์” ดีๆ นี่เอง อารมณ์ที่ได้รับคล้ายกับการเข้าไปดู Ripley’s Believe it or Not ที่พัทยา แต่เนื่องจากเค้ารวบรวมเอาสิ่งของจากยุคเก่าตั้งแต่เริ่มสร้างประเทศมาเลเซียมาจนถึงปัจจุบันเอาไว้ มีทั้งของเก่าที่ยังสภาพดีอย่างกระป๋องไมโลอายุ 60 ปี ถ่านไฟฉายรุ่นแรก และความเป็นมาว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้เข้ามามีบทบาทในมาเลเซียได้ยังไง เราใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงเพื่อเดินชมของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ยังคงสภาพเหมือนใหม่...ที่ส�าคัญการจัดวางของโชว์ของที่นี่ค่อนข้างใกล้ชิดกับผู้ชมจนสามารถสัมผัสได้ มีก็แค่ของชิ้นเล็กที่มีมูลค่ามากที่ต้องเก็บไว้ในตู้กระจก ที่ถูกใจเพื่อนร่วมทริปชาวนิวซีแลนด์ที่สุดคงจะเป็นแผ่นเสียงวงโปรดจากวันวานที่เคยฟัง การที่ได้เห็นแผ่นเสียงเพลงร็อครุ่นคุณพ่ออีกครั้ง

�� Time�Tunnel�Café กาแฟสตรอเบอรี่รสดีกับขนมปังไข่ลวกหัวหน้าแก๊งค์พาเดินออกจากถ�้ากาลเวลาแล้วเลี้ยวซ้ายไปยัง Time Tunnel Café ดูเหมือนเมนู

เด็ดของที่นี่จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากสตรอเบอรี่ เมื่อบวกเอานิสัยการดื่มชาและกาแฟของคนมาเลเซียเข้ากันผลิตผลของพื้นที่นี้จึงท�าให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมานั่นก็คือ “กาแฟสดสตรอเบอรี่” กลิ่นหอมของกาแฟกับขนมปังกระเทียมคู่ซุปเห็ดและขนมปังที่ราดหน้าด้วยไข่ลวกช่างเป็นอะไรที่ชื่นใจที่สุด จุดเด่นของร้านกาแฟ Time Nunnel Café อยู่ที่วิวของไร่สตรอเบอรี่ที่สามารถมองผ่านหน้าต่างลงไปเห็นคนงานก�าลังดูแลและเก็บสตรอเบอรี่กันแบบสดๆ มองดูนาฬิกาก็พบว่าเวลาล่วงเลยมาถึงเกือบ 4 โมงเย็น ได้เวลาพักผ่อนเก็บเกี่ยวบรรยากาศพระอาทิตย์ตกที่โรงแรมซะที วันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนจะโบกมือลาที่ราบสูงคาเมรอนในเช้าวันพรุ่งนี้…

ในที่สุด FRM ก็สามารถพิชิตภูเขาลูกที่ 3 ได้ส�าเร็จแถมเก็บภาพบรรยากาศสวยๆ มาฝากคุณผู้อ่านให้รู้สึกเหมือนได้ไปอยู่ที่นั่นกับเราเลยทีเดียว เล่มหน้าเราจะออกเดินทางไปต่อยังภูเขาลูกที่ 4 Titiwangsa กับป่าฝนเขตร้อน !?

For Ride Magazine February 2013For Ride Magazine February 201348 49

Page 50: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Speed-R AE:When you can save the world!

ปีใหม่ก็ต้องมีอะไรใหม่เข้ามาให้ดูกันบ้าง งานนี้บริษัทผู้ผลิตชุดหนังชื่อดังจากไต้หวันเข้ามาจับมือกับ FRM ส่งชุดแข่งตัวเก่งมาให้เราได้ทดสอบกัน โชคดีที่ได้เข้าร่วมงานทดสอบรถสุดยิ่งใหญ่แห่งปี “Bike of The Year 2013” ท�าให้เรามีโอกาสได้ใส่ชุดหนังตัวนี้ลงทดสอบในสนามไปด้วยในตัว...ลองอ่านบททดสอบนี้ดูแล้วจะรู้ว่า “ของไต้หวันก็มีดี”

�� ประวัติความเป็นมาของ�Speed-R

บริษัทผู้ผลิตชุดหนังงและชุดขับขี่มอเตอร์ไซค์ Speed-R อยู่ในวงการนี้มากว่า 30 ปีแล้วครับ ที่ส�าคัญเป็นแบรนด์ที่มีต้นก�าเนิดในประเทศไต้หวัน เรียกว่าผลิตเองแล้วก็ขายให้คนในประเทศได้ใช้กันเอง จนเริ่มได้รับความนิยมและเริ่มแพร่หลายในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยด้วย สาเหตุที่ Speed-R ได้รับความนิยมก็เพราะราคาค่าตัวที่ไม่แรงมากบวกกับคุณภาพชิ้นงานที่ “เซฟ” ได้มาตรฐาน เชื่อว่าไม่มีใครอยากขี่รถแล้วล้มหรอกครับ แต่ถ้ามีชุดขี่มอเตอร์ไซค์ดีๆ ซักชุดก็คงช่วยผ่อนหนักเป็นเบา ลดอาการบาดเจ็บจากการล้มทั้งในสนามและบนถนนจริง เรามาดูกันว่าชุดหนังราคา “หมื่นกลางๆ” จะมีคุณภาพเป็นยังไงกันบ้าง?

