Transcript
Page 1: นิสัย 7 ประการสู่ความสำเร็จ THE SEVEN HABITS OF HIGHLY EFFECTIVE PEOPLE Stephen R. Covey

79นิตยสารยุทธโกษปีที่ ๑๒๐ ฉบับที่ ๔ ประจำ�เดือนกรกฎ�คม - กันย�ยน ๒๕๕๕

นิสัย ๗ ประการสู่ความส�าเร็จThe 7 Habits of Highly Effective People

พ.อ.วิสันติ สระศรีดา

Steven Covey ได้ให้แง่คดิว่า

การเพิ่มประสิทธิผล (effective)

ในการใช้ชวีติ เป็นมมุมองทีไ่ด้มกีารให้

ความส�าคญัมากขึน้ เพราะการท�างาน

อย่างมีประสิทธิภาพ (efficiency)

เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่สามารถ

ท�าให้เราปรับตัวในการใช้ชีวิตใน

สภาพแวดล้อมที่สลับซับซ้อนขึ้นได้

ดงัค�ากล่าวทีว่่า “We need balance

between do the right things and

do the thing right”

และยังกล่าวอีกว่ามนุษย์ม ี

สิ่งที่แตกต่างจากสัตว์ คือ มีสามัญ

ส�านึกรู ้ จักแยกแยะผิดชอบชั่ วดี

มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ และมี

พลังจิต ดังนั้น การเอาใจใส่และ

หมั่นฝึกฝนคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้

จนกลายเป็นนิสัย จะท�าให้ประสบ

ความส�าเร็จและมีความสุขอย ่าง

แท้จริง นอกจากนั้น ยังได้กล่าวอีกว่า

กรอบในการมองโลก (paradigm)

หรือนิสัยของคนเรานั้นส ่วนใหญ่

จะถูกปลูกฝังมาจากการสั่งสอนของ

คนรอบข้าง การใช้ชีวิตในสังคม และ

จากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และด้วย

ความเคยชินท�าให้คนเรานั้นไม่เคย

ฉุกคิดว่ามุมมองที่มีอยู ่นั้นถูกต้อง

หรือเหมาะสมหรือไม่ จึงก่อให้เกิด

การทะเลาะเบาะแว้งและไม่เข้าใจ

ผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา เพราะเอาความ

คิดของตนเองเป็นตัวตัดสิน ดังนั้น

ผู้แต่งจึงแนะน�าให้หยุดทบทวนแนว

ความคิดมุมมองและคติธรรมในใจ

นิสัย ๗ ประการสู่ความส�าเร็จ (The 7 Habits of Highly Effective People) ประพนัธ์โดย Steven Covey เป็นหนงัสอืทีไ่ด้รบัความนยิมอย่างต่อเนือ่ง และถกูจ�าหน่าย ไปแล้วกว่า ๑๕ ล้านเล่ม ผู้ประพันธ์ได้กล่าวถึงนิสัย ๗ ประการในการด�าเนินชีวิต เพื่อไปสู่ความส�าเร็จและวิธีการยกระดับคุณภาพจิตใจ

Page 2: นิสัย 7 ประการสู่ความสำเร็จ THE SEVEN HABITS OF HIGHLY EFFECTIVE PEOPLE Stephen R. Covey

