16
7 อ่านต่อหน้า 2 ปิดทองหลังพระ คือการเพียรทำความดี โดยไม่มุ่งเน้นประโยชน์ส่วนตน ปิดทองหลังพระฯ ณ อุดรธานี อีกก้าวย่างแห่งการเรียนรูโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนอ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ ต.กุดหมากไฟ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี พื้นที่ขยายผลปิดทอง หลังพระฯ เกิดขึ้นโดยมติคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรม ปิดทองหลังพระฯ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2553 และเริ่มลงพื้นที่ทำความเข้าใจ กับชาวบ้านในเดือนมกราคม 2554 แนวคิดการทำงานโครงการฯ ต้องการขยายต้นแบบการพัฒนาในรูปแบบใหม่ คือ ทำเล็ก ประหยัด เกิดการขยายผลเร็วในวงกว้างและได้ประโยชน์สูงสุด โดย สถาบันฯ ทำหน้าที่ประสานงานให้เกิดการบูรณาการองค์ความรู้ด้านการบริหาร จัดการระบบน้ำ และกระบวนการ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ องค์ความรู้ด้านการเกษตรและปศุสัตว์ ของโครงการ ฟาร์มตัวอย่าง ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ การสนับสนุนงบ ประมาณจากจังหวัดอุดรธานี และการร่วมขับเคลื่อนงานอย่างต่อเนื่องจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ก่อนปิดทองหลังพระฯ จะเข้ามาในพื้นที่ ชุมชนที่ได้รับประโยชน์จาก อ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายฯ มีอยู่ 2 หมู่บ้าน คือหมู่ 11 บ้านโคกล่าม และหมู่ 3 บ้านแสงอร่าม มีพื้นที่การเกษตรท้ายอ่างด้านขวา ได้รับน้ำจากอ่างฯ 800 ไร่ ผู้รับประโยชน์ 283 ครัวเรือน 1,334 คน และผลผลิตข้าวเฉลี่ยอยู่ที่ 35-45 ถังต่อไร่ เนื่องจากอ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายฯ ไม่มีระบบส่งน้ำ จึงต้องให้น้ำจากอ่างไหล ล้นผ่านดาดคอนกรีตลงสู่ลำน้ำธรรมชาติ คือ ห้วยคล้าย ห้วยเชียงลี เสด็จชมนิทรรศการปิดทองหลังพระฯ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จเป็นประธานทรงเปิดงาน “วันเกษตรแห่งชาติ ประจำปี 2555” เกษตรสร้างสรรค์ : เศรษฐกิจยั่งยืน เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 ณ ศูนย์วิจัย สาธิตและฝึกอบรมการเกษตรแม่เหียะ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในโอกาสนี้ ทรงเปิด “หอกษัตริย์เกษตร” และทอดพระเนตรนิทรรศการของหน่วยงานสืบสาน แนวพระราชดำริ เช่น “ห้องเงาวิเศษ” นิทรรศการของมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ที่นำเสนอแนวทางการ บริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดย เทคนิคการเล่นเงาให้ภาพการ์ตูนเคลื่อนไหวสาธิตแนวพระราชดำริการบริหารจัดการน้ำพร้อมคำอธิบาย

newsletter vol 7

Embed Size (px)

DESCRIPTION

จดหมายข่าวปิดทอง ฉบับที่ 7

Citation preview

Page 1: newsletter vol 7

7

อ่านต่อหน้า 2

ปิดทองหลังพระ คือการเพียรทำความดี โดยไม่มุ่ ง เน้นประโยชน์ส่ วนตน

ปิดทองหลังพระฯ ณ อุดรธานีอีกก้าวย่างแห่งการเรียนรู้

โครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนอ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายอันเนื่องมาจาก

พระราชดำริ ต.กุดหมากไฟ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี พื้นที่ขยายผลปิดทอง

หลังพระฯ เกิดขึ้นโดยมติคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรม

ปิดทองหลังพระฯ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2553 และเริ่มลงพื้นที่ทำความเข้าใจ

กับชาวบ้านในเดือนมกราคม 2554

แนวคดิการทำงานโครงการฯ ตอ้งการขยายตน้แบบการพฒันาในรปูแบบใหม ่

คือ ทำเล็ก ประหยัด เกิดการขยายผลเร็วในวงกว้างและได้ประโยชน์สูงสุด โดย

สถาบันฯ ทำหน้าที่ประสานงานให้เกิดการบูรณาการองค์ความรู้ด้านการบริหาร

จัดการระบบน้ำ และกระบวนการ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง

ในพระบรมราชูปถัมภ์ องค์ความรู้ด้านการเกษตรและปศุสัตว์ ของโครงการ

ฟาร์มตัวอย่าง ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ การสนับสนุนงบ

ประมาณจากจังหวัดอุดรธานี และการร่วมขับเคลื่อนงานอย่างต่อเนื่องจาก

องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี

ก่อนปิดทองหลังพระฯ จะเข้ามาในพื้นที่ ชุมชนที่ได้รับประโยชน์จาก

อ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายฯ มีอยู่ 2 หมู่บ้าน คือหมู่ 11 บ้านโคกล่าม และหมู่ 3

บ้านแสงอร่าม มีพื้นที่การเกษตรท้ายอ่างด้านขวา ได้รับน้ำจากอ่างฯ 800 ไร่

ผูร้บัประโยชน ์283 ครวัเรอืน 1,334 คน และผลผลติขา้วเฉลีย่อยูท่ี ่35-45 ถงัตอ่ไร่

เนือ่งจากอ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายฯ ไมม่รีะบบสง่นำ้ จงึตอ้งใหน้ำ้จากอา่งไหล

ลน้ผา่นดาดคอนกรตีลงสูล่ำนำ้ธรรมชาต ิคอื หว้ยคลา้ย หว้ยเชยีงล ี

เสด็จชมนิทรรศการปิดทองหลังพระฯ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จเป็นประธานทรงเปิดงาน

“วนัเกษตรแหง่ชาต ิประจำป ี2555” เกษตรสรา้งสรรค ์ : เศรษฐกจิยัง่ยนื เมือ่วนัที ่ 8 พฤษภาคม 2555

ณ ศูนย์วิจัย สาธิตและฝึกอบรมการเกษตรแม่เหียะ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ในโอกาสนี้ ทรงเปิด “หอกษัตริย์เกษตร” และทอดพระเนตรนิทรรศการของหน่วยงานสืบสาน

แนวพระราชดำร ิ เชน่ “หอ้งเงาวเิศษ” นิทรรศการของมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ที่นำเสนอแนวทางการ

บริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดย

เทคนคิการเลน่เงาใหภ้าพการต์นูเคลือ่นไหวสาธติแนวพระราชดำรกิารบรหิารจดัการนำ้พรอ้มคำอธบิาย

Page 2: newsletter vol 7

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

แลว้ไหลลงหว้ยหลวง ซำ้ลำหว้ยยงัอยูต่ำ่กวา่แปลงนา ชาวบา้นจงึตอ้ง

นำน้ำเข้านาโดยขุดคลองขนาดเล็ก และทำฝายยกระดับน้ำให้สูงขึ้น

ไหลเข้านาตัวเองหรือสูบน้ำขึ้นมาใช้ ซึ่งเมื่อเข้าหน้าแล้ง ก็จะไม่

สามารถใช้วิธีการดังกล่าวได้

จากการสำรวจข้อมูลของโครงการ เมื่อเดือนมีนาคม 2554

บ้านแสงอร่าม มีพื้นที่ 8,602 ไร่ เป็นพื้นที่ทำกิน 1,843 ไร่ ส่วนใหญ่

เป็นนาข้าว ไร่มันสำปะหลัง และสวนยาง มีประชากร 476 คน

96 ครัวเรือน ร้อยละ 56 ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 38

รับจ้าง ที่เหลือค้าขาย รับราชการ และอื่น ๆ รายได้รวมของประชากร

9,667,420 บาท/ปี เฉลี่ยหลังคาเรือนละ 100,702 บาท/ปี มีหนี้สิน

รวม 6,222,600 บาท ส่วนใหญ่ร้อยละ 55 เป็นหนี้ธนาคาร

บ้านโคกล่าม มีพื้นที่ประมาณ 4,730 ไร่ เป็นพื้นที่การเกษตร

1,030 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นนาข้าว ไร่มันสำปะหลัง และสวนยาง มี