�� Speed-R�AE�The�limited�American�Flag�Edition

โดยมากเวลาดูงานแข่งตามสนามต่างๆ เราก็เห็นแต่ชุดหนังสีด�า-ขาว แดง ฟ้า ขาว แต่ครั้งแรกที่ได้เห็นชุด Speed-R AE นี้ในแคตตาล็อกเราก็รู้สึกปิ๊งขึ้นมาทันที แล้ว Speed-R ที่ไต้หวันก็อนุมัติจัดชุดไซส์ 56 มาให้ทดสอบ ครั้งแรกที่แกะกล่องออกรู้สึกได้ว่า “กลิ่นชุดหนังใหม่” มันช่างหอมซะจริง ชุดที่ส่งมามีพลาสติกหุ้มอย่างดีโดยเฉพาะในส่วนของการ์ดไททาเนี่ยม ส�ารวจดูรอบๆ ชุดพบว่างานเนื้อหนังและสีค่อนข้างเนียม ลองดึงและพับชุดหนังพบว่าไม่มีอาการ “แตก” ของสี

ชุดหนังตัวนี้มาพร้อมการ์ดอ่อนที่ศอก การ์ดอ่อนที่ไหล่ และการ์ดแข็งที่เข่า บริเวณกลางหลังเป็นการ์ดอ่อน ลองสวมใส่ดูพบว่าไซส์ 56 พอดีกับส่วนสูง 189 ซม. ทั้งไหล่ศอกและเข่าเข้าล็อคลงตัว ลองขยับซ้ายขวาพร้อมเปลี่ยนท่าเป็นนั่งหมอบก็พบว่าคล่องตัว ที่เราชอบก็คงจะเป็นโหนกหลังที่ใหญ่แต่นุ่ม เมื่อลองสวมหมวกกันน็อคแล้วท�าท่าเสมือนขี่รถสปอร์ตก็พบว่าโหนกหลังเว้าเป็นร่องเข้ากับหมวกกันน็อคได้พอดีไม่มีการติดขัด มีจุดสังเกตเล็กน้อยตรงข้อมือที่รู้สึกว่าข้อมือค่อนข้างกว้าง (เค้าอาจออกแบบมาส�าหรับคนตัวใหญ่แขนใหญ่)...โดยรวมส�าหรับการลองสวมใส่เป็นเวลา 15 นาทีนับว่าโอเค แต่ใส่ชุดหนังทั้งทีก็ต้องลองใส่ขี่ในสนามแข่งดู!

�� Speed-R�AE�Track�Test

ช่วงแรกที่สวมชุด Speed-R อยู่กับที่ก็รู้สึกได้ถึงความร้อน แต่เมื่อลมพัดผ่านก็รู้สึกถึงความเย็นที่ผ่านรูเล็กๆ ของชุดหนังเข้ามากระทบกับตัวนักทดสอบ เมื่อได้ลองขี่รถวนรอบสนามความร้อนที่มีก็หายไปสายลมและความเร็วของรถ เรียกได้ว่าชุด Speed-R มีการระบายความร้อนผ่านรูเล็กๆ และจุดระบายความร้อนที่ไหล่และข้อศอกได้ดี ใช้เวลาอยู่ในสนามเป็นชั่วโมงก็ยังคงรู้สึกสบายไม่ร้อนจนละลายอยู่ในชุด เริ่มจากการทดสอบขี่รถออโตเมติก...ชุดหนังตัวนี้สามารถให้ตัวได้สามารถนั่งท่าขี่รถออโตเมติกทั่วไปได้สะดวก แม้ว่ารถบางรุ่นจะเล็กจนท�าให้เข่าต้องมากเป็นพิเศษ แต่บริเวณหัวเข่าและก้นกบมีส่วนที่สามารถยืดได้ท�าให้สามารถปรับท่านั่งให้เข้ากับรถได้อย่างลงตัว เมื่อเปลี่ยนมาขี่รถที่ใหญ่ขึ้นอย่าง CBR 250 ก็พบว่าทุกจุกหมุนของร่างกายไม่ว่าจะเป็นศอก เข่า หรือ ไหล่ก็สามารถขยับได้อย่างอิสระ แม้จะถูกจ�ากัดด้วยการ์ดตามจุดต่างๆ แต่ร่างกายสามารถขยับได้ตามมุมที่ควรจะเป็น ไม่ฝืนและไม่หลวมเกินไป Speed-R เมื่อโดนเหงื่อก็เริ่มฟิตกระชับเข้ากับร่างกายแต่ด้วยไซส์ 56 ซึ่งพอดีกับตัวนักทดสอบเป๊ะกลับไม่ท�าให้รู้สึกอึดอัดจนกระทั่งจบการทดสอบ...เมื่อลองหมอบบนรถสปอร์ตก็รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ ทั้งโหนกหลังที่แนบไปกับหมวกกันน็อคแถมยังมีพื้นที่ให้ขยับหัวได้เล็กน้อย ข้อศอกและเข่าสามารถล็อคกับตัวรถได้พอดี มีจุดสังเกตนิดเดียวคือบริเวณเป้ากางเกงที่ต�่าท�าให้ขยับตัวได้ล�าบาก (อารมณ์เหมือนใส่กางเกงหลุดก้น) แต่คาดว่าปัญหาน่าจะมาจากต้นขาที่ใหญ่เกินไปของนักทดสอบเอง...ส�าหรับชุดหนังราคาหมื่นกลางๆ ที่ตัดออกมาเป็นค่ามาตรฐานส�าหรับรองรับกับคนไซส์อย่างเราสามารถรองรับการขับขี่หลายชั่วโมงในสนามได้ขนาดนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้วครับ อาจมีบางคนบอกว่า...ชุดหนังที่ดีต้องสั่งตัดให้พอดีกับตัว...แต่ถ้างบประมาณมีไม่มากบวกกับเป็นห่วงในความปลอดภัยของตัวเอง...Speed-R เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีครับ ส�าหรับคนที่มีค�าถามว่า “มาจากไต้หวันแบบนี้แล้วมีขายในไทยมั้ย?” มีครับที่ร้าน ProShop Paddock ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมที่ 02-692-7000 ว่าแล้วก็มาดูคะแนนกันดีกว่า

