36
The Galaxy The Milky Way ความลี้ลับแห่งดาราจักร ที่มนุษย์เรีกว่า “บ้าน“ Stars of the future with energy. ดวงดาวกับพลังงานแห่งอนาคต กาแล็กซี่เพื่อนบ้าน Andromeda Galaxy The Large Magellanic Cloud The Small Magellanic Cloud Traingulum Galaxy The impending birth of our supergalaxy. สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับกาเเล็กซีของเรา การชนกับของกาแล็กซีทางช้างเผือก กับกาแล็กซี่เพื่อนบ้านในอีก 4,000 ล้านปีข้างหน้า

The Galaxy

Embed Size (px)

DESCRIPTION

The Galaxy

Citation preview

Page 1: The Galaxy

The GalaxyThe Milky Way

ความลี้ลับแห่งดาราจักร

ที่มนุษย์เรีกว่า “บ้าน“

Stars of the future with energy.

ดวงดาวกับพลังงานแห่งอนาคต

กาแล็กซี่เพื่อนบ้าน Andromeda Galaxy

The Large Magellanic Cloud

The Small Magellanic Cloud

Traingulum Galaxy

The impending birthof our supergalaxy.

สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับกาเเล็กซีของเราการชนกับของกาแล็กซีทางช้างเผือก

กับกาแล็กซี่เพื่อนบ้านในอีก 4,000 ล้านปีข้างหน้า

Page 2: The Galaxy
Page 3: The Galaxy

NGC 7023: The Iris Nebula Image Credit & Copyright: Tony Hallas

Page 4: The Galaxy

The Antennae

Page 5: The Galaxy

Light Echoes from V838 Mon Image Credit: NASA, ESA, H. E. Bond (STScI)

Page 6: The Galaxy

C O N T E N R S1 The Galaxy you know it?.

3 TheGalaxy Milky Way Galaxy

3

5 Do you Knoe it? The Secret of the Milky Way. ปริศณามากมายเกี่ยวกับทางช้างเผือก

17

ASTROARTICLE Star of the future witgh energy. ดวงดาวกับพลังงานแห่งอนาคต

19

The Impending birht of our supergalaxy.

สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับกาแล็กซี่ของเรา

การชนกันของการแล็กซี่ช้างเผือกกับ

กาแล็กซี่เพื่อนบ้านในอีก 4,000 ล้านปีข้างหน้า

23 Top 10 most beautiful

and interesting in the universe.

9 Comes know with neihboring galaxies?.

26 Reader galaxy17

19

23

Page 7: The Galaxy

NGC 2736: The Pencil Nebula Image Credit & Copyright: Martin Pugh

Page 8: The Galaxy

1 || The Galaxy

The GalaxYY o u K n ow i t ?

The Sombrero Galaxy in Infrared

Credit: R. Kennicutt (Steward Obs.)

et al., SSC, JPL, Caltech, NASA

ดาราจักร (กาแล็คซี - galaxy) เป็นที่รวมของดาว กระจุกดาว เนบิวลา (nebula) ฝุ่น ก๊าซ และที่ว่าง และระ

บบสุริยะจะอยู่ในดาราจักรทางช้างเผือก โดยดาราจักจะมีลักษณะใหญ่ 3 ประการคือ ดาราจักวงรี ดาราจักรกังหัน

และดาราจักอสัญฐาน

กาแลคซีของเราหรือกาแลคซีทางช้างเผือก ประกอบ

ด้วยดาวฤกษ์ประมาณหนึ่งแสนล้านดวง ดึงดูดซึ่งกันและกัน

ทำให้อยู่ในระบบเดียวกันได้ มีความหนาประมาณ

10,000 ปีแสง และมีเส้นผ่นศูนย์กลางประมาณ

100,000 ปีแสง ส่วนดวงอาทิตย์ของเรา อยู่ที่แขนของ

กาแลคซี ห่งจากใจกลางประมาณ 30,000 ปีแสง

กาแลคซีของเราความยาวส่วนที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 75,000 ปีแสง (7.1 X 1011

km) แต่ค่าที่วัดได้จากเครืองอาจยาวมากกว่านี้ถึง 3 เท่า มีมวล

4 X 1011 เท่า ของมวลดวงอาทิตย์ โดยดวงอาทิตย์ของเราอยู่ห่าง

จากศูนย์กลางกาแลคซีประมาณ 26,100 ปีแสง (2.5X1017

km)]

1. ความหมายของดาราจักร

ดาราจักร คือ ที่รวมของดาว กระจุกดาวเนบิวลา ฝุ่น ก๊าซ และที ่

พบบริเวณสว่างของก๊าซและฝุ่นในอวกาศ ตลอดบริเวณที่

มืดจนปิดบังแสงสว่างของดาวอื่น โดยเรียกบริเวณนั้นว่า

เนบิวลาสว่างและเนบิวมืดตามลำดับ และยิ่งศึกษามากขึ้นก็

พบว่าไม่สามารถประเมินรูปร่างได้ และในเอกภพจะมีจำนวน

ดาราจักรอยู่มากจนประมาณได้ถึง หมื่นล้านดาราจักร

ดาราจักรช้างเผือกเป็นระบบที่แบนมาก กล่าวคือ

มีความหนาน้อยเมื่อเทียบกับความกว้างโดยที่ส่วนนูนตรง

กลางประมาณ 3,500 พาร์เซก และส่วนที่อยู่ห่างจาก

จุดศูนย์กลางประมาณได้กับระยะที่ดวงอาทิตย์อยู่จะ

หนาประมาณ 1,500 พาร์เซก ในขณะที่ความกว้างของดาราจั

กร์ประมาณได้ถึง 50,000 พาร์เซก

ดาราจักรจะมีดาวกว่าแสนล้านดวงและก๊าซ ฝุ่น

สสารที่มากพอจะให้กำเนิดดาวได้หลายพันล้านดวง และใน

เอกภพนี้มีดาราจักรมากเสียจนประมาณได้อย่างชัดเจน แต่

ว่างโดยจะมีรูปร่างแตกต่างกันไป

อาณาจักรที่ เราอาศัยอยู่นี้ เรียก

ว่า อาณาจักรทางช้างเผือก (Milky

Way) ในปี พ.ศ. 2152 กาลิเลโอ

ไ ด้ ส ำ ร ว จ ท้ อ ง ฟ้ า ด้ ว ย ก ล้ อ ง

โ ท ร ท ร ร ศ น์ แ ล้ ว พ บ ว่ า

ทางช้างเผือกประกอบด้วยดาว

จำนวนมากมาย ปรากฎอยู่ใกล้

กันจนไม่สามารถมองให้แยกออก

จากกันได้ ภายหลังได้มีการศึกษา

จากการเฝ้ าติดตามด้วยกล้อง

โทรทรรศน์ขนาดใหญ่คาดไว้ว่า

น่าจะมีมากกว่า 100,000,000,000

ดาราจักร (แสนล้าน) และ

อาจจะมีในส่วนที่ยังไม่ เห็นด้วย

กล้องอีกบางทีอาจจะมากกว่า

ล้านล้านดาราจักรก็เป็นได้

Page 9: The Galaxy

The Galaxy || 2

จากการศึกษาของนักดาราศาสตร์ยังพบอีกว่าดวงอาทิตย์ซึ่ง

เป็นแกนหลังของระบบสุริยะไม่ได้หยุดนิ่งแต่กำลังเคลื่อนที่ด้วย

ความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อวินาที ดังนั้นจึงคาดกันว่าดาร

าจักรของเราไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ดาราจักรกำลังหมุนรอบตัวเองโดย

สังเกตจากรูปร่าง

2. รูปร่างของกาแลกซี่

เอ็ดวิน ฮับเบิล ได้จำแนกรูปร่างของ กาแลกซี่ ได้เป็น 4

แบบคือ

1. กาแลกซี่แบบรูปไข่ หรือ ทรงรี Ellipti-

cal จัดว่าเป็นรูปทรงพื้นฐานเริ่มแรก แบ่งออกได้เป็น

E0 - E7 คือ E0 จะมีรูปร่างเป็นทรงกลม และยิ่งรีมากขึ้น

ตัวเลขตามท้ายก็จะมากขึ้น เช่น E7 มีรูปทรงรีมากที่สุด

2. กาแลกซี่ แบบก้นหอย หรือ รูปเกลียว

S p i r a l ลั ก ษ ณ ะ แ บ บ ค ล้ า ย จ า น ส อ ง ใ บ ป ร ะ ก บ เ ข้ า

หากัน จะมีจุดกลางสว่าง แล้วมีแขนโค้ง 2-3 แขน

ลักษณะหมุนวนรอบแกนกลาง แบ่งย่อยออกเป็น Sa Sb Sc

โดยพิจารณาจากระยะความห่างของแขน

3.กาแลกซี่แบบกังหัน หรือรูปเกลียวแขนยาว

Barred Spiral ลักษณะคล้ายแบบที่ 2 แต่มีแขนออกมาจาก

แกนกลางก่อน แบ่งย่อยออกเป็น SBa SBb SBc โดยพิจารณา

จากแขนที่ยาวออกมาจากแกนกลาง

4. กาแลกซี่แบบไม่มีรูปร่าง Irregular เป็นกาแลก

ซี่ที่มีรูปร่างไม่แน่นอน เข้าใจว่าเกิดจากการกลืนกินกัน

ของสองกาแลกซี่แบบ 1 ถึง 3 ที่อยู่ใกล้กัน

Page 10: The Galaxy

3 || The Galaxy

THEGALAXY Milky Way Galaxy

..

See yonder, lo, the Galaxyë

Which men clepeth the Milky Wey,

For hit is whyt.

..

