24
1

salamart magazine issue 1 free copy

Embed Size (px)

DESCRIPTION

Salamart” ซึ่งมาจาก คำว่า salam (สลาม) ซึ่งแปลว่า สันติ + กับคำว่า art (ศิลปะ) ผันรวมกันเป็นคำว่า Salamart สลามาร์ต หรือสลามัต ซึ่งแปลว่า “ความปลอดภัย” ภายใต้กรอบแนวคิด “การใช้ชีวิตอย่างสันติอย่างมีศิลปะ” free!!!

Citation preview

Page 1: salamart magazine issue 1 free copy

1 1

Page 2: salamart magazine issue 1 free copy

23

Page 3: salamart magazine issue 1 free copy

23 3

CONTE

NTS5 4

1419Salamarteam

ฝ่ายบรรณาธิการ: ปรีดา แดงวิจิตร,ซัลมา บุญตามทัน, อีซา นิยม คอลัมนิสต์: อ.อัชอารีย์ เรืองปราชญ์, อ.อาลี เสือสมิง, ดาวุด ลาวัง

ฝ่ายโฆษณาและการตลาด: วัลภา อานัน ฝ่ายสมาชิก: วิจิตรา วิเศษรัตน์ ศิลปกรรม: Salamart work นักศึกษาฝึกงาน:ปรัชญา โพธิ์กระเจน, อริศรา สมานมิตร

ติดต่อโฆษณา: วัลภา อานัน 081-340-1400 สำานักงาน Salamart 328 ซ.พัฒนาการ 53 (ซ.9) แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กทม. 10250 โทร. 081 3401400

E-mail : [email protected] , http://www.facebook.com/pages/Salamart-magazine/124325024315439?closeTheater=1

Salamartalk

ปีที่1 ฉบับที่1 ประจำ�เดือนมิถุน�ยน 2554

คว�มบังเอิญที่ถูกจงใจกำ�หนด นั่งนิ่งๆแล้วมองอย่างมีศิลปะ ดูการจัดวางของผู้สร้าง ความบังเอิญที่ถูกจงใจกำาหนด

แน่นอนครับทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส มันน่าจะสอดคล้องกันเมื่อนึกถึงอายะฮฺที่ว่า “ทุกความยาก

ย่อมมีความง่าย” ถ้อยคำากล่าวย้ำาเพื่อให้กำาลังใจท่านนบี ถึงสองครั้งสองครา เสมือนพระองค์จะมิทรงสื่อ

แต่มูฮัมมัดเพียงผู้เดียว

กับการดำาเนินชีวิต กับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม มันทำาให้ย้อนนึกถึงอายะฮฺนี้วันละหลาย

ครั้งครา ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ โดยไม่ถูกทดสอบ แม้กระทั่งความพยายามในการคิดทำาการณ์ดี

ผมเคยบอกกับคนไกล้ตัวว่า หากเกิดความเห็นไม่ลงรอยกันหรือเกิดการคัดง้างกันเกิดขึ้น ฝ่ายหนึ่ง

ฝ่ายใดสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องยับยั้งอารมณ์ความรู้สึก โดยการไม่สวนกลับด้วยวิธีการที่มีความรุนแรงและ

หนักหน่วงกว่า แต่สมควร ที่จะต้องเร่งสร้างความประทัปใจสวนกลับไปแทน เพื่อที่ว่าคู่ตรงข้ามจะรู้สึก

ประทับใจ ถึงแม้ว่ามันจะฝืนและหลอก ตัวเอง แม้ว่าในสิ่งที่เราโดนกระทำามันจะทำาให้เรารู้สึกเจ็บปวด

อยู่บ้างก็ตาม แต่เมื่อเวลาพ้นผ่าน จะทำาให้เขาได้ย้อนนึกถึงอย่างไม่รู้ลืมดังเช่นหญิงชาวยิวผู้นั้น..

เรามาร่วมนำาความประทับใจที่เกิดขึ้นจากการกระทำาของท่านนบี แล้วนำาความประทับใจที่เรา

รับรู้นั้นมาเป็น แรงขับเพื่อบันดาลใจในการใช้ชีวิต

ขอเราใช้ชีวิตอย่างมีศิลป์

*อนึ่ง “Salamart” ซึ่งมาจาก คำาว่า salam (สลาม) ซึ่งแปลว่า สันติ + กับคำาว่า art (ศิลปะ) ผันรวมกันเป็นคำาว่า Salamart

สลามาร์ต ตรงกับคำาพ้องเสียงของคำาว่า สลามัต ซึ่งแปลว่า “ความปลอดภัย” ภายใต้กรอบแนวคิด “การใช้ชีวิตสันติอย่างมีศิลปะ”

9

Page 4: salamart magazine issue 1 free copy

45

Zachariah Sammour, Khaled Sha-hin, Doaa Hammoudeh และ Amena Amer ทั้งหมดเป็นนักเรียนจากวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แห่งลอนดอน (London School of Economics) โดยทั้ง Zachariah และ Khaled เป็นนักศึกษาปริญญาตรี ในขณะที่ Doaa และ Amena กำาลังศึกษาในระดับปริญญาโท โดยนักเรียนทั้งสี่คนนี้เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของชมรมปาเลสไตน์ที่สถาบันดังกล่าว ชมรมปาเลสไตน์ที่วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แห่งลอนดอนเป็นหนึ่งในชมรมที่มีกิจกรรมการดำาเนินการมากที่สุดในวิทยาลัย โดยในปีนี้ปีเดียว ชมรมนี้ได้จัดงานและการรณรงค์ต่างๆ มีตั้งแต่การรณรงค์ยกเลิกการใช้เครื่องกรองน้ำาของ Eden

Springs ในวิทยาลัยไปจนถึงการจัดแสดงการตั้ งถิ่นฐานที่ผิดกฎหมายบนถนนฮัฟตันเพื่อเน้น

ย้ำาถึงสภาพความเลวร้ายของชาวปาเลสไตน์ที่ต้องอาศัยอยู่ภาย

ใต้อิสราเอลและยังขยายการตั้ งรกรากอยู่ ตลอดเวลา และล่าสุดกับเสื้อที่บรรจงออกแบบกัน หากต้องการติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาที่ เกี่ยวข้องกับปาเลสไตน์ คุณสามารถติดตามพวกเขา

ในทวิตเตอร์ได้ที่ twitter.com/LSESU_PalSoc

สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมของปากีสถาน (FPCCI) เจ้าหน้าที่ระดับสูงกล่าวว่า จีนกำาลังพัฒนาไปสู่โซนเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งยังเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของปากีสถานด้วยเช่นกัน โดย Muhamet-min Yashen (Muhammad Amin Yasin) กล่าวถึงเรื่องนี้ในการพูดคุยกับสังคมธุรกิจที่สำานักงานของ Raza Khan ซึ่งเป็นรองอธิบดีคณะกรรมของสภาประชาชนแห่งเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ Yashen กล่าวว่า เรามีมหาอำานาจด้านเศรษฐกิจอยู่ทางตะวันตกเช่นเมืองเซินเจิ้น และในทางตะวันออกเราก็มีอำาเภอคาสื่อ (คัชการ์) ซึ่งเป็นโซนเศรษฐกิจพิเศษที่ห่างจากชายแดนปากีสถานเพียงไม่กี่ร้อยกิโลเมตร Yashen กล่าวว่า พวกเขากำาลังจัดงาน China Asia-Europe Expo เป็นครั้งแรกในเมืองอูรุมชีในวันที่ 1 – 5 กันยายนจากความร่วมมือของ Huang Xilian รองหัวหน้าคณะผู้แทนแห่งสถานทูตจีนและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ซึ่งเขากำาลังเดินหน้าเข้าเยี่ยมชุมชนธุรกิจต่างๆ เพื่อเชิญชวนให้เข้าร่วมในงานนี้ Yashen ซึ่งเป็นผู้นำาของคณะตัวแทนทั้งหมด 50 คนกล่าวว่า โซนเศรษฐกิจของเมืองคาสื่อจะ นำาความรุ่งโรจน์มาสู่ทั้งภูมิภาคในขณะที่งาน Expo จะให้โอกาสในการขยับขยาย นอกจากนี้ Raza Khan ยังกล่าวว่า ผู้ลงทุนในจีนควรสำารวจหาโอกาสในส่วนต่างๆ เช่น ในด้านการเงิน การธนาคาร พลังงาน พลังงานทางเลือก ไอที สินค้าด้านวิศวกรรม เครื่องจักรด้านสิ่งทอ เกษตรกรรม อุตสาหกรรมด้านเกษตรกรรม อาหาร การผลิตผลิตภัณฑ์จากผลไม้ การบรรจุหีบห่อ ปศุสัตว์ การทำาฟาร์มวัวนม และอสังหาริมทรัพย์ เขากล่าวว่า ปากีสถานสามารถช่วยให้จีนขยับเข้าหาโอกาสในตลาดการส่งออกไปสู่ประเทศอิสลามและช่วยกระตุ้นให้เกิดตลาดอาหาร ‘ฮาลาล’ มูลค่าล้านล้านเหรียญได้ทันที โดย Raza Khan คาดหวังว่า นี่จะเป็นการทำาธุรกิจและแรงกระตุ้นพิเศษสำาหรับชุมชนธุรกิจของชาวปากีสถานในโซนเศรษฐกิจพิเศษในเมืองคาสื่อด้วยนั่นเอง ที่มา : http://www.halaljournal.com

WORLD

2 England 3 Chaina

1 Malaysia

ประก�ศก้องด้วยคว�มภ�คภูมิใจ กับเสื้อเชิ้ตของหนุ่มส�วเมืองผู้ดี ที่ให้ม�กกว่�แฟชั่น

ภ�คธุรกิจฮาลาลมาเลย์พุ่งมีขน�ด (GDP) ภ�ยในปี2020 ถึง 5.8 เปอร์เซนต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

ป�กีสถ�นเชื่อมจีนเข้�สู่ตล�ดมูลค่�กว่�ล้�นล้�นเหรียญ

2 เปอร์เซนต์ของ GDP คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยประมาณถึง 15 ล้าน มาเลเซีย ริงกิต หรือ 150.75 ล้านบาท เราเชื่อมั่นว่าขนาดภาคธุรกิจนี้จะสูงถึง 5.8 เปอร์เซ็นต์ จากความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและการที่ประเทศมาเลเซียได้โปรโมทผลิตภัณฑ์ฮาลาลมาตลอด 4 ปี เขา เสริมว่า “ผลิตภัณฑ์ฮาลาลคิดเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของการค้าทั่วโลกทั้งหมด และ มีโอกาศที่จะเติบโตได้อีกในประเทศจีน อินเดีย และ ประเทศที่ไม่ใช่ประเทศมุสลิม “ Jumaatun Azmi ผุ้จัดการและผู้ก่อตั้ง บริษัทKasehDia Sdn Bhd กล่าวว่า “จำานวนประชากรมุสลิมทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ก็ส่งผลต่อความต้องการผลิตภัณฑ์ฮาลาลด้วย เช่นกัน” BERNAMA ผู้เขียนข่าวนี้กล่าวว่า “มันเป็นตลาดที่คุณไม่อาจมองข้ามได้ มันมีความต้องการจริงๆและมันกำาลังขยายตัวขึ้นด้วย” ที่มา: Bernama