Design : 10/10 ลายกัปตันอเมริกาพร้อมโหนกลายธงชาติถูกใจที่สุด

Material : 9/10 ช่วงช้ินส่วนที่เป็นผ้าควรจะเป็นผ้าที่ยืดและให้ตัวได้มากกว่านี้ แต่บวกคะแนนให้กับการ์ดไททาเน่ียม

Fitness : 9/10 มีช่วงข้อมือที่ใหญ่ไปหน่อยและช่วงขาที่เล็กไปนิด...แต่คงต้องโทษตัวเองก่อนที่อ้วนเอง

Performance : 9/10 ระบายความร้อนดีใส่กระชับเคลื่อนไหวคล่องตัว (ยังไม่เคยลองล้มดูว่ามันช่วยป้องกันได้ดีแค่ไหน)

Price : 10/10 สมราคา! ราคาขายในประเทศไต้หวันอยู่ที่ 16,800 บาท (ที่ร้าน Paddock ขายอยู่ที่ 14,500 บาท)

FRM Score :

For Ride Magazine February 2013For Ride Magazine February 201350 51

Page 51: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Speed-R AE:When you can save the world!

ปีใหม่ก็ต้องมีอะไรใหม่เข้ามาให้ดูกันบ้าง งานนี้บริษัทผู้ผลิตชุดหนังชื่อดังจากไต้หวันเข้ามาจับมือกับ FRM ส่งชุดแข่งตัวเก่งมาให้เราได้ทดสอบกัน โชคดีที่ได้เข้าร่วมงานทดสอบรถสุดยิ่งใหญ่แห่งปี “Bike of The Year 2013” ท�าให้เรามีโอกาสได้ใส่ชุดหนังตัวนี้ลงทดสอบในสนามไปด้วยในตัว...ลองอ่านบททดสอบนี้ดูแล้วจะรู้ว่า “ของไต้หวันก็มีดี”

�� ประวัติความเป็นมาของ�Speed-R

บริษัทผู้ผลิตชุดหนังงและชุดขับขี่มอเตอร์ไซค์ Speed-R อยู่ในวงการนี้มากว่า 30 ปีแล้วครับ ที่ส�าคัญเป็นแบรนด์ที่มีต้นก�าเนิดในประเทศไต้หวัน เรียกว่าผลิตเองแล้วก็ขายให้คนในประเทศได้ใช้กันเอง จนเริ่มได้รับความนิยมและเริ่มแพร่หลายในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยด้วย สาเหตุที่ Speed-R ได้รับความนิยมก็เพราะราคาค่าตัวที่ไม่แรงมากบวกกับคุณภาพชิ้นงานที่ “เซฟ” ได้มาตรฐาน เชื่อว่าไม่มีใครอยากขี่รถแล้วล้มหรอกครับ แต่ถ้ามีชุดขี่มอเตอร์ไซค์ดีๆ ซักชุดก็คงช่วยผ่อนหนักเป็นเบา ลดอาการบาดเจ็บจากการล้มทั้งในสนามและบนถนนจริง เรามาดูกันว่าชุดหนังราคา “หมื่นกลางๆ” จะมีคุณภาพเป็นยังไงกันบ้าง?

�� Speed-R�AE�The�limited�American�Flag�Edition

โดยมากเวลาดูงานแข่งตามสนามต่างๆ เราก็เห็นแต่ชุดหนังสีด�า-ขาว แดง ฟ้า ขาว แต่ครั้งแรกที่ได้เห็นชุด Speed-R AE นี้ในแคตตาล็อกเราก็รู้สึกปิ๊งขึ้นมาทันที แล้ว Speed-R ที่ไต้หวันก็อนุมัติจัดชุดไซส์ 56 มาให้ทดสอบ ครั้งแรกที่แกะกล่องออกรู้สึกได้ว่า “กลิ่นชุดหนังใหม่” มันช่างหอมซะจริง ชุดที่ส่งมามีพลาสติกหุ้มอย่างดีโดยเฉพาะในส่วนของการ์ดไททาเนี่ยม ส�ารวจดูรอบๆ ชุดพบว่างานเนื้อหนังและสีค่อนข้างเนียม ลองดึงและพับชุดหนังพบว่าไม่มีอาการ “แตก” ของสี