ประชากร 484 คน 100 ครัวเรือน ร้อยละ 60 ของประชากรประกอบ

อาชีพเกษตรกรรม รองลงมา ประกอบอาชีพรับจ้างร้อยละ 32 ที่เหลือ

ค้าขาย รับราชการและอื่น ๆ รายได้รวมของประชากรทั้งหมด

7,698,815 บาท/ปี เฉลี่ยหลังคาเรือนละ 76,988 บาท/ปี มีหนี้สินรวม

11,211,940 บาท เป็นหนี้ธนาคารมากที่สุด ร้อยละ 61

2

รายงาน

เจ้าของ : มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ สำนกังานปลดัสำนกันายกรฐัมนตร ีทำเนยีบรฐับาล เลขที ่1 ถนนนครปฐม เขตดสุติ กรงุเทพมหานคร 10300 : สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ อาคารสยามทาวเวอร์ ชั้น 26 เลขที่ 989 ถนนพระราม 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โทรศัพท์ 0-2611-5000 โทรสาร 0-2658-1413 ที่ปรึกษา : หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา ดิศกุล นายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ นายพิพัฒน์ เลิศกิตติสุข บรรณาธิการ : นายธนัยนันท์ ธนันท์ปพัฒน์ ผู้ช่วยบรรณาธิการ : นายสุชาติ ถนอม ผู้จัดทำ : บริษัท แอร์บอร์น พรินต์ จำกัด 1519/21 ซอยลาดพร้าว 41/1 ถนนลาดพร้าว แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310 โทรศัพท์ 0-2939-9700 โทรสาร 0-2512-2208 E-mail : [email protected]

www.pidthong.org www.twitter.com/pidthong

www.facebook.com/pidthong

www.youtube.com/pidthongchannel

Page 3: newsletter vol 7

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

การจ่ายน้ำเป็นแบบก้างปลา ซ่อมแซมท่อด้านซ้าย ส่วนด้านขวา

สร้าง Spill way และท่อลอดถนน เพื่อระบายน้ำลงลำห้วยเดิม

ส่วนการซ่อมแซมปรับปรุงฝายห้วยคำเข มีการเสริมอาคารระบายน้ำ

เสริมคันดิน วางท่อ 920 เมตร คู่กับลำเหมือง 200 เมตร เพิ่มพื้นที่

รับน้ำได้ 637 ไร่ โดยชาวบ้านกว่า 200 คน ลงแรงขุดลอกแผ้วถาง

ป่าอ้อ ในพื้นที่ 9 ไร่ ที่ถูกปล่อยทิ้งร้างขวางทางน้ำมากว่า 50 ปี

ระหว่างปรับปรุงระบบส่งน้ำ มีการพัฒนาด้านการเกษตร

คู่ขนานกันไป โดยคัดเลือกแปลงเกษตรของนายสุบรร สอดสี และ

นายบุญมาก สิงห์คำป้อง ซึ่งมีความขยัน ตั้งใจจริงและเต็มใจ

ร่วมโครงการ มานำร่องทำฟาร์มตัวอย่างเกษตรกร ตามแนวทาง

โครงการฟาร์มตัวอย่าง ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

เป็นตัวอย่างให้เกษตรกรรายอื่น ๆ เห็นผลสำเร็จของการดำเนินงาน

การพัฒนาด้านการเกษตร เริ่มจากปรับปรุงดิน ปลูกพืชก่อนนา

เช่น โสน ปอเทือง พริก เพื่อเพิ่มปุ๋ยในดินและสร้างรายได้ให้กับ

การระดมสมองเพื่อระบุปัญหาของชุมชน และจัดลำดับความ

สำคญัเรง่ดว่นของปญัหา ชาวบา้นจากสองหมูบ่า้นระบวุา่ ปญัหาใหญ ่

คือ เรื่องน้ำ รองลงมาเป็นปัญหาดิน เกษตร พลังงานทดแทน หนี้สิน

และสุดท้ายเป็นปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม

จากหลกัการดำเนนิงานของปดิทองหลงัพระฯ ทีช่าวบา้นในพืน้ที ่

ต้องมีความพร้อมที่จะลุกขึ้นมาทำงานด้วยตนเอง ตามหลักการ

ทรงงาน “ระเบิดจากข้างใน” และเชื่อมั่นศรัทธาแนวพระราชดำริ

เน้นการทำงานแบบมีส่วนร่วม และแบบองค์รวม คือ มีแนวทาง

แก้ไขปัญหาเชื่อมโยงทุกมิติครบวงจร ตั้งแต่การผลิตในระดับต้นน้ำ

(การพัฒนาปัจจัยการผลิต) กลางน้ำ (การแปรรูป) ปลายน้ำ (การ

ตลาด) และวัดผลที่ “ชาวบ้านได้อะไร” อย่างเป็นรูปธรรม เช่น

พื้นที่รับน้ำทางการเกษตรที่ เพิ่มขึ้นหลังมีการบริหารจัดการน้ำ

ผลผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้น มีการปลูกพืชหลังนา เกษตรกรมีอาชีพเสริม

มีหนี้สินลดลงและมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นต้น

ดังนั้น หลังจากจุดประกายให้ชาวบ้านมีความพร้อมและลงมือ

พัฒนาด้วยตัวเอง การพัฒนาก็เริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 2554 ด้วยการ

พัฒนาระบบส่งน้ำอ่างห้วยคล้ายฯ มีการเสริมตอม่อ ยกระดับน้ำที่

Spill way เพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำได้เพิ่มขึ้น 30,000 ลบ.ม.

จากเดิม 692,500 ลบ.ม. ทำระบบส่งน้ำด้วยท่อ โดยต่อแนวท่อ

จากวาล์วด้านขวา ระยะทาง 1,520 เมตร ส่งน้ำแบบก้างปลา เพื่อให้

พื้นที่การเกษตรด้านขวาของอ่างฯ มีน้ำใช้ตลอดปี โดยไม่สูญเสียน้ำ

ซ่อมแซมปรับปรุงฝายเดิมที่ชำรุด 3 ฝาย ด้วยการสร้างอาคารระบาย

น้ำให้มีช่องอัดน้ำที่แข็งแรง กักเก็บและควบคุมน้ำได้ เพื่อผันน้ำ

สู่เหมืองหรือท่อส่งน้ำ และปรับปรุงพนังกั้นน้ำ เสริมคันดินด้านข้าง

เพิ่มความสามารถในการเก็บกักน้ำ ป้องกันไม่ให้น้ำท่วมนา และ

ยกระดับน้ำให้เข้าท่อหรือลำเหมือง

สำหรับอ่างเก็บน้ำห้วยก้านเหลือง มีการปรับปรุงโดยบดอัด

ด้านหน้าคันดิน ป้องกันการรั่วซึม ส่วนด้านหลัง มีการปรับปรุงดิน

และฝังท่อลอดคันดินส่งน้ำไปยังลำห้วยเข เสริมพื้นที่ 673 ไร่ ระบบ

ชาวบ้าน ทำนา และปลูกพืชหลังนา ทำเกษตรผสมผสาน ตามองค์

ความรูข้องฟารม์ตวัอยา่ง ประกอบดว้ยการปลกูพชื 3 ชัน้ คอื พชืชัน้สงู

พืชชั้นกลาง พืชค้าง และการปลูกพืชผักเศรษฐกิจ เลี้ยงหมูจินหัว

เป็ดอี้เหลียง และปลากินพืชในบ่อ เป็นต้น

แปลงตัวอย่างในพื้นที่ 20 ไร่ ของนายบุญมาก สิงห์คำป้อง จึงมี

การปลูกฟักทองในหลุมเดียวกับข้าวโพด ให้ฟักทองเลื้อยพันต้น

ข้าวโพดโดยไม่ต้องปักหลัก เก็บเกี่ยวฟักทองได้ใน 45 วัน ช่วงนั้น

ก็เด็ดยอดอ่อนมาเป็นอาหารหรือขายได้ ปลูกผักบุ้งจีน ทยอยปลูกทุก

7 วัน เพื่อให้หมุนเวียนเก็บขายได้ทุกวัน ในเวลาเพียง 18 วัน เก็บขาย

ได้ กก.ละ 10 บาท ทำให้นายบุญมากมีรายได้จากการขายผักเฉลี่ย

วันละ 200-300 บาท โดยใช้เมล็ดพันธุ์ 2 กก. ปลูกผักบุ้งได้ 100 กก.