มีการคาดการณ์ว่าภาคธุรกิจฮาลาลจะโตถึง 5.8 เปอร์เซนต์ ของ GDP ภายในปี 2020 โดยเติบโตด้วยความเร็ว 5 เปอร์เซนต์อย่างต่อเนื่องทุกปี Datuk Seri Jamil Bidin กรรมการผู้จัดการบริษัท ฮาลาล อินดัสทรี เดเวลอปเมนต์ กล่าวว่า กลุ่มอาหารและบริการเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำาคัญให้กับภาคธุรกิจนี้ โดยในขณะนี้มีขนาดที่

Page 5: salamart magazine issue 1 free copy

45 5

หากจะพูดถึงสถานการณ์โลกมุสลิมในขณะนี้ อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ส่งผลต่ออารมณ์ของมุสลิมทั่วโลกในขณะนี้ ที่แม้นับจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปเมื่อต้นเดือน พฤษภาคมที่ผ่านมา คงปฏิเสธไม่ได้จากข่าวคราวการเสียชีวิตของ ชัยค์ อุซามะ บินลาดิน นั้น นับเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจ และสร้างแรงกระเพื้อมพี่น้องมุสลิมทั่วโลกหันมาร่วมแสดงพลังความเคลื่อนไหวต่อต้านอเมริกากันอีกครั้งDawud Wharnsby นักร้อง นักแต่งเพลงชาวแคนาดา ที่ย้ายไปอยู่เมืองอะบอททาบัด ในปากีสถาน กับครอบครัวภรรยาของเขา ได้บอกเล่าผ่านนิตยสาร emel ซึ่งเป็นนิตสารที่นำาเสนอเรื่องราวการใช้ชีวิตในสังคมของมุสลิมในปัจจุบันของประเทศอังกฤษ ในวันจันทร์ ที่ 2 พฤษภาคม 2011 เขาพบว่าเมืองที่เงียบสงบของเขาได้เกิดเหตุการณ์ไปทั่วโลก อุซามะฮ บินลาดิน ได้อาศัยอยู่ที่นั่น จนกระทั่งกองทัพอเมริกาโจมตีบ้านและยิงเขาตาย ดาวุด เห็นว่าคนในท้องถิ่นเป็นพยานได้ “เฮ้ ผมคิดว่าผู้ชายคนนั้นดูคุ้นๆ น่ะเพื่อน”โดย เบนจามิน แฟรงคลิน คือผู้รายงาน ได้พูดว่า“ อย่าเชื่อทั้งหมดในสิ่งที่คุณอ่านและอย่าเชื่อทั้งหมดของที่สิ่งที่คุณเห็น”ราวๆ ตีหนึ่ง ขณะที่ครอบครัวของผมกำาหลังหลับ ผมได้ตื่นขึ้นเพราะได้มีเสียงเฮลิคอปเตอร์ ปืน และระเบิด ที่ทำาให้บ้าน นั้นสั่น พวกเราอาศัยอยู่ใกล้กับ รร.ทหารที่ที่มีเสียงดังแบบนี้บ่อยๆ ผมจึงไม่คิดว่าเสียงนั้นเป็นอย่างอื่น พระเจ้า! ทำาไมต้องมาซ้อมรบกันเวลานี้ เช้าวันต่อมา ผมได้รับโทรศัพท์จากญาติในอเมริกาที่ติดตามข่าว Geo News ในคืนก่อนและได้ข่าวเรื่องเฮลิคอปเตอร์ตกในอะบอททาบัด พวกเขาเป็นห่วงว่าเราเป็นอะไรหรือเปล่าแล้วได้ยินเสียงดังอะไรไหม พวกเขาบอกอีกว่าข่าวที่ได้รับดูแปลกๆผมและภรรยาเห็นด้วย โดยปกติแล้ว รร.ทหารปากีสถานในท้องถิ่น PMA จะไม่ให้ ฮ.สำาหรับฝึกในพื้นที่ภูเขา แต่ใช้ในการขนส่งทหารหรือตรวจตราในบางครั้ง แต่จะไม่ใช่เวลากลางคืน ไม่กี่นาทีต่อมา เราก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนชาวอเมริกันที่อยู่ในปากีสถาน ที่เป็นห่วงความปลอดภัยของเราและเตือนให้เราอย่าเป็นจุดสนใจ ไม่ใช่เพราะว่าเหตุการณ์ ฮ.ชน แต่เพราะ ประธานาธิบดี โอบามา ประกาศว่า อุซามะฮ บิน ลาดิน ถูกจับและฆ่าใกล้อะบอททาบัดสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้น 2-3 ไมล์จากบ้านผม ข่าวที่แพร่ไปทั่วโลกอาจจะทำาให้เกิดการนองเลือดมากขึ้นหากไม่ควบคุมอย่างระมัดระวัง เราเสียใจในเหตุการณ์ 9-11 , 7-7 ทุกๆ การนองเลือดที่เกิดขึ้นในอิรัคและอัฟกานิสถาน ทหารและพลเรือนมากมายได้สูญเสียในหลายปีมานี้ ดังนั้น ถ้าอุซามะฮ บินลาดินคือผู้ร้าย และถ้าหากเขาเสียชีวิต พวกเราจะหยุดฆ่าฟันและควมเกลียดได้หรือไม่? หรือโลกจะต้องหาผู้ร้ายเพื่อไล่ล่า ดังนั้นพวกเราจะตัดสินว่าสงครามมีผลประโยชน์ต่อคนรวยและทำาให้คนจนทุกข์ยากไปอีกหรือไม่ ?เหมือนกับที่สติ๊กเกอร์บนกล่องกีต้าร์ของผมบอกไว้ว่า “It will be a great day when schools have all the resources they need, and the air force will have to hold a bake sale to buy a new bomber.”ปฏิกิริยาของผู้คนท้องถิ่นต่อข่าวที่อเมริกาได้ปล่อยออกมา และปฏิกิริยาคนที่มีชื่อเสียงอเมริกาบางคนในเมืองนิวยอร์คผู้คนที่นี่ เพื่อนบ้านของผม ต่างกลัวปฏิกิริยาศาลเตี้ยจากข่าวต่างๆ ครอบครัวต่างกังวลว่า รร.หรือที่สาธารณะต่างๆ อาจจะไม่ปลอดภัยถ้าการเกิดการใช้อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวต่อ คนที่มีชื่อเสียงต่างๆ ในทีวีของอเมริกา ผู้คนซึมเศร้าไม่ใช่เพราะว่าสนับสนุนในตัวบินลาดิน แต่เพราะว่า การแถลงข่าวนี้ ดีหรือไม่ดีคุณเลือกรับมันไว้ ไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตของคนจนๆที่อาศัยที่นี่ ขณะนี้หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ความจนได้เพิ่มขึ้นในหมู่ชาวปากีสถาน“ดังนั้นผมจะพูดตรงๆ ชาวปากีสถานไม่พอใจและไม่สนับสนุนวิธีการก่อการร้ายหรือทำาสงครามบุกรุกโดยใช้ศาสนามาอ้างและจะไม่พูดถึงอุซามะฮ บิน ลาดิน”ผมเป็นเกิดที่แคนาดา สนใจเกี่ยวกับมุมมองทางการเมืองสังคมและศาสนา เมื่อมาอยู่ที่ทางตอนเหนือในปากีสถาน มันอบอุ่นและเป็นกันเองมาก มากกว่าตอนที่อยู่ชุมชนมุสลิมในแคนาดา อเมริกา หรืออังกฤษ ประการที่สอง ที่ปากีสถานนี้มีแนวโน้มที่จะมีความสง่าและตระหง่านในศาสนาอิสลาม พวกเขาไม่เอานำาแบบวัฒนธรรมของต่างชาติมาเป็นตัวชี้นำาในชีวิตของพวกเขา ถ้าชาวอเมริกาต้องการที่จะเต้น ชาวปากีสถานจะไม่นำาเอามาเป็นแบบอย่าง ในหมู่บ้าน พวกเขาจะรักกัน มันทำาให้ผู้คนใคร่ครวญ และมีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพระเจ้าของเขาไม่ว่าวันนี้ ชัยคฺอุซามะฮ บินลาดิน จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม แต่สำาหรับความเป็นเรือนร่างเดียวกันแล้วหากมีส่วนหนึ่งส่วนใดเจ็บปวด ด้วยความเป็นเลือดก้อนเดียวกัน ย่อมส่งผลต่อการเคลื่อนไหวในทุกส่วนของร่างกายอย่างแน่นอน

Rhythm of salam4 Italy

อย่�เชื่อทั้งหมดในสิ่งที่คุณอ่�นและอย่�เชื่อทั้งหมดของที่สิ่งที่คุณเห็น

ที่มา : www.emel.com

บริษัทค้าส่งอาหารฮาลาลเจ้าแรกในอิตาลีตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองโบล๊อคน่า เปิดบริการขายอาหารตามหลักอิสลามให้กับร้านอาหารทั่วไปทั้งในประเทศ และต่างประเทศ แฮมซ่า ปิคคาร์โด้ กล่าวว่า “การผสมผสานในแบบที่กินได้ เกิดขึ้นที่นี่ ถ้าเรารักสันติและเชื่อในพระเจ้าเหมือนๆกัน” ปิคคาร์โด้นั้นเป็นมุสลิมใหม่เชื้อสายอิตาลี เขาเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท “Tre Alfieri Halal” ซึ่งเป็นศูนย์พัฒนาศาสตร์ในการทำาอาหารที่มี ชื่อเสียง ในเมืองโบร็อคน่า เขากล่าว “บริษัทเราต้องการเป็นเลิศทางด้านการผสมผสานระหว่างอาหารอิตาลีที่มีชื่อเสียงก้องโลก และหลักการของอิสลาม โดยไม่ให้สูญเสียความอร่อยของอาหารอิตาลี และไม่ให้ผิดหลักการของศาสนา ปิคคาร์โด้เชื่อว่า อาหารฮาลาลของบริษัทเขานั้นซึ่งมีตั้งแต่ พาสต้า จนกระทั่งข้าวอิตาเลียนเห็ดของแท้ของอิตาลี จะเป็นที่ชื่นชอบของชาวมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม” นอกจากร้านอาหารและโรงอาหาร บริษัทยังส่ง อาหารให้กับผู้บริการอาหารให้กับงานเลี้ยงอีกต่อหนึ่ง ปิคาร์โด้ทิ้งท้ายว่า “นี่เป็นอาหารทางเลือกสำาหรับผู้ที่ชอบทานฟาสฟู้ด เป็นอาหารสุขภาพที่เลิศรส ในราคาย่อมเยาว์ และเป็นทางเลือกที่ฉลาด ผมเชื่อว่าอาหารประเภทนี้จะเป็นเทรนใหม่แห่งอนาคต” ที่มา: Adnkronos International (AKI)