80 นิตยสารยุทธโกษปีที่ ๑๒๐ ฉบับที่ ๔ ประจำ�เดือนกรกฎ�คม - กันย�ยน ๒๕๕๕

ที่เคยยึดถือตลอดมาว่า สิ่งเหล่าน้ัน

ถูกต้องแล้วจริงหรือ ให้พิจารณาตาม

ความเป็นจรงิ ส่ิงไหนคดิผดิให้คดิใหม่

แก้ไขที่ต้นเหตุ เมื่อเข้าใจตนเองจึงจะ

เข้าใจผู ้อื่นได้ นอกจากนั้น ผู ้แต่ง

ยังเชื่อว่าผู้ที่จะประสบความส�าเร็จ

ได้นั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการมีสมอง

ข้างขวาที่ทรงประสิทธิภาพสามารถ

ควบคุมการท�างานของสมองด้าน

ซ้ายได้ สมองข้างขวามีหน้าที่เตือน

ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี การมีจินตนาการ

และการมีอารมณ์และความรู ้สึก

ดังนั้น การฝึกใช้จินตนาการและม ี

สติรู ้เน้ือรู ้ตัวอยู ่ตลอดเวลาจึงเป็น

การพัฒนาการท�างานของสมองด้าน

ขวาได้เป็นอย่างดี

อุปนิสัยทั้ง ๗ นั้น แบ่งออก

ได้เป็น ๓ กลุ่มคือ

กลุ่มที่ ๑ : อุปนิสัยเพื่อการ

รู้จักและเอาชนะตัวเอง ได้แก่ นิสัย

การสร้างสรรค์และรู ้จักเลือก (Be

Proactive) สร้างเป้าหมายในชีวิต

เป็นภาพจารึกไว้ในจิตใจ (Begin

with the End in Mind) ท�าสิ่งท่ี

ต้องท�าก่อน (Put First Things First)

กลุ่มที่ ๒ : อปุนสิยัการท�าให้

เกิดชัยชนะร่วมกัน ได้แก่ การรู้จัก

แบ่งปันผลประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นด้วย

(Think Win/Win) การพยายามเข้าใจ

ผู ้อื่นมากกว่าให้ผู ้อื่นมาเข้าใจเรา

(Seek First to Understand,

Then to Be Understood) และ

การผนกึก�าลงัและประสานแนวความ

คิดกัน (Synergize)

กลุ่มที่ ๓ : อุ ป นิ สั ย ก า ร

ปรับปรุงและเรียนรู ้สิ่งใหม่ให้กับ

ชีวิตตนเอง ได้แก่ การฝึกฝนและ

เพิ่มพลังชีวิต (Sharpen the Saw)

ท้ังนี้อุปนิสัย ท้ัง ๗ มีราย

ละเอียดสรุปได้ กล่าวคือ

อปุนสิยัที ่๑ : นสิยัการสร้างสรรค์ และรู้จักเลือก (Be Proactive)

การสร้างสรรค์และรู้จักเลือก

คือการมีสติตามตัวอยู ่ตลอดเวลา

รู ้ตัวว่าขณะนี้ตนเองก�าลังท�าอะไร

อยู ่และผลท่ีเกิดจากการกระท�านี้

คืออะไร รู้ว่าขณะนี้ตัวเราก�าลังอยู่ใน

สถานการณ์แบบใด สถานการณ์ปกติ

หรือมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดย

สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรานั้น มีผลอะไร

ต่อตวัเราบ้าง และเรามกีารตอบสนอง

ต่อสิง่ทีก่�าลงัเผชญิอย่างไร ตอบสนอง

ด้วยกิริยาใดด้วยอารมณ์แบบไหน

ปกติแล้วมนุษย์มีอารมณ์หลักอยู ่

สามอารมณ์คือ สุข ทุกข์ และเฉย ๆ

หากเรารู้เท่าทันอารมณ์เราจึงจะรู้จัก

ตนเองอย่างถ่องแท้ เมือ่รูแ้ล้วเมือ่เหน็

แล้วจึงจะเลือกท�าในสิ่งที่ถูกต้องได้

คนเรามีสิทธิท่ีจะก�าหนดชีวิต

ของตนเอง แต่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่

มกัปล่อยให้ชวีติด�าเนนิไปตามกระแส

สังคม ถูกฉุดกระชากไปตามอารมณ์

และการกระท�าของผู้อื่น เช่น เมื่อ

ได ้รับค�าชมก็ดีใจ ได ้รับค�าต�าหนิ

ก็เสียใจ หรือคนพูดไม่ได้ดั่งใจก็โกรธ

เป็นต้น เราเอาพฤติกรรมของเรา

ไปข้ึนกับการกระท�าและความคิด

ของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา หากเรารู้จัก

Page 3: นิสัย 7 ประการสู่ความสำเร็จ THE SEVEN HABITS OF HIGHLY EFFECTIVE PEOPLE Stephen R. Covey

