43
๑๒ ฮีต ฮีต ผ้าพระเวส วัดทุ่งศรีเมือง ๑๒ เทศบาลนครอุบลราชธานี www.cityub.go.th 147 ถนนศรีณรงค์ ตำบลในเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

Heet+sib+song

Embed Size (px)

Citation preview

๑๒ฮีตฮีตผ้าพระเวส วัดทุ่งศรีเมือง

๑๒

เทศบาลนครอุบลราชธานี

www.cityub.go.th 147 ถนนศรีณรงค์ ตำบลในเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

หนังสือประมวลภาพกิจกรรมงานประเพณี เทศบาลนครอุบลราชธานี

ฮีต๑๒ฝ่ายอำนวยการจัดทำหนังสือ

นายอาทิตย์ คูณผล

ปลัดเทศบาลนครอุบลราชธานี

ข้อมูล / รวบรวม / รูปเล่ม นายประพนธ์ โชควิวัฒนวนิช

รองนายกเทศมนตรี

นายสุขสันติ์ แก้วสง่า

รก.ผอ.ส่วนควบคุมการก่อสร้างอาคารและผังเมือง

นายสุรศักดิ์ โตอิ่ม

ลูกจ้างประจำ

นายสมชาติ เบญจถาวรอนันต์

webmaster:www.guideubon.com

จารีต คือ ฮีตครองโบราณเป็นประเพณีธรรมเนียมสืบทอดมา

จนถึงปัจจุบันนี้ อันเป็นแบบแผนคงไว้ ซึ่งความดีงามประพฤติชอบ

ฮีตสิบสอง เป็นประเพณีทำบุญสิบสองเดือนหรือประเพณีประจำสิบ

สองเดือนนั่นเอง เป็นจารีตที่จะให้ผู้คนในสังคมได้มี โอกาสร่วม

ชุมนุมกันทำบุญเป็นประจำทุกๆเดือนในรอบปีหนึ่งผลที่ ได้รับจาก

การกระทำคือทุกคนจะได้มีเวลาเข้าวัดชำระจิตใจใกล้ชิดกับพุทธ

ศาสนา ทำให้ ในชุมชนได้ทำความรู้จักมักคุ้นกัน เสียสละร่วมกัน

ทำงานเพื่อพัฒนาสังคม สามัคคีกัน และเป็นการใช้เวลาว่างมาทำ

ประโยชน์ต่อสังคม

เทศบาลนครอุบลราชธานี ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสืบสาน

วัฒนธรรมประเพณี อันดีงามที่เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของจังหวัด

ได้แก่ งานประเพณีสงกรานต์ งานประเพณีแห่เทียนพรรษา และ

งานประเพณีออกพรรษาให้คงอยู่กับสังคมเรา ซึ่งจะทำให้จังหวัด

อุบลราชธานีเป็นจังหวัดที่น่าอยู่และนักท่องเที่ยวเกิดความประทับใจ

ในการมาเยี่ยมมาเยือนตลอดไปนางรจนา กัลป์ตินันท์

นายกเทศมนตรีนครอุบลราชธานี

คำว่า“ฮีต” เป็นภาษาไทยอีสาน หมายถึงจารีตประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน ซึ่งฮีตนี้จะต้องปฏิบัติเหมือนกันตั้งแต่ประชาชนธรรมดาจนถึงเจ้านายใหญ่โต เมื่อถึงคราววาระ

และเดือนที่จะต้องประกอบพิธีกรรมตามฮีตแต่ละแห่ง แต่ละชุมชนจะ ต้องปฏิบัติเหมือนกัน ซึ่งมี

ทั้งหมด ๑๒ ฮีตด้วยกัน คือ เดือนอ้าย (เดือนเจียง) บุญเข้ากรรม เดือนยี่ บุญคูณลาน

เดือนสาม ทำบุญข้าวจี่และบุญมาฆบูชา เดือนสี่ ทำบุญพระเวส ฟังเทศน์มหาชาติ เดือนห้า

ตรุษสงกรานต์หรือบุญสรงน้ำ เดือนหก ทำบุญบั้งไฟและวันวิสาขบูชา เดือนเจ็ด ทำบุญซำฮะ

หรือบุญบูชาบรรพบุรุษ เดือนแปด ทำบุญเข้าพรรษา เดือนเก้า ทำบุญข้าวประดับดิน เดือนสิบ

ทำบุญข้าวสาก เดือนสิบเอ็ด ทำบุญออกพรรษา เดือนสิบสอง ทำบุญกฐิน

ฮีตเปรียบเหมือนธรรมนูญชีวิตของชาวอีสานที่นำมาซึ่งความสุขสงบร่มเย็นแต่ปัจจุบันสังคม

อีสานหลายแห่งวิ่งตามโลกวัตถุ หันหลังให้ฮีตเก่าคลองเดิม เห็นความดีงามของวัฒนธรรมต่างชาติ

และรับมาอย่างง่ายดายโดยไม่พิจารณาจึงทำให้สังคมมีความวุ่นวาย ครอบครัวมีปัญหาแตกแยก

ลูกไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่พระคนแก่ครูข้าราชการไม่เป็นแบบอย่างที่ดี ในสังคมส่วนหนึ่ง

เกิดจากคนห่างเหินฮีตเก่าคลองเดิมไม่สนใจนำพาคำสอนของบรรพบุรุษมาถือปฏิบัติ

หนังสือฮีตสิบสองของเทศบาลนครอุบลราชธานีเล่มนี้นับว่าเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้คนในสังคม

ได้หันมาให้ความสนใจ ในจารีตประเพณีอันดีงามของเราชาวอีสาน ที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมา ซึ่งจะ

ทำให้สังคมเราได้กลับมาน่าอยู่ต่อไป

ฮีตสิบสอง มาจากคำสองคำได้แก่ ฮีต คือคำว่า จารีต ซึ่งหมายถึงความประพฤติธรรมเนียมประเพณีความประพฤติที่ดีและสิบสองหมายถึง

สิบสองเดือน ดังนั้นฮีตสิบสองจึงหมายถึงประเพณีที่ประชาชนในภาคอีสาน

ปฏิบัติกันมาในโอกาส ต่าง ๆ ทั้งสิบสองเดือนของแต่ละปี เป็นการผสม

ผสานพิธีกรรมที่เกี่ยวกับเรื่องผีและพิธีกรรมทางการเกษตร เข้ากับพิธีกรรม

ทางพุทธศาสนานักปราชญ์โบราณได้วางฮีตสิบสองไว้ดังนี้

ฮีตสิบสอง เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอีสานที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นวัฒนธรรมแสดงถึงความเป็น

ชาติเก่าแก่และเจริญรุ่งเรืองมานาน เป็นเอกลักษณ์ของชาติและท้องถิ่น และมีส่วนช่วยให้ชาติดำรงความเป็นชาติ

ของตนอยู่ตลอดไป

� �

“เถิงเมื่อเดือนเจียงเข้ากลายมาแถมถ่ายฝูงหมู่สังฆเจ้าเตรียมเข้าอยู่กรรม” บุญเดือนอ้าย (เดือนเจียง) หรือบุญเข้ากรรม อยู่ ใน