— เจฟฟรีย์ ชอเซอร์, The House of Fame, ค.ศ. 1380

อ ย่ า ง ที่ เ ร า ท ร า บ กั น ว่ า ก า แ ล็ ก ซี นั้ น เ ป็ น

อาณาจักรของดาว กาแล็กซีหนึ่ งๆ ประกอบด้วยก๊าซ

ฝุ่นและดาวฤกษ์หลายพันล้านดวง กาแล็กซีมีขนาดใหญ ่

หมื่นล้านถึงแสนล้านปีแสง “ทางช้างเผือก” เป็นกาแล็กซีของ

เรามีขนาดประมาณหนึ่งแสนปีแสง เนื่องจากโลกของเราอยู ่

ภายในทางช้างเผือก (ภาพที่ 2) การศึกษาโครงสร้างของ

ทางช้างเผือกจำต้องศึกษาจากภายในออกมาการศึกษากาแล็

กซีอื่นๆ จึงช่วยให้เราเข้าใจกาแล็กซีของตัวเองมากขึ้น

แต่โบราณมนุษย์เข้าใจว่า ทางช้างเผือกเป็น

ปรากฏการณ์ภายในบรรยากาศโลกเช่นเดียวกับเมฆ

หมอก รุ้งกินน้ำ จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้มี

การสร้ างกล้อง โทรทรรศน์ขนาดใหญ่จึ งทราบว่ า

ท า ง ช้ า ง เ ผื อ ก ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ด ว ง ด า ว ม า ก ม า ย

เซอร์ วิลเลียม เฮอร์เชล (ผู้ค้นพบดาวยูเรนัส) ทำ

การสำรวจความหนาแน่นของดาวบนท้องฟ้าและ

ให้ความเห็นว่า ดวงอาทิตย์อยู่ตรงใจกลางของทางช้างเผือ

ก ศตวรรษต่อมา ฮาร์โลว์ แชพลีย์ ทำการวัดระยะทางของ

กระจุกดาวทรงกลมซึ่งห่อหุ้มกาแล็กซี โดยใช้

ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ค า บ ก ำ ลั ง ส่ อ ง ส ว่ า ง ข อ ง ด า ว แ ป ร

แสงแบบ RR Lyrae ที่อยู่ในกระจุกดาวทรงกลมทั้งหลาย

เขาพบว่ากระจุกดาวเหล่านี้อยู่ห่างจากโลกนับหมื่นปีแสง

รอบล้อมส่วนป่องของกาแล็กซี ดังนั้นดวงอาทิตย์ไม่น่าจะ

อยู่ตรงใจกลางของทางช้างเผือก

โครงสร้างของกาแล็กซีทางช้างเผือก

Page 11: The Galaxy

The Galaxy || 4

กาแล็กซีทางช้างเผือก (The Milky Way Galaxy)

เป็นกาแล็กซีแบบกังหัน มีดาวประมาณแสนล้านดวง

มวลรวมประมาณ 9 หมื่นล้านเท่าของมวลดวงอาทิตย์

แบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้

1. จาน (Disk) ประกอบด้วยแขนของกาแล็กซี

มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 100,000 ปีแสง

หนาประมาณ 1,000 – 2,000 ปีแสง มีดาวฤกษ์ประมาณ

400,000 ล้านดวง องค์ประกอบหลักเป็นฝุ่น

ก๊าซ และประชากรดาวประเภทหนึ่ง (Population I)

ซึ่งมีสเปคตรัมของโลหะอยู่มาก

2. ส่วนโป่ง (Bulge) คือบริเวณใจกลางของกาแล็กซี

มีขนาดประมาณ 6,000 ปีแสง มีฝุ่นและก๊าซเพียงเล็กน้อย

องค์ประกอบหลัก เป็นประชากรดาวประเภทหนึ่งที่เก่า

แก่ และประชากรดาวประเภทสอง (Population II) ซึ่งเป็น

ดาวเก่าแก่แต่มีโลหะเพียงเล็กน้อย

3. เฮโล (Halo) อยู่ล้อมรอบส่วนโป่งของกาแล็กซี

มีองค์ประกอบหลักเป็น “กระจุกดาวทรงกลม”

(Global Cluster) จำนวนมาก แต่ละกระจุกประกอบด้วย

ดาวฤกษ์นับล้านดวง ล้วนเป็นประชากรดาวประเภทสอง

นักดาราศาสตร์สันนิษฐานว่า กระจุกดาวทรงกลมเป็น

โครงสร้างเก่าของกาแล็กซี เพราะมันโคจรขึ้นลงผ่านส่วน

โป่งของกาแล็กซี

การศึกษาทางช้างเผือกทำจากด้านในออก

ไป จึงยากที่จะเข้าใจภาพรวมว่า กาแล็กซีของเรามีรูป

ร่างหน้าตาอย่างไร ประกอบกับระนาบของทางช้างเผือก

หนาแน่นไปด้วยดาว ฝุ่น และก๊าซ เป็นอุปสรรคกีดขวาง

การสังเกตการณ์ว่า อีกด้านหนึ่งของกาแล็กซีเป็นอย่าง

ไร อุปกรณ์ที่ใช้ศึกษาโครงสร้างของกาแล็กซีได้ดีที่สุดก็

คือ กล้องโทรทรรศน์อินฟราเรด (ภาพที่ 3) เพราะว่าใช้

คลื่นยาวซึ่งสามารถเดินทางผ่านกลุ่มก๊าซและฝุ่นได้

ปัจจุบันเชื่อกันว่า ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจาก

ศูนย์กลางของกาแล็กซีประมาณ 30,000 ปีแสง และหมุน

รอบศูนย์กลางไปตามแขนนายพราน ด้วยความเร็ว 220

km ต่อวินาที หนึ่งรอบใช้เวลา 240 ล้านปี ดวงอาทิตย์มีอายุ

4,600 ล้านปี จึงโคจรรอบกาแล็กซีมาแล้วเกือบ 20 รอบ

นักดาราศาสตร์ใช้กฎเคปเลอร์ข้อที่ 3 คำนวณหามวล

รวมของทางช้างเผือกภายในวงโคจรของดวงอาทิตย์

ได้ 9 x 1010 เท่าของดวงอาทิตย์ จากนั้นทำการตรวจวัด

มวลของกาแล็กซีด้านนอกของวงโคจรดวงอาทิตย์

เพิม่เตมิ โดยใชก้ลอ้งโทรทรรศนว์ทิย ุพบวา่ มวลทัง้หมดของ

กาแล็กซีทางช้างเผือกควรจะเป็น 6 x 1011

เท่าของดวงอาทิตย์ ในจำนวนนี้เป็นดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์

ก๊าซ และฝุ่น ที่สังเกตได้โดยตรงด้วยแสงเพียง 10% ฉะนั้น

มวลสารส่วนใหญ่ของกาแล็กซีอีก 90% เป็นสิ่งที่ไม ่

สามารถมองเห็นได้ซึ่งอาจจะเป็น หลุมดำขนาดเล็ก

ดาวที่เย็นมาก หรืออนุภาคขนาดเล็กจำนวนมาก

นักดาราศาสตร์จึงเรียกวัตถุเหล่านี้โดยรวมว่า “สสารมืด”

(Dark Matter)

แขนกังหันของกาแล็กซีทางช้างเผือกประกอบด้วย

ฝุ่น ก๊าซ และดาวอายุน้อยอุณหภูมิสูง สเปกตรัม O และ B

ซึ่งทำให้มองดูสว่างเป็นสีน้ำเงินกว่าบริเวณโดยรอบ แขน

กังหันของมันทำหน้าที่เหมือนไม้กวาด ปัดรวบรวม

ดาว ฝุ่น และก๊าซ ไว้ด้วยกัน ทำให้เกิดคลื่นความหนาแน่น

กระตุ้นให้เกิดการก่อตัวของดาวดวงใหม่

เขียนโดย ปิติภัทร ประทุมพรศิริ ที่ 04:49

การสังเกตทางช้างเผือก

ก า ร สั ง เ ก ต ท า ง ช้ า ง เ ผื อ ก ค ว ร จ ะ

สั ง เ ก ต ใ น บ ริ เ ว ณ ที่ มื ด ส นิ ท แ ล ะ มี ม ล ภ า ว ะ

ทางอากาศน้อย เช่น พื้นที่ในชนบทหรือตามป่าเขา ใ

น คื น เ ดื อ น มื ด ( ห รื อ ช่ ว ง ที่ ไ ม่ มี แ ส ง จั น ท ร์ ร บ ก ว น )

หากไม่แน่ใจว่าทางทางเผือกอยู่ ณ ตำแหน่งในบนท้องฟ้

าควรใช้แผนที่ดาวประกอบการสังเกต ช่วงเวลาที่สังเกต

ทางช้ า ง เผื อก ได้ ดี ที่ สุ ดจะอยู่ ในช่ ว งปลาย เมษายน

(ช่วงใกล้รุ่งสาง) ถึงเดือนมิถุนายน เพราะช่วงหลังจจาก

นี้จะเข้าสู่ฤดูฝน ทำให้โอกาสที่ฟ้าจะเปิดมีน้อยลงแต่หาก

โชคดีฟ้าเปิดไม่มีเมฆ และได้มีโอกาสสังเกต

ทางช้างเผือกในช่วงฤดูฝน(กรกฎาคม – สิงหาคม) เพราะใน

ช่วงสองเดือนนี้ทางช้างเผือกส่วนที่สว่างที่สุดจะปรากฏพา

ดจากทิศใต้ผ่านกลางท้องฟ้าขึ้นไปยังทิศเหนือ คล้ายกับจะ

แบ่งท้องฟ้าออกเป็นสองส่วน แต่ในช่วงปลายเดือนเมษายน

– ต้นเดือนตุลาคม เราจะสามารถเห็นทางช้างเผือกบริเวณ

ดวงดาวแมงป่องและคนยิงธนูได้ง่ายทางช้างเผือกบริเวณนี้

สว่างและสวยงามกว่าบริเวณอื่นๆเนื่องจากเป็นมุมมองที่เรา

มองเข้าไปยังศูนย์กลางของกาแล็กซี

Page 12: The Galaxy

5 || The Galaxy

The GalaxY

The MysTery of The Milky Way.The Man called as “hoMe”.

Milky WayG a l a x y

Page 13: The Galaxy

The Galaxy || 6

Do you know it.The secret of the Milky Way galaxy.

ปริศนามากมายเกี่ยวกับทางช้างเผือก ?

ใ น อ ดี ต ก ว่ า 2 0 0 ปี ก่ อ น

ม นุ ษ ย์ มี ค ว า ม รู้ เ รื่ อ ง ด า ร า จั ก ร

(Galaxy)อยู่น้อยมากแต่ปัจจุบัน

วิทยาการด้านดารศาสตร์ก้าวหน้าไป

ม า ก จ น ท ำ ใ ห้ เ ร า รู้ ว่ า ก า ร แ ล็

ก ซี คื อ ก ลุ่ ม ด า ว จ ำ น ว น ม า ก

มหาศาลที่สามารถลอยตัวร่วมกันเป็น

ก ลุ่ ม ใ ห ญ่ ภ า ย ใ ต้ อิ ท ธิ พ ล ข อ ง

แรงโน้มถ่วงซึ่งกระทำต่อกันและกัน

ภายในกาแล็กซีอกจากจะมีดาวฤกษ

แ ล ะ ด า ว เ ค ร า ะ ห์ แ ล้ ว ยั ง มี

ละอองดาว ฝุ่นอวกาศ อุกกาบาต

ด า ว ห า ง ด า ว เ ค ร า ะ ห์ น้ อ ย แ ล ะ

เทหวัตถุอื่นอีกมากมาย ระบบสุริยะ

(Solar System) ของเราที่มีดวงอาทิตย์

(Sun) เป็นศูนย์กลาง ก็ เป็นเพียง

ระบบหนึ่งในหนึ่งแสนล้านระบบที่

อยู่ภายในกาแล็กซีเดียวกัน ที่เรียกว่า

กาแล็กซีทางช้างเผือก (Milky Way)

ซึ่งเป็นหนึ่งในกาแล็กซีนับล้านล้าน

ก า แ ล็ ก ซี ที่ ร ว ม กั น เ ป็ น จั ก ร ว า ล

(Universe)