ชุดหนังตัวนี้มาพร้อมการ์ดอ่อนที่ศอก การ์ดอ่อนที่ไหล่ และการ์ดแข็งที่เข่า บริเวณกลางหลังเป็นการ์ดอ่อน ลองสวมใส่ดูพบว่าไซส์ 56 พอดีกับส่วนสูง 189 ซม. ทั้งไหล่ศอกและเข่าเข้าล็อคลงตัว ลองขยับซ้ายขวาพร้อมเปลี่ยนท่าเป็นนั่งหมอบก็พบว่าคล่องตัว ที่เราชอบก็คงจะเป็นโหนกหลังที่ใหญ่แต่นุ่ม เมื่อลองสวมหมวกกันน็อคแล้วท�าท่าเสมือนขี่รถสปอร์ตก็พบว่าโหนกหลังเว้าเป็นร่องเข้ากับหมวกกันน็อคได้พอดีไม่มีการติดขัด มีจุดสังเกตเล็กน้อยตรงข้อมือที่รู้สึกว่าข้อมือค่อนข้างกว้าง (เค้าอาจออกแบบมาส�าหรับคนตัวใหญ่แขนใหญ่)...โดยรวมส�าหรับการลองสวมใส่เป็นเวลา 15 นาทีนับว่าโอเค แต่ใส่ชุดหนังทั้งทีก็ต้องลองใส่ขี่ในสนามแข่งดู!

�� Speed-R�AE�Track�Test

ช่วงแรกที่สวมชุด Speed-R อยู่กับที่ก็รู้สึกได้ถึงความร้อน แต่เมื่อลมพัดผ่านก็รู้สึกถึงความเย็นที่ผ่านรูเล็กๆ ของชุดหนังเข้ามากระทบกับตัวนักทดสอบ เมื่อได้ลองขี่รถวนรอบสนามความร้อนที่มีก็หายไปสายลมและความเร็วของรถ เรียกได้ว่าชุด Speed-R มีการระบายความร้อนผ่านรูเล็กๆ และจุดระบายความร้อนที่ไหล่และข้อศอกได้ดี ใช้เวลาอยู่ในสนามเป็นชั่วโมงก็ยังคงรู้สึกสบายไม่ร้อนจนละลายอยู่ในชุด เริ่มจากการทดสอบขี่รถออโตเมติก...ชุดหนังตัวนี้สามารถให้ตัวได้สามารถนั่งท่าขี่รถออโตเมติกทั่วไปได้สะดวก แม้ว่ารถบางรุ่นจะเล็กจนท�าให้เข่าต้องมากเป็นพิเศษ แต่บริเวณหัวเข่าและก้นกบมีส่วนที่สามารถยืดได้ท�าให้สามารถปรับท่านั่งให้เข้ากับรถได้อย่างลงตัว เมื่อเปลี่ยนมาขี่รถที่ใหญ่ขึ้นอย่าง CBR 250 ก็พบว่าทุกจุกหมุนของร่างกายไม่ว่าจะเป็นศอก เข่า หรือ ไหล่ก็สามารถขยับได้อย่างอิสระ แม้จะถูกจ�ากัดด้วยการ์ดตามจุดต่างๆ แต่ร่างกายสามารถขยับได้ตามมุมที่ควรจะเป็น ไม่ฝืนและไม่หลวมเกินไป Speed-R เมื่อโดนเหงื่อก็เริ่มฟิตกระชับเข้ากับร่างกายแต่ด้วยไซส์ 56 ซึ่งพอดีกับตัวนักทดสอบเป๊ะกลับไม่ท�าให้รู้สึกอึดอัดจนกระทั่งจบการทดสอบ...เมื่อลองหมอบบนรถสปอร์ตก็รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ ทั้งโหนกหลังที่แนบไปกับหมวกกันน็อคแถมยังมีพื้นที่ให้ขยับหัวได้เล็กน้อย ข้อศอกและเข่าสามารถล็อคกับตัวรถได้พอดี มีจุดสังเกตนิดเดียวคือบริเวณเป้ากางเกงที่ต�่าท�าให้ขยับตัวได้ล�าบาก (อารมณ์เหมือนใส่กางเกงหลุดก้น) แต่คาดว่าปัญหาน่าจะมาจากต้นขาที่ใหญ่เกินไปของนักทดสอบเอง...ส�าหรับชุดหนังราคาหมื่นกลางๆ ที่ตัดออกมาเป็นค่ามาตรฐานส�าหรับรองรับกับคนไซส์อย่างเราสามารถรองรับการขับขี่หลายชั่วโมงในสนามได้ขนาดนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้วครับ อาจมีบางคนบอกว่า...ชุดหนังที่ดีต้องสั่งตัดให้พอดีกับตัว...แต่ถ้างบประมาณมีไม่มากบวกกับเป็นห่วงในความปลอดภัยของตัวเอง...Speed-R เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีครับ ส�าหรับคนที่มีค�าถามว่า “มาจากไต้หวันแบบนี้แล้วมีขายในไทยมั้ย?” มีครับที่ร้าน ProShop Paddock ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมที่ 02-692-7000 ว่าแล้วก็มาดูคะแนนกันดีกว่า

Design : 10/10 ลายกัปตันอเมริกาพร้อมโหนกลายธงชาติถูกใจท่ีสุด

Material : 9/10 ช่วงชิ้นส่วนท่ีเป็นผ้าควรจะเป็นผ้าท่ียืดและให้ตัวได้มากกว่านี้ แต่บวกคะแนนให้กับการ์ดไททาเนี่ยม

Fitness : 9/10 มีช่วงข้อมือท่ีใหญ่ไปหน่อยและช่วงขาท่ีเล็กไปนิด...แต่คงต้องโทษตัวเองก่อนท่ีอ้วนเอง

Performance : 9/10 ระบายความร้อนดีใส่กระชับเคลื่อนไหวคล่องตัว (ยังไม่เคยลองล้มดูว่ามันช่วยป้องกันได้ดีแค่ไหน)