ช่วงเดือนธันวาคม เป็นระยะอากาศหนาว โดยมากนิยมทำวัน

ขึ้น๑๕ค่ำเดือนอ้ายเป็นหลักทั้งนี้เชื่อกันว่าเป็นเดือนที่พระ

สงฆ์อยู่ปริวาสกรรม (เข้ากรรม) ชาวบ้านจะจัดสถานที่ แล้ว

นิมนต์พระสงฆ์เข้ากรรม การเข้ากรรมของพระนั้นคือ การให้

พระสงฆ์ผู้กระทำผิดสารภาพต่อหน้าพระสงฆ์ เพื่อชำระจิตใจที่

มัวหมองปลดเปลื้องอาบัติสังฆาทิเสสซึ่งเป็นอาบัติหนักเป็นที่

๒ รองจากปาราชิก เป็นการฝึกจิตสำนึกถึงการบกพร่องของ

ตน และมุ่ งปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยต่อไป

เป็นการเข้าอยู่ประพฤติวัตรโดยเคร่งครัดชั่วระยะหนึ่ง ในป่า

หรือป่าช้า ทางด้านฆราวาสจะมีการทำบุญเลี้ยงผีมด ผีหมอ

ผีฟ้า ผีแถน และพระภิกษุสงฆ์ เพราะถือกันว่าจะได้บุญมาก

นอกจากนี้ ในเดือนนี้ เป็นช่วงเวลาที่ข้าวในนาสุก จึงต้อง

ลงแขกเกี่ยวข้าว การทำปลาร้า ปลาแดก เพื่อเป็นเสบียง

ตลอดปีอีกด้วย

นิมนต์พระสงฆ์เข้าประวาสกรรมตามประเพณีนั้น

มีการทำบุญทางศาสนา เพื่ออนิสงฆ์ทดแทนบุญคุณต่อ

บรรพบุรุษชาวบ้านเลี้ยงผีแถนผีบรรพบุรุษมีการตระ

เตรียมเก็บสะสมข้าวปลาอาหารไว้กินในยามแล้ง

“พอเมื่อเดือนยี่ได้ล้ำล่วงมาเถิงให้พากันหาฟืนสู่คนโฮมไว้” บุญเดือนยี่ หรือบุญคูณลาน อยู่ ในช่วงเดือนมกราคม เป็นการทำบุญหลังจากชาวบ้านได้ทำการเก็บเกี่ยวข้าว ขนข้าวขึ้นสู่ลาน

นวดข้าวและทำข้าวเปลือกให้เป็นกองสูงเหมือนจอมปลวก เรียกว่า “กุ้มเข้า” เหมือนก่อเจดีย์ทรายนั่นเอง แล้วทำพิธีบวงสรวงเจ้าแม่

โพสพนิมนต์พระมาสวดมนต์ทำบุญลานบางคนก็เทศน์เรื่องนางโภสพฉลองบางคนก็มีพิธีสู่ขวัญข้าวก่อนจึงจะขนข้าวขึ้นสู่ยุ้งฉาง ดัง

นั้นจึงต้องทำบุญเพื่อสู่ขวัญข้าว

การทำบุญคูณลานนี้มีความประสงค์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าวเปลือกที่เก็บเกี่ยวเสร็จและจะนำไปใช้สอยต่อไป ในงานบุญนี้

จะมีการตักข้าวในยุ้งออกมาเป็นปฐมฤกษ์เพื่อนำมาเลี้ยงพระเสร็จแล้วก็ทำพิธีเลี้ยงเจ้าที่หรือตาแฮกนอกจากนี้ชาวบ้านยังถือเอาช่วง

ของการเตรียมสะสมฟืนไว้หุงต้มที่บ้านต่อไปอีกด้วย ทั้งนี้ หากชาวบ้านที่ร่วมทำบุญเป็นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยปลูกปะรำพิธีต่างหาก จะ

เรียกว่า“บุญคุ้ม”แต่ถ้าชาวบ้านร่วมกันทำเป็นจำนวนมากโดยนำข้าวไปกองรวมกันที่ศาลากลางบ้านหรือศาลาโรงธรรม

จะเรียกว่า“บุญกุ้มข้าวใหญ่”ซึ่งเชื่อกันว่าจะได้บุญมากที่สุดอีกด้วย

เดือนอ้าย หรือเดือนเจียง

“งานบุญเข้ากรรม” ๑ ๒ เดือนยี่ “งานบุญคูนลาน”

ทำบุญที่วัด พระสงฆ์เทศน์เรื่องแม่โพสพ ทำพิธีปลงข้าวในลอมและฟาดข้าวใน

ลานขนข้าวเปลือกขึ้นเล้า(ยุ้งฉาง)นับเป็นความเชื่อในการบำรุงขวัญและสิริมงคล

ทางเกษตรกรรมมีทั้งทำบุญที่วัดและบางครั้งทำบุญที่ลานนวดข้าว เมื่อขนข้าวใส่ยุ้ง

แล้วมักไปทำบุญที่วัด

� �

เดือนสาม “บุญข้าวจี่” มีพิธีเลี้ยงลาตาแฮก ขนข้าวขึ้นยุ้งแล้ว ตามประเพณีหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวใส่ยุ้งแล้ว มีการทำบุญ

เซ่นสรวงบูชาเจ้าที่นาซึ่งชาวอีสานเรียกว่าตาแฮกและทำบุญแผ่ส่วนกุศลให้ผีปู่ย่าตายายอันเป็นการ

แสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยการทำข้าวจี่ (ข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนสอดไส้น้ำตาลหรือน้ำอ้อย

ชุบไข่ปิ้งจนเหลือง)นำไปถวายพระพร้อมอาหารคาวหวานอื่นๆ บุญเดือนสี่ อยู่ ในช่วงเดือนมีนาคมทุกวัดพอถึงเดือนสี่ ก็จะมีการเทศน์มหาชาติ ชาวอีสานนิยมเรียกว่า “บุญผเวส” (พระเวสสันดร) แต่การกำหนดเวลาก็ไม่ถือเด็ดขาดอาจจะเป็นปลายเดือนสามหรือต้นเดือนห้าก็ได้ เป็นงานบุญมหาชาติ เนื่องจากความเชื่อที่ว่าผู้ ใดฟังเทศน์มหาชาติหรือเรื่องพระเวสสันดรครบ๑๓กัณฑ์ในวันเดียวจะได้ ไปเกิดในยุคพระศรีอาริยเมตดตรอันเป็นยุคที่มีความอุดมสมบูรณ์นั่นเอง ในงานบุญนี้มักจะมีผู้นำของมาถวายพระซึ่งเรียกว่า “กัณฑ์หลอน” หรือถ้าจะเจาะจงถวายพระที่ตนนิมนต์จะเรียกว่า“กัณฑ์จอบ”(จอบภาษาอีสานแปลว่าซุ่มดู)เพราะต้องซุ่มดูพระที่ตนจะถวายให้แน่ ใจเสียก่อน การเทศน์มหาชาติของอีสาน ผิดจากภาคกลางหลายอย่าง เช่น การนิมนต์เขาจะนิมนต์พระวัดต่าง ๆ๑๐-๒๐ วัด มาเทศน์โดยแบ่งคัมภีร์ออกได้ถึง๓๐-๔๐กัณฑ์เทศน์ตั้งแต่เช้ามืดและให้จบในวันเดียวพระในวัดถ้ามีมากก็จะเทศน์รูปละกัณฑ์สองกัณฑ์ถ้าพระน้อยอาจจะเทศน์ถึง๕ กัณฑ์ การแบ่งซอยให้เทศน์หลายๆ กัณฑ์ก็เพื่อให้ครบกับจำนวนหลังคาบ้าน ถ้าหมู่บ้านนี้มี๘๐หลังคาเรือน ก็อาจจะแบ่งเป็น๘๐กัณฑ์ โดยรวมเอาเทศน์คาถาฟันมาลัยหมื่น มาลัยแสน ฉลองมหาชาติด้วยเพื่อให้ครบจำนวนโยมผู้เป็นเจ้าของกัณฑ์ แต่บางบ้านอาจจะขอรวมกับบ้านอื่นเป็นกัณฑ์เดียวกันก็ได้ และเวลาพระเทศน์ก็จะมีกัณฑ์หลอนมาถวายพิเศษอีกด้วยคือหมู่บ้านใกล้เคียงจะรวบรวมกัณฑ์หลอนคล้ายผ้าป่าสมัยนี้ แห่เป็นขบวนกันมาแห่รอบศาลาการเปรียญ แล้วก็นำไปถวายพระรูปที่กำลังเทศน์อยู่ เรียกว่ากัณฑ์หลอนเพราะมาไม่บอกมาโดนใครก็ถวายรูปนั้นไปเลยเรื่องกัณฑ์หลอนนับเป็นประเพณีผูกไมตรีระหว่างหมู่บ้านได้ยิ่งดี เพราะเรามีเทศน์เขาก็เอากัณฑ์หลอนมาร่วม เขามีเราก็เอาไปร่วมเป็นการสนองมิตรจิตมิตรใจซึ่งกันและกันได้ทั้งบุญได้ ทั้งมิตรภาพ ได้ทั้งความสนุกเฮฮารำเซิ้งแม้แต่ ในหมู่บ้านนั้นเองก็มีกลุ่มหนุ่มสาวกลุ่มบ้านเหนือกลุ่มคนแก่กลุ่มขี้เหล้าหรือกลุ่มอะไรก็ได้ร่วมกันทำกัณฑ์หลอนขึ้นแห่ออกไปวัดเป็นการสนุกสนานใครใคร่ทำทำมีเงินทองข้าวของจะบริจาคได้ตลอดวันจึงเห็นบุญมหาชาติของอีสานเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ประจำปีและถือกันว่าต้องทำทุกปีด้วย