ผุดบริษัทฮ�ล�ลเจ้�แรกในอิต�ลีค้�ส่งอ�ห�รให้กับร้�นอ�ห�รทั่วไป

Page 6: salamart magazine issue 1 free copy

67

Movement

Calendar

คุณธีรศักดิ์ สุวรรณยศ กรรมการ ผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ร่วมพิธีเปิดงาน “Halla..Halal ฮาลล้า..ฮาลาล สืบสานวัฒนธรรมมุสลิมล้านนา” เพื่อเป็นการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs ตลอดจน

การความเข้าใจ เกี่ยวกับวิถีชีวิต ประเพณี ศิลปะ และวัฒนธรรมอันดีงามของชาวมุสลิมในภาคเหนือ และการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ฮาลาล โดยมี คุณศรุพงศ์ พงษ์เดชขจร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี ณ ห้องเชียงใหม่ฮอลล์ เซ็นทรัลพลาซ่าเชียงใหม่แอร์พอร์ต โดยการสนับสนุนของกระทรวงอุตสาหกรรม และสำานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวว่า ภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่มีศักยภาพพร้อมสำาหรับการเป็นศูนย์กลางในหลายด้าน ทั้งการ คมนาคม การท่องเที่ยว และเป็นศูนย์กลางทางการ

สืบส�น วัฒนธรรมมุสลิมล้�นน�สร้�งโอก�สและพัฒน�ศักยภ�พผู้ประกอบก�ร SMEsฮ�ลล้�...ฮ�ล�ล ท่ีเชียงใหม่

แพทย์ ขณะเดียวกันยังมีสภาพภูมิประเทศที่เอื้อต่อการทำาการเกษตร ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำาคัญของการผลิตอาหารฮาลลาล โดยจังหวัดเชียงใหม่ได้มีนโยบายพัฒนาอาหารฮาลาลสู่ตลาดโลก งานฮาลล้า ฮาลาล สืบสานวัฒนธรรมมุสลิม ล้านนา จัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ ในงานมีกิจกรรมมากมาย การออกร้านสินค้า OTOP ของชาวมุสลิมในจังหวัดเชียงใหม่ การแสดงศิลปวัฒนธรรมจากศิลปินมุสลิมทั่วประเทศ การจำาหน่ายอาหารฮาลาล การแสดงแฟชั่นโชว์และการแสดง ชุดแต่งกายของหนุ่มสาวมุสลิมที่ชนะการประกวด กว่า 30 ชุด ซึ่งได้รับความสนใจจากประชนชนจำานวนมาก

ผ่านไปด้วยดีกับงาน “รับน้องเข้าบ้าน ปี 54” โดยในงานนี้ได้รับความอนุเคราะห์จากผู้ใหญ่ใจดีและแขกผู้มีเกียรติมากมายหลายท่าน ส่งผลให้บรรยากาศในวันนั้นเป็นไปด้วยความอบอุ่น จากไอรักของชาวมือบนที่ส่งมอบให้ชาวมือล่าง

รับน้องเข้�บ้�นหทัยรัก

อุ่นไอรัก

ตั้งสม�คช่วยจัดห�

Quran

กุรอ�นอักษรเบรลล์“ยะล�”

ขอเชิญเข้าร่วมอบรมเสริมข้อมูลเชิงลึก ในการปกป้องศ่อฮาบะฮฺของท่านนบี ลงทะเบียน ท่านละ 100 บาท ท่านจะได้รับซีดี เอกสาร หนังสือ รวมถึง วิธีการ จากวิทยากร ที่จะมาให้ความรู้โดยตรง .. รับทั้งหญิง,ชาย โทรลงทะเบียนที่ 084 704 6776,085 143 3520

วันวิทยุศรัทธาชน ครั้งที่ 7 ในวันศุกร์ที่ 24 มิ.ย. 54 เวลา 18.00 - 22.00 น. ณ ศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย หารายได้จัดทำารายการวิทยุภาคพิเศษรอมฎอน 1432 บัตรอาหารโต๊ะละ 2,000 และ 2,500 บาท จองบัตรได้ที่ 0-2934-3495 หรือ 081-930-8713

“วันซานาวีย์สัมพันธ์” ชมรมโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม ขอเชิญร่วมงาน

วันซานาวีย์สัมพันธ์ ครั้งที่2 ซึ่งจัดขึ้น วันที่ 16 มิถุนายน 2554 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ณ มัสยิดเราเฎาะติ้ลญันนะฮฺ ซ.พัฒนาการ 20ในงานมีอาหารและเครื่องดื่มจำาหน่ายถึง 17.30 น. (โต๊ะจีนการกุศล ตั้งแต่เวลา 18.30 น. - 21.00 น.)รับชมกิจกรรมอัซ-ซานาวียฺสัมพันธ์ ของสถาบันในเครือสมาชิก,ร่วมกิจกรรม,สัมนาวิชาการ,การบรรยายทางวิชาการ พบปะสังสรรค์

16 มิถุนายน 2554

18-19 มิถุนายน 2554 24 มิถุนายน 2554

นายวุสนุง หมัดดา ประธานสภาผู้พิการทุกประเภท จังหวัดยะลาและประธานชมรมส่งเสริมและพัฒนาปัญญา จังหวัดยะลา เปิดเผยว่า ตนได้ก่อตั้งสมาคมคนตาบอดมุสลิมแห่งแรกในจังหวัดยะลา ขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2553 เพื่อช่วยเหลือชาวมุสลิมที่เป็นคนตาบอดมีสิทธิได้รับการศึกษาหลักศาสนาและสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างเหมาะสม เช่น การจัดหาคัมภีร์อัลกรุอานอักษรเบรลล์ให้ผู้พิการทาง

สายตาไว้ใช้อ่าน เป็นต้น นายวุสนุง กล่าวว่า การก่อตั้งสมาคมคนตาบอดมุสลิมแห่งแรกในจังหวัดยะลา ได้รับการสนับสนุนจากผู้พิการทางสายตาที่เป็นมุสลิม และมีการเสนอให้มีการสอนคัมภีร์อัลกรุอานเป็นวิชาภาคบังคับสำาหรับผู้พิการต่อสภาผู้พิการทุกประเภทจังหวัดยะลา แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับจากที่ประชุมสภาผู้พิการทุกประเภทจังหวัดยะลาสำาหรับสมาคมผู้พิการจังหวัดยะลามี 4 สมาคม ได้แก่ สมาคมคนตาบอด สมาคมคนหูหนวก สมาคมออทิสทิก และสมาคมผู้พิการด้านด้านการเคลื่อนไหวหรือสมาคมผู้พิการจากเหตุการณ์ความ ไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ สมาคมเหล่านี้ขึ้นตรงต่อสภาผู้พิการทุกประเภททั้งหมด ที่มา http://www.deepsouthwatch.org

Movement

Page 7: salamart magazine issue 1 free copy

67 7

Recommend

ปลุก โดย : มุซักกิร สำานักพิมพ์ : มิรอาต ปลุก เป็นผลงานรวมบทความจากคอลัมน์ปลุก จากวารสารโรตีมะตะ คอลัมน์ ที่โลดแล่นอยู่ในวารสารนามขนมที่อายุนามของคอลัมน์ยาวนานถึง 4 ปี ถ่ายทอดเรื่องราวแง่คิดการดำาเนินชีวิต นามปากกว่า มุซักกิร บทความ ที่แฝงไปด้วยแง่คิดเตือนใจ ที่เจ้าตัวเอ่ยขณะนำางานเขียนไปส่งสำานักพิมพ์มิรอาต ว่า “งานชิ้นนี้อาจมีประโยชน์ต่อใครๆบ้าง อินชาอัลลอฮฺ” แม้ชื่อของมุซักกิร จะไม่ใช่ชื่อของนักเขียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังแต่อย่างใด หากว่าหนังสือเล่มเล็กๆเล่มนี้ อาจปลุกใครให้ตื่นได้ด้วยคมความคิดที่ถ่ายทอดผ่านตัวอักษรของนักเขียนมุสลิมรุ่นใหม่ ที่จะปลุกให้ใครต่อใครตื่นขึ้นมา เพื่อพบกับแสงสว่างที่แท้จริง

สร้างอิสลามด้วยสันติโดย : ดร.อณัส อมาตยกุล สำานักพิมพ์ : สำานักคิดคนขายเครา “สร้างรัฐอิสลามด้วยสันติวิธี”เป็น งานเขียนที่พูดถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์มุสลิมอินเดีย เริ่มจากความรุ่งเรืองสุด และจุดจบสู่การล่มสลายของรัฐอิสลามในอินเดีย ซึ่งเกิดขึ้นในยุคของ ชาฮฺ อักบัร ที่เป็นผู้ทำาให้อิสลามล่มสลาย แม้ว่าอาณาจักรมุฆัลจะพบกับวิกฤติ แต่ก็มีผู้ที่มาฟื้นฟูศาสนาอิสลาม ซึ่งคือ “อะหมัด สิรฮินดีย์” ผู้ซึ่งสร้างรัฐอิสลามด้วยสันติวิธี ซึ่งวิธีการของท่าน คือการเผยแผ่ที่เน้นสันติ ห้ามมิให้ใช้ความรุนแรง ทำาให้ผู้ใช้ความรุนแรงสุดโต่งหรือพยายามกำาจัดท่านต้องหลีกหนีให้กับวิถีชีวิต ความยิ่งใหญ่ ของเชคอะหมัด สิรฮินดีย์ คือการนำาเอาคำาสอน อิสลามที่มิได้เจอปนด้วยของใหม่ที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา จึงทำาให้รัฐอินเดียเปลี่ยนวิถีและกลับคืนสู่การเป็นรัฐอิสลามอีกครั้ง “สร้างรัฐอิสลามด้วยสันติวิธี”เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ต้องการให้ข้อคิดและโมเดลแนวทางการแก้ปัญหาของวิกฤติใต้ตอนล่างประเทศไทย ทั้งกับรัฐและประชาชนในพื้นที่ที่ต้องร่วมกันหาจุดสมดุลในการอยู่ร่วม แอบกระซิบนิดครับ! มันคือไกด์บุ๊คเชิงประวัติศาสตร์ สำาหรับใครที่มีแผนจะเดินทางไปดินแดนภารตะ พลาดไม่ได้!