ใ น ช่ ว ง แ ร ก ที่ ม นุ ษ ย์ รู้ จั ก

ก า แ ล็ ก ซี ท า ง ช้ า ง เ ผื อ ก

นักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อกันว่า

ด ว ง อ า ทิ ต ย์ เ ป็ น ศู น ย์ ก ล า ง ข อ ง

ก า แ ล็ ก ซี ท า ง ช้ า ง เ ผื อ ก แ ม้ แ ต่

W i l l i a m H e r s c h e l

นักดาราศาสตร์ผู้ค้นพบดาวยูเรนัส

(Uranus)(Uranus) เมื่อปี ค.ศ.1781

ก็คิดเช่นนั้น แต่ในปัจจุบันเรารู้กัน

แล้วว่ากาแล็กซีทางช้างเผือกที่ เรา

อยู่นั้น มีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก

จนแสงที่พุ่ งออกจากขอบข้างหนึ่ ง

ของกาแล็กซีต้องใช้เวลานาน 1 แสนปี

(แสงเดินทาง 1 ปีได้ระยะทางประมาณ

1 0 ล้ า น ล้ า น กิ โ ล เ ม ต ร )

จึ ง จ ะ เ ดิ น ท า ง ถึ ง ข อ บ อี ก ข้ า ง ห นึ่ ง

จึงมีระบบสุริยะอื่นๆ อีกมากมายใน

กาแล็กซีนี้ และระบบสุริยะของเราก็มิใช่

อยู่ตรงกลางของกาแล็กซี

กาแล็กซีทางช้างเผือกมีลักษณะ

เหมือนจานแบนที่นูนตรงกลาง

แ ล ะ ยั ง รู้ อี ก ว่ า ก า แ ล็ ก ซี

ท า ง ช้ า ง เ ผื อ ก มี ลั ก ษ ณ ะ เ ห มื อ น

จ า น แ บ น แ ล ะ นู น ต ร ง ก ล า ง

บ ริ เ ว ณ ต ร ง ก ล า ง ที่ นู น นี้ มี

ดาวฤกษ์อยู่ อย่ างหนาแน่นนับร้อย

ล้ า น ด ว ง ส่ ว น ด ว ง อ า ทิ ต ย์ ที่ เ ป็ น

ดาวฤกษ์ดวงหนึ่งนั้นก็โคจรอยู่ห่างจาก

จุดศูนย์กลางของทางช้างเผือกประมาณ

2 5 , 0 0 0 ปี แ ส ง แ ล ะ มั น ก ำ ลั ง

โคจรรอบจุดศูนย์กลางของกาแล็กซี

โ ด ย ใ ช้ เ ว ล า ป ร ะ ม า ณ 2 3 0 ล้ า น ปี

จึงจะโคจรได้ครบหนึ่งรอบ

แ ต่ ก็ ยั ง มี เ รื่ อ ง ร า ว อี ก ม า ก

ของกาแล็กซีทางช้าง เผือกที่ เ รายั ง

ไ ม่ รู้ แ ล ะ เ ป็ น ที่ ส น ใ จ ข อ ง

นั ก ด า ร า ศ า ส ต ร์ ใ น ปั จ จุ บั น

เ ช่ น ก า แ ล็ ก ซี ท า ง ช้ า ง เ ผื อ ก

ถือกำเนิดมาได้อย่างไร บริเวณตร

งกลางของกาแล็กซีมีดาวประเภท

ใดอยู่ ดาวในกาแล็กซีถือกำเนิดอย่างไร

กาแล็กซีและดาวจะดับไปอย่างไร

สำหรับประเด็นการกำเนิด

ข อ ง ก า แ ล็ ก ซี ท า ง ช้ า ง เ ผื อ ก นั้ น

มีตำนานปรำปราของโรมันเกี่ยวกับ

ความรักของเทพเจ้าคือเทพจูปิ เต

อร์(Jupiter) ซึ่งเป็นมหาเทพปกค

รองเทพทั้งปวงแต่ทรงเป็นเทพเจ้า

ผู้มักมากในกามคุณ พระองค์ทรงม ี

เพศสัมพันธ์กับสตรีปุถุชนชื่อ แอลซ์มีนี

(Alcmene) และนางได้ให้กำเนิด

เทพเฮอร์คิวลิส(Hercules)ในเวลาต่อ

มาเทพจูปิเตอร์ทรงอุ้มเทพเฮอร์คิวลิส

ไปแอบดื่มพระกษิรธารา (น้ำนม) ของ

เทพจูโน (Juno) พระมเหสีของพระองค์

ขณะที่บรรทมอยู่ แต่เทพเฮอร์คิวลิส

ทรงมีพละกำลังมากตั้งแต่ประสูติจึง

ทรงดูดพระกษิรธาราด้วยความแรง

จ น เ ท พ จู โ น ต ก พ ร ะ ทั ย ตื่ น

ภาพตำนานกำเนิดทางช้างเผือก

ที ่วาดโดย Tintoretto

Page 14: The Galaxy

7 || The Galaxy

น้ำพระกษิรธารากระเด็นจากพระเต้า

กระจัดกระจายกลายเป็นดวงดาวใน

ทางช้างเผือกนั่นเอง นี้คือเรื่องเล่าถึง

ก า ร ก ำ เ นิ ด ข อ ง ก า แ ล็ ก ซี ท า ง ช้ า ง

เผือกที่ Gauis Julius Hygienus

บรรณารั กษ์ประจำห้ องสมุดของ

Augustus Caesar กษัตริย์อาณาจักร

โรมันเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนนี้

และจิตรกรชาวเวนิสชื่อ Tintoretto

ได้วาดภาพประกอบตำนานเรื่องนี้

ชื่อ The Origin of the Milky Way

ขึ้นเมื่อประมาณปี ค.ศ.1580

ณ วันนี้ ที่เรายังไม่รู้แน่ชัดว่า

กาแล็กซีที่มีดาวนับแสนล้านดวงนี้

มาจากไหนและกำลังไปไหน ดังนั้น

นักดาราศาสตร์จึงสนใจบริเวณตรง

กลางของกาแล็กซีซึ่งโค้นูนอัดแน่นไป

ด้วยกลุ่มดาวฤกษ์เพราะที่นั่นมีแก๊ส

ร้อนปริมาณมาก และแก๊สร้อนนี้อาจ

จะเป็นตัวให้กำเนิดดาวฤกษ์ ดังนั้น

นักดาราศาสตร์จึงได้พยายามสังเกต

การเคลื่อนที่ของดาวฤกษ์ที่โคจรอยู่

ไม่ไกลจากจุดศูนย์กลางของกาแล็กซี

ทางช้างเผือกโดยเฉพาะในระดับไม่เกิน

ปีแสง

การสังเกตดาวดังกล่าวต้องใช้

กล้องโทรทรรศน์ที่มีเลนส์ขนาดใหญ่

ราว 8 เมตร เช่น กล้องของ

European Southern Observatory

(ESO) ในประเทศชิลีหรือกล้องที่มี

เลนส์ขนาด 10 เมตร เช่น กล้อง

W. M. Keck Observatory ที่เกาะฮาวาย

โดยจัดให้กล้องรับรังสีอินฟราเรดจาก

ดาวฤกษ์ที่ต้องการศึกษา ทั้งนี้เพราะ

รังสีอินฟราเรดที่มีความยาวคลื่นยาว

จะสามารถทะลุทะลวงผ่านฝุ่นละออง

อวกาศมาถึงดวงอาทิตย์และโลกได้

เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.2002

สถาบัน Max Planck ที่ประเทศเยอรมนี

ได้รายงานผลสัง เกตการเคลื่อนที่ของ

ด า ว ฤ ก ษ์ ด ว ง ห นึ่ ง ชื่ อ ด า ว S 2

ที่ โคจรใกล้จุดศูนย์กลางของกาแล็กซี

ทางช้างเผือก ห่างจากจุดศูนย์กลาง

ของทางช้างเผือกเพียง 17 ชั่วโมงแสง

ดาวดวงนี้มีความเร็วในการโคจรสูง

มากถึง 5,000 กิโลเมตร/วินาที (โลกโคจรรอบ

ดวงอาทิตย์ด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตร/

วินาที) จึงทำให้ใช้เวลาเพียง 15.2 ± 0.8 ปี

ก็ จ ะ โ ค จ ร ร อ บ จุ ด ศู น ย์ ก ล า ง ข อ ง

ทางช้างเผือก

การสังเกตดาว S2 นี้ใช้เวลานานถึง

10 ปี ก็พบว่า ที่จุดศูนย์กลางของกาแล็กซี

ทางช้างเผือกนั้นมี หลุมดำ (Black Hole)

ที่มีมวล 2 ล้านเท่าของดวงอาทิตย์อยู่

นอกจากนั้นในการสัง เกตดาวฤกษ์อีก

ดวงที่ชื่อ Sagittarius ซึ่งอยู่ใกล้จุด

ศูนย์กลางของกาแล็กซีทางช้างเผือกยิ่งกว่

าดาว S2 ก็พบรังสีเอ็กซ์มากมาย ซึ่งเป็นรั

งสีที่เกิดเมื่อแก๊สร้อนของดาว Sagittarius

ถูกหลุมดำดึงดูดด้วยพลังงานมหาศาลจนท

ำให้แก๊สแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา ดังนั้น

จึงเป็นที่น่าเชื่อได้ว่าใจกลางของกาแล็กซี

ทางช้างเผือกนั้นมีหลุมดำอยู่

เมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ.2003

ในการประชุมของ American Astro-

nomical Society นักดาราศาสตร์ชื่อ

H.J. Newberg แห่ง Rensselaer Poly-

technic ได้เสนอแนวคิดว่า กาแล็กซ ี

ทางช้างเผือกมีโครงสร้างลักณะเดียวกับ

ดาวเสาร์ (Saturn)คือ มีวงแหวนล้อมรอบ

วงแหวนที่ว่านี้ประกอบด้วยดาวฤกษ์

ใหญ่น้อยเรียงรายรอบทางช้างเผือกเป็น

วงกลม โดยมีรัศมีประมาณ 60,000

ปีแสง

ส ำ ห รั บ ที่ ม า ข อ ง ว ง แ ห ว น นี้

นักดาราศาสตร์หลายคนเชื่อว่าในอดีต

เมื่อ 10,000 ล้านปีก่อน กาแล็กซี

ทางช้างเผือกได้พุ่งชนกาแล็กซีขนาด

เล็ กกาแล็ กซี หนึ่ ง การชนกันทำให้

ก า แ ล็ ก ซี ทั้ ง ส อ ง ห ล อ ม ร ว ม เ ป็ น

หนึ่งเดียว และดาวใหญ่น้อยซึ่งอยู่ที ่

บริเวณขอบกาแล็กซีกระจัดกระจายไป

โคจรรอบกาแล็กซีที่เกิดใหม่ นี่คือวิธีหนึ่ง

ที่กาแล็กซีใช้ในการถือกำเนิด คือแทนที ่

จะเกิดจากการสร้างดาวฤกษ์ขึ้นมาทีละ

ดวง กลับใช้วิธีกลืนกินกาแล็กซีอื่น

ภาพจำลองทางช้ าง เผื อกในแนวตัด

บริ เวณตรงกลางจะอัน่นไปด้วยกลุ ่ม

ด า ว ฤ ก ษ์ แ ล ะ เ ชื ่ อ ว่ า มี ห ลุ ม ด ำ อ ยู ่

ก า แ ล็ ก ซี แ อ น โ ด ร เ ม ด า

ซึ ่ ง เ ป็ น ก า แ ล็ ก ซี อื ่ น ที ่ อ ยู ่ ใ ก ล้

ก า แ ล็ ก ซี ท า ง ช้ า ง เ ผื อ ก ม า ก ที่ สุ ด

Page 15: The Galaxy

The Galaxy || 8

ส่วนคำถามที่ว่าเหตุใดดาวที่โคจรอยู่บริเวณขอ

บของกาแล็กซีทางช้างเผือกจึงไม่กระเด็นหลุดออกไป

จากกาแล็กซีเพราะแรงดึงดูดของกาแล็กซีในบริเวณขอ

บกาแล็กซีไม่น่ามีมากพอจะดึงดูดให้ดาวฤกษ์เหล่านั้น

โคจรไปรอบๆ กาแล็กซีได้

ในการตอบปัญหานี้นักฟิสิกส์ด้านดาราศาส

ตร์ปัจจุบันหลายคนเชื่อว่า การที่เป็นเช่นนั้นได้เพราะภายในก

าแล็กซีมี สสารมืด (Dark Matter) ที่เรายังไม่เห็นและไม่รู้ว่ามี

อยู่อีกมาก สสารมืดเหล่านี้เองที่ส่งแรงดึงดูดไปยึดดาวฤกษ์ที่

บริเวณขอบกาแล็กซีไม่ให้หลุดกระเด็นไป

Page 16: The Galaxy

9 || The Galaxy

Comes know wi th neighbor ing galax ies.