“เถิงเมื่อเดือนสามได้จงพากันทำเข้าจี่ไปถวายสงฆ์เจ้าเอาแท้หมู่บุญ”

เดือนสี่ “บุญพระเวส” มีงานบุญพระเวส (ฟังเทศน์มหาชาติ) แห่พระอุปคุตตั้งศาลเพียงตาทำบุญแจกข้าวอุทิศให้ผู้ตาย(บุญเปตพลี)ประเพณีเทศน์มหาชาติเหมือนกับประเพณีภาคอื่นๆด้วยเป็นงานบุญทาง

พุทธศาสนาที่ถือปฏิบัติทำบุญถวายภัตตาหารแล้วตอนบ่ายฟังเทศน์เรื่องเวสสันดรชาดก

“เดือนสามค้อยเจ้าหัวคอยปั้นเข้าจี่เดือนสี่ค้อยจัวน้อยเทศน์มะที(มัทรี)”

บุญเดือนสาม หรือบุญข้าวจี่ อยู่ ในช่วงดือนกุมภาพันธ์ วันเพ็ญเดือน๓ เป็นวันมาฆบูชา รุ่งขึ้นวันแรม๑ ค่ำ ก็ถวายข้าวจี่

เรียกว่า วันทำบุญเนื่องในวันมาฆบูชานั่นเอง ข้าวจี่ คือเอาข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อน เอาไม้เสียบย่างไฟเหมือนไก่ย่าง เมื่อข้าวสุกเกรียม

แล้วก็เอาไข่ซึ่งตี ไว้แล้วทาแล้วย่างซ้ำอีก กลายเป็นไข่เคลือบข้าวเหนียว เสร็จแล้วถอดไม้ออกแล้วเอาน้ำอ้อยหรือน้ำตาลที่เป็นก้อน

ยัดใส่แทนกลายเป็นข้าวเหนียวยัดไส้แล้วถวายพระเณรฉันตอนเช้าส่วนมากชาวบ้านจะรีบทำแต่เช้ามืดพอสว่างก็ลงศาลาการเปรียญ

จี่ ไปถวายพระหลังจากพระฉันแล้วก็เลี้ยงกันเองสนุกสนาน มีคำพังเพยอีสานว่า

“เดือนสามค้อยเจ้าหัวคอยปั้นเข้าจี่ เข้าจี่บ่ ใส่น้ำอ้อยจัวน้อยเช็ดน้ำตา”

เดือนนี้ชาวนาส่วนใหญ่ถือกันตั้งแต่โบราณมาว่าเป็นเดือนสู่ขวัญข้าว คือมี

การถวายข้าวเปลือกพระและนิยมทำบุญบ้านสวดมนต์เสร็จพิธีสงฆ์แล้วก็สู่ขวัญ

ข้าวตามธรรมเนียมพราหมณ์ บางบ้านก็ทำเล็กน้อยพอเป็นพิธี คือเอาข้าวไป

ถวายสงฆ์แล้วทำพิธีตุ้มปากเล้าเล็กน้อยเป็นการบูชาคุณของข้าวในเล้าหรือยุ้ง

นอกจากนี้ ยังมีการลงขันผลผลิตไว้ที่วัด ซึ่งเรียกว่า พิธีบุญประทายข้าวเปลือก

นั่นเอง

(ชาวบ้านเรียกหัวแจก)นิมนต์พระเณรสวดแล้วฉันเป็นทั้งงานบุญและงานรื่นเริงประจำแต่ละหมู่บ้านเพราะได้ทำข้าว

� �

ชาวอีสานเรียกกันว่า“สังขานต์”ตามประเพณีจัดงานสงกรานต์นั้นบางแห่งจัดกัน๓วันบางแห่ง๗วันแล้วแต่กำหนดมีการ

ทำบุญถวายภัตตาหารคาวหวานหรือถวายจังหันเช้า-เพลตลอดเทศกาลตอนบ่ายมีสรงน้ำพระรดน้ำผู้ ใหญ่ผู้เฒ่าก่อเจดีย์ทราย

บุญเดือนห้าทำบุญตรุษสงกรานต์หรือบุญสรงน้ำอยู่ ในช่วงเดือนเมษายนถือเป็นงานเริ่มต้นปี ใหม่โดยการสรงน้ำพระพุทธรูป

และพระสงฆ์ตลอดจนผู้ ใหญ่ เช่น เจ้าเมืองพ่อแม่ และปู่ย่าตายายนอกจากนี้ ยังมีการสรงน้ำเครื่องค้ำของคุณ เช่น เขานอ งา

เขี้ยวหมูตัน ซึ่งถือว่าเป็นสิริมงคล รวมถึงการก่อพระทราย (กองปะทาย) และทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้เสียชีวิตอีกด้วย อนึ่ง การ

ทำบุญสรงน้ำกำหนดในวันขึ้น๑๕ค่ำเดือน๕ซึ่งบางครั้งเรียกว่างานบุญเดือน๕

เดือนหก “บุญบั้งไฟ” บางแห่งเรียก “บุญวิสาขบูชา” มีงานบุญบั้งไฟ (บุญขอฝน) บุญ

วิสาขบูชา วันเพ็ญเดือนหก เกือบตลอดเดือนหกนี้ ชาวอีสานจัดงานบุญ

บั้งไฟ ถือเป็นการทำบุญบูชาแถน (เทวดา) เพื่อขอให้ฝนตกต้องตาม

ฤดูกาลและความอุดมสมบูรณ์ของข้าวปลาอาหารในปีต่อไปครั้นวันเพ็ญ

หกเป็นงานบุญวิสาขบูชาประเพณีสำคัญทางพุทธศาสนามีการทำบุญฟัง

เทศน์และเวียนเทียนเพื่อผลแห่งอานิสงส์ในภพหน้า

บุญเดือนหกหรือบุญบั้งไฟอยู่ ในช่วงเดือนพฤษภาคมซึ่งถือว่าเป็น

ช่วงเริ่มต้นของฤดูฝน ดังนั้น ชาวบ้านจึงมีการจุดบั้งไฟเพื่อบูชาพระยา

แถน และขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล งานบุญบั้งไฟ นับว่าพระสงฆ์มี