Price : 10/10 สมราคา! ราคาขายในประเทศไต้หวันอยู่ท่ี 16,800 บาท (ท่ีร้าน Paddock ขายอยู่ท่ี 14,500 บาท)

FRM Score :

For Ride Magazine February 2013For Ride Magazine February 201350 51

Page 52: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Forma Ice AB17Karel Abraham Edition:Color 'n Cool

รองเท้า Forma เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ไรดิ้งเกียร์จากอิตาลี่ที่น่าจับตามอง...ท�าไมต้อง Forma ? เพราะดีไซน์สวยถูกใจและที่ส�าคัญ “ไม่ซ�้าใคร” ส่วนที่มาของการเลือกสีรองเท้า “เตะตา” ขนาดนี้ก็เพื่อให้เข้ากับชุด Speed-R ซึ่งมีโทนสีน�้าเงิน-ขาว-แดงนั่นเอง เรามาเริ่มกันที่ “ที่มา” ของรุ่นพิเศษนี้กันดีกว่า

�� The�AB17

AB 17 เป็นชื่อย่อจากนักแข่ง MotoGP ลูกชายเจ้าของสนาม Brno แห่งตระกูล Abraham เค้าคือ Karel Abraham (คาเรล อับบราฮัม) ซึ่งเลขประจ�าตัวของเค้าคือเบอร์ 17 ปีที่แล้ว Karel เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับรองเท้า Forma ซึ่งเป็นธรรมเนียมของผู้ผลิตอุปกรณ์ขับขี่มอเตอร์ไซค์ทุกค่ายที่จะท�าชุดแข่งหรือรองเท้าเป็น “ลายพิเศษ” เพื่อบ่งบอกว่านักแข่งคนนี้แหละใส่อุปกรณ์ของเค้า ในที่สุด Forma ก็มีรองเท้าลายพิเศษสีเดียวกับรถและชุดแข่งของ Karel นั่นก็คือสีขาว ฟ้า แดง เป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัว...บริเวณหน้าเท้าจะมีลวดลายเบอร์ 17 พร้อมด้วยธงชาติของสาธารณรัฐเชคบ้านเกิดของเค้า...สวยภายนอก แล้วภายในล่ะใส่เป็นยังไง?

�� The�Performance�Bootsเนื่องจากนักทดสอบทั้ง 2 คนของ FRM ต่างก็เป็นแฟนของ Forma และเลือก

ใช้ Forma ในการทดสอบรถหรือเดินทางไกลอยู่แล้ว เราจึงสามารถบอกเล่าความรู้สึกและประสิทธิภาพของเจ้า Forma Ice ได้ดีเหมือนรีวิวเท้าตัวเองยังไงยังงั้น เริ่มจากนาทีแรกที่ได้ลองใส่ Forma Ice ก่อนเลย...รูปซิปทรงเฉียงด้านในเท้าลงไปจนสุด ปลดทุกอย่างที่ล็อคให้หมดแล้วลองสวมดู...เบอร์รองเท้าที่เราใช้คือ 45 แล้ว Forma คู่นี้ก็เข้ากับเท้าเราพอดีเป๊ะไม่ขาดไม่เกิน จากนั้นรูดซิปขึ้นพร้อมล็อคสายคาดที่หลังเท้า จากนั้นล็อคเบลท์ด้านหลังน่องให้พอกระชับ ในช่วงแรกบอกได้ว่าการสวมใส่หรือถอดรองเท้าคู่นี้ท�าได้ง่ายไม่ยุ่งยาก แค่ปลด 2 ล็อคแล้วรูปซิป เช่นเดียวกันกับตอนใส่....ข้อแตกต่างระหว่าง Forma Ice ธรรมดากับ Forma Ice AB17 คือ แผ่นผ้าปลายซิปเป็นผ้าไม่ใช่หนัง จุดนี้ไม่น่ามีผลกับการปกป้องเท้า ขยับต่อมาที่สายรัด...รุ่น AB17 จะมีสายรัดที่ยาวกว่า Ice ธรรมดาเหมาะกับคนน่องใหญ่ ส่วนคนที่ขาเล็กเกินไปก็สามารถขยับเลื่อนสายรัดขึ้นอีก 1 ล็อคได้เช่นกัน เมื่อลองยืนขึ้นจะรู้สึกถึงความต่างระดับเล็กน้อยของพื้น...จุดนี้แหละที่ท�าให้รู้สึกสบายเมื่อต้องขี่รถเป็นเวลานาน โดยเฉพาะรถสปอร์ตที่สามารถใช้ช่วงยกระดับใต้เท้าล็อคไว้กับพักเท้า จุดเด่นอีกจุดของ Forma Ice คือ “ช่องระบายอากาศเปิด-ปิดได้” บริเวณข้างเท้าด้านนอกจะเห็นช่องเปิด-ปิดแบบสไลด์ นั่นแหละช่องระบายความร้อนและดักลมเย็นเข้าไปเวลาขี่รถ เพราะ Forma รุ่นนี้ใส่แล้วรู้สึกเย็นจึงได้ชื่อรุ่นว่า Ice

�� Road�Tested�–�Track�nailedส�าหรับการทดสอบลงสนาม Forma Ice ให้ความรู้สึกมั่นใจช่วย