จักรวาล ประกอบด้วย กาแล็กซีจำนวนมากมาย

บรรดากาแล็กซีจำนวนมากนั้น หากมีการจับกลุ่มกันอยู่เป็น

หมวดหมู่เราเรียกว่า กลุ่มกาแล็กซี (Galaxy Cluster)กาแล็กซี

ต่างๆที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันจะมีอิทธิพลต่อกันโดยทางแรงดึงดูด

จึงเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันได้ ความจริงแล้วกาแล็กซีทุกกาแล็กซ ี

ในจักรวาล ล้วนแต่มีแรงดูงดูดโน้มถ่วงกระทำต่อกาแล็กซีอื่นๆ

แ ต่ ก า แ ล็ ก ซี อื่ น ๆ ที่ อ ยู่ น อ ก ก ลุ่ ม จ ะ อ ยู่ ห่ า ง

ไกลออกมากจากกลุ่ม ผลของแรงดึงดูุดโน้มถ่วงจึงมีน้อยกว่า

บรรดากาแล็กซีในกลุ่มเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม จากอิทธิพลของแรงดึงดูดโน้มถ่วง

ที่ ทุ ก สิ่ ง ทุ ก อ ย่ า ง ใ น จั ก ร ว า ล ที่ มี ม ว ล ก ร ะ ท ำ ต่ อ กั น

ทำให้มีการจับกลุ่มของกลุ่มกาแล็กซีเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นด้วย

หรือเรียกว่า กลุ่มกาแล็กซีระดับซูเปอร์ ประกอบด้วย

กลุ่มกาแล็กซีตั้งแต่ 2-30 กว่ากลุ่ม

กาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มกาแล็กซี

ท้องถิ่น ประกอบด้วย กาแล็กซีต่างๆ ประมาณ 40 กาแล็กซี

Page 17: The Galaxy

The Galaxy || 10

โดยภาพรวมอย่างคร่าวๆ ของจักรวาลบ

ร ร ด า ก า แ ล็ ก ซี ต่ า ง ๆ ก ำ ลั ง เ ค ลื่ อ น ที่ ห นี อ อ ก จ า ก กั น

อย่างไรก็ดีการเคลื่่อนที่หนีออกจากกันของกาแล็กซีต่างๆ

แม้แต่ในกลุ่มกาแล็กซีำเดียวกัน ก็มิได้เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ

กล่าวคือ ก็มีบางกาแล็กซีที่เคลื่อนที่เข้าไปใกล้กาแล็กซีอื่นๆ

แทนที่จะเคลื่อนที่หนีออกจากกาแล็กซีอื่น ซึ่งก็เป็นกรรีการ

ชนกันของกาแล็กซีนั่นเอง

Page 18: The Galaxy

11 || The Galaxy

กาแล ็กซ ่ ี เพ ื ่อนบ ้านAndromeda Galaxy

การแล็กซีเพื่อนบ้านที่มีขนาดใหญ่ที่สุด

ในกลุ่มกาแล็กซี่ท้องถิ่นและอยู่ใกล้กับ

กาแล็กซี่ทางช้างเผือกของเรามากที่สุด

ด า ร า จั ก ร แ อ น โ ด ร เ ม ด า ( อั ง ก ฤ ษ :

A n d r o m e d a G a l a x y ; ห รื อ ที่ รู้ จั ก ใ น ชื่ อ อื่ น คื อ

เมสสิเยร์ 31 เอ็ม 31 หรือ เอ็นจีซี 224 บางครั้งในตำรา

เก่าๆ จะเรียกว่าเนบิวลาแอนโดรเมดาใหญ่) เป็นดาราจักร

ชนิดก้นหอยที่อยู่ห่างจากเราประมาณ 2.5 ล้านปีแสง อยู่ใน

กลุ่มดาวแอนโดรเมดาถือเป็นดาราจักรแบบกังหันที่อยู่ใกล้

กับดาราจักรทางช้างเผือกของเรามากที่สุด สามารถมองเห็น

เป็นรอยจางๆ บนท้องฟ้าคืนที่ไร้จันทร์ได้แม้มองด้วยตาเปล่า

ดาราจักรแอนโดรเมดาเป็นดาราจักรที่ ใหญ่ที่

สุดในกลุ่มดาราจักรท้องถิ่น ซึ่งประกอบด้วยดาราจักร

แอนโดรเมดา ดาราจักรทางช้างเผือก ดาราจักรสามเหลี่ยม

และดาราจักรขนาดเล็กอื่น ๆ อีกกว่า 30 แห่ง แม ้

แอนโดรเมดาจะเป็นดาราจักรที่ใหญ่ที่สุด แต่ก็ไม่ใช

ดาราจักรที่มีมวลมากที่สุด จากการค้นพบเมื่อไม่นานมานี ้

บ่งชี้ว่า ดาราจักรทางช้างเผือกมีสสารมืดมากกว่าและน่าจะ

เป็นดาราจักรที่มีมวลมากที่สุดในกลุ่ม ถึงกระนั้น

Page 19: The Galaxy

The Galaxy || 12

จ า ก ก า ร สั ง เ ก ต ก า ร ณ์ โ ด ย ก ล้ อ ง โ ท ร ท ร ร ศ น์ อ ว ก า ศ

สปิตเซอร์เมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่า ดาราจักร M31 มีดาวฤกษ์อยู่ราว 1

ล้ านล้ านดวง ซึ่ งมีจำนวนมากกว่ าดาวฤกษ์ ในดาราจักรของ

เรา ผลการคำนวณเมื่อปี 2006 ประมาณการว่า มวลของ

ดาราจักรทางช้าง เผือกน่าจะมีประมาณ 80% ของดาราจักร

แอนโดรมีดาคือประมาณ 7.1×1011 เท่าของมวลดวงอาทิตย์

ดาราจักรแอนโดรเมดามีระดับความสว่างที่ 4.4 ซึ่ง

ถือได้ว่าเป็นวัตถุเมสสิเยร์ที่สว่างที่สุดชิ้นหนึ่ง และสามารถมอง

เห็นได้โดยง่ายด้วยตาเปล่า แม้จะอยู่ในพื้นที่ ที่มีลภาวะใน

อากาศอยู่ บ้ าง หากไม่ ใช้กล้อง โทรทรรศน์ช่ วย อาจมองเห็น

ดาราจักรเป็นดวงเล็ก ๆ เพราะสามารถมองเห็นได้เพียงส่วนสว่า

งที่สุดซึ่งเป็นศูนย์กลาง แต่เส้นผ่านศูนย์กลางเชิงมุมท้ังหมดของ

ดาราจักรกินอาณาบริเวณกว้างถึง 7 เท่าของดวงจันทร์เต็มดวงทีเดียว

WISE Infrared Andromeda Credit: NASA / JPL-Caltech / UCLA

Explanation: This sharp, wide-field view features infrared

light from the spiral Andromeda Galaxy (M31). Dust

heated by Andromeda’s young stars is shown in yellow

and red, while its older population of stars appears as a

bluish haze. The false-color skyscape is a mosaic of

images from NASA’s new Wide-field Infrared Survey

Explorer (WISE) satellite. With over twice the diameter of

our Milky Way, Andromeda is the largest galaxy in the

local group. Andromeda’s own satellite galaxies M110

(below) and M32 (above) are also included in the

combined fields. Launched in December 2009, WISE

began a six month long infrared survey of the entire sky

on January 14. Expected to discover near-Earth asteroids

as well as explore the distant universe, its sensitive

infrared detectors are cooled by frozen hydrogen.

Page 20: The Galaxy

13 || The Galaxy

กาแล ็กซ ่ ี เพ ื ่อนบ ้านTriangulum Galaxy

ดาราจักรสามเหลี่ยมเป็นดาราจักรที่ ใหญ่เป็นอันดับที่สามในกลุ่มท้องถิ่น โดยเล็ก กว่าดาราจักรแอนโดรเมดาและทางช้างเผือก

ดาราจักรไทรแองกูลัม หรือ ดาราจักรสามเหลี่ยม

( อั ง ก ฤ ษ : T r i a n g u l u m G a l a x y ; ห รื อ ที่ รู้ จั ก ใ น ชื่ อ

วัตถุเมสสิเยร์ M33 หรือ NGC 598) เป็นดาราจักรชนิด

ก้นหอยที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 3 ล้านปีแสงในบริเวณ

ก ลุ่ ม ด า ว ส า ม เ ห ลี่ ย ม บ า ง ค รั้ ง ใ น ห มู่ นั ก ด า ร า ศ า ส ต ร์

สมัครเล่นอาจเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า ดาราจักรเครื่อง

ปั่นด้าย (Pinwheel Galaxy) รวมถึงในเว็บไซต์สาธารณะทั่วไป

อย่างไรก็ดีในฐานข้อมูลดาราศาสตร์ SIMBAD นักวิชาการด้าน

ด า ร า ศ า ส ต ร์ จ ะ ใ ช้ ค ำ ว่ า “ P i n w h e e l G a l a x y ” กั บ

วัตถุเมสสิเยร์ M101 รวมถึงนักดาราศาสตร์สมัครเล่นอีกส่วน

หนึ่งหรือเว็บไซต์ทั่วไปก็อ้างอิงถึงวัตถุเมสสิเยร์ M101 ด้วยชื่อ

“Pinwheel Galaxy” เช่นเดียวกัน

ดาราจักรสามเหลี่ ยม เป็นดาราจักรที่ ใหญ่ เป็น

อันดับที่สามในกลุ่มท้องถิ่น โดยเล็กกว่าดาราจักร

แอนโดรเมดาและทางช้างเผือก มันอาจมีแรงโน้มถ่วงที่ดึงดูด

อยู่กับดาราจักรแอนโดรเมดาด้วย ขณะเดียวกัน ดาราจักรปลา

(LGS 3) ซึ่งเป็นดาราจักรสมาชิกเล็กๆ แห่งหนึ่งในกลุ่มท้องถิ่น

อาจจะเป็นดาราจักรบริวารของดาราจักรสามเหลี่ยมก็ได้

M33: Triangulum Galaxy Credit & Copyright: Paul Mortfield, Stefano Cancelli

Explanation: The small, northern constellation Triangulum harbors this

magnificent face-on spiral galaxy, M33. Its popular names include the

Pinwheel Galaxy or just the Triangulum Galaxy. M33 is over 50,000

light-years in diameter, third largest in the Local Group of galaxies after

the Andromeda Galaxy (M31), and our own Milky Way. About 3 million

light-years from the Milky Way, M33 is itself thought to be a satellite of the

Andromeda Galaxy and astronomers in these two galaxies would likely

have spectacular views of each other’s grand spiral star systems. As for

the view from planet Earth, this sharp, detailed image nicely shows off

M33’s blue star clusters and pinkish star forming regions that trace the

galaxy’s loosely wound spiral arms. In fact, the cavernous NGC 604 is the

brightest star forming region, seen here at about the 1 o’clock position

from the galaxy center. Like M31, M33’s population of well-measured

variable stars have helped make this nearby spiral a cosmic yardstick for

establishing the distance scale of the Universe.