ปลูกตะไคร้และกล้วยริมขอบบ่อและขอบคันนา ปลูกแคประปราย

ปลูกถั่วลิสง เป็นพืชก่อนนาเพื่อปรับปรุงดิน เลี้ยงหมูจินหัว ซึ่งกินง่าย

อยู่ง่าย ลูกดก (15 ตัว/คอก) และเลี้ยงเป็ดพันธุ์บาบาลี ซึ่งทนโรค

เลี้ยงง่าย โตเร็ว

3

รายงาน

Page 4: newsletter vol 7

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

ส่วนแปลงเกษตร พื้นที่ 6 ไร่ของนายสุบรร สอดสี มีการขุดบ่อ

บนที่ดินตัวเอง เพราะคิดว่าจะได้ประโยชน์มากกว่าใช้ที่ดินทำนา

เพราะสามารถนำน้ำมารดผักและเลี้ยงปลาได้พร้อมกัน ซึ่งจะสร้าง

รายได้ให้ประมาณ 2,000 บาทจากการขายผักและขายปลา แทนที่

รายได้เพียงน้อยนิดจากการทำนา ใช้ขี้วัวผสมกับฟางมาใส่ในบ่อน้ำ

เพื่อให้น้ำในบ่อใสขึ้น เลี้ยงเป็ดจากกองทุนเป็ด 6 ตัว แม่หมู 1 ตัว

ใส่ผักตบชวาในบ่อเพื่อช่วยบำบัดน้ำเสีย และเป็นแหล่งอาหารให้หมู

ปลูกข้าวโพดควบคู่กับฟักทองในหลุมเดียวกัน

การพัฒนาในช่วงเพียงหนึ่งปีเศษ ทำให้เกษตรกรตกกล้าและ

ปลูกข้าวได้เต็มพื้นที่รับประโยชน์ 1,788 ไร่ ในเดือนพฤษภาคม 2554

โดยไม่ต้องรอน้ำฝน และคาดการณ์ว่า ผลผลิตข้าวในพื้นที่โครงการ

จะเพิ่มจาก 3,920,000 บาท เป็น 13,868,400 บาท หรือเพิ่มขึ้น

9,651,220 บาท เนื่องจากมีน้ำใช้ในช่วงฝนทิ้งช่วง ทำให้ข้าว

เมล็ดไม่ลีบ ปริมาณข้าวมากขึ้นจาก 350 กก./ไร่ เป็น 600 กก./ไร่

โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นยังไม่รวมรายได้จากพืชก่อนนาและพืชหลังนา

ในปัจจุบัน จากแปลงเกษตรนำร่อง 2 แปลง มีการขยายผลเป็น

152 ครัวเรือน จากครัวเรือนทั้ง 2 หมู่บ้าน 196 ครัวเรือน ทำให้

เกษตรกรมีอาหารกิน ประหยัดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยครัวเรือนละ 20 บาท

ต่อวัน มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกพืชก่อนนาเฉลี่ยเดือนละ 500

บาทต่อแปลงต่อเดือน เกษตรกรขายลูกสุกรไปแล้ว 70 ตัว คิดเป็น

เงิน 96,400 บาท

เมื่อโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนอ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายอันเนื่อง

มาจากพระราชดำริ สร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมได้ภายในเวลา 1 ปี จาก

การถา่ยทอดองคค์วามรูต้ามแนวพระราชดำร ิทำใหบ้รหิารจดัการนำ้อา่งหว้ยคลา้ยฯ

ได้เต็มประสิทธิภาพ เกษตรกรมีรายได้เสริมจากการปลูกพืชก่อนนาและหลังนา

จังหวัดอุดรธานี องค์การบริหารจังหวัดอุดรธานี มูลนิธิชัยพัฒนา มูลนิธิ

แม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปภัมภ์ ฟาร์มตัวอย่างในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ ์

พระบรมราชินีนาถ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี และมูลนิธิปิดทองหลังพระ

สืบสานแนวพระราชดำริ จึงร่วมกันจัดมหกรรม “เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้

เพื่อขยายผลการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนอ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายฯ” ใน

วันที่ 11-13 กรกฎาคม 2555 ที่บริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายฯ แปลงเกษตรกร

ตัวอย่าง วัดป่าเลไลย์ และห้องประชุมในจังหวัดอุดรธานี

เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ฯ จัดขึ้นเพื่อนำเสนอผลการดำเนินงานของโครงการ

และกระบวนการทำงาน ซึ่งเป็นที่มาของความสำเร็จ รวมทั้งประสบการณ์ความรู้

จากการปฏิบัติจริงของชาวบ้านในพื้นที่ และครูภูมิปัญญาจากพื้นที่อื่น เพื่อ

ประโยชน์ในการต่อยอดการพัฒนา โดยคาดหวังผลว่า จะทำให้ผู้ร่วมเรียนรู้เกิด

เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขยายผล

สถานภาพของกองทุนต่าง ๆ ที่ปิดทองฯ ให้การสนับสนุน

ส่งเสริม เพื่อให้ชาวบ้านอยู่ได้อย่างยั่งยืนมั่นคงในอนาคต ปรากฏว่า

กองทุนสุกร มีหมูพ่อพันธุ์ 4 ตัว และแม่พันธุ์ 91 ตัว ซึ่งทยอยออกลูก

ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมถึงปัจจุบัน มีลูกหมู 383 ตัว (ณ วันที่

4 เมษายน 2555) ระเบียบกองทุน ต้องคืนลูกหมูให้กองทุนแม่ละ

2 ตัว และมีข้อตกลงร่วมกันว่า การฝากขายหมูกับกองทุนใน

ราคา 1,500 บาท จะหักเข้ากองทุน 200 บาท ปัจจุบันกองทุนมีเงิน

5,800 บาท นำมาสร้างคอกกลางสำหรับอนุบาลลูกหมู

กองทุนพันธุ์ข้าว เริ่มดำเนินการเมื่อเดือนกันยายน 2554

ด้วยเงินทุน 28,000 บาท ปัจจุบันมีเงินทุนหมุนเวียนในกองทุน

31,734 บาท มีเงินปันผลให้กับสมาชิก 8 คน เป็นเงิน 4,718.50 บาท

4

รายงาน

Page 5: newsletter vol 7

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

ความเชื่อมั่นในแนวทางจัดการปัญหาของตนได้แบบพึ่งพาตนเอง

ใช้ความรู้ เป็นฐาน และมีการจัดการร่วมกันของทุกฝ่าย มีการ

เปลี่ยนแปลงความคิดและแนวทางการทำงานที่ยึดชาวบ้านเป็นหลัก

และเกดิแรงจงูใจในการนำไปประยุกต์ใช้ต่อ

นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายที่จะขยายแนวคิดและแนวทางการ

ทำงานแบบปิดทองหลังพระฯ ที่ใช้แหล่งน้ำเป็นจุดเริ่มต้นของการ

พัฒนาไปยังทุกจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภูมิภาคอื่น

รปูแบบงาน ประกอบดว้ย การจดัเวทเีสวนา การแลกเปลีย่นเรยีนรู ้

กับ อบจ.อุดรธานี และการจัดกลุ่มฐานการเรียนรู้กับครูภูมิปัญญา

การเยี่ยมชมพื้นที่จริง และพูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่โครงการ การจัด

นิทรรศการความรู้บริเวณศูนย์เรียนรู้และแปลงต้นแบบ การแสดง

มหรสพและงานวัฒนธรรมท้องถิ่น

กองทุนปุ๋ย จากเงินทุนเริ่มต้น 72,900 บาท มีเงินปันผลให้กับ

สมาชิก 4 คน เป็นเงิน 38,000.50 บาท กองทุนเป็ด จากเป็ดเทศ

70 ตัว ให้เกษตรกร 20 ครัวเรือน ปัจจุบันมีลูกเป็ดพร้อมคืนกองทุน

66 ตัว กองทุนเมล็ดพันธุ์ผัก มีเงินสนับสนุนกองทุน 60,360 บาท

ปัจจุบันมีเงินทุนหมุนเวียน 11,300 บาท และยังไม่ถึงระยะเวลาคืน

กองทุน

กองทุนการตลาด มีการนำผลผลิตไปจำหน่ายที่ตลาดโพศรี

ทุกวันอังคารและวันศุกร์ เพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร ปัจจุบัน