81นิตยสารยุทธโกษปีที่ ๑๒๐ ฉบับที่ ๔ ประจำ�เดือนกรกฎ�คม - กันย�ยน ๒๕๕๕

เลอืก รูจ้กัหยดุคดิก่อนทีจ่ะตอบสนอง

เราจึงจะมีชีวิตที่เป็นของเราจริง ๆ

และจะเลกิโทษผูอ้ืน่ เลิกโทษโชคชะตา

และจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีวุฒิภาวะ

อย่างแท้จริง เมื่อนั้นจิตจึงจะนิ่งสงบ

ไม่กระเพื่อมไปกับสิ่งภายนอกที่เข้า

มากระทบ จิตจึงมีพลังสามารถท�า

การใหญ่ได้

การจะมีสติ ตามทันอารมณ์

ได ้นั้นจิตต ้องมีความสงบหรือมี

สมาธิในระดับหน่ึง ซ่ึงท�าได้โดยการ

การสวดมนต ์ หรือท�าสมาธิ ซึ่ ง

ในการปฏิบัติแล ้วเรามีสิทธิที่จะ

เลือกส่ิงที่เราจะท�าตามความคิดของ

เราเองได้ อยู ่ที่มุมมองของเราว่า

จะเน ้นจุดที่ เรามีบทบาทในการ

เปลี่ยนแปลงแก้ไข

เราควรจะถามตนเองว่า เราจะ

ด�าเนินชีวิตตามบทบาทที่เราจะเลือก

เดินเพื่อให้สอดคล้องถึงคุณค่าชีวิต

ที่เรามองเห็นความส�าคัญ หรือว่า

ขึ้นอยู ่กับอารมณ์ ความรู ้สึก หรือ

สิ่งแวดล้อมที่มากระทบเรา นั่นคือ

“การสร้างความเชื่อมั่นและมีสติ

ระลกึไว้เสมอว่า เราสามารถป้ันตนเอง

ไปในทิศทางที่เราต้องการได้”

อุปนิสัยที่ ๒ : สร้างเป้าหมาย ในชวีติเป็นภาพจารกึไว้ในจิตใจ (Begin with the End in Mind)

เป็นการเริ่มต้นทุกอย่างด้วย

ภาพหรอืเป้าหมายท่ีเราคดิว่าจะท�าให้

เกิดความส�าเร็จก่อนท่ีจะลงไปใน

รายละเอียด การมีเป้าหมายที่ชัดเจน

ในชวีติเป็นการแสดงความต้องการว่า

อยากมีชีวิตแบบใด เมื่อมีเป้าหมาย

เราจะรู้ว่าขณะนี้ควรท�าสิ่งใด ก�าลัง

ยืนอยู่ตรงจุดไหน จะต้องไปอีกไกล

เท่าไร และไปด้วยวิธีใดบ้างจึงจะ

บรรลุเป้าหมาย จะท�าให้การใช้ชีวิต

ในแต่ละวันมีคุณค่าและไม่น่าเบื่อ

เป้าหมายจะเป็นตวัก�าหนดพฤตกิรรม

ต่าง ๆ ของเรา

เป้าหมายท่ีดีจะต้องชัดและ

ต้องสร้างเป็นภาพจารึกไว้ในจิตใจ

ตลอดเวลาและการสร้างเป้าหมาย

ต้องมาจากสิ่งท่ีเราชอบจริง ๆ ไม่ใช่

ท�าตามกระแสสังคม และที่ส�าคัญ

เป้าหมายนั้นต้องพอที่จะเป็นไปได้

นอกจากนั้นเป้าหมายในท่ีนี้ยังหมาย

ถึงภาพพจน์ที่เราต้องการให้คนอื่น

จดจ�าเราได้นั้นเป็นแบบใด กล่าวอีก

นัยหนึ่งก็คือ “การก�าหนดว่าจะปั้น

ตนเองให้เป็นอะไร”