ส่วนร่วมเป็นอย่างมาก เนื่องจากพระสงฆ์สามเณรได้ร่วมทำบั้งไฟแข่งกับ

ชาวบ้านอีกด้วย นอกจากนี้ชาวบ้านยังมีการจัดอาหารเหล้ายามาเลี้ยง

กันตลอดจนมีการเซิ้งและการเส็งกลอง(แข่งตีกลอง)ในงานอีกด้วย

นอกจากนี้ ในเดือนหก ยังมีงานวิสาขบูชา งานบวชนาคเพื่อสืบต่อ

พุทธศาสนาด้วย

เดือนห้า “บุญสรงน้ำ” หรือเทศกาลสงกรานต์

� �

๕ ๖

เดือนเจ็ด “บุญชำฮะ” มีพิธีเลี้ยงตาแฮกปู่ตาหลักเมืองงานบุญเบิกบ้านเบิกเมืองงานเข้านาค

เพื่อบวชนาคคติความเชื่อหลังจากหว่านข้าวกล้าดำนาเสร็จ มีการทำพิธีเซ่น

สรวงเจ้าที่นาเพื่อความเป็นสิริมงคลให้ข้าวกล้าในนางงอกงามบ้านที่กุลบุตร

มีงานอุปสบททดแทนบุญคุณบิดามารดาและเตรียมเข้ากรรมในพรรษา

“เดือนเจ็ดแล้วจงพากันบูชาราชฝูงหมู่เทพเล่านั้นบูชาแท้ซู่ภาย” บุญเดือนเจ็ด หรือบุญซำฮะ ทำบุญติดปีติดเดือน เรียกว่า ทำบุญด้วย

เบิกบ้าน อยู่ ในช่วงเดือนมิถุนายน เป็นงานบุญบูชาบรรพบุรุษ ทำพิธีเลี้ยง

มเหศักดิ์หลักเมือง มีการเซ่นบวงสรวงหลักเมือง หลักบ้าน เลี้ยงผีบ้าน ซึ่ง

เรียกว่าปู่ตา หรือตาปู่ ซึ่งเป็นผีประจำหมู่บ้าน และเรียกผีประจำไร่นาว่า

“ผีตาแฮก” คือก่อนจะลงทำนาก็เซ่นสรวงบูชาเจ้าที่ผีนาก่อนเป็นการแสดง

ความนับถือรู้บุญคุณ อีกทั้งชาวบ้านจะพร้อมใจกันปัดกวาดทำความสะอาดคุ้ม

บ้านและขนข้าวของเครื่องใช้เพื่อป้องกันเสนียดจัญไร

งานบุญแบบนี้ ชาวบ้านจะทำสังฆทาน พร้อมกับสวดคาถาไล่ผีและปัด

กวาดรังควานต่อจากนั้นมีการเตรียมตกกล้าแฮกนาและทำไร่

�0 ��

๗ ๘ เดือนแปด

“งานบุญเข้าพรรษา” มีพิธีหล่อเทียนพรรษางานบุญเทศกาลเข้าพรรษาแต่ละหมู่บ้านช่วย

กันหล่อเทียนพรรษา ประดับให้สวยงาม จัดขบวนแห่เพื่อนำไปถวายเป็น

พุทธบูชา มีการทำบุญถวายภัตตหาร เครื่องไทยทานและผ้าอาบน้ำฝน

เพื่อพระสงฆ์จะได้นำไปใช้ตลอดเทศกาลเข้าพรรษา

“เดือนแปดได้ล้ำล่วงมาเถิง

ฝูงหมู่สังโฆคุณเข้าวัสสาจำจ้อย” บุญเดือนแปด หรือบุญเข้าพรรษา อยู่ ในช่วงเดือนกรกฎาคม หรือ

วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๘ งานบุญนี้นับว่าเป็นประเพณีทางศาสนาพุทธ

โดยตรงจึงคล้ายกับภาคอื่นๆ ในประเทศไทยอาทิ การทำบุญตักบาตร

ถวายภัตตาหาร การหล่อเทียนใหญ่แล้วนำไปถวายพระสงฆ์เก็บไว้ ใช้

ตลอดพรรษาการถวายผ้าอาบน้ำฝนและการฟังธรรมเทศนา

เดือนเก้า “บุญข้าวประดับดิน” จัดงานวันแรม๑๔ค่ำเดือน๙นับแต่เช้ามืดชาวบ้านจัดอาหารคาวหวานหมากพลูบุหรี่ใส่

กระทงเล็ก ๆ นำไปวางไว้ตามลานบ้าน ใต้ต้นไม้ ข้างพระอุโบสถ เพื่อเป็นการให้ทานแก่เปรตหรือ

วิญญาณที่ตกทุกข์ ได้ยากตอนสายมีการทำบุญที่วัดฟังเทศน์เป็นอานิสงส์

“เดือนเก้าแล้วเป็นกลางแห่งวัสสกาล ฝูงประชาชาวเมืองเล่าเตรียมกันไว้ พากันนานยังเข้าประดับดินกินก่อนสทายกนานให้เจ้าพระสงฆ์พร้อมซู่ภาย” บุญเดือนเก้า หรือบุญข้าวประดับดิน อยู่ ในช่วงเดือนสิงหาคม จัดขึ้นในวันแรม๙ค่ำเดือน๙

เป็นพิธีรำลึกถึงคุณแผ่นดินที่มนุษย์ ได้อาศัยทำมาหาเลี้ยงชีพ และเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้

ล่วงลับ

งานบุญข้าวประดับดิน มักทำในวันแรม๑๔ค่ำเดือน๙ โดยหลังจากการทำบุญที่วัดแล้ว ชาว

บ้านจะหาอาหารหมากพลูบุหรี่ห่อด้วยใบตองไปวางตามยอดหญ้าบ้างแขวนตามกิ่งไม้บ้างและใส่

ไว้ตามศาลเจ้าเทวาลัยบ้าง พร้อมทั้งเชิญวิญญาณผู้ล่วงลับมารับอาหารไป มีวัตถุประสงค์เพื่ออุทิศให้

แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว เนื่องจากเชื่อว่าในเดือนเก้า คนตายจะถูกปลดปล่อยให้มาท่องเที่ยวนั่นเอง

ต่อมานิยมทำบุญตักบาตรและกรวดน้ำอุทิศกุศลตามแบบพุทธ บางท่านว่าบุญประดับดินนี้ เป็นพิธี

ระลึกถึงคุณของแผ่นดินมนุษย์ ได้อาศัยแผ่นดินอยู่และทำกิน พอถึงเดือน๙ ข้าวปลาพืชผลกำลัง

เจริญชาวบ้านจึงทำพิธีขอบคุณแผ่นดิน�� ��

ข้าวสากหมายถึงการกวนกระยาสารทคล้ายงานบุญสลากภัตในภาคกลางนำสำรับ

คาวหวานพร้อมกับข้าวสาก (กระยาสารท) ไปทำบุญที่วัดถวายผ้าอาบน้ำฝนและเครื่อง

ไทยทาน แต่ก่อนที่จะถวายนั้นจะทำสลากติดไว้ พระสงฆ์องค์ ใดจับสลากใดได้ก็รับถวาย

จากเจ้าของสำรับนั้นตอนบ่ายฟังเทศน์เป็นอานิสงส์

เดือนสิบ “บุญข้าวสาก”

“เถิงเดือนสิบแล้วทายกทอดบวยบาน เบิกพลีทำทานต่อมาสองซ้ำเข้าสากน้ำไปให้สังโฆทานทอดพากันหวังยอดแก้วนิพพานพ้นที่สูง” บุญเดือนสิบ หรือบุญเข้าสาก หรือสลากภัต อยู่ ในช่วงเดือนกันยายน ทำในวันเพ็ญเดือน๑๐ เป็นงานบุญที่

ถือว่าเป็นการส่งคนตายที่ออกมาเที่ยวในเดือนเก้ากลับไปสู่แดนของตนในเดือนสิบถือเป็นการทำบุญให้เปรตโดยแท้

โดยมีระยะห่างจากบุญประดับดิน๑๕ วัน โดยชาวบ้านจะเขียนชื่อของตนลงในพา (สำรับ) ใส่ข้าวฉลาก (ข้าวห่อ