ให้การขับขี่สนุกขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เมื่อไม่มีเรื่องให้กังวลก็สามารถเดินคันเร่งได้อย่างมั่นใจ ชิ้นส่วนเสริมอย่าง Sensor ปลายเท้าท�าจากโลหะผสมประเภทอลูมิเนียมอย่างดีแถมหนาพอสมควร จากการลองขี่จนเซ็นเซอร์ครูดกับพื้นพบว่าต้องใช้เวลาพอสมควรชั้นโลหะจึงสึกเข้าไปจนถึงชั้นพลาสติกสุดท้าย ส�าหรับการขับขี่บนถนนแบบทัวริ่ง Forma Ice ก็ยังคงให้ความรู้สึกมั่นใจ กระชับตลอดการเดินทาง จุดเด่นที่รูระบายอากาศช่วยให้ความร้อนไม่เป็นอุปสรรคในการใส่รองเท้าบูทอีกต่อไป จุดหมุด Axial ตรงข้อเท้าที่เชื่อมชิ้นพลาสติก Chin Guard และข้อเท้าไว้ด้วยกัน แม้มันจะจ�ากัดองศาการขยับเท้าแต่ก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนท่านั่งขับขี่ได้อย่างคล่องตัว ในทางกลับกันตัวบล็อกเข้าเท้ากับช่วยให้ไม่เมื่อยเมื่อต้องอยู่บนหลังรถคู่ใจเป็นเวลานาน ตอกย�้าความเป็น “Ice” ด้วยลวดลายตรงบริเวณ “Gear Shifter” หรือตรงต�าแหน่งที่เท้าจะต้องสัมผัสกับคันเกียร์ นอกจากช่วยให้ไม่ลื่นและรู้สึกนุ่มเท้าเวลาเข้าเกียร์แล้วมันยังดู “เท่” มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองอีกด้วย สรุปว่า Forma Ice เป็นรองเท้าบูทอีก 1 รุ่นที่น่าสนใจ ทั้งวัสดุ การออกแบบ เทคโนโลยีและชิ้นส่วนป้องกันเท้าสุดรัก ตอนนี้โอกาสเป็นของคนที่ไม่อยากซ�้าใครแล้วครับกับ Forma Ice Karel Abraham AB17 Limited Edition

�� ซื้อได้ที่ไหน�?ไปที่ตัวแทนจ�าหน่ายอย่างเป็นทางการ

เลยครับ ที่ ProShop Paddock เค้ามี Forma ทุกรุ่นทุกสีทุกลายให้เลือก ส�าหรับ Forma Ice AB17 ที่เราใส่มีราคาค่าตัวอยู่ที่ 8,950 บาท....ส่วน Forma Ice ธรรมดามีค่าตัวอยู่ที่ 7,950 บาท ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมที่ 02-692-7000 หรือเข้าไปชมสีอื่นๆของ Forma ได้ที่ http://www.paddock.co.th

Design : 10/10 ไม่ใหญ่เกินไป ไม่เล็กเกินไป

Color : 10/10 สีเจ็บเตะตาโดนใจ

Protection : 9/10 ถ้วยตรงส้นเท้าน่าจะท�าจากโลหะเพ่ือการป้องกันสูงสุด แต่ส่วนอ่ืนพร้อมปกป้องดีเย่ียม

Comfortable : 9/10 รู้สึกบีบตรงนิ้วก้อยเล็กน้อยเมื่อต้องลงเดิน แต่เมื่อข่ีรถกับไม่รู้สึกอะไร

Price : 11/10 ถูกมากกกกก 8,950 เท่านั้น ส�าหรับลายพิเศษ!!

FRM Score :

ขอบคุณการสนับสนุนรองเท้าตัวจริงเสียงจริงจาก ProShop Paddock ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

For Ride Magazine February 2013For Ride Magazine February 201352 53

Page 53: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Forma Ice AB17Karel Abraham Edition:Color 'n Cool

รองเท้า Forma เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ไรดิ้งเกียร์จากอิตาลี่ที่น่าจับตามอง...ท�าไมต้อง Forma ? เพราะดีไซน์สวยถูกใจและที่ส�าคัญ “ไม่ซ�้าใคร” ส่วนที่มาของการเลือกสีรองเท้า “เตะตา” ขนาดนี้ก็เพื่อให้เข้ากับชุด Speed-R ซึ่งมีโทนสีน�้าเงิน-ขาว-แดงนั่นเอง เรามาเริ่มกันที่ “ที่มา” ของรุ่นพิเศษนี้กันดีกว่า

�� The�AB17

AB 17 เป็นชื่อย่อจากนักแข่ง MotoGP ลูกชายเจ้าของสนาม Brno แห่งตระกูล Abraham เค้าคือ Karel Abraham (คาเรล อับบราฮัม) ซึ่งเลขประจ�าตัวของเค้าคือเบอร์ 17 ปีที่แล้ว Karel เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับรองเท้า Forma ซึ่งเป็นธรรมเนียมของผู้ผลิตอุปกรณ์ขับขี่มอเตอร์ไซค์ทุกค่ายที่จะท�าชุดแข่งหรือรองเท้าเป็น “ลายพิเศษ” เพื่อบ่งบอกว่านักแข่งคนนี้แหละใส่อุปกรณ์ของเค้า ในที่สุด Forma ก็มีรองเท้าลายพิเศษสีเดียวกับรถและชุดแข่งของ Karel นั่นก็คือสีขาว ฟ้า แดง เป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัว...บริเวณหน้าเท้าจะมีลวดลายเบอร์ 17 พร้อมด้วยธงชาติของสาธารณรัฐเชคบ้านเกิดของเค้า...สวยภายนอก แล้วภายในล่ะใส่เป็นยังไง?