อปุนสิยัที ่๓ : ท�าสิง่ทีต้่องท�าก่อน (Put First Things First)

การกระท�าสิ่งต่าง ๆ จะต้อง

เลื อกท� า ในสิ่ งที่ สอดคล ้องและ

สนับสนุนการน�าเราไปสู ่เป้าหมาย

ก่อนเป็นอันดับแรก และท�าอย่าง

ต่อเนื่อง ไม่ควรรอให้สิ่งนั้นกลายเป็น

สิ่งเร่งด่วน และต้องมีการประเมิน

ตนเองอยู ่ตลอดเวลาว่าขณะนี้เรา

ก�าลังอยู ่ตรงจุดไหน อีกไกลเท่าไร

และเรามาถูกทางหรือไม่ มีเส้นทาง

ใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมาย

ได้เร็วขึ้นหรือเปล่า หรือเราก�าลังเสีย

เวลาไปกับสิง่ท่ีไร้สาระ ในการประเมนิ

แต่ละครั้งจะต้องอยู่บนพื้นฐานของ

ความเป็นจริง จะต้องซ่ือสัตย์ ใช้สติ

และไม่เข้าข้างตัวเอง นอกจากนั้น

ควรเลือกท�าสิ่งท่ีไม่เร่งด่วนแต่ส�าคัญ

ในชีวิตก่อน คนส่วนใหญ่มักเลือก

ท�าในสิ่งที่เร ่งด่วนก่อนเสมอ โดย

ลืมนึกไปว่าสิ่งเหล่านั้นสอดคล้องกับ

เป้าหมายในชีวิตหรือไม่

Page 4: นิสัย 7 ประการสู่ความสำเร็จ THE SEVEN HABITS OF HIGHLY EFFECTIVE PEOPLE Stephen R. Covey

82 นิตยสารยุทธโกษปีที่ ๑๒๐ ฉบับที่ ๔ ประจำ�เดือนกรกฎ�คม - กันย�ยน ๒๕๕๕

จงอย ่ าท� าตามสิ่ งที่ สั งคม

ก�าหนด แต่ให้เลือกท�าในสิ่งที่เรา

ก�าหนดเอง และการวางแผนท�า

สิ่งใดต้องวางแผนในระยะยาว เพื่อ

ให้ได้ผลงานชัดเจน และต้องมอบ

หมายงานให้กับคนที่ไว้ใจได้ เพื่อที่

เราจะได้มีเวลาไปท�าสิ่งที่ส�าคัญและ

ตรงตามเป้าหมายในชีวิตได้มากขึ้น

อาจกล ่าวได ้ว ่ า อุปนิสัยนี้ คือ

อุปนิสัยของ “การบริหารเวลาที่มี

ประสิทธิภาพ” นั่นเอง

อุปนิสัยที่ ๔ : การรู้จักแบ่งปัน ผลประโยชน์ให้แก่ผู ้อื่นด้วย (Think Win/Win)