สร้�งรัฐอิสล�มด้วยสันติวิธี

40 กฏเหล็กการอ่านหนังสือให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดย : ถ่ายทอดโดยเชคริฎอ อะหมัด สมะดีแปลและเรียบเรียง นาอีม วงศ์เสงี่ยมสำานักพิมพ์ : กลุ่มฟิตยะตุลฮัก ปฏิเสธไม่ได้ว่าความรู้ที่เกิดขึ้นในวงการต่างๆ นอกจากการค้นพบแล้ว ส่วนสำาคัญอีกประการหนึ่งนั้นมาจากการอ่าน 40 กฏเหล็ก การอ่านหนังสือให้เกิดประโยชน์สูงสุด หนังสือปกสีเขียวสด ผลงานล่าสุดจากสำานักพิมพ์กลุ่มฟิตยะตุลฮัก ที่ครั้งหนึ่งเป็นการบรรยายเป็นภาษาอาหรับของเชคริฎอ อะหมัด สมะดี ถอดความโดย นาอีม วงศ์เสงี่ยม เป็นหนังสือดีอีกเล่มที่นักอ่าน หรือผู้ที่เริ่มสนใจการอ่านหนังสือ ควรมีพกติดตัวไว้ยังชั้นหนังสือ เนื้อหาภายในของหนังสือเล่มนี้ประกอบไปด้วยเรื่องราวตั้งแต่วิธีการให้ผู้อ่านได้ทราบว่าหนังสือที่เลือกมาอ่านนั้นนอกจากจะเป็นคลังความรู้ให้แก่เราแล้ว การอ่านยังเป็นสิ่งที่ทำาให้เราได้ย้อนอดีตได้อยู่ร่วมกับบรรดาเหล่าผู้ศรัทธาในอดีต เสมือนว่าได้มีส่วนร่วมในยุคนั้น หรือแม้กระทั่งวิธีการเลือกหนังสือให้เหมาะสมกับตนเอง นอกจากนี้หนังสือเล่มนี้ยังบอกถึงกระบวนการและวิธีการเพื่อให้การอ่านนั้นเกิดประโยชน์สูงสุด

40 กฏเหล็ก ก�รอ่�นหนังสือให้เกิดประโยชน์สูงสุด ปลุก

ตอบปัญหาเกี่ยวกับสหกรณ์ และปรึกษาปัญหาด้านการเงิน อีกทั้งภายในงานยังมีการออกร้านสินค้าฮาลาล SME ที่ผลิตในครอบครัวที่หาซื้อยาก มีอาหารสมองฮาลาล และกิจกรรมดีๆอีกมากมาย พบกันได้ที่งาน เปิดตัวสหกรณ์อมานะห์ วันที่อาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน 2554 เวลา 10.00 น. – 16.00 น. ณ ศูนย์กลางแห่งประเทศไทย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 081 4271403 , 081 4231373งานเปิดตัว สหกรณ์อิสลามอมานะฮฺ จำากัด

ใครที่กำาลังสนใจเรื่องสหกรณ์ไม่ควรพลาด เพราะงานนี้เขารวบรวมเรื่องราวและรูปแบบการจัดตั้งสหกรณ์ ถาม-

นมาซเหมือนนบี รุ่นที่ 2 ระหว่างวันที่ 9-10 กค. 2554 รับสมัคร

26 มิถุนายน 2554

10 กรกฎาคม 2554

ผู้เข้าอบรมการนมาซเหมือนนบี รุ่นที่ 2 อบรมโดย อ.มุรีด ทีมะเสน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ในการอบรมครั้งนี้มีการเลี้ยงอาหารฟรีสนใจติดต่อ ทนายการีม 081 621 3537 รับจำานวนจำากัดเพียง 120 คน เท่านั้นในการอบรมครั้งนี้ จะไม่รับผู้เข้ารับการอบรมที่อายุต่ำากว่า 15 ปี และผู้ที่เคยเข้าอบรมครั้งที่ 1 มาแล้ว

Page 8: salamart magazine issue 1 free copy

896

Listen to salam ฉบับนี้ขอแนะนำาแบบน้ำาตาค้างละกันครับ ผมขอพูดถึงผลงานของ Mesut Kurtis เดี๋ยวขออนุญาติแนะนำานักร้องคนนี้ก่อนครับ มัสอู๊ดเกิดที่เมือง Skopje, ประเทศมาซีโดเนีย ทางตอนใต้ของยุโรปตะวันออก เขาเป็นมุสลิมเชื้อสายเติร์กโดยกำาเนิด เป็นหนึ่งในเด็กหนุ่มที่ชอบอ่าน กุรอานในลักษณะทำาน่วงทำานองและอ่านเขียนภาษาอาหรับได้ นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้จักในฐานะนักประพันธ์และร้องนะชีดทั่ว มาซีโดเนีย เริ่มทำา

นะชีดอย่างจริงจังก็ต่อเมื่อย้ายเข้ามาเรียน คณะวิทยาศาสตร์ที่ University of Lampeter ในอังกฤษ ซึ่งมัสอู๊ดตัดสินใจเข้าร่วมกับค่าย Awakening Records หลังจากถูกทาบทามให้เข้าร่วมด้วย

ออกมาสองอัลบั้มครับคือ “Salawat” และ “Beloved” เอาเป็นว่าผมพูดถึงสองอัลบั้มเลยล่ะกันนะครับ อัลบั้มแรกเจ้าตัวเขาเน้นเนื้อหาที่คุ้นเคยโดยนำากาพย์กลอนจากหนังสือของท่านอิหม่ามอัชชาราฟุดดีนอัลบูศีรีย์ ที่ท่านประพันธ์ไว้เป็นภาษาอาหรับอย่างงดงาม ผมขอคั่นถึงอิหม่ามอัลบูศีรีย์นิดนึงครับ ท่านเป็นครูคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญภาษาอาหรับเกิดและโตในอียิปต์ เหตุที่ต้องประพันธ์ อัตชีวประวัติศาสดามูฮัมมัด(ซ.ล.) ก็เพราะว่าตัวเองป่วยอย่างร้ายแรง ขณะเดียวกันก็บนบานไว้ว่าหากหายดีจะประพันธ์อัตชีวประวัติ

ศาสดามูฮัมมัด(ซ.ล.) ตั้งแต่กำาเนิดด้วยสำานวนที่สละสลวยที่สุด หลังจากหายจากการป่วยดังกล่าวจึงเริ่มต้นประพันธ์ขึ้น และหนังสือก็เป็นที่รู้จักในชื่อกอศีดะฮฺบุรดะฮฺ ความจริงเนื้อหาในหนังสือนี้มีประโยชน์มากเลยทีเดียวเพราะพูดถึงเชื้อสายวงศ์ตระกูลของท่านนบีและสาวไปถึงต้นตระกูลอย่างแท้จริงไม่ตกหล่น จนบางครั้งสมัยเรียนผมยังต้องอาศัยเนื้อหาจากกาพย์กวีดังกล่าวเพื่อตอบคำาถามในข้อสอบ สำานวนภาษาอาหรับของหนังสือยังง่ายต่อการท่องจำา ที่สำาคัญเราสามารถใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนในเชิงภาษา

และวรรณคดีอาหรับอีกด้วย แต่ก็มีบางท่านนำาไปใช้ในลักษณะเกินเลยขอบเขตที่เราควรจะบริโภคหนังสือเล่มนี้ บ้างก็นำาไปสร้างให้เกิดความเข้าใจใหม่ว่าเป็นหนังสือในเชิงพิธีกรรม กระทั่งชาวบ้านรับค่านิยมนี้ไปเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่จำาเป็นต้องทำาพิธีหนึ่งๆ โดยต้องมีหนังสือเล่มนี้ด้วย ฯลฯ เอาเป็นว่าผมขอยกตัวอย่างบางส่วนของกวี ที่ถูกมาใช้ขับร้องเป็นนะชีด และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายของมัสอู๊ดนะครับ ซึ่งในบางท่อนนักร้องท่านอื่นๆก็นำาไปใช้เช่นกัน .......ขอพระองค์โปรดสรรญเสริญและประทานความศานติตลอดไป แด่ผู้เป็นที่รักของพระองค์(นบีมูฮัมมัดซ.ล.)ผู้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในบรรดาทุกๆ สิ่งที่ถูกสร้างโดยพระองค์ มูฮัมมัดผู้ซึ่งเป็นผู้นำาของสองโลกที่ยิ่งใหญ่ (ดุนยาและอาคิเราะฮฺ) และผู้เป็นผู้นำาของสองกลุ่มชนคือชาวอาหรับและผู้ที่มิใช่อาหรับมูฮัมมัดผู้เป็นที่รักซึ่งเราหวังในการช่วยเหลือของเขา (ต่อการเป็นกำาลังใจ)ยามที่บรรดาความกลัวถาโถมเข้ามาหาเราจากนั้นขอพระองค์ทรงยินดีต่อผู้นำาที่มีเกียรติ ณ พระองค์คือ อบูบักร อุมัร อุสมาน อาลีโอ้พระองค์ด้วยกับผู้ถูกสรรเสริญดังกล่าวได้เผยแพร่

เป้าหมาย (อิสลาม) ให้กับเราและขอพระองค์อภัยแก่เราต่อสิ่งที่ผ่านมาแล้วด้วยเทอญ โอ้เจ้าผู้ทรงกว้างขวางและผู้ทรงเกียรติยิ่ง....... แทร็กนี้ชื่อว่า burdah จากอัลบั้ม salawat ครับซึ่งมีเสียงของซามีย์ ยูซุฟ ร่วมร้องด้วยซาวน์ค่อนข้างใสครับเริ่มจากจังหวะดุ๊ฟของกลองหน้าเดียวพร้อมๆ กับเสียงแบ็คกราวน์เสียงฮัมคลอๆ ส่วนเอ็มวีนี่ขอบอกครับว่าใสแจ๋วเลย ไปหาดาวน์โหลดมาดูได้ครับตามที่ที่เขาหากันอ่ะนะครับ อีกแทร็กครับจากอัลบั้มล่าสุด Beloved เป็นของแทร็กที่ชื่อว่า i think of you มีเพื่อนนักร้องอีกคนคือ อิรฟาน แม็กกี ร่วมร้องอยู่ด้วย เพลงนี้ใช้เสียงซาวด์ผสมอย่างลงตัว แต่ที่ผมชอบก็คือเสียงร้องของอิรฟานที่แม็ตกับเสียงมัสอู๊ดมาก ชอบๆครับ ยิ่งถ้าฟังช่วงรถติดยิ่งผ่อนคลายครับ ทีนี้มาดูความหมายดีๆ กันครับ....เมื่อถึงช่วงการผันเปลี่ยนของฤดูกาลถึงช่วงของฤดูฝนโปรยปรายเมื่อเด็กน้อยผู้ถูกกำาเนิดใหม่ได้ร้องไห้ ซึ่งกำาลังอยู่ในแววตาของผู้เป็นแม่ตลอดเวลาฉันคิดถึงพระองค์ พระเจ้าของเราผู้ทรงเมตตายิ่งพระผู้สร้างจักรวาลพระผู้เป็นเจ้าของแห่งความรุ่งโรจน์ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของในทุกๆ ความสมบูรณ์แบบ

ไม่มีพระเจ้าคู่ควรพระองค์ ไม่มีพระเจ้าคู่ควรพระองค์ อัศจรรย์ในทุกๆวัน จันทร์จะโผล่ขึ้นมาเช่นเดียวกับอาทิตย์จะเคลื่อนลงตลอดเวลาบนเส้นทางนี้เมล็ดพันธุ์ผลิใบออกจากเมล็ดเล็กๆกลายเป็นต้นไม้ยังประโยชน์ให้เธอกับฉันที่นี่มีไว้สำาหรับทุกความต้องการของเรามีฝูงนกโบยบินมีดอกไม้หลากสีสันมีราตรีสำาหรับดวงดาวทั้งหมดเป็นการสร้างสรรค์จากอัลลอฮฺไม่มีพระเจ้าคู่ควรพระองค์ ไม่มีพระเจ้าคู่ควรพระองค์ ฉันคิดถึงพระองค์มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์ มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์ .................