มีเงินทุนหมุนเวียนในกองทุน 2,090 บาท กองทุนยาและเวชภัณฑ์

จากการสนับสนุนของสำนักงานปศุสัตว์อำเภอ และสถาบันส่งเสริม

และพฒันากจิกรรมปดิทองหลงัพระฯ ในรปูแบบของยาและเวชภณัฑ ์

คิดเป็นมูลค่า 16,500 บาท

กองทุนแม่บ้าน ทำอาหารสำหรับคณะที่มาศึกษาดูงานใน

พื้นที่ โดยคิดค่าใช้จ่ายคนละ 200 บาท (150 บาท สำหรับโรงเรียน

ในสังกัด อบจ.) เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2554 ปรากฏ

ว่า มีคณะศึกษาดูงานแล้ว 42 คณะ 7,523 คน ทำให้มีรายได้

ถึง 1,1250,000 บาท หักค่าบริหารจัดการกองทุน ค่าใช้จ่ายใน

การประกอบอาหาร ค่าแรงงาน อุปกรณ์ประกอบอาหารแล้ว คงเหลือ

เงินในกองทุน 340,564 บาท

นอกจากนี้ ชาวบ้านยังมีแนวคิดที่จะผลิตปุ๋ยขึ้นเอง จึงมี

การศึกษาดูงานวิธีการทำปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ด ที่กลุ่มปุ๋ยหมักอินทรีย์

ชีวภาพ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา เริ่มนำร่องให้ชาวบ้านเห็นประโยชน์

ด้วยเงินกองทุน 92,000 บาท ซื้อปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพ (อัดเม็ด)

200 กระสอบ และจะเริ่มผลิตใช้เองในเดือนพฤศจิกายน 2555

ในช่วงเดียวกัน ยังจะมีการจัดตั้งโรงสีข้าวชุมชน จากการนำเงินศึกษา

ดูงาน 200,000 บาท ซื้อที่ดิน 1 ไร่ 2 งาน เตรียมเป็นที่ตั้งโรงสีข้าว

ชุมชนและโรงเรือนผลิตปุ๋ยอินทรีย์ไว้แล้ว

ปัจจุบัน โครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนอ่างเก็บน้ำ

ห้วยคล้ายฯ จึงเป็นห้องเรียนปฏิบัติการทางสังคม (Social LAB)

ในการปรับกระบวนทัศน์ทุกภาคส่วน ตั้งแต่กระบวนการสร้าง

ความเขา้ใจ เขา้ถงึ และการพฒันา คอื ชาวบา้นในพืน้ทีม่คีวามเขา้ใจ

ข้อมูลที่เป็นจริงของหมู่บ้าน รู้ปัญหา ความต้องการชุมชนทุกมิติ

มีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ และเป็นเจ้าของในทุกกิจกรรมการพัฒนา

ทัง้นี ้ประเดน็การนำเสนอใหเ้หมาะสมกบัแตล่ะกลุม่เปา้หมาย

เช่น สำหรับชาวจังหวัดอุดรธานี จะเป็นเรื่องราวของโครงการฯ

การจัดการน้ำ ดิน เกษตร การจัดการกองทุนต่าง ๆ ผลที่เกิดขึ้น

วงจรการผลิตการขายในระดับครัวเรือน และระดับกลุ่ม ครูภูมิ

ปัญญาในภาคอีสาน จะเสนอความเห็นต่อกิจกรรมในพื้นที่ และ

ให้คำแนะนำ คณะทำงานในจังหวัดขยายผล จะได้อะไร และจะ

กลับไปทำอะไร ส่วนสถาบันอุดมศึกษา และนักวิชาการ จะเสนอ

โจทย์วิจัยสำหรับนำไปทำงานต่อ หน่วยงานระหว่างประเทศที่

ทำงานส่งเสริมการพัฒนาชุมชน ได้แก่ อุปทูต UNDP UNEP

ADB WB เป็นต้น จะมองเปรียบเทียบกับประสบการณ์ที่เคยทำ

และในแง่นโยบายขององค์กรที่สนับสนุนงานพัฒนา รวมทั้ง

นโยบายรัฐไทยควรมีปรับปรุงอย่างไร

5

รายงาน

Page 6: newsletter vol 7

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

“...ที่ข้างในหนองพลับ แต่ก่อนนี้ เข้าไม่ได้

แค่ครึ่งทางไปหนองพลับก็ไม่ได้...ปี 2495 หรือ 96

เพิ่งได้รถบลูโดเซอร์ แล้วเอารถไปให้ค่ายนเรศวร

ให้สร้างถนน ให้ไถถนนเข้าไปถึงห้วยมงคล ซึ่ง

เดี๋ยวนี้ ห้วยมงคล 20 นาทีก็ถึง ตอนนั้นเข้าไป

ตั้งแต่ 8-9 โมงเช้า เข้าไปถึงร่วมบ่ายโมง ไปรถจี๊ป

เข็นเข้าไป ลากเข้าไป...” พระราชดำรสัพระบาทสมเดจ็พระเจา้อยูห่วั ทรงเลา่พระราชทาน

ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการ

อันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ทำให้เห็นภาพความยากลำบาก

ในการเดินทางของประชาชนในชนบทห่างไกล ทั้งที่เส้นทางที่รับสั่ง

ถึงนั้น อยู่ห่างจากตลาดหัวหินเพียง 20 กิโลเมตรเท่านั้น

เดือนพฤษภาคม 2495 เมื่อ 60 ปีมาแล้ว พระบาทสมเด็จ

พระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินออกเยี่ยมเยียนประชาชนในพื้นที่

โดยรอบพระราชวังไกลกังวล แม้ว่าเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินนั้น

จะเป็นทางเกวียนขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ กว่าจะผ่านไปได้แสนยาก

ต้องใช้เวลานานก็ตาม จนเมื่อรถพระที่นั่งเดินทางผ่านหมู่บ้าน

ห้วยคต ต.หินเหล็กไฟ อ.หัวหิน ก็ตกหล่มลึก ชาวบ้านหลายคน

เข้าช่วยเหลือทหารและตำรวจจนยกรถพระที่นั่งขึ้นจากหล่มได้

เหตกุารณน์ี ้คอื จดุเริม่ตน้การทรงงานพฒันาชนบทเพือ่ประชาชน

ของพระบาทสมเดจ็พระเจา้อยูห่วั เมือ่รบัสัง่ถามถงึปญัหาของหมูบ่า้น

และทรงทราบว่า สิ่งที่ชาวบ้านห้วยคตต้องการมากที่สุด คือ “ถนน”

เพื่อขนพืชผลการเกษตรไปขายได้โดยเร็ว ไม่ต้องแบกหาม ใส่รถเข็น

ไปตามทางเดินเท้า 2 วัน 2 คืน กว่าจะถึง พืชผลก็เน่าเสีย หรือไม่

เช่นนั้น ก็ต้องเช่าเหมารถจี๊ปในราคาสูง ไม่คุ้มกับราคาพืชผลที่

นำออกมาขาย

ต่อมาไม่นาน ถนนจากบ้านห้วยคตสู่ตลาดหัวหิน ซึ่งได้รับ

พระราชทานชื่อในภายหลังว่า ถนนห้วยมงคลก็เกิดขึ้น เป็นโครงการ

พัฒนาชนบทอันเนื่องมาจากพระราชดำริโครงการแรก ซึ่งขยายผล

ต่อเนื่องเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเพื่อพัฒนาชนบท

เส้นทางที่ทอดไกล จากจุดเริ่มต้น ณ “ถนนห้วยมงคล” 60 ปี การทรงงานพัฒนาชนบท

6

รายงานพิเศษ

Page 7: newsletter vol 7

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

ทั่วประเทศ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทรัพยากรน้ำ ดิน

ป่าไม้ การเกษตร พลังงานทดแทน สิ่งแวดล้อม อาชีพ การศึกษา

สาธารณสขุ เทคโนโลย ีและการคมนาคม ฯลฯ อกีกวา่ 4,000 โครงการ

พระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต นำความ

ร่มเย็นเป็นสุขสู่อาณาประชาราษฎร์ในชนบท แสดงชัดเจนใน

พระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่คณะผู้บริหารสำนักงานเร่งรัด