เนื่องจากการด�ารงชีวิตใน

สังคมคือการด�ารงความสัมพันธ์กับ

ผู้อื่น อุปนิสัยนี้จึงเป็นการมีมุมมอง

และแนวคดิในอนัทีจ่ะอยูร่่วมกบัผูอ้ืน่

โดยทุกฝ่ายควรจะได้รับประโยชน์

อย่างเท่าเทยีมกนั การไม่คดิถงึตวัเอง

แต่เพียงฝ่ายเดียวหรือเอาความคิด

ของตนเองเป็นที่ตั้ง น่ันคือการรู้จัก

เหน็อกเหน็ใจผูอ้ืน่ และควรหลกีเลีย่ง

การกระท�าที่ท�าให้ผู ้อื่นเดือดร้อน

สิ่งเหล่านี้รู้ได้โดยการมองย้อนเข้าหา

ตัวเองว ่าหากเป ็นเราเจอแบบนี้

จะรู ้สึกอย่างไร และนอกจากการ

เข้าใจผู ้อื่นแล้ว ต้องกระท�าตนให้

ปากกับใจตรงกัน รู ้จักรักษาค�าพูด

มวีฒุภิาวะทางอารมณ์ทีม่ัน่คง สงบนิง่

ใจกว้างและมองโลกในแง่ดี

ประการส�าคัญหากต้องการ

ให้คนในองค์กรได้รับประโยชน์อย่าง

เท่าเทียมกัน ควรจะจัดระบบข้ึนมา

รองรับ นั่นคือ ควรจะมีจุดยืนของเรา

พร้อม ๆ กับการประสานมุมมอง

ในจุดยืนของคนอื่น เพื่อให้เกิดแนว

ความคิดที่สร้างสรรค์กว่าเดิม การ

จะให้ทุกฝ่ายได้รับผลประโยชน์ที ่

พึงพอใจน้ันนอกจากความกล้าหาญ

ในการรักษาจุดยืนของตนแล้ว ต้อง

ยอมรับและพยายามเข้าใจแนวทาง

ของผู ้อื่นด ้วย แล ้วจึงหามุมมอง

ที่ท�าให ้เกิดภาพแห่งชัยชนะหรือ

ความพึงพอใจร่วมกัน

อุปนิสัยที่ ๕ : การพยายามเข้าใจผู ้อื่นมากกว่าให ้ผู ้อื่น มาเข้าใจเรา (Seek First to Understand, Then to Be Understood)

ปกติแล้วคนส่วนใหญ่มักชอบ

พูดให้ผู้อื่นฟังมากกว่าฟังท่ีคนอื่นพูด

ดังนั้น เมื่อไม่มีใครยอมฟังใคร ปัญหา

จึงเกิดขึ้น การฟังอย่างตั้งใจและ

พยายามที่จะเข้าใจผู ้อื่นแทนที่จะ

ให้ผู้อื่นมาเข้าใจเรา อีกฝ่ายจะรับรู้

ถึงความรู ้สึกเห็นอกเห็นใจจากเรา

และเกิดความผ่อนคลายลงในระดับ

หนึ่งและจะยอมรับฟังความคิดเห็น

จากเราด้วยในที่สุด การเป็นผู้ฟังที่ดี

และพยายามทีจ่ะเข้าใจอกีฝ่าย จะท�า

ให้มองเห็นประเด็นของปัญหาได้

อย่างชัดเจนและสามารถแก้ไขได้

อย่างตรงจุด

การฟังนั้นต้องฟังอย่างมีสติ

อย่าฟังจนเคลิ้มและต้องมีจุดยืนใน

ตัวเองด้วย การฟังด้วยความเห็นอก

เห็นใจจะช่วยลดอคติที่มีต่ออีกฝ่าย

ได้ และจะไม่เกิดการตัดสินคนจาก

ค� าพูด เพราะขณะนั้ นจิต ใจจะมี

ความเมตตาไม่ปรุงแต่งเป็นอารมณ์

นอกจากนั้นหากต้องการพูดแสดง

ความเห็นอกเห็นใจ ก่อนพูดควร

ถามความรู ้สึกของตนเองก่อนว่า

ในเวลานี้ควรพูดหรือไม ่ ควรพูด

แค่ไหน และควรพูดอย่างไรจึงจะ

เป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจ

อีกฝ่ายอย่างแท้จริง

Page 5: นิสัย 7 ประการสู่ความสำเร็จ THE SEVEN HABITS OF HIGHLY EFFECTIVE PEOPLE Stephen R. Covey

83นิตยสารยุทธโกษปีที่ ๑๒๐ ฉบับที่ ๔ ประจำ�เดือนกรกฎ�คม - กันย�ยน ๒๕๕๕

อุปนิสัยที่ ๖ : การผนึกก�าลังและประสานแนวความคิดกัน (Synergize)