ฉบับนี้ลานะครับ รักษาสุขภาพด้วยครับ วัสลาม

8

Page 9: salamart magazine issue 1 free copy

89 96 9

The colour of salam

อีกฝากหนึ่งเป็นหญิงสาวสี่สิบปลายๆ ผู้ที่ได้รับทางนำาเข้าสู่หนทางผู้ทรงสรรสร้างของสรรพสิ่งแห่งสากลโลก หลังจากเรียนจบในสาขาวิชาศิลปกรรม เอกปฏิมากรรม ชีวิตของเธอก็หันเหเข้าสู่ศาสนาอิสลาม ในตอนนั้นสิ่งที่เธอเข้าใจมีเพียงมุสลิมไม่กินหมู กระทั่งวันหนึ่งลุงของแฟนเธอก็ทักกับเธอว่า รูปคน รูปสัตว์ นั้นวาดไม่ได้ เธอเชื่อโดยมิเกิดข้อสงสัยใด เธอจึงเลิกเขียนและตั้งใจว่าจะศึกษาเกี่ยวกับศาสนาให้มากกว่าเดิม เธอเป็นผู้หญิงคนแรกในโรงเรียนที่คลุมฮิญาบสอนวิชาศิลปะในเกษมโปลีเทคนิค แผนกสถาปัตยกรรม ซึ่งในยุคหนึ่งการคลุมฮิญาบนั้นถือเป็นเรื่องผิดปกติของคนในสังคม ปัจจุบันอาจารย์พรเพ็ญ กลัดไวยเนตร เป็นอาจารย์สอนในภาควิชาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต บทสนทนาที่เกิดขึ้นนับจากนี้เป็นบทสนทนา ที่เกิดขึ้นคนละวันและเวลา แต่วาระเดียวกัน

ฉันกำาลังพูดถึงผู้หญิงสองคน ที่ต่างที่มาและต่างวิถีการดำาเนินชีวิตแต่มีหัวใจดวงเดียวกัน ที่กล่าวเช่นนี้หาใช่ว่าเธอทั้งสองไปแผลตัดหัวใจแล้วร่วมกันก้อนเลือดก้อนเดียวกัน แต่ที่ว่าหัวใจดวงเดียวกันนั้นคือ หัวใจที่ภักดีต่ออัลอิสลาม ศาสนาแห่งความสันติ คนหนึ่งเป็นหญิงสาวจากเมืองปัตตานี ผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพศึกษา เชี่ยวชาญ จนได้รับรางวัลเป็นภาคผลของความเพียรพยายาม หากจะกล่าวถึงในแง่มุมหนึ่ง ในฐานะทางสังคมกับความสามารถและการยอมรับทางสังคมในวงกว้าง เธอกลับมีความมุ่งมั่นและตั้งใจว่า เธออยากเป็นอาจารย์ มิได้อยากเป็นศิลปิน อยากเอาความรู้ที่มีอยู่ในตัวถ่ายทอดออกไป อยากเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงและสร้างความเข้าใจในการทำาผู้คนในสังคมโลก ได้เข้าใจถึงสิทธิของความเป็นผู้หญิงมุสลิมภายใต้การถูกต่อต้านจากกระแสโลกในเรื่องฮิญาบ ผ่านการลั่นชัตเตอร์ของเธอ ปัจจุบัน อำาพรรณี สะเตาะ เป็นอาจารย์สาขาศิลปะภาพถ่าย คณะศิลปะและการออกแบบ มหาวิทยาลัยรังสิต

อิสรภาพของฉัน

Page 10: salamart magazine issue 1 free copy

1011

หลังทานข้าวเสร็จอำาพรรณี สะเตาะก็กล่าวถึงผลงานของเธอที่กำาลังจะได้รับการจัดแสดง ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยเธอบอกว่า งานชิ้นนี้เธอให้ชื่อว่า บูราก้า งานชิ้นนี้ได้แรงบันดาลใจมาขณะเรียนอยู่ที่ฝรั่งเศส “ตอนอยู่ฝรั่งเศสพรรณีเคยไปทะเลาะกับตำารวจ เขาไม่เห็นด้วยที่ผู้หญิงคลุมหน้า เขาบอกว่าผู้หญิงที่คลุมหน้าไม่ให้เกียรติกับคนอื่นในสถานที่นั้น คนอื่นอาจจะกลัวเขาได้ เขาไม่รู้ว่าเป็นโจรหรือเปล่า พรรณีก็เลยบอกว่าคุณไปละเมิดสิทธิเขามากกว่า คุณห้ามผู้หญิงคลุมหน้าเหมือนเหยียดในความเป็นศาสนาของเขา เช่นเดียวกันถ้าคนอื่นไปเผาโบสถ์ของคุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร เขาขึ้น เราก็ขึ้น วันนั้นก็ทะเลาะกับเขา พอเช้ามาเขาก็เชื่อเรา คนฝรั่งเศสเกือบทุกคนที่ไม่เห็นด้วยกับซาร์โกซี ที่ออกกฏห้ามผู้หญิงคลุมหน้าที่ฝรั่งเศส อีกเหตุการณ์หนึ่งคือ เจอผู้หญิงมุสลิมที่ไม่ได้คลุมฮิญาบ เจอบนรถไฟ เขาเป็นพยาบาลแต่เขาไม่สามารถใส่ผ้าคลุมได้ในสถานที่ทำางานของเขา เขาไม่มีสิทธิที่จะใส่ เราก็คิดคิดว่าเขาควรที่จะมีสิทธิที่จะเลือก จึงได้เป็นงานในคอนเซ็ป ชุดนี้ขึ้นมา ในเรื่องการห้ามคลุมบูราก้า เป็นการเล่นในพื้นที่ของสาธารณะต่างๆ ที่มีอยู่ และสถานที่สำาคัญของฝรั่งเศส เหมือนเราเป็นคนหนึ่งที่เดินไป ประท้วงที่ตรงนั้นด้วยและเราก็ได้งานชุดนี้ออกมาด้วย” กลับมาที่ฝั่งของอาจารย์พรเพ็ญ ภายในห้องพักอาจารย์ ในวันที่แสงแดดของบ่ายแก่ๆ ที่ค่อยๆ ลดความสว่างของตัวเอง หลังเราเริ่มบทสนทนากันไปได้ซักระยะ มีนักศึกษาคนหนึ่งเดินเข้ามายังขณะบทสนทนากำาลังดำาเนินไปอย่างเข้มข้น “อาจารย์ครับ ผมขอยืมอัลกรุอานหน่อยครับ”บทสนทนาหยุดชะงักงัน พร้อมกับสายตาที่มองไปยังนักศึกษาคนดังกล่าว เนื่องจากบุคลิกภายนอกนั้นขัดกับคำาร้องขอของเขาบวกกับสถานที่ด้วยแล้ว... บทสนทนาหยุดชะงักและรอยยิ้มเกิดขึ้นที่ใบหน้าของพวกเราทุกคน อาจารย์พรเพ็ญ ลุกขึ้นหยิบ อัลกรุอานให้ตามคำาขอ “งานวิจัยที่ทำาอยู่เป็นเรื่องของแนวการเรียนการสอนศิลปะวาดภาพเหมือนคนและสัตว์ตามหลักศาสนาอิสลาม คือว่า ตั้งใจศึกษาอัลกุรอานให้ถ่องแท้ว่า อัลลอฮฺใช้ทำาอะไร สิ่งที่ห้ามจากการเรียนการสอนห้ามใว้แค่ไหน ในการเรียกว่าคนและสัตว์ เพื่อเด็กของเราในศาสนาอิสลามได้เรียนด้วยความสบายใจกับสิ่งที่ถูกต้อง เราเรียนได้ประมาณไหน เพื่อให้เด็กสามารถนำาไปประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน ที่อยู่ในครรลองของศาสนา หากหัวใจของบุคคลนั้นเข้มแข็งแล้ว มันจะส่งสู่ความยั่งยืนของอิสลาม” ขณะเรียนพรรณี เรียนอยู่ที่ฝรั่งเศส เป็นช่วงเวลาเดียวกัน ที่เกิดความเคลื่อนไหวถึงการเรียกร้องให้ความยุติธรรมให้กับพี่น้องมุสลิมในเหตุการณ์ฉนวนกาซ่า ช่วงต้นปี 2010 เหตุการณ์ครั้งนั้น เธอตัดสินใจเข้าร่วมการประท้วงด้วย และอีกเหตุการณ์ที่ได้ร่วมเผชิญโดยตรงเลยคือ รัฐบาลฝรั่งเศษออก

กฎเข้มเรื่องห้ามคลุมฮิญาบ ยิ่งตระหนักให้เธอคิดว่าควรจะทำาอะไรเพื่อพี่น้องภายใต้เรือนร่างเดียวกัน “ตอนนั้นเขามีประท้วงที่ปารีส แต่พรรณีอยู่ตอนใต้ของฝรั่งเศสจึงก็ไม่มีโอกาสได้ไป แต่ได้มีโอกาสไปเดินร่วมเดินขบวนในเรื่องของฉนวนกาซ่า ได้ร่วมตรงนั้นซึ่งมันโอเคมาก มันได้เห็นพลังของ คำาว่ามุสลิมที่มีอยู่ทั่วโลกจริงๆ เห็นได้ชัดว่า มุสลิมคือพี่น้อง ต่อให้เราเป็นคนไทยแต่เราอยู่ที่ไหนเรา

ก็คือพี่น้อง เพราะว่าทุกคนร่วมแรงร่วมใจในการ ช่วยเหลือพี่น้องปาเลสไตน์ของพวกเรา โดยที่เป็นพลังมวลชนที่ยิ่งใหญ่มาก เรื่องฮิญาบ ที่โน้นค่อนข้างชัดเจนในเรื่องของสิทธิ มันเป็นเรื่องที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศาสนาคริสต์ หรือศาสนาอิสลามเองเขาก็ไม่เห็นด้วยกับมติเรื่องนี้ คือว่าเขาเห็นว่ามันเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน ซึ่งคุณสามารถเลือกที่จะใส่ผ้าอะไรก็ได้ในที่

Under the Hijab เป็นผลงานภาพถ่ายภายใต้แรงบันดาลใจ มาจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนใต้ ที่ผ่านสื่อต่างๆ เผยแพร่ยังทั่วโลก ที่เธอบอกว่า ผลที่เกิดขึ้นทำาให้ ผู้หญิงในสามจังหวัดชายแดนใต้ถูกมองจากสายตาของสังคมเปลี่ยนไป งานนี้ชิ้นนี้เธอบอกว่าเป็นอีกแง่มุมมองหนึ่งของผู้หญิงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้สังคมได้พิจารณาและมองภาพลักษณ์ของ ผู้หญิงในพื้นที่เพิ่มมากขึ้นจากเหตุการณ์ในปัจจุบัน (ข้อความจาก หนังสือ young artist award) และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำาให้ Under the Hijab ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการรับเลือกให้ชื่อของ อำาพรรณี สะเตาะ หญิงสาวจากปลายด้ามขวานจากเมืองฟาตอนี ชนะใจกรรมการ จนได้รับรางวัลชนะเลิศ young artist award 2007 ผลงานชุดนี้ได้รับการจัดแสดงในหลายสถานที่ ขณะที่เรียนอยู่ที่ฝรั่งเศสนั้น งานชิ้นนี้ได้รับคัดเลือกให้จัดแสดงยังกรุงพนมเปญ ในงาน photo festival และ Under the Hijab จะได้นำากลับมาจัดแสดงอีกครั้งในเดือนสิงหาคม