ใหญ่) หรือของที่จะนำถวายพระสงฆ์ และเขียนชื่อของตนอีกใบใส่ ในบาตร เมื่อพระสงฆ์จับชื่อใครในบาตรได้

เจ้าของชื่อจะนำของไปถวาย

ในงานบุญนี้ จะมีการอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว และจะมีการนำห่อข้าวน้อยมาแขวนไว้ตามเสา

ต้นไม้หรือเจดีย์เรียกว่า“แจกข้าวสาก”พร้อมกับตีโป่งเพื่อส่งสัญญาณให้เทวดาผีและเปรตซึ่งเป็นบรรพบุรุษมา

รับเอาไปด้วย

๙ ๑๐

๑๑ เดือนสิบเอ็ด “บุญออกพรรษา” มีพิธีถวายผ้าห่มหนาวในวันเพ็ญมีงานบุญตักบาตรเทโวพิธีกวนข้าวทิพย์พิธีลอยเรือไฟนับเป็นช่วงที่

จัดงานใหญ่กันเกือบตลอดเดือน นับแต่วันเพ็ญ มีการถวายผ้าห่มกันหนาวแต่พระพุทธพระสงฆ์ วันแรม

๑ค่ำ งานบุญตักบาตรเทโวตอนเย็นวันขึ้น๑๔ค่ำมีพิธีกวนข้าวทิพย์ มีงานส่วงเฮือ (แข่งเรือ) ในวัน

เพ็ญมีงานแห่ปราสาทผึ้ง พิธีลอย “เฮือไฟ” (ไหลเรือไฟ) เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา มีทั้งงานบุญกุศลและ

สนุกสนานรื่นเริง

“เถิงเดือนสิบเอ็ดแล้วเป็นแนวทางป่อง เป็นช่องของพระเจ้าเคยเข้า

แล้วออกมา เถิงวัสสามาแล้ว ๓ เดือนก็เลยออก เฮียกว่าออกพรรษาปวารณากล่าวไว้เอาได้เล่ามา” บุญเดือนสิบเอ็ดหรือบุญออกพรรษาอยู่ ในช่วงเดือนตุลาคมในวันขึ้น๑๕ค่ำเดือน๑๑เป็นงาน

บุญที่เมื่อพระสงฆ์จำพรรษาครบ๓เดือนแล้วจะมีการแสดงอาบัติทำพิธีปวารณาคือการเปิดโอกาสให้มี

การว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ในพิธีนี้ เวลาเช้าชาวบ้านจะไปทำบุญตักบาตรเทโวที่วัด ตกเย็นตามวัดต่าง ๆ

จะจุดประทีปโคมไฟสว่างไสว จุดตั้งหรือแขวนตามต้นไม้ตลอดคืน ชาวบ้านจะนำดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ

และถวายผ้าบังสุกุล

นอกจากนี้ ยังมีการกวนข้าวทิพย์ กรอกน้ำมัน ปั่นฝ้าย และการ “ตามประทีปโคมไฟ” โดยชาวบ้าน

และพระสงฆ์จะทำต้นกล้วยเป็นร้านสูง มีหัวและท้ายคล้ายเรือสำเภา ในเวลากลางคืนของวันงาน ชาว

บ้านจะมาจุดธูปเทียนถวายพระสงฆ์ตามร้านที่ทำไว้ ในงานบุญออกพรรษายังมีการไหลเรือไฟในแม่น้ำการ

ส่วงเฮือ(แข่งเรือ)ตลอดจนการเส็งกลอง(แข่งตีกลอง)อีกด้วย

เดือนสิบสอง “บุญกฐิน” ทำบุญข้าวเม่าพิธีถวายกฐินเมื่อถึงวันเพ็ญจัดทำข้าวเม่า (ข้าวใหม่)

นำไปถวายพระ พร้อมสำรับคาวหวานขึ้นตอนบ่ายฟังเทศน์เป็นอานิสงส์

จัดพิธีทอดกฐินตามวัดที่จองกฐินไว้ งานบุญในฮีตสิบสองนั้น ตามหมู่ที่

เคร่งประเพณียังคงจัดกันอย่างครบถ้วนบางแห่งจัดเฉพาะงานบุญใหญ่ ๆ

ตามแต่คณะกรรมการหมู่บ้านร่วมกันจัด

บุญเดือนสิบสอง หรือบุญกฐิน หรือบุญข้าวเม่า อยู่ ในช่วงเดือน

พฤศจิกายนระหว่างแรม๑ค่ำเดือน๑๑ถึงวันเพ็ญเดือน๑๒เป็น

ช่วงเวลาที่ข้าวตั้งท้องและเปลี่ยนเป็นเมล็ดข้าวแล้ว จึงมีการเก็บข้าวทำ

เป็นข้าวเม่าถวายพระ เก็บเอาไว้กินเองพิธีกรรมในเดือนนี้ชาวบ้านจะมี

การทำบุญทอดกฐินเหมือนกับทุกภาคทั่วประเทศ มีการจุดพลุตะไล

ประทัดด้วย ส่วนวัดใดอยู่ริมแม่น้ำก็มีการแข่งเรือกัน เรียกว่า “ส่วง

เฮือ” หรือแข่งขันเรือในแม่น้ำเพื่อบูชาอุสุพญานาค๑๕ตระกูล รำลึก

ถึงพญาฟ้างุ่มที่นำพระไตรปิฎกขึ้นมาจากเมืองอินทปัตถะ (เขมร) “ใน

เดือนนี้เฟิ่นว่าให้ลงทอดพายเฮือช่วงกันบูชาฝูงนาโคนาคเนาในพื้น”

นอกจากนี้มีการไหลเรือไฟลอยกระทงและการทำบุญดอกฝ้ายเพื่อ

ใช้ทอเป็นผ้าห่มกันหนาวถวายพระสงฆ์ บางแห่งทำบุญทอดผาสาทเผิ้ง

(ปราสาทผึ้ง)

�� ��

๑๒

ประเพณี

แห่เทียนเข้าพรรษา

จากประเพณีนิยมที่กล่าวถึงมาทั้งหมดนับเป็นความภาคภูมิ ใจของชาวอีสานเรา ที่มีขนมธรรมเนียม

ประเพณี อันดีงามอยู่คู่กับเรามายาวนาน ซึ่งขนบธรรมเนียม

ประเพณีของเราชาวอีสานได้สืบทอดมาจนปัจจุบันก็เพราะใน

แต่ละท้องถิ่นได้มีการสืบทอดกันมาโดยตลอด ซึ่งในแต่ละ

ประเพณี ก็จะมีแต่ละจังหวัด แต่ละอำเภอ ได้อนุรักษ์มาโดย

ตลอด ดังเช่น งานบุญคูนลาน จะพบเห็นได้ที่ อำเภอลือ

อำนาจ จังหวัดอำนาจเจริญบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธรบุญออก

พรรษา ไหลเรือไฟ จังหวัดนครพนม ประเพณีแห่เทียนเข้า

พรรษา จังหวัดอุบลราชธานี บุญพระเวส จังหวัดร้อยเอ็ดบุญ

ข้าวสาก บุญข้าวประดับดิน จังหวัดยโสธร และอีกหลายๆ

ประเพณีที่มักจะพบเห็นกันโดยตลอดในทุกๆท้องถิ่น

สำหรับในส่วนของเทศบาลนครอุบลราชธานี ได้มีการ

สืบทอดประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นมาโดยตลอด โดยได้รับ

ความร่วมแรงร่วมใจจากพี่น้องในชุมชนต่าง ๆ ภายในเขต

เทศบาลนครอุบลราชธานี ซึ่งมีประเพณีหลายๆ อย่างที่ ได้

สืบทอดมาดังนี้

�� ��

งานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี

งานประเพณีแห่ เทียนพรรษา เป็นประเพณี

ทางพุทธศาสนา ของชาวอุบลฯ ซึ่งมีความเจริญใน

พุทธศาสนา วัฒนธรรม และประเพณีมาเป็นเวลา

ยาวนาน ถือเป็นงานบุญ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจังหวัด

อุบลราชธานี

จากการสอบถามผู้ เฒ่าผู้แก่ ได้ความว่าชาว

อุบลราชธานี ได้ทำต้นเทียนประกวดประชันความ

วิจิตรบรรจงกันตั้งแต่พ.ศ.๒๔๗๐จนเมื่อปีพ.ศ.