พัฒนาชนบท ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 13

มิถุนายน พุทธศักราช 2512 ความตอนหนึ่งว่า

“…การที่นำความเจริญ การพัฒนาไปสู่ชนบท หมายถึงไปสู่

ประชาชนในชนบทนั้น มีเหตุผลหลายประการ เหตุผลใหญ่ที่สุด

ข้อแรกก็คือมนุษยธรรม ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ที่อยู่ร่วม

ประเทศกับเรา…เหตุผลที่สองที่จะต้องพัฒนาชนบทนั้น คือ เพื่อ

เพิ่มความปลอดภัยของบ้านเมือง เพื่อความก้าวหน้านอกเหนือจาก

มนุษยธรรม…”

ทั้งยังรับสั่งถึงความสำคัญของการพัฒนาชนบทด้วยว่า

“...การพัฒนาชนบท เป็นงานที่สำคัญ เป็นงานที่ยาก เป็นงานที่

จะต้องทำให้ได้ด้วยความสามารถ ด้วยความเฉลียวฉลาด คือ ทั้ง

เฉลียวทั้งฉลาด ต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิใช่มุ่งที่จะหากินด้วย

วิธีการใด ๆ ใครอยากหากินขอให้ลาออกจากตำแหน่งไปทำการค้า

ดีกว่า เพราะว่าถ้าทำผิดพลาดไปแล้ว บ้านเมืองเราล่มจม และเมื่อ

บา้นเมอืงของเราลม่จมแลว้ เราอยูไ่มไ่ด ้กเ็ทา่กบัเสยีหมดทกุอยา่ง...”

ตลอด 60 ปีอันยาวนาน บนเส้นทางการพัฒนาชนบทอัน

ยาวไกล หลักการสำคัญของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ

การพัฒนาที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้ราษฎรสามารถพึ่งตนเองได้

และพัฒนาโดยมี “หลักวิชาการหรือความรู้” เป็นปัจจัยสำคัญ

มีการนำความรู้และเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ เข้าไปให้ถึงมือ

ชาวชนบทอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และมีตัวอย่างของความ

สำเร็จให้ชาวบ้านได้เห็นและนำไปปฏิบัติได้เอง

เกือบทั้งหมดของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มุ่งเน้น

แก้ไขปัญหาชนบท โดยเฉพาะชนบทที่ยากจน อยู่ห่างไกล ทุรกันดาร

หรือพื้นที่ซึ่งกระบวนการพัฒนาของรัฐยังเข้าไปไม่ถึง และไม่ได้มุ่ง

ที่เป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งอย่างเดียว แต่จะต้องบรรลุวัตถุประสงค์

ทั้งการเพิ่มผลิตผล เพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร ขจัดความยากจน

เสริมสร้างการพึ่งตนเองของชุมชน เป็นต้น เมื่อมีหลายเป้าหมาย

การพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้า

อยู่หัว จึงเป็นเรื่องที่นักวิชาการและหน่วยราชการทุกสาขา ต้อง

ร่วมมือกับประชาชน ซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมากที่สุด

นอกจากนี้ ยังต้องมีการศึกษาค้นคว้า ทดลอง และวิจัย

แสวงหาแนวทางการพัฒนาที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสังคมไทย

เพื่อประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหา และเผยแพร่แก่ประชาชนใน

ชนบท ทั้งนี้ การศึกษาเพื่อการพัฒนาชนบทยังครอบคลุมทุกเรื่อง

ที่มีความสำคัญต่อปัจจัยการผลิต เช่น น้ำ ดิน ความรู้ในเรื่อง

การเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ทุน และการตลาด สภาพแวดล้อม

ความเป็นอยู่ของประชาชน ขนบธรรมเนียมประเพณี และวิธีการ

ดำรงชีวิตของประชาชนในแต่ละท้องถิ่น

แนวทางการพัฒนาชนบทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ดังที่กล่าวมานี้ คือ แนวทางที่มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ มุ่งมั่นสืบสาน

แนวพระราชดำริ เพื่อความเจริญสถาพรของประเทศอย่างยั่งยืน

ต่อไป

7

รายงานพิเศษ

Page 8: newsletter vol 7

พฤษภาคม 2555 ถนนห้วยมงคล โครงการพระราชดำริด้านการพัฒนาชนบทโครงการแรก จะมีวาระครบ 60 ปี มูลนิธิปิดทอง

หลังพระฯ จึงร่วมกับชมรมสื่อบ้านนอก นำสื่อมวลชนและภาคเอกชน เยี่ยมชมโครงการพระราชดำริที่มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์

และโครงการพระราชดำริอื่น ๆ ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ ที่ครอบคลุมองค์ความรู้ทั้ง 6 มิติที่ปิดทองหลังพระฯ นำมา

ถ่ายทอดเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชน ได้แก่ น้ำ ดิน ป่า เกษตร สิ่งแวดล้อม และพลังงาน

จุดเยี่ยมชม ประกอบด้วย ถนนห้วยมงคล (โครงการพัฒนาชนบทโครงการแรก) อ่างเก็บน้ำเขาเต่า (โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ

โครงการแรก) โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ (โครงการล่าสุดที่พระราชทานแม้ในช่วงทรงพระประชวร) โครงการวิจัยและพัฒนา

สิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยฯ โครงการผลิตไบโอดีเซลในพื้นที่ปลูกป่าชัยพัฒนา-แม่ฟ้าหลวง ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่อง

มาจากพระราชดำริ สวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนี และโครงการอัมพวาชัยพัฒนานุรักษ์ โดยมี ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการ

มูลนิธิชัยพัฒนา และ ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ เป็นวิทยากร

60 ปี ทรงพัฒนาชนบท เพื่อประชาชน

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

8

รายงานพิเศษ

Page 9: newsletter vol 7

ณ ถนนห้วยมงคล ดร.สุเมธ กล่าวถึงการทรงงานพัฒนาชนบทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอด 60 ปีที่ผ่านมาว่า

เป็นการทรงงานด้วยพละกำลังใจอย่างแท้จริง ปรารถนาจะทรงงานเพียงประการเดียว ทั้งที่ไม่มีอะไรบังคับให้ทรงต้องทำ และไม่เคย

ทรงหยุดงานเลยแม้แต่วันเดียว

“แรงบันดาลพระทัย อาจเกิดจากที่ทรงเคยรับสั่งว่า “...ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะละทิ้งอย่างไรได้...” แล้วก็ทรงทำ

จนกระทั่งเป็นธรรมะหรือธรรมชาติของพระองค์ท่านแล้ว คือ ต้องทำงาน เพราะถือว่าหน้าที่การเป็นพระมหากษัตริย์นั้นเป็น 24 ชม.

พระราชดำรัสทุกครั้งสรุปได้ว่า เป็นหน้าที่เป็นความรับผิดชอบ เป็นสิ่งที่จะต้องพึงกระทำ บนฐานความรักความเมตตาที่พระองค์ท่าน

ถูกสอนมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์”

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

9

รายงานพิเศษ

Page 10: newsletter vol 7

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

พัฒนา “ชนบท” ปลดล็อกประเทศ

ชมรมสื่อบ้านนอก ร่วมกับมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนว

พระราชดำริ จัดการเสวนา พัฒนา “ชนบท” ปลดล็อกประเทศ เพื่อ

ให้ทุกภาคส่วนในสังคม ตระหนักถึงสภาพปัญหาที่แท้จริงของชนบท

และความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบทที่ส่งผลกระทบถึงประเทศ

ชาติ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบต่อไป

การเสวนา เริ่มด้วยปาฐกถาพิเศษ “ชนบทในมุมมองของ

ข้าพเจ้า” โดย ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย ประธานมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ

ซึ่งให้ความสำคัญในประเด็น การสร้างคุณภาพชีวิตในบ้านนอกให้

เท่ากับเมือง เพื่อที่คนชนบทจะได้ไม่ต้องย้ายเข้ามาในเมืองและอยู่

บ้านนอกด้วยความสุขได้ และการศึกษาจะเป็นฐานของการพัฒนา

ทุกอย่าง ดังที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและสมเด็จ

พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงออกแบบระบบการ

ศึกษาที่ เรียบง่ายแต่ได้ประโยชน์สูงสุดและทรงพระราชทานทุน

การศึกษาให้กับเด็กในชนบททั่วประเทศ ผู้สูงอายุก็มีส่วนทำให้ชุมชน

ชนบทเข้มแข็งได้

“ในเมืองไทย รอบตัวเราล้วนมีแต่สิ่งดีงาม ที่จะสามารถเผื่อแผ่กัน

ได้ ทั้งในเมืองทั้งในชนบท เพียงแต่ว่าเรามองเห็นคุณค่าหรือไม่ คุณค่า

ของคนแก่ คุณค่าของคนหนุ่มคนสาวในหมู่บ้าน และเอาระบบการ

ศึกษาไปให้ถึงหมู่บ้านเลย ถ้ารัฐไม่ทำ อบจ. อบต. เทศบาลนั่นแหละ

ควรทำ ระบบการศึกษาและการฝึกอาชีพต้องเริ่มต้นที่ชนบท และ

ทำให้เข้มแข็ง ต่อยอดได้”

10

สัมภาษณ์พิเศษ

Page 11: newsletter vol 7

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

ปลดล็อกประเทศ นายธีรศักดิ์ พานิชวิทย์ เลขาธิการสมาคมองค์การบริหาร

ส่วนตำบลแห่งประเทศไทย กล่าวถึงบทบาทขององค์กรปกครอง

ส่วนท้องถิ่นในการพัฒนาชนบทว่า ทุกวันนี้ ชนบทกลายเป็น

เครื่องมือทางการเมือง และโชคไม่ดีที่ประเทศไทยมีการเมือง

ที่ไม่สมบูรณ์แบบ ไม่ได้เป็นการเมืองเพื่อพลเมือง แต่เป็นการเมือง

เพือ่กลุม่คนหรอืกลุม่กอ้น จดุออ่นของการพฒันาชนบทอยูท่ีน่โยบายรฐั

ถ้าจะปลดล็อกประเทศ รัฐต้องเลิกคิดแทนคนชนบท ต้องถาม

ชาวบา้นวา่ตอ้งการอะไร ไมใ่ชค่ดิเองทำเอง และตอ้งใสอ่งคค์วามรูใ้ห ้

ที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครจัดการองค์ความรู้เหล่านี้ สังคมชนบทจึงเป็น

สังคมแห่งการพึ่งพาอย่างเดียวมาตลอด รอเป็นผู้รับ จึงไม่แปลกที่

ชนบทจะพัฒนายาก เพราะรัฐพยายามหยิบยื่นมากเกินไป

นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า

วันนี้มีนโยบายประชานิยมมากมาย แต่กรมการพัฒนาชุมชน ยัง

ต้องการให้ชุมชนสามารถคิดด้วยตนเองและช่วยเหลือตัวเองได้

แบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเป็นเหมือนทางสองแพร่งที่ทำให้การพัฒนา

ยังไม่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าการ

น้อมนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ ทำให้คนในหมู่บ้าน

ไม่ต้องออกไปดิ้นรนต่างถิ่น มีความสุขกับเศรษฐกิจที่พอเลี้ยงปาก

เลี้ยงท้องได้ ถ้าหมู่บ้านทั่วประเทศ เป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง

เป็นหมู่บ้านที่อยู่เย็นเป็นสุข ประเทศไทยก็ปลดล็อกได้

นายเสวต จันทร์หอม ผู้ใหญ่บ้านบ้านแสงอร่าม ต.กุดหมากไฟ

อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี บอกเล่าถึงประสบการณ์และทางรอดของ

ชาวชนบทว่า การพัฒนาชนบทไม่ใช่พัฒนาสู่การเป็นเมือง มีตึกราม

บ้านช่องใหญ่โต แต่หมายถึงการพัฒนาปากท้องชาวชนบท เปลี่ยน

จากการหยิบยื่นความหรูหราเข้าไปให้ เป็นการหาแนวทางให้ชาว

บ้านรักถิ่นฐานบ้านเกิด ราชการต้องมีส่วนร่วมให้กำลังใจและดูแล

ชนบท สำรวจ เก็บข้อมูล สอบถามความต้องการที่แท้จริงของชาว

ชนบท แล้วช่วยเหลือตามความต้องการนั้น ไม่ใช่ยัดเยียดให้

ต่อจากการบรรยายทางวิชาการ เรื่อง “ความสุขชนบท : วัดได้

อย่างไร” โดย ดร.สุทธิลักษณ์ สมิตะสิริ จากมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นการ

เสวนา พัฒนา “ชนบท” ปลดล็อกประเทศ โดยผู้เข้าร่วมเสวนา 4 คน คือ

นายเอกลักษณ์ หลุ่มชุมแข กรรมการมูลนิธิกระจกเงา กล่าวถึงปัญหา

อุปสรรค โอกาสในการพัฒนาชนบทว่า คนที่จะแก้ปัญหาชนบทต้องเรียนรู้

จากคนในพื้นที่ให้มากที่สุด ทั้งวัฒนธรรม การเมืองและความเป็นท้องถิ่น

และต้องมองการเปลี่ยนแปลงที่เคลื่อนไปตามระบบทุนด้วย เพราะทุนเป็น

สิ่งสำคัญในการพัฒนาชนบท ปัญหาอยู่ที่การขาดแคลนทุนหรือเงิน ทำให้

ชาวบ้านต้องลดคุณค่าความเป็นชนบทของตนเอง ด้วยการเอาความ

น่าสงสารเข้ามาหาทุนจากสังคมเมืองหลวง มากกว่าใช้ความสามารถ

ที่ตนมี การปลดล็อกชนบท จึงต้องแก้เรื่องเศรษฐกิจให้ได้ก่อน

เอกลักษณ์ หลุ่มชุมแข ธีรศักดิ์ พานิชวิทย์ นิสิต จันทร์สมวงศ์ เสวต จันทร์หอม

11

สัมภาษณ์พิเศษ

Page 12: newsletter vol 7

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

ในวันนี้ แม่บ้านในสหกรณ์การเกษตรหุบกะพง อำเภอชะอำ

จังหวัดเพชรบุรี ที่รวมตัวกันจัดตั้งเป็น “กลุ่มสตรีผลิตภัณฑ์ของใช้

ในครัวเรือน” มีรายได้งดงามเลี้ยงตนเองจากผลิตภัณฑ์ของใช้

ในครวัเรอืนผสมสมนุไพรตา่ง ๆ ทีไ่ดร้บัการรบัรองมาตรฐานผลติภณัฑ ์

ชุมชน หรือ มผช. เป็นต้นว่า ครีมอาบน้ำ แชมพู ครีมนวดผม โลชั่น

บำรุงผิว สบู่ น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า ฯลฯ ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก

ของตลาด

นับจากจัดตั้งกลุ่ม เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 โดยผู้ร่วม

ก่อตั้ง 30 คน เงินทุนดำเนินการ 96,800 บาท และความทุ่มเท

พยายามเรียนรู้ ปรับปรุงสูตร หาสมุนไพรนั่นนี่ ที่หาได้ในหมู่บ้าน

มาทดลองกันเองในกลุ่มมาเรื่อย ๆ อย่างไม่ท้อถอย ปัจจุบันกลุ่มสตรี

ผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน หุบกะพง มีรายได้เดือนละเกือบ

200,000 บาท

นางรัศมี มีดา เลขานุการและเหรัญญิกกลุ่ม เล่าว่า “บรรดา

แม่บ้านเริ่มรวมตัวกันในปี 2546 แต่มาจริงจังในปี 2547 ระยะแรก ๆ

ยังไม่มีสูตรของตัวเอง อาศัยเวลาซื้อวัตถุดิบ คอยถามคนขายว่า

ถ้าอยากได้ยาสระผมที่ทำให้ผมนุ่มต้องใส่อะไร น้ำยาล้างจาน

ลดกลิ่นคาว ล้างสะอาดต้องทำอย่างไร หรือเวลาไปไหน ถ้าเจอ

ตัวอยางชุมชนตัวอยาง

ชุมชน แม่บ้านหุบกะพง สร้างอาชีพสร้างรายได้ด้วยความเพียร

12

บทความ

Page 13: newsletter vol 7

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

ของดี ๆ ก็จะเอามาพัฒนาต่อยอดปรับปรุงสูตร ใช้เวลาถึง 3 ปี

สูตรต่าง ๆ จึงลงตัว และใช้มาจนถึงปัจจุบัน”