ต่อให้เร�อยู่ที่ไหนก็ต�ม สิ่งๆเดียวคือ เร�ควรมีพื้นที่ของตัวเอง หรือพื้นที่ของกันและกัน ไม่ควรข้�มเขตคว�มรู้สึกหรือข้�มเขตสิทธิของคนอื่น เร�ต้องเค�รพตัวเองม�กที่สุด และเร�ก็ต้องเค�รพสิทธิของคนอื่นเช่นกัน

อำาพรรณี สะเตาะ

10

Page 11: salamart magazine issue 1 free copy

1011 11

ที่สาธารณะ และเช่นเดียวกันคุณก็ไม่สามารถห้ามให้คนอื่นห้ามใส่เสื้อ ห้ามใส่กางเกงได้ นั่นเป็นสิทธิชอบธรรมที่เขาเลือกจะใส่หรือไม่ใส่ ถ้าเทียบบ้านเรากับฝรั่งเศส บ้านเราโชคดีกว่าเยอะ บ้านเราอาจจะไม่ใช่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ยังด้อยพัฒนาอยู่แต่ของเราเปิด ให้อิสรภาพในการใส่ผ้าคลุม ฝรั่งเศสห้ามการบ่งบอกถึงสัญลักษณ์” ในขณะที่อีกคนหนึ่งกำาลังใช้ชัตเตอร์ในการ

บอกเล่าเรื่องราวของการจำากัดสิทธิทางสังคม เวลาเดียวกันนั้น อาจารย์จากประจำาภาควิชาออกแบบนิเทศศิลป์ อีกท่านก็ย้ำากับตัวเองเสมอว่าในสายงานที่เธอปฏิบัติอยู่นั่นจะต้องไม่ขัดกับคำาสอนของศาสนา “ เมื่อก่อนเราสอนที่ รร.เกษมโปลีเทคนิค แผนกสถาปัตยกรรม เราก็ไม่สอนในการวาดภาพ ใช่ เราก็ยังถามตัวเองว่าเราผิดหรือเปล่า เพราะเรา

ไม่ได้สอนมุสลิมอย่างเดียว แต่เราก็จะเค้าโครงไว้ว่าสิ่งที่ทำาได้ประมาณไหน แต่ในเรื่องของการเรียนการสอน เราต้องตั้งเจตนารมณ์ว่าเราทำาเพื่ออะไร ที่เราสอนเมื่อก่อนเป็นโครงร่างเส้น ได้ขนาด และได้สัดส่วน เป็นลายเส้นเพียง 2 มิติเท่านั้น ถ้าเราลงแสงและเงา เดี๋ยวนี้มี 3D ถ้าเราเขียนปุ๊บเอาไปเข้าเครื่องมันจะจัดการคำานวณให้เราเลย ถามว่าใครผิด แต่ถ้าเราตั้งเจตนารมณ์ว่าเราทำาเพื่อการศึกษา ให้รู้ว่าคนนี้หน้าตาแบบนี้เราพึงกระทำาได้ สำาคัญที่เราตั้งเจตนารมณ์แค่นี้ หลักๆแล้วมีอยู่ 3 สิ่งที่เราต้องตระหนักเลย คือหนึ่งการตั้งเจตนารมณ์ สองคือออกห่างจากฟิตนะ สามอย่างชัดเจนเลยคือ ห้ามวาดบุคคลสำาคัญและในทางด้านพระมหากษัตริย์ เพราะปลายทางอาจมีใครนำาไปเคารพบูชา ถามว่าอัลลอฮฺจะลงโทษใครบ้าง ถ้าไม่เพราะเราไปประดิษฐ์มันขึ้น ” การสนทนาจบลง สิ่งหนึ่งที่ฉันสัมผัสได้สำาหรับคู่สนทนาที่อยู่ตรงหน้าในวันนั้น ให้ความรู้สึกบางอย่างกับฉันนอกจากเรื่องของผลงานที่เราได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แม้จะไม่ได้อยู่ร่วมในวงสนทนาเดียวกัน ทว่าเรื่องราวในวันนั้นกลับกลายเป็นเรื่องเดียวกัน “ต่อให้เราอยู่ที่ไหนก็ตาม สิ่งๆเดียวคือ เราควรมีพื้นที่ของตัวเอง หรือพื้นที่ของกันและกัน ไม่ควรข้ามเขตความรู้สึกหรือข้ามเขตสิทธิของคนอื่น เราต้องเคารพตัวเองมากที่สุด และเราก็ต้องเคารพสิทธิของคนอื่นเช่นกัน ในเรื่องที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องของการก้าวก่ายของสิทธิ การริดรอนสิทธิของกันและกัน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เราต้องตั้งสติดีๆ เราอย่าไปริดรอนสิทธิของคนอื่น คนอื่นก็อย่ามา ริดรอนสิทธิของเรา เราควรมีพื้นที่ว่างของกันและกัน น่าจะเป็นเรื่องที่ดีในสังคม” “การเป็นดะวะฮฺมันไม่ใช่เป็นหน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง ทุกคนมีหน้าที่หมด แม้กระทั่งลูกศิษย์เอง ตรงไหนที่เราไม่มีความรู้ด้านนี้เราจะต้องถาม เพราะว่าอัลลอฮฺให้เรายืนแถวเดียวกัน ไม่มีใครเหลื่อมล้ำา ฉันนี่ใหญ่โตมาจากไหน เห็นท่าละหมาดก็รู้อยู่แล้ว” อาจารย์พรเพ็ญกล่าวทิ้งท้าย บทสนทนาจำาเป็นต้องจบลง ด้วยกับแสงที่กำาลังค่อยๆ หมดสิ้นไป เสมือนเป็นเครื่องเตือนพวกเราว่า เวลานั้นมีอยู่อย่างจำากัด ฉะนั้นในหน้าที่ในแต่ละบทบาทเราควรทำามันให้สมบูรณ์ที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพเช่นใด สิ่งหนึ่งพวกเราทุกคนต่างตระหนักอยู่ในทุกขณะคือการทำาหน้าที่ของสิ่งถูกสร้างให้สมบูรณ์ตามคำาสั่งใช้ เพื่อในวันแห่งการฟื้นคืนชีพนั้น เราจักได้ตอบกับพระองค์ได้อย่างภาคภูมิใจ ศิลปะแห่งการสร้างสรรค์ทั้งในชั้นฟ้าและแผ่นดิน มิมีใครเทียบได้และเสมอเหมือน ...ขอเราจงใช้ชีวิตสันติ อย่างมีศิลปะ ..

ขณะเดียวกันงานชิ้นใหม่ของเธอ ได้รับการติดต่อให้จัดแสดงยังแกลลอรี่ในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเธอใช้ชื่องานชิ้นนี้ว่า“บุราก้า” ซึ่งเธอบอกว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์การเรียกร้องของฮิญาบขณะเรียนอยู่ที่ฝรั่งเศส “แนวทางการเรียนการสอนศิลปะการวาดภาพเหมือนคนและสัตว์ตามหลักศาสนาอิสลาม” เป็นผลงานวิจัยเรื่องล่าสุด ที่ขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการรวบรวมข้อมูล และพร้อมที่จะออกเผยสู่สาธารณะชนได้ราวๆ เดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งเจ้าของผลงานได้แรงบันดาลใจในการคิดวิจัยชิ้นมาจากความตระหนักถึงบริบทของงานศิลปะเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ของขอบเขตศาสนาใช้ให้ทำาอะไร สิ่งที่ห้ามจากการเรียนการสอนห้ามแบบเพื่อเด็กได้เรียนด้วยความสบายใจกับสิ่งที่ถูกต้อง และต้องการให้ผู้เรียนนำาไปประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน ที่ไม่ขัดต่อหลักการของศาสนา ปัจจุบันอาจารย์พรเพ็ญ กลัดไวยเนตร เป็นอาจารย์สอนในภาควิชาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

ก�รเป็นดะวะฮฺมันไม่ใช่ เป็นหน้�ที่ของคนใดคนหนึ่ง ทุกคนมีหน้�ที่หมด แม้กระทั่งลูกศิษย์เอง ตรงไหนที่เร�ไม่มีคว�มรู้ด้�นนี้เร�จะต้องถ�ม เพร�ะว่� อัลลอฮฺให้เร�ยืนแถวเดียวกัน ไม่มีใครเหลื่อมล้ำ�

อาจารย์พรเพ็ญ กลัดไวยเนตร

10 11

Page 12: salamart magazine issue 1 free copy

1213

จำาเป็นหรือไม่ที่ เราต้องตอบแทนความชั่วด้วยกับความชั่ว และจำาเป็นหรือไม่ที่เราต้องตอบแทนความรุนแรงด้วยกับความรุนแรง ท่านร่อซูล(ซ.ล) ให้ความยุติธรรมแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเสมอและพร้อมที่จะเสียสละชีวิตของท่านเพื่อเรียกร้องเชิญชวนพวกเขามาสู่อิสลามและปรับปรุงงานต่างๆของพวกเขาให้ถูกต้อง ท่านร่อซูลลุลลอฮฺ(ซ.ล) จะอดทนกับสิ่งไม่ดีต่างๆของพวกเขา ทำาไมท่านจะไม่ทำาเช่นนั้นเล่า ในเมื่ออัลลอฮฺ(ซ.บ) ทรงกล่าวว่า “เราได้ส่งเจ้ามาเพื่อเป็นดั่งความเมตตาหนึ่ง...”เพื่อใคร? เฉพาะบรรดาผู้ศรัทธาเท่านั้น? เปล่าเลย แต่เพื่อชาวโลกทั้งมวลต่างหาก จงรำ าลึกถึ งชาวยิวที่ เหยียดหยามท่านและคอยปลุกปั่นให้เกิดปัญหาต่างๆ แต่ท่านร่อซูลลุลลอฮฺ(ซ.ล) ยังคงแสดงความอ่อนโยนต่อพวกเขา ท่านหญิงอาอิซะฮฺ(ร.ฎ) กล่าวว่า ครั้งหนึ่ง ชาวยิวเดินผ่านบ้านของท่านรอซูล(ซ.ล) และกล่าวว่า “อัซซามมุอลัยกุม(ความตายจงประสบแด่ท่าน)” แต่ท่านร่อซูล(ซ.ล) เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่านหญิงอาอิซะฮฺ (ร.ฎ) ไม่สามารถระงับอารมณ์ไว้ได้ นางจึงกล่าวตอบไปว่า และความตายจงประสบแด่ท่านเช่นกัน และการสาปแช่งและความกริ้วโกรธของอัลลอฮฺด้วยเช่นกัน” ท่านรอซูลุลลอฮฺ จึงกล่าวว่า “ใจเย็นๆ โอ้อาอีซะฮฺเอ๋ย เจ้าควรอ่อนโยน เจ้าไม่ควรสาปแช่งหรือใช้คำาพูดที่หยาบคาย” นางกล่าวว่า “ ท่านไม่ได้ยินในสิ่งที่พวกเขากล่าวดอกหรือ?” ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ซ.ล)กล่าวว่า “เจ้าไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันกล่าวดอกหรือ” ฉันได้ขอให้สิ่งนั้นย้อนกลับไปยังพวกเขาและการขอของฉันถูกตอบรับในขณะที่การขอของพวกเขาเพื่อให้เกิดสิ่งที่ไม่ดีแก่ฉันนั้นจะถูกปฏิเสธ แน่นอนทีเดียว เราไม่จำาเป็นต้องตอบโต้การสบประมาทด้วยการสบประมาทดังที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.) ทรงกล่าวว่า “จงพูดกับผู้คนด้วยคำาพูดที่อ่อนโยน...” ในสงครามครั้งหนึ่ง ท่านรอซูลุลลอฮฺ ได้ออกเดินทางไปกับบรรดาซอฮาบะห์ ในขณะเดินทางกลับนั้น พวกเขาหยุดพักในหุบเขาแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยต้นไม้ บรรดาซอฮาบะฮฺต่างแยกย้ายกันไปตามร่มไม้ต่างๆ และงีบหลับไป ท่านร่อซูลุลลอฮฺ(ซ.ล) ได้แขวนดาบของท่านไว้บนกิ่งไม้ พร้อมกับปูเสื้อคลุม