๒๕๒๐ จังหวัดอุบลราชธานี ได้จัดงานสัปดาห์

ประเพณีแห่เทียนพรรษา ให้เป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่

และมโหฬาร สถานที่จัดงานคือ บริเวณทุ่งศรีเมือง

และศาลาจตุรมุขมีการประกวดต้นเทียน๒ประเภท

คือประเภทติดพิมพ์และประเภทแกะสลักโดยขบวน

แห่จากคุ้มวัดต่างๆพร้อมนางฟ้าประจำต้นเทียนและ

เคลื่อนขบวน ไปตามถนนในตัวเมืองซึ่งตั้งแต่ปีพ.ศ.

๒๕๔๒ เป็นต้นมา งานประเพณีแห่เทียนพรรษา

จังหวัดอุบลราชธานีมีชื่องานแต่ละปีดังนี้

�� ��

ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ มีชื่องานว่า “งานแห่เทียนพรรษา เฉลิมพระเกียรติ ๗๒ พรรษา มหาราชา” เนื่องจากเป็นปีมหามงคลเฉลิม

พระชนมพรรษา๖รอบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่มาของ“เทียนเฉลิมพระเกียรติฯ”ที่ทุ่งศรีเมือง

ปี พ.ศ. ๒๕๔๓ มีชื่องานว่า “หลอมบุญบูชา ถวายไท้นวมินทร์”มีความหมายว่าการหล่อเทียนพรรษาของชาวอุบลฯเพื่อบำเพ็ญกุศล

ร่วมกันการหล่อหลอมจิตศรัทธาให้เป็นหนึ่งเดียวเปรียบประดุจการหลอมบุญบูชาเพื่อน้อมเกล้าฯถวายแด่องค์พระมหากษัตริย์

ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ มีชื่องานว่า “งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบลฯ” เนื่องจากเทียนพรรษาได้วิวัฒนาการไปจาก “ภูมิปัญญา

ดั้งเดิม”จนแทบจะจำเค้าโครงแต่โบราณไม่ ได้จึงได้มีการหันกลับมาทบทวนการจัดงานแห่เทียนพรรษาตามภูมิปัญญาของชาวอุบลฯตั้งแต่เดิมมา

ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ มีชื่องานว่า “โรจน์เรือง เมืองศิลป์”ด้วยเหตุที่ททท.ได้เลือกงานแห่เทียนพรรษจังหวัดอุบลราชธานีเป็นงานที่โดดเด่น

ที่สุดของประเทศในเดือนกรกฎาคมตามโครงการ“เที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือน”จึงจัดให้มีกิจกรรมการท่องเที่ยวตลอดเดือนอาทิได้เชิญช่างศิลป์

นานาชาติประมาณ๑๕ประเทศเช่นสหรัฐอเมริกานิวซีแลนด์จีนญี่ปุ่นมาร่วมแข่งขันการแกะสลักขี้ผึ้งตามสไตล์งานศิลปะแต่ละชาติ

ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ มีชื่องานว่า “สืบศาสตร์ สานศิลป์” เนื่องจากงานประเพณีแห่เทียนพรรษาเป็นการ “สืบทอดศาสนาและสืบสานงาน

ศิลปะ”ดังคำกล่าวที่ว่า “เทียนพรรษาคือ ภูมิศิลปะแห่งศรัทธา” เพื่อความกระชับ จึงใช้ชื่อว่า “สืบศาสน์ สานศิลป์” แต่โดยเหตุที่มีผู้ ให้ความ

เห็นเพิ่มเติมว่าคำว่า“ศาสตร์”มีความหมายกว้างกว่าชื่องานจึงเป็น“สืบศาสตร์สานศิลป์”ด้วยเหตุนี้

ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ มีชื่องานว่า “ทวยราษฎร์ ใฝ่ธรรม งามล้ำเทียนพรรษา เทิดไท้ ๗๒ พรรษา มหาราชินี”เนื่องจากเป็นปีมหามงคล

เฉลิมพระชนมพรรษา๖รอบสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนารถพระแม่-แม่พระของแผ่นดิน

ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ มีชื่องานว่า “น้อมรำลึก ๕๐ ปี พระบารมีแผ่คุ้มเกล้าฯ ชาวอุบลฯ” เนื่องจากเมื่อวันที่ ๑๖-๑๗พฤศจิกายน

๒๔๙๘ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ ได้เสด็จเยือนอุบลราชธานียังความปลาบปลื้มปิติแก่ชาวอุบลฯ เป็นล้นพ้น เพราะตั้งแต่สร้างบ้านเมืองมาเกือบ

๒๐๐ปี ยังไม่เคยมีพระมหากษัตริย์พระองค์ ใดเสด็จเยี่ยมหรือทรงใกล้ชิดกับราษฎรอย่างไม่ถือพระองค์เช่นนี้ ชาวอุบลฯ ทุกหมู่เหล่าต่างพร้อม

น้อมรำลึกด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเหล้าล้นกระหม่อมพระบารมีแผ่คุ้มเกล้าฯ ชาวอุบลฯปิติล้นพ้น ตลอดระยะเวลา๕๐ปี ที่ผ่านมา

และตลอดไป

�0 ��

ปี พ.ศ. ๒๕๔๙ มีชื่องานว่า “๖๐ ปี พระบารมีแผ่ ไพศาล งามตระการเทียนพรรษา เทิดราชัน” เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาท

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ๖๐ปี

ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ มีชื่องานว่า “ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม เลิศล้ำ เทียนพรรษา ปวงประชาพอเพียง” เนื่องจากเป็นปีมหามงคล เฉลิมพระเกียรติ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมพรรษา๘๐พรรษา๕ธันวาคม๒๕๕๐เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่

มีต่อพสกนิกรปวงชนชาวไทยและการน้อมนำแนวพระราชดำรัสมาใช้ดำรงชีวิต

ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ มีชื่องานว่า “เมืองอุบลบุญล้นล้ำ บุญธรรม บุญทาน สืบสานตำนานเทียน” เนื่องจากอุบลราชธานีมีสมญานามว่า“เมือง

แห่งดอกบัวงาม” ซึ่งดอกบัวเป็นพฤกษชาติที่มีคติธรรมทางพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง อุบลราชธานีจึงมีวัฒนธรรมประเพณีทำบุญทุกๆ เดือนคือการยึดถือ

ฮีตสิบสองคองสิบสี่(ฮีตสิบสองคือจารีตที่ปฏิบัติแต่ละเดือนตลอดปีจนเป็นประเพณีสืบต่อมา)ประเพณีแต่ละอย่างในฮีตสิบสองล้วนมีแต่ชื่อขึ้นต้นว่า

บุญหมายถึงประเพณีที่มุ่งการทำบุญเป็นสำคัญอุบลราชธานีจึงมีบุญล้นล้ำทั้งบุญธรรมบุญทานอีกทั้งงานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี

ก็มีมาแต่โบราณโดยเริ่มจากในสมัยแรกๆ เป็นเทียนเวียนหัวมัดรวมติดลาย วิวัฒนาการมาจนเป็น หลอมเทียน หลอมใจ หลอมบุญสืบสานมาจนถึง

ปัจจุบัน

ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ มีชื่องานว่า “ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม บุญล้ำเทียนพรรษา ประชาพอเพียง” เนื่องจากอุบลราชธานีเป็น “อู่อารยวัฒนธรรม