สองปีแรก พอมีรายได้แค่เสมอตัว ขาดทุนค่าแรง แต่สมาชิก

จะได้ของใช้ที่ทำกันเองนั่นแหละกลับไปใช้ที่บ้านทุกวัน กว่าจะเริ่ม

มีกำไรในปี 2549 เป็นต้นมา และเพิ่มพูนงอกงามขึ้นเรื่อย ๆ จนมี

เงินปันผลถึง 4 แสนบาทเมื่อปี 2554 สมาชิกกลุ่มเพิ่มเป็น 50 คน

เพราะความสำเร็จที่ เกิดจากการบอกปากต่อปากของลูกค้า

จนกระทั่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เด่นที่ได้รับการคัดสรรในระดับโอทอป

5 ดาวมากมาย คือ ครีมสปาอาบน้ำดอกปีบ-ดอกพุด แชมพูสมุนไพร

อัญชัน-ใบหมี่-ทองพันชั่ง มะกรูด-บอระเพ็ด ครีมนวดผมอัญชัน-

ใบหมี่ มะกรูด-ใบหมี่ สบู่สมุนไพรนมแพะ เกลือสปาขัดผิว น้ำยา

ล้างจาน น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม และน้ำยาซักแห้ง

แม่บ้านหุบกะพง สร้างอาชีพสร้างรายได้ด้วยความเพียร

นอกจากนี้ ยังได้รับความสนใจจากกลุ่มต่าง ๆ แวะเวียนมา

ศึกษาดูงานไม่ขาดสาย บางวันถึงกับต้องต้อนรับคณะดูงาน ถึง

8 คณะในวันเดียว กลายเป็นรายได้อีกทางหนึ่งของกลุ่ม ด้วยการ

จัดฝึกอบรมหลักสูตรการทำของใช้ในครัวเรือนผสมสมุนไพร

แถมพกด้วยรายได้เสริมจากการเก็บและปลูกสมุนไพรขายให้

กับกลุ่มฯ

“รายได้ในปัจจุบัน ทำให้สมาชิกทุกคนยิ้มออก หายเหนื่อย

เพราะมีชีวิตดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ที่ต้องออกไปทำงานรับจ้างข้างนอก

ได้ค่าจ้างไม่เกินวันละ 200 บาท แต่ต้องเสียค่าเดินทางไป-กลับ

วันละ 70 บาท แล้วยังต้องกินต้องใช้ระหว่างทำงาน จนแทบ

ไม่เหลือ แต่ทำกับกลุ่มสตรีฯ ได้ค่าแรงวันละ 150 บาท แต่ไม่เสีย

ค่าใช้จ่ายเลย แถมยังมีเวลาปลูกพืชผักสวนครัว เลี้ยงปลา ฯลฯ มีเงิน

เหลือเก็บทุกวัน”

ความสำเร็จของกลุ่มสตรีฯ หุบกะพง จึงไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

หรือด้วยความบังเอิญ สมาชิกทุกคนผ่านการระดมความคิด ร่วมมือ

ร่วมแรงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ช่วยกันผลิต ช่วยกันพัฒนาปรับปรุง

สินค้า ใช้ภูมิปัญญาและวัตถุดิบในท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์ ที่สำคัญ

คือ การค่อย ๆ ทำพอประมาณตามกำลังความสามารถ ไม่ลงทุน

เกินความจำเป็น แล้วค่อย ๆ ขยับขยายขึ้นมาเรื่อย ๆ

ป้ายหน้าของกลุ่มสตรีฯ คือ การพัฒนาปรับปรุงบรรจุภัณฑ์

ให้ทันสมัย น่าสนใจ และการขยายตลาดสินค้าออกสู่ภายนอกให้

กว้างขวางยิ่งขึ้น

ความสามัคคีและการเดินบนทางสายกลาง พอประมาณ มีเหตุ

มีผล จะเป็นพลังขับเคลื่อนให้กลุ่มสตรีผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน

โครงการหุบกะพง บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในอีกไม่นานเกินรออย่าง

แน่นอน รัศมี มีดา

13

บทความ

Page 14: newsletter vol 7

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

การทิ้งเงินเดือนเดือนละ 12,000 บาทจากเมืองใหญ่ที่แต่ละเดือน

แทบไม่มีเหลือ กลับมาทำสวน ทำไร่ ที่บ้านด้วยความหวังเต็มเปี่ยม

และความสุขที่จะได้อยู่กับพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว

แม้จะอยู่ในช่วงเริ่มต้นโครงการ แต่ครอบครัวก็มีรายได้เพิ่มขึ้น

จากลำไยที่เคยขายได้แค่พันสองพันบาท เมื่อมีน้ำก็ทำให้ได้ผลผลิต

เพิม่มากขึน้ ขา้วทีป่ลกูดว้ยนำ้และเมลด็พนัธุข์องปดิทองฯ กไ็ดผ้ลผลติ

เป็นร้อยถัง จากเดิมที่เคยปลูกข้าวได้แค่ 5-6 ถัง

หนี้สินที่ต้องกู้ยืมมาเพื่อปลูกข้าวโพดในอดีต อุบลพรรณใช้

เวลาเพียงปีเดียว ชำระหนี้สินได้ทั้งหมด ทั้งหนี้สหกรณ์ 50,000 บาท

หนี้กองทุนเงินล้าน 20,000 บาท หนี้ค่าปุ๋ย ธ.ก.ส. 7,000-8,000 บาท

หนี้พ่อค้าคนกลางที่กู้มา และไม่เคยต้องกู้อีกเลย เพราะเพียงเอา

เมลด็พนัธุข์า้วโพดปดิทอง 10 กระสอบ ไปปลกูในพืน้ที ่ 20 ไร ่ผลผลติ

ที่ได้เกือบแสนบาท สามารถใช้หนี้ได้หมดในครั้งเดียว

อุบลพรรณปลูกยางพารา ลำไย ลิ้นจี่ กะหล่ำ ปลูกไม้กฤษณา

แซมในสวน เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ด้วยน้ำจากบ่อพวงสันเขาของปิดทองฯ

มีปุ๋ยอินทรีย์ใส่ในไร่ มีเมล็ดพันธุ์ดี ๆ รายได้ก็เป็นกอบเป็นกำ

เมื่อปลายปีที่แล้ว อุบลพรรณลงมือปลูกบ้านด้วยเงินเก็บของ

ตนเอง เป็นบ้านชั้นเดียวขนาดย่อม ๆ พออยู่ได้อย่างสบาย 4 คน

พ่อ แม่ ลูก

สายตาที่อุบลพรรณมองบ้านหลังแรกของตน เต็มไปด้วยความ

ภาคภูมิใจ ใบหน้าและแววตาเปื้อนยิ้ม เมื่อบอกว่า เธอตัดสินใจ

ไม่ผิดเลยที่กลับบ้านมาใช้ชีวิตตามแนวทางพระราชดำริ

กลับบ้าน มาสร้าง “บ้าน” อุบลพรรณ สุปัน

ด้วยเวลาเพียง 3 ปี “อุบลพรรณ สุปัน” แห่งบ้านห้วยธนู

อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ก็สามารถพลิกชีวิตตนเองจากหน้ามือ

เป็นหลังมือได้ ในวัย 25 ปี

การพลิกชีวิตของอุบลพรรณ จากสาวโรงงานเย็บกระเป๋าใน

จังหวัดสมุทรปราการ กลับบ้านมาเป็นเกษตรกรที่มีสวน มีไร่ มีสัตว์

เลี้ยง มีอาชีพที่มั่นคง จนสามารถเก็บเงินใช้หนี้ได้หมดภายในหนึ่งปี

และสร้างบ้านของตนเองขึ้นได้ในอีกหนึ่งปีต่อมา ทั้งหมดนี้ได้มา

จากความขยัน อดทนและอดออมของเธอและสามี โดยมีปิดทอง

หลังพระฯ เป็นผู้สนับสนุน ให้โอกาสและให้องค์ความรู้

ย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน อุบลพรรณ กลับมาเยี่ยมบ้าน พบว่า