ของท่านและงีบหลับไป ในขณะเดียวกันนั้น มุชริกคนหนึ่งที่กำาลังติดตามกองทัพของมุสลิมมนั้นสังเกตุเห็นว่าท่านรอซูลุลลอฮฺ(ซ.ล) ไม่มีดาบติดอยู่กับตัว ดังนั้น เขาจึงแอบย่องเข้าไปยังท่านและคว้าดาบของท่านลงมาจากกิ่งไม้และตะโกนออกไปว่า “โอ้มุฮัมมัด ขณะนี้ใครจะปกป้องเจ้าจากเงื้อมมือของข้าได้” ท่านร่อซูลุลลอฮฺ(ซ.ล) จึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาและเห็นชายคนนั้นกำาลังยืนอยู่เบื้องหน้าท่านในมือถือดาบของท่านไว้พร้อมที่จะสังหารท่าน ในขณะนั้นท่านร่อซูลุลลอฮฺ(ซ.ล) อยู่ตามลำาพังและสวมเฉพาะผ้าท่อนล่างเท่านั้น และบรรดาซอฮาบะฮฺของท่านต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามร่มไม้ต่างๆ ชายคนนั้นจึงรู้สึกเหิมเกริมในอำานาจและความเป็นต่อของเขาและยังคงกล่าวต่อไปอีกว่า “ใครจะปกป้องเจ้าจากข้า? ใครจะปกป้องเจ้าจากข้า?” ท่านร่อซูลุลลอฮฺ(ซ.ล) จึงตอบด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า “อัลลอฮฺ” ชายคนนั้นรู้สึกเหมือนถูกครอบงำาด้วยความกลัวจนทำาให้ดาบหลุดจากมือของเขา และทันใดนั้นท่านรอซูลุลลอฮฺ ได้คว้าดาบมาถือไว้ในมือของท่านและกล่าวว่า “บัดนี้ใครจะปกป้องเจ้าจากฉัน?” สีหน้าของชายคนนั้นเปลี่ยนไป เขาตกใจกลัวและเริ่มร้องขอความเมตตา” เขากล่าวว่า “ไม่มีใครปกป้องฉันได้โปรดเมตตาฉันด้วยเถิด” ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ซ.ล) กล่าวว่า “เจ้าจะรับอิสลามหรือไม่?” เขากล่าวว่า “ไม่ ฉันไม่รับ แต่ฉันจะไม่เป็นพันธมิตรกับใครก็ตามที่ท่านกำาลังต่อสู้กับพวกเขา” ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ซ.ล) จึงให้อภัยแก่เขาและ ให้ความเมตตาแก่เขาชายคนนั้นคือผู้นำาของเผ่าหนึ่ง ดังนั้น เขาจึงกลับไปหาพวกพ้องของเขาและเชิญชวนพวกเขาเข้าสู่อิสลาม และพวกเขาทั้งหมด ก็ยอมรับอิสลาม ครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินทางไปยังประเทศเยอรมันนีเพื่อศึกษาต่อและได้อาศัยอยู่ในแฟลตแห่งหนึ่ง ซึ่งในแฟลตแห่งนั้นมีเด็กหนุ่ม ชาวเยอรมันคนหนึ่งพักอยู่ห้องตรงข้ามกับเขา พวกเขาไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ใดๆต่อกันนอกเหนือจากการเป็นเพื่อนบ้านเท่านั้น ครั้งหนึ่งหนุ่มเยอรมันเพื่อนบ้านของเขาต้องเดินทางไกลอย่างกะทันหัน เด็กส่งหนังสือพิมพ์ก็ยังคงมาส่งหนังสือพิมพ์ทุกวันโดยวาง

ไว้หน้าห้องของเขา ชายหนุ่มคนนั้นจึงสังเกตเห็นว่าหนังสือพิมพ์ได้กองทับสูงขึ้น เขาจึงเข้าไปสอบถามเพื่อนบ้านคนอื่นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่หรือไม่ เมื่อได้ทราบว่าเด็กหนุ่มคนนั้นไม่อยู่ เขาจึงนำาหนังสือพิมพ์ทั้งหมดไปไว้ในที่ปลอดภัยเขาจะเก็บหนังสือพิมพ์มารวมกันไว้ทุกวัน เมื่อเพื่อนบ้านของเขากลับมาหลังจากหายหน้าไปเป็นเวลาสองเดือน เขาทักทายเพื่อนบ้านของเขาและนำาหนังสือพิมพ์ทั้งหมดไปให้เขาและกล่าวว่า “ผมคิดว่าบางทีคุณอาจจะกำาลังติดตามอ่านข่าวหนึ่งข่าวใดอยู่ หรือกำาลังติดตามการแข่งขันบางอย่างอยู่และผมก็ไม่ต้องการให้คุณพลาดจากสิ่งเหล่านั้น” เพื่อนบ้านของเขาประหลาดใจมากและกล่าวว่า “คุณต้องการค่าตอบแทนสำาหรับการบริการของคุณบ้างไหม” เขากล่าวว่า “ไม่เลย ศาสนาของเราสั่งใช้ให้เราปฏิบัติดีต่อเพื่อนบ้านของเราและเพราะคุณคือเพื่อนบ้านของผม และผมจะต้องมีความเอื้อเฟื้อต่อคุณ” ชายคนนั้นยังคงแสดงมารยาทที่ดีต่อเพื่อนบ้านของเขาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเขาเข้ารับอิสลาม ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ นี่คือความสุขที่แท้จริงของชีวิต ด้วยการรู้สึกว่าคุณได้อิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺด้วยสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณกระทำาไป แม้แต่ด้วยมารยาทที่ดีที่คุณปฏิบัติต่อผู้อื่นก็ตาม กี่ครั้งแล้วที่ผู้คนหันห่างออกจากอิสลามเนื่องด้วยการปฏิบัติที่ไม่ดีที่พวกเขาได้รับจากมุสลิม บัดนี้ขอให้พวกเราจงหันเหมาเริ่มต้นใหม่กับพวกเขากันเถิด “นัก เผยแพร่คือผู้ที่ เผยแพร่ด้ วยการ กระทำาของเขาก่อนคำาพูดของเขา”

ที่มา : จากหนังสือ “เติมความสุขให้กับชีวิตด้วย เทคนิคพิชิตใจ” สำานักพิมพ์ฟิตยะตุลฮัก แปลโดย ฮนิส ร็อชดาน

Inspired by Muhammad

กับคู่ ปรปักษ์

Page 13: salamart magazine issue 1 free copy

1213 13

ท่ามกลางความเจริญทางวัตถุ ความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ทำาให้มนุษย์หลายคนต้องการที่พึ่ง ว่ากันว่าสูงสุดนั้นจะต้องกลับคืนสู่สามัญ แม้เทคโนโลยีก้าวไปเพียงใด ท้ายที่สุดศาสนาก็ยังจะเป็นเรื่องที่มนุษย์ยอมรับว่า เป็นที่ที่มนุษย์ใช้เป็นทางออกของการที่ทำาให้หัวใจสงบนิ่งได้มากที่สุด นอกจากหลักธรรมคำาสอนทางศาสนาแล้ว อีกหนึ่งหนทางที่มนุษย์เลือกที่จะเดินเข้าไปหาคือ นักจิตวิทยา แม้ว่าจำานวนของนักจิตวิทยาในปัจจุบันนั้นจะยังมีไม่มากเท่าที่ควร แต่ด้วยจำานวนที่น้อยนิดน้ี หนึ่งในนั้นกลับมีนักจิตวิทยามุสลิมที่เลือกที่จะนำาคำาสอนจากคัมภีร์อัลกรุอานเป็นส่วนหนึ่งในการเยียวยารักษา มันจะดีเช่นไร หากเรื่องศาสนาที่ใครหลายคนตั้งแง่คิดว่า เรื่องศาสนานั้นเป็นเรื่องของนามธรรมสามารถถูกนำามาใช้ก่อให้เกิดการปฏิบัติจับต้องได้ง่ายขึ้น อาจารย์มาเรียม ดอรอมาน ซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้าจิตเวช โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี กลับเป็นผู้หนึ่งที่แปรเปลี่ยนงานวิชาการตามตำาราที่เรียน กลับกลายเป็นการถ่ายทอดถ้อยคำาจากผู้ทรงสร้างผนวกรวมเข้าด้วยกัน ใช้เป็นแนวทางในการรักษา ทำาอย่างไรให้การรักษาของอาจารย์ที่ใช้อัล กรุอานมาเป็นส่วนหนึ่งของการพูดคุยกับคนไข้ และได้รับการยอมรับ คือการเปลี่ยนจากเรื่องนามธรรมมาเป็น รูปธรรมได้ คำาพูดของอัลลอฮฺนี่เป็นคำาพูดที่มีความหมาย เพราะฉะนั้นเสียคำาพูดของอัลลอฮฺก็คือ อัลกุรอาน เป็นคำาพูดจากนามธรรมไปสู่รูปธรรมนี่ชัดเจน เช่น เล่าถึงการสูบบุหรี่ที่ทำาให้เซลล์ที่มีชีวิตเล็กๆ บาดเจ็บ เขาสามารถสัมผัสชีวิตอ่อนๆ เห็นภาพการบาดเจ็บ เห็นการทำางานของอวัยวะภายในของร่างกาย จนบอกว่า ใช่เลย นี่คือทำาให้เขาเข้าใจและก็เกิดความเชื่อ แล้วก็มีกำาลังใจ ที่จะไปปรับเปลี่ยนลักษณะนิสัยตัวเองคิดไหมว่า ตัวเองจะลดการสูบบุหรี่ลง อันนี้ต้องถามผู้รับว่า เกิดแรงบันดาลใจไหม