�� The�Performance�Bootsเนื่องจากนักทดสอบทั้ง 2 คนของ FRM ต่างก็เป็นแฟนของ Forma และเลือก

ใช้ Forma ในการทดสอบรถหรือเดินทางไกลอยู่แล้ว เราจึงสามารถบอกเล่าความรู้สึกและประสิทธิภาพของเจ้า Forma Ice ได้ดีเหมือนรีวิวเท้าตัวเองยังไงยังงั้น เริ่มจากนาทีแรกที่ได้ลองใส่ Forma Ice ก่อนเลย...รูปซิปทรงเฉียงด้านในเท้าลงไปจนสุด ปลดทุกอย่างที่ล็อคให้หมดแล้วลองสวมดู...เบอร์รองเท้าที่เราใช้คือ 45 แล้ว Forma คู่นี้ก็เข้ากับเท้าเราพอดีเป๊ะไม่ขาดไม่เกิน จากนั้นรูดซิปขึ้นพร้อมล็อคสายคาดที่หลังเท้า จากนั้นล็อคเบลท์ด้านหลังน่องให้พอกระชับ ในช่วงแรกบอกได้ว่าการสวมใส่หรือถอดรองเท้าคู่นี้ท�าได้ง่ายไม่ยุ่งยาก แค่ปลด 2 ล็อคแล้วรูปซิป เช่นเดียวกันกับตอนใส่....ข้อแตกต่างระหว่าง Forma Ice ธรรมดากับ Forma Ice AB17 คือ แผ่นผ้าปลายซิปเป็นผ้าไม่ใช่หนัง จุดนี้ไม่น่ามีผลกับการปกป้องเท้า ขยับต่อมาที่สายรัด...รุ่น AB17 จะมีสายรัดที่ยาวกว่า Ice ธรรมดาเหมาะกับคนน่องใหญ่ ส่วนคนที่ขาเล็กเกินไปก็สามารถขยับเลื่อนสายรัดขึ้นอีก 1 ล็อคได้เช่นกัน เมื่อลองยืนขึ้นจะรู้สึกถึงความต่างระดับเล็กน้อยของพื้น...จุดนี้แหละที่ท�าให้รู้สึกสบายเมื่อต้องขี่รถเป็นเวลานาน โดยเฉพาะรถสปอร์ตที่สามารถใช้ช่วงยกระดับใต้เท้าล็อคไว้กับพักเท้า จุดเด่นอีกจุดของ Forma Ice คือ “ช่องระบายอากาศเปิด-ปิดได้” บริเวณข้างเท้าด้านนอกจะเห็นช่องเปิด-ปิดแบบสไลด์ นั่นแหละช่องระบายความร้อนและดักลมเย็นเข้าไปเวลาขี่รถ เพราะ Forma รุ่นนี้ใส่แล้วรู้สึกเย็นจึงได้ชื่อรุ่นว่า Ice

�� Road�Tested�–�Track�nailedส�าหรับการทดสอบลงสนาม Forma Ice ให้ความรู้สึกมั่นใจช่วย

ให้การขับขี่สนุกขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เมื่อไม่มีเรื่องให้กังวลก็สามารถเดินคันเร่งได้อย่างมั่นใจ ชิ้นส่วนเสริมอย่าง Sensor ปลายเท้าท�าจากโลหะผสมประเภทอลูมิเนียมอย่างดีแถมหนาพอสมควร จากการลองขี่จนเซ็นเซอร์ครูดกับพื้นพบว่าต้องใช้เวลาพอสมควรชั้นโลหะจึงสึกเข้าไปจนถึงชั้นพลาสติกสุดท้าย ส�าหรับการขับขี่บนถนนแบบทัวริ่ง Forma Ice ก็ยังคงให้ความรู้สึกมั่นใจ กระชับตลอดการเดินทาง จุดเด่นที่รูระบายอากาศช่วยให้ความร้อนไม่เป็นอุปสรรคในการใส่รองเท้าบูทอีกต่อไป จุดหมุด Axial ตรงข้อเท้าที่เชื่อมชิ้นพลาสติก Chin Guard และข้อเท้าไว้ด้วยกัน แม้มันจะจ�ากัดองศาการขยับเท้าแต่ก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนท่านั่งขับขี่ได้อย่างคล่องตัว ในทางกลับกันตัวบล็อกเข้าเท้ากับช่วยให้ไม่เมื่อยเมื่อต้องอยู่บนหลังรถคู่ใจเป็นเวลานาน ตอกย�้าความเป็น “Ice” ด้วยลวดลายตรงบริเวณ “Gear Shifter” หรือตรงต�าแหน่งที่เท้าจะต้องสัมผัสกับคันเกียร์ นอกจากช่วยให้ไม่ลื่นและรู้สึกนุ่มเท้าเวลาเข้าเกียร์แล้วมันยังดู “เท่” มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองอีกด้วย สรุปว่า Forma Ice เป็นรองเท้าบูทอีก 1 รุ่นที่น่าสนใจ ทั้งวัสดุ การออกแบบ เทคโนโลยีและชิ้นส่วนป้องกันเท้าสุดรัก ตอนนี้โอกาสเป็นของคนที่ไม่อยากซ�้าใครแล้วครับกับ Forma Ice Karel Abraham AB17 Limited Edition