พ่อแม่สามี เข้าร่วมปิดทองหลังพระฯ เธอก็แทบไม่ต้องคิดเลยกับ

14

บทความ

Page 15: newsletter vol 7

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

ธรรมชาติของแม่เป็ดที่ไม่ค่อยกกไข่ ทำให้อัตราการฟัก

เป็นตัวของไข่เป็ด มีเพียงร้อยละ 50-60 เท่านั้น บาลเย็น สุนันตา

เกษตรกร อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ จึงทดลองใช้เทคนิคพิเศษ

ที่ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม นั่นคือ ทำให้ไข่เป็ดฟักเป็นตัว

ได้เกือบร้อยละ 100

เทคนิคที่ว่า คือ การฝากแม่ไก่ให้ฟักไข่เป็ด ซึ่งนอกจากจะทำให้

ไข่เป็ดมีอัตราการฟักเป็นตัวเพิ่มขึ้นแล้ว ยังสามารถเลือกเพศของ

ลูกเป็ดได้ด้วย โดยสังเกตจากไข่เป็ดที่จะนำไปให้แม่ไก่ฟัก

วิธีการ เริ่มด้วยการเลือกไข่ที่จะนำมาฟัก มีข้อสังเกตว่า ถ้าไข่

ฟองไม่ใหญ่ แต่กลม เป็ดที่ฟักออกมาจะเป็นตัวเมีย ไข่ที่ฟักออกมา

เป็นตัวผู้ ฟองจะใหญ่และยาว จึงควรเลือกไข่ที่กลมที่สุดไปฟัก

เพื่อให้ได้เป็ดแม่พันธุ์ในอนาคต จากนั้นหมั่นสังเกตวันที่ไก่จะไข่

คูพัฒนาคูพัฒนาเรียนรูเรียนรูรวบรวมโดย ฝ่ายจัดการความรู้ สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำร ิ

ฝากแม่ไก่ ฟักไข่เป็ด

ถ้าไก่ร้อง “กะต๊าก...กะต๊าก” และเริ่มหารัง แสดงว่ากำลังจะวางไข่

เมื่อไก่ไข่แล้ว ให้เอาไข่เป็ดที่เตรียมไว้ไปเปลี่ยนให้แม่ไก่ฟักแทน

ในอัตราส่วนแม่ไก่ 1 ตัว ฟักไข่เป็ด 30 ฟอง

ประมาณสามสัปดาห์ ลูกเป็ดจะทยอยจิกเปลือกไข่ออกมา

ระยะแรก ให้แยกขังไว้เฉพาะกลุ่มของแม่ไก่กับลูกเป็ดเท่านั้น แม่ไก่

จะคุ้ยเขี่ยหาอาหารให้ลูกเป็ดกินเอง พอลูกเป็ดอายุได้ 1 สัปดาห์

จึงขุดปลวกและไส้เดือนให้ลูกเป็ดหัดกิน จากนั้นให้หัดกินปลายข้าว

จนลูกเป็ดอายุได้ประมาณ 1 เดือน เริ่มมีขนขึ้น ก็เริ่มหัดให้เล่นน้ำ

และให้อาหารเสริม เช่น ข้าวเปลือก ผักบุ้งสับ หรือหยวกกล้วย

จนกระทัง่ลกูเปด็แขง็แรงดแีลว้ กป็ลอ่ยใหห้าอาหารเองพรอ้มกบัฝงู

ในปัจจุบัน มีการใช้เทคนิค “แม่ไก่ฟักไข่เป็ด” ในพื้นที่ปิดทอง

หลังพระฯ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งปรากฏว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

15

บทความ

Page 16: newsletter vol 7

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และสถาบัน

ส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนว

พระราชดำริ ก่อตั้งมาครบสามปีในเดือนมีนาคม 2555 หากมอง

ย้อนไปในอดีตแล้ว “งานปิดทองหลังพระฯ” เริ่มต้นด้วย

ความสนับสนุนและเห็นชอบของบุคคลสำคัญต่าง ๆ รวมทั้ง

นายไพบลูย ์วฒันศริธิรรม

วันที ่ 29 พฤษภาคม 2550 ขณะที่พลเอกสุรยุทธ ์ จุลานนท์

เป็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบตามคำเสนอ

ของนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรี ใหป้รบัเปลีย่น

โครงการเปดิทองหลงัพระ เปน็โครงการปดิทองหลงัพระฯ พร้อมทั้ง

จัดสรรงบประมาณสนับสนุนต่อเนื่องเป็นเวลาสี่ป ี ส่งผลให้งาน

ของ “ปิดทองหลังพระ” ปรับเปลี่ยนจากการส่งเสริมการท่องเที่ยว

โครงการพระราชดำริ เป็นการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

ในเวลาต่อมา แม้ว่านายไพบูลย์จะมิได้ดำรงตำแหน่งทาง

การเมืองแล้ว แต่ทุกครั้งที่มีโอกาสก็จะร่วมกิจกรรมและสอบถาม

ความก้าวหน้าของปิดทองหลังพระฯ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงในช่วง

ระหว่างวันที่ 16 ถึง 28 มีนาคม 2555 ที่นายไพบูลย์ เดินทาง

พร้อมกับคณะตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไปเยี่ยมชมพื้นที่

ปิดทองหลังพระฯ จังหวัดน่าน และเมื่อกลับมาแล้ว ยังได้กรุณา

ให้ข้อแนะนำแก่ผู้บริหารปิดทองหลังพระฯ อีกหลายประการ

นายไพบูลย์ เกิดเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2484 ที่ตำบลนาคู

อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สมรสกับคุณหญิงชฎา

วฒันศริธิรรม อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์

มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นายพิชา วัฒนศิริธรรม (สมรสกับณัฎฐพร

ทติตยานนท)์ และนางชมพรรณ กลุนเิทศ (สมรสกบัณฐัวฒุ ิกลุนเิทศ)

ตลอดช่วงการศึกษาและทำงานในหน้าที่สำคัญต่าง ๆ

นายไพบูลย์ไม่เคยละทิ้งการเข้าร่วมงานพัฒนาชนบท ดังปรากฏ

คำกลา่วในหนงัสอือตัชวีประวตัวิา่ “ความปรารถนาหรอืจดุมุง่หมาย

ที่สำคัญของผม คือการทำให้สังคมดีขึ้น ซึ่งควรจะเป็นสังคมที่มี

ความดงีาม พรอ้ม ๆ กบัมคีวามสามารถและมคีวามอยูเ่ยน็เปน็สขุ

การจะเป็นอย่างนั้นได้ สังคมต้องมีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะ

ทีฐ่านราก ไดแ้ก ่ประชาชนหรอืชาวบา้นทัว่ไปควรจะมคีวามเขม้แขง็

พอที่จะพึ่งตนเองได้ ส่วนจะมีคนรวยมากน้อยบ้างไม่เป็นไร แต่

อย่างน้อยคนทั่วไปควรจะมีฐานะดีพอ เข้มแข็งพอที่จะพึ่งตนเอง”

ความผกูพนักบัชนบทและชาวชนบท ไมเ่คยลดลงในจติวญิญาณ

ของนายไพบูลย์ เวลาใดที่ว่างจากการงาน แม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ

นายไพบูลย์จะปลีกตัวไปที่สวนสามพราน เพื่อพายเรือและเรียนรู้

เกษตรอินทรีย์

งานด้านพัฒนาสังคมที่นายไพบูลย์ให้ความสำคัญและอยู่

ระหว่างการขับเคลื่อน ได้แก่ 1. การสร้างและขยายผลตัวชี้วัด

ความสุขของชุมชนท้องถิ่น 2. การสร้างความเข้มแข็งของชุมชน

ด้วยการสร้างเสริมศักยภาพให้ชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเอง

3. โครงการคนรุ่นใหม่หัวใจรักถิ่น 4. ส่งเสริมและร่วมกำหนด

ยุทธศาสตร์ของ “ศูนย์คุณธรรม” และ 5. งานสมัชชาปฏิรูป

ประเทศไทย

การจากไปของนายไพบูลย์ จึงนับเป็นการสูญเสียทรัพยากร

บุคคลผู้มีคุณค่าอย่างยิ่งในการพัฒนาชนบท และมูลนิธิปิดทอง

หลังพระฯ ขอคารวะในความอุทิศตัว ทุ่มเทเพื่อการพัฒนา

ชนบทของนายไพบูลย์ และจะจดจำระลึกถึงคุณงามความดีของ

นายไพบูลย์ไว้ตลอดไป

ด้วยจิตคารวะ แด่ “นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม”

16

ข่าว