Page 21: The Galaxy

The Galaxy || 14

กาแล ็กซ ่ ี เพ ื ่อนบ ้านMagellanic Cloud

ก า ร แ ล็ ก ซี เ พื่ อ น บ้ า น ที่ มี ข น า ด

ใ ห ญ่ ร อ ง จ า ก ก า แ ล็ ก ซี่ ท า ง ช้ า ง เ ผื อ ก

แ ล ะ ก า ร แ ล็ ก ซี่ แ อ น โ ด ร มี ด า ใ น น ก ลุ่ ม

กาแล็กซี่ ท้ องถิ่ นและอยู่ ใกล้กับกาแล็กซี่

ทางช้างเผือกของเรามากที่สุดอีกกาแล็กซี่หนึ่ง

เมฆแมกเจลแลนใหญ่ (อังกฤษ: Large Ma-

gellanic Cloud, LMC) คือดาราจักรบริวารของ

ทางช้างเผือก อยู่ห่างจากเราออกไปเพียงไม่ถึง 50 กิโลพาร์เซก

(ประมาณ 160,000 ปีแสง) ถือเป็นดาราจักรที่อยู่ใกล้กับ

ทางช้างเผือกเป็นอันดับที่สามโดยมีดาราจักรแคระชนิดรี

คนยงิธน ู(ประมาณ 16 กโิลพารเ์ซก) กบัดาราจกัรแคระสนุขัใหญ ่

(ประมาณ 12.9 กิโลพาร์เซก) อยู่ใกล้กับศูนย์กลางของ

ดาราจักรทางช้างเผือกเมฆแมกเจลแลนใหญ่มีมวลสมมูลประ

มาณ1หมื่นล้านเท่าขงมวลดวงอาทิตย์ (1010 มวลดวงอาทิตย์)

นั่ น คื อ มี ม ว ล เ ป็ น ป ร ะ ม า ณ

1 / 1 0 เ ท่ า ข อ ง ม ว ล ข อ ง ท า ง ช้ า ง เ ผื อ ก

เ ม ฆ แ ม ก เ จ ล แ ล น ใ ห ญ่ เ ป็ น ด า ร า จั ก ร ที่ ใ ห ญ่

เ ป็ น อั น ดั บ สี่ ใ น ก ลุ่ ม ท้ อ ง ถิ่ น โ ด ย มี ด า ร า จั ก ร

แอนโดรเมดา ทางช้างเผือก และดาราจักรไทรแองกูลัม เป็น

ดาราจักรขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง สอง และสามตามลำดับ

โดยมากเมฆแมเจลแลนใหญ่มักถูกพิจารณาว่า

เ ป็ น ด า ร า จั ก ร ไ ร้ รู ป แ บ บ ( ใ น ฐ า น ข้ อ มู ล วั ต ถุ พ้ น

ด า ร า จั ก ร ข อ ง อ ง ค์ ก า ร น า ซ า ร ะ บุ ร หั ส

ต า ม ล ำ ดั บ ฮั บ เ บิ ล ใ ห้ แ ก่ มั น เ ป็ น I r r / S B ( s ) m )

Infrared Portrait of the Large Magellanic Cloud Credit: ESA / NASA / JPL-Caltech / STScI

Explanation: Cosmic dust clouds ripple across this infrared portrait of our

Milky Way’s satellite galaxy, the Large Magellanic Cloud. In fact, the remark-

able composite image from the Herschel Space Observatory and the Spitzer

Space Telescope show that dust clouds fill this neighboring dwarf galaxy,

much like dust along the plane of the Milky Way itself. The dust temperatures

tend to trace star forming activity. Spitzer data in blue hues indicate warm

dust heated by young stars. Herschel’s instruments contributed the image

data shown in red and green, revealing dust emission from cooler and

intermediate regions where star formation is just beginning or has stopped.

Dominated by dust emission, the Large Magellanic Cloud’s infrared appear-

ance is different from views in optical images. But this galaxy’s well-known

Tarantula Nebula still stands out, easily seen here as the brightest region

to the left of center. A mere 160,000 light-years distant, the Large Cloud of

Magellan is about 30,000 light-years across.

The Large Magellanic Cloud เมฆแมกเจลแลนใหญ่

Page 22: The Galaxy

15 || The Galaxy

อ ย่ า ง ไ ร ก็ ดี เ ม ฆ แ ม เ จ ล แ ล น ใ ห ญ่ ก็ มี โ ค ร ง ส ร้ า ง ค ล้ า ย

ค า น ที่ บ ริ เ ว ณ ศู น ย์ ก ล า ง ท ำ ใ ห้ เ ชื่ อ ไ ด้ ว่ า มั น อ า จ จ ะ เ ค ย เ ป็ น

ด า ร า จ ก ร ช นิ ด ก้ น ห อ ย มี ค า น ม า ก่ อ น ลั ก ษ ณ ะ อั น ไ ร้ รู ป แ บ บ

ข อ ง เ ม ฆ แ ม เ จ ล แ ล น ใ ห ญ่ า จ เ ป็ น ผ ล ม า จ า ก ป ฏิ กิ ริ ย า น้ ำ ขึ้ น

น้ำลงระหว่างตวมันเองกับทางช้างเผือกและเมฆแมเจลแลนเล็ก

เ ม ฆ แ ม เ จ ล แ ล น ใ ห ญ่ ป ร า ก ฏ บ น ท้ อ ง ฟ้ า

ยามกลางคืนเป็น “เมฆ” จาง ๆ อยู่ในทางซีกโลกใต้ บริเวณ

ชายขอบระหว่างกลุ่มดาวปลากระโทงแทงกับกลุ่มดาวภู เขา

เ ม ฆ แ ม เ จ ล แ ล น ใ ห ญ่ เ ป็ น ด า ร า จั ก ร คู่ กั บ เ ม ฆ

แมเจลแลนเล็ก ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันตกประมาณ 20 องศา

กาแล็กซีแมกเจลแลนใหญ่ จะโคจรรอบทางช้างเผือก

ที่ระยะห่างประมาณ 200,000 ปีแสง เป็นกาแล็กซีแบบไร้รูปทรง

หรือมีรูปร่างไม่แน่นอน มีความสว่างมากจนสามารถมองเห็นได ้

คล้ายกับก้อนเมฆในยามค่ำคืน อยู่ใกล้ขอบฟ้าทิศใต้ เป็นกาแล็

กซีที่อยู่ใกล้เราที่สุดกาแล็กซีแอนโดรเมดา มองเห็นอยู่ในบริเวณ

ท้องฟ้าทางเหนือมีรูปร่างแบบกังหัน เหมือนกาแล็กซีทางช้างเผือก

กาแล็กซีแอนโดรเมดาอยู่ห่างจากกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราไกล

ประมาณ 2 ล้านปีแสง มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า M31 หรือ NGC 224

เ ม ฆ แ ม ก เ จ ล แ ล น เ ป็ น ที่ รู้ จั ก กั น ม า น า น แ ล้ ว ตั้ ง แ ต่

ยุคโบราณในตะวันออกกลาง การอ้างอิงถึงเมฆแมเจลแลนใหญ่

ครั้งแรกทำโดยนักดาราศาสตร์ชาวเปอร์เซียชื่อ อัล ซูฟี ในหนังสือ

Book of Fixed Star ที่เขาเขียนในปี ค.ศ. 964 เรียกดาราจักรนี้ว่า

Al Bakr ซึ่งหมายถึง “แกะแห่งอาหรับใต้” ทั้งยังระบุด้วยว่าทางตอน

เหนือของคาบสมุทรอาหรับกับในแบกแดดไม่สามารถมองเห็น

ด า ร า จั ก ร นี้ แ ต่ จ ะ ม อ ง เ ห็ น ไ ด้ จ า ก ช่ อ ง แ ค บ บั บ เ อ ล มั น เ ด บ ที่

ละติจูด12°15’เหนือ ในยุโรป คณะสำรวจของเฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน

เป็นผู้ แรกที่ สั ง เกตเห็น เมฆนี้ ในระหว่างการแล่น เรือรอบโลก

ระหว่างปี ค.ศ. 1519-1522 โดยมีการบันทึกไว้โดยอันโตนีโอ ปีกาเฟตตา

อย่างไรก็ดีการเรียกชื่อเมฆเหล่านี้ตามนามสกุลของมาเจลลันยัง

ไม่เป็นที่แพร่หลายนักจนเวลาผ่านไปอีกนาน ในรายการดวงดาว

Uranometria ของไบเออร์ นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน

เรียกเมฆทั้งสองนี้ว่า “นูเบคูลาใหญ่” (Nubecula Major) และ

“นูเบคูลาเล็ก” (Nubecula Minor) แม้ในแผนที่ดาวฉบับปี ค.ศ. 1756

ของลาซายล์ นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เมฆทั้งสองนี้ก็ยังมีชื่อว่า

“Le Grand Nuage” กับ “Le Petit Nuage”[4] (ภาษาฝรั่งเศส

มีความหมายว่า “เมฆใหญ่” และ “เมฆเล็ก” ตามลำดับ)

The large Cloud of Magellan Credit & Copyright: John P. Gleasonexplanation: The 16th century Portuguese navigator Ferdinand Magellan and his crew had plenty of time to study the southern sky during the first circumnavigation of planet earth. as a result, two fuzzy cloud-like objects easily visible to southern hemisphere skygazers are known as the Clouds of Magellan, now understood to be satellite galaxies of our much larger, spiral Milky Way galaxy. about 160,000 light-years distant in the constellation Dorado, the large Magellanic Cloud (lMC) is seen here in a remarkably deep, colorful composite image, starlight from the central bluish bar contrasting with the telltale reddish glow of ionized atomic hydrogen gas. Spanning about 15,000 light-years or so, it is the most massive of the Milky Way’s satellite galaxies and is the home of the closest supernova in modern times, SN 1987a. The prominent patch at top left is 30 Doradus, also known as the magnificent Tarantula Nebula. The giant star-forming region is about 1,000 light-years across.