การผนึกก�าลังและประสาน

แนวความคิดกันให้เกิดขึ้นภายใน

องค์กร เป็นหน้าทีข่องผูบ้รหิาร นัน่คือ

การดึงเอาศักยภาพของสมาชิกใน

องค์กรแต่ละคนมาผสมผสานกัน

อย่างลงตวั และสามารถเปลีย่นความ

ขดัแย้งให้กลายเป็นสิง่ทีส่ร้างสรรค์ได้

ในฐานะผู้บริหารต้องมองปัญหาและ

ความขัดแย้งให้เป็นเรื่องปกติ ควร

คิดว่าจะท�าอย่างไรจึงจะสามารถ

เปลี่ยนสิ่งเหล่าน้ีให้กลายเป็นผลงาน

ได้ นอกจากนั้น การบริหารสมาชิก

ขององค์กรจ�านวนมาก ๆ จะใช้วิธี

เดียวกันหมดไม่ได้เพราะแต่ละคน

ย่อมไม่เหมือนกัน ในฐานะผู้บังคับ

บญัชาจงึต้องมกีารปรบัเปลีย่นวธิกีาร

อยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะรู้ได้ว่าสมาชิก

องค์กรคนไหนต้องใช้วิธีใด

ทั้ ง น้ีต ้องเริ่มจากการรู ้จัก

ตนเองก่อนเมื่อรู้จักตนเองจึงจะรู้จัก

ผู ้อื่น และต้องพยายามเข ้าใจว ่า

อีกฝ่ายก�าลังรู้สึกอย่างไรด้วย จึงจะ

สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการได้อย่าง

ทันท่วงที ข้อคิดในการท�างานเป็น

ทีมคือสิ่งที่ขาดไม่ได้คือความถ่อมตน

จงคิดว่าทุกคนย่อมมีข้อดีในแต่ละ

ด้าน ไม่มีใครดีกว่าใคร หากคิดเช่นนี้

อัตตาตัวตนก็ไม่เกิด การท�างานเป็น

ทีมจึงจะสมบูรณ์ อุปนิสัยท่ี ๖ นี้

จึงเป ็น “การสร ้างพลังร ่วมของ

องค์กร”

อุปนิสัยท่ี ๗ : การฝึกฝนและเพิ่มพลังชีวิต (Sharpen the Saw)

เป็นการหาเวลาและวิธีการ

ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิต

ทั้งร่างกายและจิตใจ รวมทั้งการเพิ่ม

พลงัเพื่อพร้อมที่จะตอ่สู้กับชวีิตต่อไป

มีวิธีการดังนี้คือ

- ออกก�าลังอย่างสม�่าเสมอ

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

- สร้างมโนภาพอยูต่ลอดเวลา

และอ่านหนังสือเพื่อเพิ่มพูนความรู้

- มีความเมตตาและเห็นอก

เห็นใจผู้อื่น

- เข ้ าใจและรู ้ จักตนเอง

อย่างถ่องแท้และสร้างความสงบ

ภายใน

วิธีการดังกล่าวจึงเป็นการ

สร้างความพร้อมของตนเองโดยกระท�า

ท้ังการสร้างความพร้อมของร่างกาย

จติใจ ความรูส้กึ และทักษะ คอืกระท�า

ทั้งภายในและภายนอกนั่นเอง

จากนิสัยแห่งความส�าเร็จ

ทัง้ ๗ ประการ ทีก่ล่าวข้างต้น สามารถ

สรุปเป็นใจความสั้น ๆ ได้ว่า Steven

Covey ให้ความส�าคัญในเรื่องการ

ฝึกตน การเปิดใจ การมมีนษุยสมัพนัธ์

โดยใช้จินตนาการ การมีความคิด

ริเริ่มสร้างสรรค์ การมีหลักคุณธรรม

ในการด�ารงชีวิต และการสร้างแผนที่

ชีวิตที่ดีนั่นเอง


Recommended