�� ซื้อได้ที่ไหน�?ไปที่ตัวแทนจ�าหน่ายอย่างเป็นทางการ

เลยครับ ที่ ProShop Paddock เค้ามี Forma ทุกรุ่นทุกสีทุกลายให้เลือก ส�าหรับ Forma Ice AB17 ที่เราใส่มีราคาค่าตัวอยู่ที่ 8,950 บาท....ส่วน Forma Ice ธรรมดามีค่าตัวอยู่ที่ 7,950 บาท ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมที่ 02-692-7000 หรือเข้าไปชมสีอื่นๆของ Forma ได้ที่ http://www.paddock.co.th

Design : 10/10 ไม่ใหญ่เกินไป ไม่เล็กเกินไป

Color : 10/10 สีเจ็บเตะตาโดนใจ

Protection : 9/10 ถ้วยตรงส้นเท้าน่าจะท�าจากโลหะเพื่อการป้องกันสูงสุด แต่ส่วนอื่นพร้อมปกป้องดีเยี่ยม

Comfortable : 9/10 รู้สึกบีบตรงนิ้วก้อยเล็กน้อยเม่ือต้องลงเดิน แต่เม่ือขี่รถกับไม่รู้สึกอะไร

Price : 11/10 ถูกมากกกกก 8,950 เท่านั้น ส�าหรับลายพิเศษ!!

FRM Score :

ขอบคุณการสนับสนุนรองเท้าตัวจริงเสียงจริงจาก ProShop Paddock ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

For Ride Magazine February 2013For Ride Magazine February 201352 53

Page 54: FRM issue 4 (Febuary 2013)

Karel เบื่อ Ducati GP 12เปลี่ยนมาขี่ Aprilia ART ลุยศึก MotoGP ปีนี้

หลังจากมีข่าวออกมาเมื่อปลายฤดูกาลแข่งขัน MotoGP ปีที่แล้วว่า Karel Abraham จะเปลี่ยนรถที่ขี่จาก Ducati GP12 ไปเป็นรุ่นอื่น เหตุผลก็เพราะความรู้สึกผิดหวังกับผลงานการแข่งในปีก่อน ล่าสุด Karel ได้เปิดตัวรถใหม่ล่าสุดของทีม Cardion AB Motoracing ปีนี้ทั้งปี Karel จะควบ ART ซึ่งเป็นรถซัพพอร์ทส�าหรับทีม CRT เป็นรถของ Apriliia เนื่องจาก Karel ติดใจเจ้า ART คันนี้จากสนามวาเลเซียประเทศสเปนปีก่อน แม้ทาง MotoGP จะมีกล่อง ECU ให้กับทีม CRT แต่ Karel บอกกับนักข่าวว่าเค้าและทีมจะเลือกใช้กล่อง ECU ของ Aprilia…แค่เปิดตัวรถออกมาก็มันแล้ว!! ปีนี้ในศึก MotoGP 2013 มีอะไรสนุกๆ ให้ดูแน่นอน

เผยโฉมตัวแข่งทีม Repsol Hondaกับนักบิดคนใหม่ Marc Marquez

ถึงจะเป็นงานเปิดตัวลายรถใหม่ของทีม Repsol Honda ในศึก MotoGP 2013 แต่ไฮไลท์ของงานกลับไปอยู่ที่เจ้าหนู มาร์ค มาเกส เพราะถูกใครต่อใครเล็งว่าเป็นตัวจี๊ดของปีนี้ ปีก่อนเค้าคว้าแชมป์รุ่น Moto2 ปีนี้ขยับขึ้นมาลุยกับรุ่นใหญ่ใน MotoGP…ถ้ายังจ�าลีลาการขับขี่ของเค้าได้ ปีนี้จับตาดูไอ้หนูคนนี้ให้ดี เบอร์ 93 มาร์ค มาเกส

นี่ก็คู่ใหม่รถใหม่ลายใหม่Ducati Desmosedici GP12

มีการสลับขยับย้ายตัวนักแข่งกันเป็นว่าเล่นในฤดูกาลแข่งขัน 2013 ที่จะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนนี้ เช่นเดียวกันทีม Ducati ที่ได้นักแข่งคนใหม่ Andrea Dovizioso (อังเดร โดวิสิโอโซ่) กับหมายเลข 04 เคียงคู่กับ Nicky Hayden (นิกกี้ เฮย์เด้น) แม้ทีม Ducati จะเสียรอสซี่ไปแต่ก็ได้ตัวแรงมาทดแทนเช่นกัน คอยดูกันต่อไปกับผลงานปีนี้ของทีม Ducati

หมวกใหม่ของ Lorenzo HJC Rpha-10จะออกมาโลดแล่นในสนามปีนี้!!

หลังจากโบกมืออ�าลาหมวกแบรนด์อิตาลี่ X-Lite แล้วหันมาลองกินกิมจิกับหมวกของเกาหลี HJC รุ่น Rpha-10 ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด และแล้วลวดลายใหม่ก็ออกมาให้ชาวโลกยลโฉมกัน ลวดลายไม่แตกต่างจากตอนที่เป็น X-Lite มากนัก จะมีก็แค่โลโก้ Rockstar Energy Drink หายไปแล้วแทนที่ด้วย Monster Energy Drink แทน ดูแต่ภาพนิ่งมันไม่ได้อารมณ์...ต้องรอดูแอ็คชั่นจริงๆ ในสนาม!

NEWSINTER NEWS

For Ride Magazine Febuary 201354

Page 55: FRM issue 4 (Febuary 2013)
Page 56: FRM issue 4 (Febuary 2013)