อุดมอริยทรัพย์ อริยสงฆ์ รุ่งโรจน์ศาสตร์ เรืองรองศิลป์ ถิ่นไทยดี”ฮุ่งเฮืองเมืองธรรมจึงเป็นความรุ่งเรืองสว่างไสวอุดมสมบูรณ์ ในธรรมที่สำคัญยิ่ง

๓ประการคือพุทธธรรมอารยธรรมและธรรมชาติ ประกอบกับ การทำบุญเข้าพรรษาที่อุบลราชธานี มีชื่อเสียงมานานนับร้อยปี จึงเป็นที่รวมทำบุญ

เข้าพรรษาของประชาชนทั่วประเทศรวมถึงนักท่องเที่ยวทั่วโลก ท่านที่มาทำบุญเดือนแปดที่เมืองอุบลฯ จึงเป็นการบำเพ็ญกุศล ได้รับ “บุญล้ำเทียน

พรรษา” โดยทั่วหน้ากันพร้อมกันนี้ยังได้เสนอเน้นคำขวัญประชาพอเพียง ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ประชาชนพลเมืองจะมีความพอเพียงได้ก็ด้วยคุณ

ธรรมความพอเพียงตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทำชีวิตให้อยู่ดีมีสุขไม่มีความฟุ้งเฟ้อทะเยอทะยานยินดี ในสิ่งที่ ได้

พอใจในสิ่งที่มี

ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ มีชื่องานว่า “ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบล” เนื่องจากเมืองอุบลราชธานี มี “ธรรม”

๓ประการคือพุทธธรรมชาวอุบลฯมีความฝักใฝ่ ในธรรมอารยธรรมคืออุดมด้วยอารยทรัพย์อารยสงฆ์และธรรมชาติตามถิ่นที่ตั้งเมืองอุบลคือ

�� ��

ดงอู่ผึ้ง จึงเป็นความรุ่งเรือง หรือ “ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม” และที่ตั้งเมืองของจังหวัดอุบลราชธานี คือ ดงอู่ผึ้ง ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญในการทำเทียน

พรรษา รวงผึ้งอุดมสมบูรณ์มาก สำนักพระราชวังได้นำขี้ผึ้งจากจังหวัดอุบลฯ ไปเพื่อทำเทียนพระราชทานประกอบกับ อุบลราชธานีมีสกุลช่างทุกสาขา

วิชาช่างศิลปะ จึงสามารถรังสรรค์เทียนพรรษาออกมาได้อย่างวิจิตรบรรจงตามจินตนาการ งามล้ำเทียนพรรษา และเนื่องจากประเพณีแห่เทียนพรรษา

เกิดจากภูมิปัญญาชาวอุบลฯเป็น“ภูมิปัญญาชาวบ้าน”สืบสานเป็น“ภูมิปัญญาท้องถิ่น”ก่อให้เกิด“ภูมิพลังเมือง”สร้างชุมชนให้เข้มแข็งประชาคม

เป็นปึกแผ่นมั่นคงแก้ ไขปัญหาสำคัญของชาติได้ ในการร่วมเป็น“ภูมิพลังแผ่นดิน”

ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีชื่องานว่า “ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญา

ชาวอุบล” ใช้ชื่องานต่อเนื่องจากงานประเพณีแห่เทียนพรรษา ปี ๒๕๕๓ และจังหวัด

อุบลราชธานี ได้กำหนดชื่องาน ในปี พ.ศ.๒๕๕๕ เป็นชื่องานว่า “ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม

งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบล”เช่นเดิม

�� ��

�� ��

ง า น แ ห่ เ ที ย น เ ข้ า พ ร ร ษ า

นับเป็นประเพณีอันเก่าแก่ของชาวจังหวัดอุบลราชธานี

และถือเป็นงานประเพณีประจำจังหวัดที่ขึ้นชื่อในหมู่ของ

นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศทุกปี ในช่วง

เทศกาลงานเข้าพรรษาเพื่อเป็นการอนุรักษ์

ขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่นให้อยู่คู่ชาวจังหวัด

อุบลราชธานีตลอดไปภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ

มากมายเช่นขบวนแห่เทียนพรรษาการประกวด

สาวงามเทียนพรรษาการแสดงการแกะสลัก

ประติมากรรมเทียนนานาชาติ

�� ��

�0 ��

�� ��

�� ��

�� ��

ส ง ก ร า น ต์ เป็นประเพณี ไทยที่สืบสานวัฒนธรรม

ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานานโดยเทศบาลนครอุบลราชธานี

จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงเทศกาลงานสงกรานต์

ณบริเวณทุ่งศรีเมืองนอกจากนี้ยังเป็นวันผู้สูงอายุ

เพื่อเป็นการแสดงออกถึงการให้ความเคารพนับถือและ

ลูกหลานได้เห็นความสำคัญของผู้สูงอายุมีการรดน้ำขอพร

จากผู้ ใหญ่เพื่อความเป็นสิริมงคลโดยบรรยากาศในงาน

เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเองภายในงานมีกิจกรรม

มากมายเช่นการสรงน้ำพระแก้วบุษราคัมสักการะ

ศาลหลักเมืองการแสดงพื้นบ้านและเทศกาลอาหารไทย-

อินโดจีนโดยมีถนนดอกไม้และสายน้ำเป็นกิจกรรมที่สร้าง

ความสนุกสนานให้กับผู้เข้าร่วมงานอย่างมาก

ประเพณี

มหาสงกรานต์

�� ��

กิจกรรมลดอุบัติเหตุและรวมคนเล่นน้ำไว้ ในจุดเดียว

เป็นกิจกรรมที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากถือ

ได้ว่าเป็นกิจกรรมหลักและหัวใจสำคัญของงานประเพณี

สงกรานต์และเทศบาลนครอุบลราชธานี

ได้ร่วมมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้าง

เสริมสุขภาพ(สสส.)จัดกิจกรรมปลอดเหล้า–ปลอด

แอลกอฮอล์ภายในบริเวณถนนดอกไม้และสายน้ำภาย

ใต้คำว่า“สงกรานต์บ้านเฮา บ่เมากะม่วนได้”และ

ในการจัดกิจกรรมถนนดอกไม้และสายน้ำเทศบาลนคร

อุบลราชธานีได้รับความร่วมมือจากการประปา

ส่วนภูมิภาคอุบลราชธานีในการให้ความอนุเคระห์

อุปกรณ์พร้อมเจ้าหน้าที่ ในการติดตั้ง

อุปกรณ์ต่างๆภายในบริเวณงาน

ถนนดอกไม้...และสายน้ำ

�0 ��

�� ��

�� ��

�� ��

�� ��

ขบวนอัญเชิญพระแก้วบุษราคัมพิธีอัญเชิญพระแก้วบุญราคัม

ไปตามถนนสายต่างๆเพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำขอพรเนื่องในวัน

สงกรานต์และนำไปประดิษฐานณแท่นสรงในบริเวณวัดศรีอุบลรัตนาราม

เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสสรงน้ำขอพรในเทศกาลงานสงกรานต์