Page 23: The Galaxy

The Galaxy || 16

The small Magellanic Cloud เมฆแมกเจลแลนเล็ก

ก า ร แ ล็ ก ซี เ พื่ อ น บ้ า น ที่ เ ป็ น

ด า ร า จั ก ร แ ค ร ะ ถื อ เ ป็ น ห นึ่ ง ใ น

กาแล็กซี่ที่ อยู่ ใกล้ทางช้างเผือกมากที่สุด

เ ม ฆ แ ม เ จ ล แ ล น เ ล็ ก ( อั ง ก ฤ ษ : S m a l l M a g e

llanic Cloud, SMC) เป็นดาราจักรแคระ แห่งหนึ่

ง ใ น ก ลุ่ ม ท้ อ ง ถิ่ น ถื อ เ ป็ น ห นึ่ ง ใ น ด า ร า จั ก ร ที่ อ ยู่ ใ ก ล้

ทางช้ า ง เผื อกมากที่ สุ ดและสามารถมอง เห็ น ได้ ด้ วย

ตา เปล่ า โดยอยู่ ห่ า งจากดาราจั ก รของ เ ราประมาณ

200,000 ปีแสง มีดาวฤกษ์อยู่ เป็นสมาชิกจำนวนหลาย

ร้อยล้านดวง

บ้ า ง เ ชื่ อ ว่ า เ ม ฆ แ ม เ จ ล แ ล น เ ล็ ก เ ค ย เ ป็ น

ด า ร า จั ก ร ช นิ ด ก้ น ห อ ย มี ค า น ม า ก่ อ น แ ต่ ถู ก ร บ ก ว น

โ ด ย ท า ง ช้ า ง เ ผื อ ก ท ำ ใ ห้ มั น เ สี ย รู ป ร่ า ง ไ ป แ ต่ ก็ ยั ง

สามารถมองเห็นโครงสร้างรูปคานบริเวณตรงกลางได้บ้าง

เมฆแมเจลแลนเล็กมีค่าเดคลิ เนชันเฉลี่ยถึง-73

องศา มันจึงสามารถมองเห็นได้จากด้านซีกโลกใต้หรือ

ซีกโลกเหนือตอนล่างมาก ๆ เท่านั้น ตำแหน่งปรากฏบนฟ้า

อยู่ใกล้กลุ่มดาวนกทูแคน เป็นแถบแสงหม่น ๆ กว้างประมาณ

3 องศาบนท้องฟ้า ดูราวกับเป็นชิ้นส่วนที่หลุดออกไปจาก

ทางช้างเผือกเมฆแมเจลแลนเล็กเป็นดารจักรคู่กันกับ

เมฆแมเจลแลนใหญ ่ซึ่ งอยู่ห่างออกไปทางตะวันออก

ประมาณ 20 องศา

Page 24: The Galaxy

17 || The Galaxy

ASTROArTicLE STAR Of The fuTuRe WiTh eneRGyด ว ง ด า ว ก ั บ พ ล ั ง ง า น แ ห ่ ง อ น า ค ต

Milky Way Over Piton de l’Eau Image Credit & Copyright: Luc Perrot

เมื่อแหงนมองฟ้าในยามค่ำคืน มีดาวนับพันดวงส่องประกายแสง

ระยิบระยับเคยคิดไหมว่าดวงดาวเริ่มส่องแสงตั้งแต่เมื่อไหร่เท่าที่

จำความได้ตอนเด็กๆ ผมเคยนอนนับดาวในเวลากลางคืน นั่นก็ผ่าน

มานานแล้วแต่ดวงดาวก็ยังส่องแสงเหมือนเดิมไม่หรี่แสงลดลงเลยแม้แต่

น้อย ซึ่งจริงๆแล้วดวงดาวส่องแสงมาไม่ใช่ช่วงเวลาแค่ปีสองปีแต่เป็น

เวลานับพันล้านปีมาแล้ว และจะยังส่องแสงอย่างนี้ไปอีกนานแสนนาน

โดยกระบวนการที่น่าอัศจรรย์ของปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันทำให้เราได้ทึ่ง

กับความสวยงามตระการตา

พูดถึงพลังงานก็อดนึกสภาพ

ของโลกเราไม่ได้ เพราะว่ามีกระแส

โด่งดังเกี่ยวกับการขาดแคลนพลังงาน

ในอนาคต ทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมเร

าไม่เลียนแบบกระบวนการผลิตพลังงาน

ของดาว มาใช้ผลิตพลังงานบนโลกเรา

บ้างจะได้มีพลังงานใช้อย่างยั่งยืน

ปั จ จุ บั น โ ร ง ไ ฟ ฟ้ า พ ลั ง ง า น

นิ ว เคลี ย ร์ ที่ ใ ช้ ผลิ ตกระแสไฟฟ้ าบ

โ ล ก เ ป็ น โ ร ง ไ ฟ ฟ้ า พ ลั ง ค ว า ม ร้ อ น

ชนิดหนึ่ง โดยใช้ความร้อนทำให้น้ำ

เดือดกลายเป็นไอน้ำไปหมุนกังหัน

เ พื่ อ ห มุ น เ ค รื่ อ ง ก ำ เ นิ ด ไ ฟ ฟ้ า แ ล้ ว

ผลิตไฟฟ้าออกมา โรงไฟฟ้าพลังงาน

นิวเคลียรดังกล่าวเป็นการใช้ปฏิกิริยา

นิวเคลียร์ฟิชชันซึ่งต่างจากปฏิกิริยา

นิวเคลียร์ฟิวชันที่ เกิดในแกนกลาง

ข อ ง ด ว ง ด า ว ป ฏิ กิ ริ ย า

นิ ว เ ค ลี ย ร์ ฟิ ช ชั น เ กิ ด จ า ก ก า ร

แตกตัวของนิวเคลียสของธาตุหนัก

เช่น ยูเรเนียม พลูโตเนียม แตกตัวเป็น

นิวเคลียสที่เบากว่าแล้วปล่อยพลังงาน

ออกมา ส่วนปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน

เกิดจากการหลอมนิวเคลียสของธาตุ

เบา เช่นนิวเคลียสของธาตุไฮโดรเจน

จ น ไ ด้ นิ ว เ ค ลี ย ส ข อ ง ธ า ตุ ที่ ห นั ก

ขึ้นและปล่อยพลังงานออกมาเมื่อ

นิ ว เคลี ยสก่ อตั วขึ้ นจากปฏิกิ ริ ยา

นิ ว เคลี ย ร์ฟิ วชั นมวลทั้ งหมดของ

นิวเคลียสที่เกิดหลังปฏิกิริยาจะน้อย

กว่ามวลทั้งหมดที่เกิดก่อนปฏิกิริยา

แสดงว่ามีมวลส่วนหนึ่งเปลี่ยนเป็น

พลังงานตามสมการอันเลื่องชื่อของ

ไอสไตน์ E=mc2

ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันภายในดวงดาว

ส า ม า ร ถ เ กิ ด ขึ้ น ไ ด้ เ พ ร า ะ ที่ แ ก น ก ล า ง

ด ว ง ด า ว นั้ น มี อุ ณ ห ภู มิ สู ง แ ล ะ มี ค ว า ม

หนาแน่นมากปกติแล้วนิวเคลียส 2 นิวคลี

ยสจะผลักกันด้วยแรงคูลอมบ์ (Coulomb’s

force) เนื่องจากมีประจุบวกเหมือนกัน แต่

ที่แกนกลางของดวงดาวมีอุณหภูมิสูงมาก

พอและมีความหนาแน่นมากจนนิวเคลียส

หลอมรวมเป็นนิวเคลียสของธาตุที่หนักขึ้น

ด้วยแรงระหว่างนิวคลีออนซึ่งเป็นปรากฏกา

รณ์ตกค้างจากแรงที่ยึดเหนี่ยวอนุภาคควาร์ก

เอาไว้ เรียกว่า อันตรกิริยาอย่างเข้มซึ่งมี

อนุภาคพาหะที่เรียกว่า กลูออน

ปัจจุบันได้มี โครงการวิจัยที่กำลัง

ดำเนินการในเรื่องฟิวชันนี้อยู่หลายแห่งทั่ว

โลก โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนำพลังงาน

จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันมาใช้ในการผ

ลิตไฟฟ้าการควบคุมกระบวนการฟิวชันบน

โลก มีความแตกต่างจากปฏิกิริยาฟิวชันที ่

เกิดขึ้นที่ดวงดาว โดยการเลือกใช้อะตอม

ไฮโดรเจนที่มีน้ำหนักมากกว่าไฮโดรเจน

ปกติ คือ ดิวทีเรียม และตริเตียม ซึ่งโอกาสเกิด

ปฏิกิริยาได้มากกว่าไฮโดรเจนโดยทั่วไปที่มี

เพียง 1 โปรตอนและ 1 อิเล็กตรอน เรียกว่า

โปรเทียม ซึ่งเป็นรูปแบบของไฮโดรเจนปกติ

ที่ไม่มีนิวตรอน ขณะที่ ดิวทีเรียม มี 1 นิวตรอน

และ ตริเตียม มี 2 นิวตรอน ตามลำดับ

Milky Way Galaxy Doomed: Collision with An-

dromeda Pending Illustration Credit: NASA, ESA, Z.

Levay and R. van der Marel (STScI), and A. Mellinger

Page 25: The Galaxy

The Galaxy || 18

ASTROArTicLE STAR Of The fuTuRe WiTh eneRGyด ว ง ด า ว ก ั บ พ ล ั ง ง า น แ ห ่ ง อ น า ค ต

จากภาพเมื่อทำให้นิวเคลียสของ ดิวทีเรียม

กับ ตริเตียม หลอมรวมกันจะได้ฮีเลียม (He) นิวตรอน(n)

และพลังงานออกมา อนุภาคที่เกิดจากปฏิกิริยาฟิวชันม ี

ความเสถียรมากกว่ าปฏิกิ ริ ยาฟิ ชชันที่ มี การปล่อย

กัมมันตรังสีออกมา

จะเห็นได้ว่าปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันดูเหมือนจะม ี

ข้อดีมากกว่าปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชันของนิวเคลียสที่หนัก

คือนิวเคลียร์ฟิวชันให้พลังงานต่อมวลมากและหาเชื้อเพลิง

ได้ง่ายกว่านิวเคลียร์ฟิชชัน ตัวอย่างเช่น ยูเรเนียมยิ่ง

เวลาผ่านไปนานก็ยิ่งหายากเพราะมีการสลายตัวไปตา

มธรรมชาติอีกทั้งโอกาสที่จะเกิดการสังเคราะห์ธาตุหนัก

ๆ (ในดวงดาว) ยิ่งเกิดขึ้นยากทำให้ในเอกภพนี้มีจำนวน

ธาตุหนักน้อยกว่าธาตุเบา อย่างไรก็ตาม ฟิวชันจะเกิดขึ้นได้

ต้องมีอุณหภูมิสูงมากพอ (ประมาณ 15 ล้านเคลวิน) และ

ความหนาแนนของสสารที่เป็นเชื้อเพลิงสูงมากเงื่อนไข

นี้สามารถเกิดขึ้นได้ในระเบิดไฮโดรเจนแต่ไม่สามารถ

ควบคุมได้ ในการควบคุมพลังงานของปฏิกิริยาฟิวชัน

นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรต้องหาวิธีที่จะควบคุมพลาสมา

การเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันและเตาปฎิกรนิวเคลียร์ฟิวชั

ที่มีอุณหภูมิสูงมากนี้ให้ได้ก่อน ถือเป็นงานท้าทายความ

สามารถทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมในการที่จะทำควา

มร้อนให้พลาสมามีอุณหภูมิสูงมากๆ รวมทั้งการหาวิธีบีบ

ลำพลาสมาให้มีความหนาแน่นมากพอที่จะเกิดปฏิกิริยา

ฟิวชันได้อย่างต่อเนื่อง ถ้าประสบความสำเร็จโลกเราจะม ี

โอกาสเกิดโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันใช้กันในอนาคต

อ้างอิง

P.-Y. Bely, C. Christian and J.-R. Roy, A Question and

Answer Guide to Astronomy, 34-35, 2010

เรียบเรียงโดย

นายตอริก เฮ็งปิยา

สำนักบริการวิชาการและสื่อสารทางดาราศาสตร์

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน)

ASTROMAGAZiNE

A s t r o n o m y o f f e r s

y o u t h e m o s t e x c i t i n g ,

visually stunning,thorough,

and timely coverage of the

heavensabove. Each monthly

issue includes expert science

r e p o r t i n g , v i v i d c o l o r

p h o t o g r a p h y , c o m p l e t e

sky-event coverage, spot-on

observing tips, informative

telescope reviews, and more.

All of this comes

in an easy-to-understand,

user-friendly style that’s

perfect for astronomers at any

level.

The world’s best-selling astronomy magazine

Page 26: The Galaxy

19 || The Galaxy

The impending birthof our supergalaxy.สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับกาเเล็กซีของเรา

การชนกับของกาแล็กซีทางช้างเผือกกับกาแล็กซี่เพื่อนบ้านใน

อีก 4,000 ล้านปีข้างหน้า

Page 27: The Galaxy

The Galaxy || 20

Page 28: The Galaxy

21 || The Galaxy

นั ก ด า ร า ศ า ส ต ร์ ค้ น พ บ ข้ อ มู ล ล่ า สุ ด จ า ก ก ล้ อ ง โ ท ร ท ร ร น์ อ ว ก า ศ ฮั บ เ บิ ล เ กี่ ย ว กั บ

การพุง่ชนกนัของกาแลกซทีางชา้งเผอืกและกาแลกซแีอนโดรมดีา ในอกี 4,000 ลา้นปขีา้งหนา้ และหลงัจากนัน้ ทัง้สอง

กาแลกซีก็จะหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

Collision of the Milky Way galaxy Vs andromeda galaxy.

ห ลั ง จ า ก ที่ นั ก ด า ร า ศ า ส ต ร์ ไ ด้ ใ ช้ ก ล้ อ ง

โ ท ร ท ร ร ศ น์ อ ว ก า ศ ฮั บ เ บิ ล เ พื่ อ ศึ ก ษ า ค ว า ม เ ป็ น ไ

ป ไ ด้ ที่ ก า แ ล ก ซี ท า ง ช้ า ง เ ผื อ ก จ ะ ช น กั บ ก า แ ล ก ซี

แอนโดรมีดา ซึ่งเป็นกาแลกซีเพื่อนบ้าน ที่อยู่ ใกล้กับ

กาแลกซีทางช้างเผือกนั้นล่าสุดกลุ่มนักดาราศาสตร์ก็ได้

เปิด เผยข้อมูลว่ ากาแลกซีทางช้ าง เผื อกจะชนเข้ า

กัับกาแลกซีแอนโดรมีดาในอีก 4,000 ล้านปีข้างหน้า

เนื่องจากทั้งสองกาแลกซี ต่างก็ถูกอีกฝ่ายหนึ่งดึงดูดเข้า

มาหา จนเกิดการชนกันในที่สุด และหลังจากนั้น อีก 2,000

ล้านปี ทั้งสองกาแลกซีก็จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว โดย

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ตำแหน่งที่ตั้งของดวง

อาทิตย์ จะ เปลี่ ยนไป ส่ วนดวงดาวอีกจำนวนหนึ่ ง

ก็จะถูกทำลาย แต่เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น

โ ด ย ห นึ่ ง ใ น นั ก วิ จั ย จ า ก ส ถ า บั น ก ล้ อ ง

โทรทรรศน์อวกาศ ในบัลติมอร์ สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า

ปัจจุบัน ถ้าเรามองจากโลกนั้น จะเห็นกาแลกซ ี

แอนโดรมีดาเป็นเพียงกลุ่มควันเล็กๆ แต่หลังจากมี

การค้นพบและยืนยันว่า ในอนาคตกาแลกซีแอนโดรมีดา

จะเคลื่อนมาชนกับทางช้างเผือก และปกคลุมโลกของเรา

และระบบสุริยะเอาไว้ ก็ทำให้วงการดาราศาสตร์

กลับมาคึกคักครั้ง โดยหลายฝ่ายยกย่องให้การค้นพบครั้งนี้

เป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่

หลังจากนี้ สิ่งที่นักดาราศาสตร์ต้องดำเนินการ

เป็นลำดับต่อไป ก็คือ การตรวจสอบว่า กาแลกซี

แ อ น โ ด ร มี ด า จ ะ เ ค ลื่ อ น ตั ว เ ข้ า ม า ใ ก ล้ กั บ ก า แ ล ก ซี

ทางช้างเผือกในทิศทางใด

แต่เนื่องด้วยเทคโนโลยี ที่มนุษย์มีอยู่ในปัจจุบัน อาจท

ำให้การคาดการณ์ดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จ แต่สิ่ง

หนึ่งที่นักดาราศาสตร์สามารถยืนยันได้ในขณะนี้ก็คือ

แม้ว่า กาแลกซีแอนโดรมีดา จะเคลื่อนตัวเข้ามาปะทะกับ

กาแลกซีทางช้างเผือก แต่ดวงดาวที่โคจรอยู่ในทั้งสอง

กาแลกซี จะไม่พุ่งชนกันอย่างแน่นอน เพราะว่าระยะห่างข

องทั้งสองกาแลกซีนั้น มีขนาดใหญ่มาก ส่วนหลุมดำที่อยู่

ใจกลางของสองกาแลกซี ก็จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์

ดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นในอีก 4,000 ล้านปีข้างหน้า มนุษย์จะ

ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์นี้หรือไม่ นักวิจัยผู้รับผิด

ชอบโครงการนี้กล่าวว่า เมื่อถึงเวลานั้น อาจจะไม่มีมนุษย์

อาศัยอยู่บนโลกอีกต่อไป เพราะว่าอากาศจะร้อนขึ้น จนไม่

เอื้อให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ แต่หากว่า มนุษย์ในโลกอนาคต

สามารถเปลี่ยนความร้อนดังกล่าวเป็นพลังงานอื่นๆแทน

ก็อาจจะมีชีวิตอยู่รอด และสามารถพบเห็นเหตุการณ์ที่จะ

เกิดขึ้นก็เป็นได้

Page 29: The Galaxy

The Galaxy || 22

ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงการชนกันที่คาดการณ์ไว้ระหว่างทางช้างเผือกและแอนโดรเมดา ถ้ามองจากโลก

เฟรมแรกเป็นวันที่ปัจจุบัน; เฟรมสุดท้ายเป็น 7 พันล้านปีนับจากนี้

Page 30: The Galaxy

Top 1

0 m

os

T b

ea

uT

ifu

l a

nd in

Te

re

sT

ing in

Th

e u

niv

er

se.

10 อันดับภาพที่สวยงามและน่าสนใจที่สุดในจักรวาล

23 || The Galaxy

1 0 . S u p e r n o v a 1 9 8 7 a

Supernova 1987a นี้ ถือว่าเป็นภาพที่ชัดเจนของการพิสูจน์

ปรากฏการณ์ supernova เนื่องจาก supernova ครั้งนี้สามารถตรวจสอบ

และเทียบเคียงได้ว่า ความสว่างก่อนและหลังการเกิด supernova

เป็นเช่นไร Supernova 1987a นี้ระเบิดขึ้น (ตรวจจับได้) ในวันที่ 23

กุมภาพันธ์ 1987 ใน Large Magellanic Cloud (หมู่เมฆแมคเจลแลนใหญ่)

เกิดจากการระเบิด supernova ชนิดที่ 2 ของดาวฤกษ์ชื่อ Sanduleak -69°

202 ซึ่งเป็นดาวประเภท Blue supergiant ในวันนั้นสามารถมองเห็นได ้

ด้วยตาเปล่าและแสงยังคงปรากฏนานถึง 4 เดือน

9 . A n t N e b u l a

Ant nebula หรืออีกชื่อคือ Menzel 3 เป็นเนบิวล่าประเภท

Planetary nebula ไกลจากโลก 8,000 ปีแสง เกิดจากการยุบตัวของ

ดาวฤกษ์มวลน้อยและมีการแพร่กระจายมวลที่เหลืออยู่ในช่วงชีวิตทั้งหมด

ออกไป Ane nebula นี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการพิสูจน์การเปลี่ยนแปลงสภาพ

ดาวฤกษ์เมื่อหมดอายุขัยว่าจะกลายสภาพเป็นเช่นไร ดวงอาทิตย์ของเรา

เมื่อหมดอายุก็จะกลายสภาพเป็นเช่นนี้

8 . P i l l a r s o f C r e a t i o n

ชื่อ Pillars of Creation นี้เป็นภาพส่วน

หนึ่งที่ตัดมาจาก Eagle Nebula ห่างจากโลกประมาณ7,000ปีแสง

ในส่วนของ “เสา” 3 ต้นนี้ คือกลุ่มก๊าซและโมเลกุลของไฮโดรเจนโดยมี

ฉากหลังเป็นโมเลกุก๊าซที่แตกตัวจากดาวฤกษ์อันร้อนแรง 3 ดวง“เสา”

แต่ละต้นนี้มีความยาวถึง 4 ปีแสง ภาพส่วนนี้ถือเป็นหนึ่งในภาพที่ดีที่สุด

จากกล้องโทรทัศน์ Hubble

Page 31: The Galaxy

The Galaxy || 24

7 . E t a C a r i n a e

Eta Carinae เป็นดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ในกลุ่มดาวกระดูกงูเรือ (Constella-

tion Carina) อยู่ห่างจากโลกประมาณ 7,500 ปีแสงมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ถึง

100 เทา่สวา่งกวา่ดวงอาทติยถ์งึ 4 ลา้นเทา่! ดาวดวงนีม้คีวามพเิศษอนันา่กลวั กลา่ว

คือมีความไม่เสถียรของดาวตลอดเวลากว่า 200 ปีที่ผ่านมาดาวดวงนี้เปลี่ยนความ

สว่างขึ้น ๆ ลง ๆ ตั้งแต่ปี 1730ถึงปี 1827 และในที่สุดในปี 1994 กล้องโทรทัศน์อวกาศ