ขบวนแห่สงกรานต์ชุมชนคุ้มวัดส่วนราชการร่วมส่งขบวนแห่สงกรานต์

เข้าร่วมในขบวนประกอบด้วยรถพระประธานรถนางสงกรานต์

วงดนตรีพื้นเมืองขบวนรำและการละเล่นพื้นเมือง

ขบวนอัญเชิญพระแก้วบุษราคัม และขบวนแห่สงกรานต์

�0 ��

�� ��

เทศกาลอาหารไทย-อินโดจีน

เทศกาลอาหารไทย – อินโดจีน เทศกาลอาหารไทย–อินโดจีน

ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมของการจัดงาน

ประเพณีสงกรานต์ที่สร้างความชื่นชอบให้แก่ประชาชนเป็น

อย่างสูงเพราะมีความสะดวกในการซื้อหาอาหารในงานมีร้าน

จำหน่ายอาหารกว่า๑๕๐ร้านผู้ประกอบการร้านค้าที่เข้า

ร่วมจำหน่ายอาหารได้ผ่านการคัดสรรในด้านคุณภาพอาหาร

ที่ต้องสะอาดถูกหลักโภชนาการอาหาร

จึงทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในความปลอดภัย

�� ��

ประกวด...เทพีสงกรานต์ เพื่อคัดเลือกสตรี ไทยที่มีความสวยงามมีความรู้และความสามารถ

มีคุณสมบัติที่เหมาะสมให้ดำรงตำแหน่งเทพีสงกรานต์เพื่อเป็นทูตวัฒนธรรมในการ

เผยแพร่วัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม

และส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับจังหวัดอุบลราชธานี

�� ��

ตุ้มโฮมกินข้าวแลง...แญงวัฒนธรรม...รดน้ำขอพรผู้สูงอายุ ตุ้มโฮม“กินข้าวแลงแญงวัฒนธรรม”รดน้ำขอพรผู้สูงอายุร่วมรับประทานอาหารและสร้าง

สัมพันธไมตรีอันดีของประชาชนในเขตเทศบาลแลกเปลี่ยนพูดคุยซึ่งกันและกันเพื่อเป็นการอนุรักษ์

วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นและในงานยังมีกิจกรรมรดน้ำขอพรผู้สูงอายุเทศบาลนคร

อุบลราชธานีร่วมกับชุมชนภายในเขตเทศบาลโดยคัดเลือกผู้สูงอายุในชุมชนที่มีอายุ๗๐ปีขึ้นไป

และเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไปเข้าร่วมพิธีรดน้ำขอพรเพื่อให้ลูกหลานได้รดน้ำขอพรเนื่องในวัน

สงกรานต์

�� ��

มหกรรมกีฬา...มหาสงกรานต์

มหกรรมกีฬามหาสงกรานต์เทศบาลนครอุบลราชธานีร่วมกับ

สมาคมกีฬาจังหวัดอุบลราชธานีจัดการแข่งขันกีฬานานาชนิดเช่น

บาสเกตบอลฟุตซอลวอลเลย์บอลฟุตบอลและเปตองเพื่อให้

เยาวชนและประชาชนได้ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์และห่างไกล

จากสิ่งเสพติดโดยมีการจัดการแข่งขันกีฬาตลอดเดือนเมษายน

�0 ��

�� ��

�� ��

งานประเพณีอันดีงานของท้องถิ่น ที่เทศบาล

นครอุบลราชธานี ร่วมกับชุมชนสืบทอดมาเป็นเวลา

ยาวนาน ประเพณีที่แสดงถึงความสวยงามและ

ความสามัคคีกันของคนในชุมชนให้ร่วมมือร่วมใจกัน

จัดกิจกรรมขึ้นตามวิถีชีวิตความเป็นอยู่ เนื่องจาก

จังหวัดอุบลราชธานีมีลำน้ำมูลเป็นแม่น้ำสายหลัก

ใช้ ในการดำรงชีวิตประจำวันเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย

และสบาย จึงมีกิจกรรมการแข่งขันเรือยาวและ

ไหลเรือไฟ ซึ่งเทศบาลนครอุบลราชธานีร่วมกับพี่

น้องประชาชนในชุมชนต่าง ๆ จัดงานประเพณีออก

พรรษา ในวันออกพรรษา โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจ

เช่น การประกวดไหลเรือไฟ การประกวดนาง

นพมาศ การแข่งขันเรือยาวพระราชทานสมเด็จ

พระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี

เทศกาลอาหารไทย-อินโดจีน และการแสดง

คอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดังมากมายณบริเวณถนน

เลียบแม่น้ำมูลท่าน้ำตลาดใหญ่

ประเพณี

ออกพรรษา

แข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานฯ

�� ��

�� ��

ลอยกระทง

�0 ��

ประกวดนางนพมาศ

�� ��

ไหลเรือไฟ

�� ��

ตักบาตรเทโวโรหนะ

�� ��

หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ

เทศบาลนครอุบลราชธานี ๐ ๔๕๒๔ ๖๐๖๐

ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ๐ ๔๕๒๕ ๔๒๑๘

ที่ทำการปกครองจังหวัดอุบลราชธานี

(ทำหนังสือผ่านแดน) ๐ ๔๕๒๔ ๒๘๔๓

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุบลราชธานี ๐ ๔๕๒๔ ๔๘๗๕

ที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี ๐ ๔๕๒๕ ๔๐๘๖

ไปรษณีย์อุบลราชธานี ๐ ๔๕๒๖ ๐๔๕๖

สถานีขนส่ง ๐ ๔๕๓๑ ๒๗๗๓

สถานีรถไฟ ๐ ๔๕๓๒ ๑๐๐๔

ท่าอากาศยานนานาชาติอุบลราชธานี ๐ ๔๕๒๔ ๔๐๗๓

สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองอุบลราชธานี ๐ ๔๕๒๕ ๔๐๐๘

ททท. อุบลราชธานี ๐ ๔๕๒๔ ๓๗๗๐

การท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดอุบลราชธานี ๐ ๔๕๒๔ ๔๘๗๕

ตำรวจท่องเที่ยว ๐ ๔๕๒๔ ๕๕๐๕

ตำรวจทางหลวง ๐ ๔๕๓๑ ๓๒๒๐

ตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี ๐ ๔๕๓๑ ๒๗๗๓

โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ๐ ๔๕๒๔ ๐๐๗๔

อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ๐ ๔๕๒๔ ๖๓๓๒

อบต.นาโพธิ์กลาง (เดินป่าดงนาทาม) ๐ ๔๕๓๒ ๑๒๘๔

อุทยานแห่งชาติภูจองนา-ยอย ๐ ๒๕๗9 ๕๗๓๔

เขื่อนสิรินธร ๐ ๔๕๓๖ ๖๐๘๕

ด่านตรวจคนเข้าเมืองพิบูลมังสาหาร ๐ ๔๕๔๘ ๕๑๐๗

ด่านตรวจคนเข้าเมืองช่องเม็ก ๐ ๔๕๔๘ ๕๑๐๗

ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมกาญจนาภิเษก ๐ ๔๕๒๕ ๐๑๑๕

พิพิธภัณฑถานแห่งชาติอุบลราชธานี ๐ ๔๕๒๒ ๕๐๗๑

๕ ๔ ๑ ๒ ๓ ๑. นางรจนา กัลป์ตินันท์ นายกเทศมนตรีนครอุบลราชธานี

๒. นายพงษ์ศักดิ์ มูลสาร รองนายกเทศมนตรี๓. นายประพนธ์ โชควิวัฒนวนิช รองนายกเทศมนตรี

๔. นายไพบูลย์ ชมาฤกษ์ รองนายกเทศมนตรี๕. นางพรพรรณ หมอนเสมอ รองนายกเทศมนตรี

�� ��

จัดทำโดย

เทศบาลนครอุบลราชธานี ฝ่ายส่งเสริมการท่องเที่ยว สำนักปลัดเทศบาล

ที่ปรึกษา นางรจนา กัลป์ตินันท์ นายกเทศมนตรีนครอุบลราชธานี

นายพงษ์ศักดิ์ มูลสาร รองนายกเทศมนตรี

นายประพนธ์ โชควิวัฒนวนิช รองนายกเทศมนตรี

นายไพบูลย์ ชมาฤกษ์ รองนายกเทศมนตรี

นางพรพรรณ หมอนเสมอ รองนายกเทศมนตรี

นายบุญเทียน องควานิช

นายประเทือง ศริพันธุ์

นางสาวธนพร ประทุมบาล

ที่ปรึกษานายกเทศมนตรี

นางวลัยพร ปูคะภาค

นายสรวีย์ ฤทธิชัย

เลขานุการนายกเทศมนตรี

�0