Hubbleได้แสดงให้เห็นภาพอันน่ากลัวนี้ครับ คือดาวดวงนี้ได้ระเบิดปล่อยมวลก๊าซ

ขนาดยักษ์ออกมาสองข้างตัวมันแต่ตัวดาวก็ยังคงสภาพอยู่ได้ ไม่ระเบิดกลายเป็น

Supernova ปัจจุบันนี้ดาวดวงนี้ก็ยังคงสภาพเช่นนี้อยู่

6 . R o s e t t a N e b u l a

Rosetta Nebula หรือเนบิวล่ากุหลาบ (หรืออีกชื่อคือ Caldwell 49) นี้ อยู่

ในทิศทางของกลุ่มดาวยูนิคอร์นห่างจากโลก 5,200 ปีแสง และมีความกว้างถึง 130

ปีแสง เนบิวล่านี้สว่างเรืองรองด้วยการกระตุ้นโมเลกุลก๊าซจากกลุ่มดาวเกิดใหม่ใจ

กลางเนบิวล่า ก่อให้เกิดแสงสวยงามเช่นนี้

5 . S o m b r e r o G a l a x y

Sombrero Galaxy หรือในชื่อ M104 , NGC 4594 เป็นแกแลคซี่ชนิด

unbarred spiral galaxy อยู่ในทิศทางกลุ่มดาวหญิงสาว ห่างจากโลก 28 ล้านปีแสง ลั

กษณะพิเศษของแกแลคซี่นี้คือแกนกลางที่สว่างใสวมาก แและมีจานฝุ่นขนาดยักษ์

แผ่หมุนรอบ ๆ ด้วยลักษณะนี้จึงเรียกชื่อว่า Sombrero (หมวกปีกกว้างแบบเม็กซิกัน)

ภาพนี้ถ่ายโดยกล้องโทรทัศน์ Hubble โดยใช้เวลาเก็บภาพนานถึง 10.2 ชั่วโมง

4 . A n d r o m e d a G a l a x y

Andromeda Galaxy (M31 หรือ NGC 224) เป็น Major Galaxy

ที่อยู่ใกล้เราที่สุด ห่างจากเรา 2.5 ล้านปีแสงเป็นแกแลคซี่ก้นหอยที่สวยงามและสม

มาตรเป็นอย่างยิ่ง

Page 32: The Galaxy

Top 1

0 m

os

T b

ea

uT

ifu

l a

nd in

Te

re

sT

ing in

Th

e u

niv

er

se.

10 อันดับภาพที่สวยงามและน่าสนใจที่สุดในจักรวาล

25 || The Galaxy

3 . C o n e N e b u l a

ภาพนี้เป็นภาพเงาดำของ Cone Nebula ซึ่งเป็นเนบิวล่ามืดที่

ประกอบด้วยโมเลกุลที่เย็นแล้วของไฮโดรเจน และมีฉากหลังเป็น Emission

nebula NGC-2264 ซึ่งสว่างเรืองรองด้วยโมเลกุลก๊าซที่แตกตัวด้วยความ

ร้อนแรงของดาวฤกษ์ชื่อ S Monocerotis ซึ่งแผดแสงอันร้อนแรงอยู่ภายใน

เนบิวล่า NGC-2264

2 . ก ล ุ ่ ม ด า ว ฤ ก ษ ์ เ ก ิ ด ใ ห ม ่

กลุ่มดาวสีน้ำเงินสดใสนี้ อยู่ในเมฆแมคเจลแลนด์น้อย ,Small

Magellanic Cloud (SMC) ซึ่งถือเป็นแกแลคซี่บริวารของทางช้างเผือ

ก ห่างจากเราประมาณ 200,000 ปีแสง กลุ่มดาวเหล่านี้ เพิ่งก่อตัวขึ้น

จากลุ่มก๊าซร้อนจัดพร้อม ๆ กันเป็นสิบ ๆ ดวง ด้วยอายุเพียง 2 - 3 ล้านปี

ทำให้เกิดการแตกตัวของก๊าซร้อน เปล่งประกายสวยงามดั่งสวรรค์ทีเดียว

1 . H o r s e h e a d N e b u l a i n A l n i t a k r e g i o n

กลุ่มดาวสีน้ำเงินสดใสนี้ อยู่ในเมฆแมคเจลแลนด์น้อย ,Small Magellanic Cloud (SMC) ซึ่งถือ

เป็นแกแลคซี่บริวารของทางช้างเผือก ห่างจากเราประมาณ 200,000 ปีแสง กลุ่มดาวเหล่านี้ เพิ่งก่อตัวขึ้น

จากลุ่มก๊าซร้อนจัดพร้อม ๆ กันเป็นสิบ ๆ ดวง ด้วยอายุเพียง 2 - 3 ล้านปี ทำให้เกิดการแตกตัวของก๊าซร้อน

เปล่งประกายสวยงามดั่งสวรรค์ทีเดียว

Page 33: The Galaxy

The Galaxy || 26

ReaderGallery Discover the cosmos! Each day a different image or photograph of our fascinating

universe is featured, along with a brief explanation written by a professional astronomer.

1. IC 1805: The Heart Nebula Image Credit & Copyright: Terry Hancock

Explanation: Sprawling across almost 200 light-years, emission nebula IC 1805 is a mix of

glowing interstellar gas and dark dust clouds. Derived from its Valentine’s-Day-approved

shape, its nickname is the Heart Nebula. About 7,500 light-years away in the Perseus spiral

arm of our galaxy, stars were born in IC 1805. In fact, near the cosmic heart’s center

are the massive hot stars of a newborn star cluster also known as Melotte 15, about 1.5

million years young. A little ironically, the Heart Nebula is located in the

constellation of the mythical Queen of Aethiopia (Cassiopeia). This deep view of the

region around the Heart Nebula spans about two degrees on the sky or about four

times the diameter of the Full Moon.

2. Colors of Mercury Colors of Mercury Image Credit: NASA / JHU

Applied Physics Lab / Carnegie Inst. Washington Explanation: The colors of the solar

system’s innermost planet are enhanced in this tantalizing view, based on global

image data from the Mercury-orbiting MESSENGER spacecraft. Human eyes would

not discern the clear color differences but they are real none the less, indicating

distinct chemical, mineralogical, and physical regions across the cratered surface.

Notable at the upper right, Mercury’s large, circular, tan colored feature known as

the Caloris basin was created by an impacting comet or asteroid during the solar

system’s early years. The ancient basin was subsequently flooded with lava from

volcanic activity, analogous to the formation of the lunar maria. Color contrasts also

make the light blue and white young crater rays, material blasted out by recent

impacts, easy to follow as they extend across a darker blue, low reflectance terrain.

1

2

Page 34: The Galaxy

27 || The Galaxy

3.In the Center of the Trifid Nebula Image Credit:

Subaru Telescope (NAOJ), Hubble Space Telescope, Martin Pugh; Pro-

cessing: Robert Gendler Explanation: Clouds of glowing gas mingle with

dust lanes in the Trifid Nebula, a star forming region toward the constel-

lation of the Archer (Sagittarius). In the center, the three prominent dust

lanes that give the Trifid its name all come together. Mountains of opaque

dust appear on the right, while other dark filaments of dust are visible

threaded throughout the nebula. A single massive star visible near the

center causes much of the Trifid’s glow. The Trifid, also known as M20,

is only about 300,000 years old, making it among the youngest emission

nebulae known. The nebula lies about 9,000 light years away and the part

pictured here spans about 10 light years. The above image is a com-

posite with luminance taken from an image by the 8.2-m ground-based

Subaru Telescope, detail provided by the 2.4-m orbiting Hubble Space

Telescope, color data provided by Martin Pugh and image assembly and

processing provided by Robert Gendler.

4. The Arms of M106 Credit: Image Data - Hubble Legacy

Archive, Robert Gendler, Jay Gabany, Processing - Robert Gendler Ex-

planation: The spiral arms of bright galaxy M106 sprawl through this re-

markable multiframe portrait, composed of data from ground- and space-

based telescopes. Also known as NGC 4258, M106 can be found toward

the northern constellation Canes Venatici. The well-measured distance to

M106 is 23.5 million light-years, making this cosmic scene about 80,000

light-years across. Typical in grand spiral galaxies, dark dust lanes, youth-

ful blue star clusters, and pinkish star forming regions trace spiral arms

that converge on the bright nucleus of older yellowish stars. But this de-

tailed composite reveals hints of two anomalous arms that don’t align with

the more familiar tracers. Seen here in red hues, sweeping filaments of

glowing hydrogen gas seem to rise from the central region of M106, evi-

dence of energetic jets of material blasting into the galaxy’s disk. The jets

are likely powered by matter falling into a massive central black hole.

5.Orion Nebula: The Hubble View Image Credit:

NASA, ESA, M. Robberto (STScI/ESA) et al.Explanation: Few cosmic vis-

tas excite the imagination like the Orion Nebula. Also known as M42, the

nebula’s glowing gas surrounds hot young stars at the edge of an im-

mense interstellar molecular cloud only 1,500 light-years away. The Orion

Nebula offers one of the best opportunities to study how stars are born

partly because it is the nearest large star-forming region, but also because

the nebula’s energetic stars have blown away obscuring gas and dust

clouds that would otherwise block our view - providing an intimate look at

a range of ongoing stages of starbirth and evolution. This detailed image

of the Orion Nebula is the sharpest ever, constructed using data from the

Hubble Space Telescope’s Advanced Camera for Surveys and the Eu-

ropean Southern Observatory’s La Silla 2.2 meter telescope. The mosaic

contains a billion pixels at full resolution and reveals about 3,000 stars.

3

4 5

6.Sentinels of the Arctic Image Credit & Copyright: Niccolò Bonfadini Explanation: Who guards the north? Judging from the above photograph, possibly

giant trees covered in snow and ice. The picture was taken last winter in Finnish Lapland where weather can include sub-freezing temperatures and driving snow. Surreal

landscapes sometimes result, where common trees become cloaked in white and so appear, to some, as watchful aliens. Far in the distance, behind this uncommon Earthly

vista, is a more common sight -- a Belt of Venus that divided a darkened from sunlit sky as the Sun rose behind the photographer. Of course, in the spring, the trees have

thawed and Lapland looks much different.

6

Page 35: The Galaxy

Free!!Shipping with Economy Service This does not ship to Thailand with Fed Ex Ground when you buy today

Celestron AstroMaster 114 EQ Reflector TelescopeSale Price:$149.98List Price: $370.95SAVE 60%

AstroMaster 114EQ Features: Quick and easy no-tool setupPermanently mounted StarPointerErect image optics - Ideal for terrestrial and astronomical useQuick release dovetail attachment - no tool setupGerman Equatorial Mount with Setting Circles - to accurately locate and track sky objectsRugged pre-assembled tripod with 1.25” steel tube legs - Provides a rigid and stable platformAll coated glass optics for clear, crisp imagesDeluxe accessory tray for convenient storage of accessoriesThe Sky Level 1 planetarium software with 10,000 object data-base and enhanced images

Page 36: The Galaxy