เหมือนตัวเองก็สามารถเข้าใจรับรู้ ให้เขาเกิดความดีให้กับเรือนร่างตัวเองอย่างไรบ้าง ให้ความเป็นธรรมกับเรือนร่างตัวเองอย่างไรบ้าง นี่ก็คือบทบัญญัติในอัลกุรอาน จงอย่าอธรรมกับตัวของเจ้า เพราะฉะนั้นวันนี้ให้ความยุติธรรมอะไรกับตัวเองบ้าง อาจารย์นำาถ้อยคำาในอัลกรุอานมาใช้ร่วมกับการรักษาอย่างไร จิตวิทยาในการพูดอันนั้นเป็นพื้นฐานของนักจิตวิทยา ให้เราทำาความเข้าใจก่อน นักจิตวิทยาคลีนิคจะศึกษาการทำางานของสมองและการแสดงออกทางการพูด การกระทำา นักจิตวิทยาพอพูดปั๊บรู้ทันทีว่ามันไปกระตุ้นอะไรบ้าง แล้วทำาอย่างไรให้เขาได้เข้าใจ อัลลอฮฺให้อัลกรุอานมาเป็นยารักษาใจ แต่นักจิตวิทยาคลีนิคไม่ใช่นักวิชาการศาสนา ไม่ใช่นักอรรถาธิบายอัล-กุรอาน แต่นักจิตวิทยาจะอ่าน อัล-กุรอานและทำาความเข้าใจว่า อัล-กุรอานใช้ให้ทำาอะไร ในอัลกุรอานให้บทเรียน ให้ข้อเตือนใจอะไรบ้าง อาจารย์พยายามศึกษาวิธีการที่อัลลอฮฺบอกกับนบี อย่าไปบอกเขาว่าให้ทำาแบบนั้นแบบนี้ แต่ให้เริ่มโดยการให้เขามีอีหม่านก่อน เพราะฉะนั้น นักจิตวิทยาจะต้องตั้งรีเลชั่นชิฟหรือสัมพันธภาพที่ดีก่อน อันดับ1 เลยนะ ถ้าเรามีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน เราก็จะอะลุ้มอะล่วยมองข้ามจุดอ่อน จุดบอดกันง่ายขึ้น พระองค์สร้างเรามาด้วยใจที่อ่อนไหว ได้เจอครั้งที่ 1 ครั้ง 2 ประทับใจ หิ้วคุ๊กกี้มาให้ พอเจอครั้งที่ 5 เราก็เฝ้ามองวันนี้มีอะไรมาให้หรือเปล่า ทำาให้นึกถึงนบีเลย นบีจะไม่รับของฮาดีเยาะฮฺ อัลฮัมดุลิลละฮฺดีมาก นั้นคือความบริสุทธิ์ใจ 100% พอเราได้รับของฮาดีเยาะฮฺเนี่ย ใจเราจะเริ่มแกว่ง จะว่าไปนักจิตวิทยากับนักวิชาการทางศาสนา มีบทบาทคล้ายๆ กัน คือการทำาให้คนเข้าใจและเยียวยาผู้ที่กำาลังสับสนในชีวิต ตบให้คนเข้าร่องเข้ารอย อาจารย์มีความด้อยในเรื่องของวิชาการศาสนาถ้าเทียบกับนักวิชาการทางศาสนา นักวิชาการ

ทางศาสนา มีความรู้ความชำานาญลึกซึ้งกว่า แต่อาจารย์มีความรู้ในการทำางานของระบบประสาทสมอง การแสดงออก การรับรู้ การคิด การเห็นใจได้มากกว่า แล้วก็กลุ่มคนที่ไปหานักวิชาการทางศาสนา กับมาหาอาจารย์ก็ต่างกัน ในสังคมมุสลิมจำาเป็นไหมต้องมีนักจิตวิทยา เราทุกคนต่างทบทวน เราศรัทธาต่อ บรรดาคัมภีร์ของอัลลอฮฺ เราศรัทธาต่อบรรดารซูลของพระองค์ เพราะฉะนั้นเราก็จะบอกว่า อัลกุรอานเป็นธรรมนูญของชีวิต แต่เราไม่เอาธรรมนูญของชีวิตมาใช้ ชีวิตมันก็เลยหักเห ปั่นป่วน ดังนั้นเราต้องช่วยกันรณรงค์ให้เราศึกษาอัลกุรอาน ทำาความเข้าใจกับที่อัลลอฮฺสั่งใช้ อัลลอฮฺบอกว่าอัลกุรอาน พระองค์ทรงทำาให้อัลกุรอานเป็นความง่ายดาย เป็นการทำาความเข้าใจ ใช้เป็นบทเรียน ใช้เป็นข้อตักเตือน แต่น้อยคนนักที่จะนำามาใช้ อัลลอฮฺสร้างมนุษย์ขึ้นมาในสภาพอ่อนแอ อ่อนไหว เวลาได้ก็อยากได้ กอดไว้กลัวจะเสียไป เวลาเสียไปก็บอกว่า “อัลลอฮฺทำาไมต้องทำาอย่างนี้กับฉันด้วย” นี่คือถึงแม้จะมีศาสนา อีหม่านมีขึ้นมีลง แล้วก็ท่านรซูลก็บอกว่า เช้าเป็นมุสลิม เย็นอาจจะไม่ใช่ นี่คือสิ่งที่พวกเราต้องหมั่นเพียรศึกษาอัลกุรอาน นักจิตวิทยาก็ต้องเข้ามาดูแลในส่วนของตรงนี้ก็คือทุกคนต้องมีจิตวิทยาในการดำาเนินชีวิตของตนเอง จิตวิทยาในการดำาเนินชีวิตคืออะไร คืออัลกุรอาน ปูทางให้เข้มแข็ง มั่นคง เป็นยารักษาใจ ใช้หลักกุรอานมารักษา อย่างเช่น รู้สึกเสียใจ ผิดหวัง ท้อแท้ ในความผิดหวังจะทำาให้เรามีความเข้มแข็ง เพราะอัลกุรอานบอกว่า คนที่อดทนเพื่อพระองค์ พระองค์จะให้ความดีงาม ตามหลักจิตวิทยาบอกว่า ทุกครั้งที่เราก้าวผ่านวิกฤติได้ มันจะมีกันชนของชีวิตที่หนาขึ้น ซึ่งตรงกับอัลกุรอาน วิกฤติคือโอกาส อย่างที่นำามาใช้ แต่ถ้าเรามองลึกเข้าไปอีก วิกฤติเพิ่มอีหม่าน ตักวา และอาม้าลที่ซอและหฺ แล้วก็เป็นสิ่งที่ดีงาม

ชีวิตกับการดำารงอยู่

Conversationบทสัมภาษณ์ : อาจารย์มาเรียม ดอรอมาน

Page 14: salamart magazine issue 1 free copy

1415

มีคนถามว่า ไปปัตตานีทำาไมบ่อยๆไม่กลัวระเบิดหรอ...คำาถามเหล่านี้ ดูแล้วคงไม่ใช่แค่ผมคงเดียวหรอก ที่ถูกทวงถามเมื่อจะเอื้อนเอ่ยบอกกับใครว่า จะลงไปดินแดนลังกาสุกะ แดนดินถิ่นฐานที่อบอวลไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม ... ผมไม่แปลกใจเลย กับคำาถามชวนสงสัย หรือ ชวนให้ขุ่นใจจากใครหลายคนที่มีกับ จ. ปัตตานี ก็ถ้าเค้าเหล่านั้นเจ้าของคำาถาม เจ้าของความสงสัย ได้แต่ พูด หรือ ชวนตั้งคำาถามไปกันเอง โดยทีไม่ ได้มา หรือมาพบเห็นประสบด้วยตัวเอง ว่ า ไปแล้ วอันที่ จริ งร้ อย เรื่ อ งราวของ

ปัตตานี มีให้ดูชมกันมากมายนัก ผมมีบางแง่มุม ที่อยากบอกผ่าน ให้คนอื่นได้มองเห็นภาพหรือรับรู้ ไปด้วย เริ่มต้นกันด้วยเรื่องของ ร้านนั่งกิน หากใครเคยไปเที่ยวเมืองเที่ยวดังๆหลายที่ ไม่ว่าจะเป็น เมืองปาย เชียงคาน สวนผึ้ง สังขละบุรี และอีกหลายๆที่ อยากบอกว่าที่นี่ปัตตานีก็มีร้านนั่งกิน ให้เลือกนั่งกันไม่รู้กี่ร้าน สำาหรับผมแล้วผมว่าที่นี่มีเสน่ห์ และอะไรที่ดึงดูดลูกค้า โดยเฉพาะคนต่างถิ่นได้ดี กะโป๊ะ ที่คนบางกอกเขาเรียกกัน คงจะสั่งได้สำาหรับที่นี่ หรือ ชาชัก หลากหลายสูตร แต่สิ่งหนึ่งที่ดูจะเข้าท่าเอามากๆ คือบรรยากาศ และสภาพของร้านแต่ละร้านที่มีไอเดีย จัดตกแต่งร้านอย่างสวยงาม บวกกับทุกๆร้านจะเป็นที่ปลอดของแอลกอฮอล์ หรือถ้าใครได้เข้ามานั่งช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ จะได้เห็นภาพพ่อแม่ลูก มานั่ง พักผ่อน หาของกิน ภาพของ นักศึกษากลุ่มใหญ่ จับกลุ่ม พูดคุย ท่ามกลางวงน้ำาชา ผมว่าน้อยนักที่จะเห็นภาพแบบนี้ในที่อื่นๆ

เมืองริมน้ำา และ ตึกเก่า ที่นี่ปัตตานี มีแม่น้ำาปัตตานี ไหลผ่านกลางเมืองแล้วไหลออกปากอ่าวไปสู่อ่าวไทย ตลอดริมแม่น้ำา จะมีภาพวิถีชีวิตให้เห็นกันโดยตลอดทาง เป็นภาพกิจวัตรของคนมุสลิม คนส่วนใหญ่ของที่นี่ เช่น ชาวประมง ขับเรืออกหาปลา เรือรับจ้างส่งคน ส่งของ ชาวบ้านทอดแหริมแม่น้ำา แต่ถ้าให้ได้บรรยากาศ คงจะต้องมาเห็นในตอนกลางคืน ปัตตานีกับแม่น้ำา ในตอนกลางคืนดูสวยมาก ที่นี่ตอนกลางคืน จะมีคนจำานวนไม่น้อยออกมานั่งเล่นริมแม่น้ำา เล่นกีฬา ตกปลา ดูคล้ายเป็นอีกเมืองกับที่ใครเขาพูดกันตามหน้าข่าว

สำาหรับ ย่านตึกเก่า ของปัตตานี วางทอดตัว ในย่านชุมชนคนจีนริมแมน้ำา ยังมีให้เห็นอีกเยอะพอสมควร หรืออาจจะมากเท่าเมืองอื่นที่ขึ้นชื่ือก็อาจเป็นไปได้ แต่ที่นี่ค่อนข้างจะแตกต่างกับท่ี่อื่นก็ตรงที่ ความแตกต่างของผู้คนและความหลากหลายของวัฒนธรรม เหมือนจะยิ่งขับให้สิ่งที่มีอยู่

แล้ว สวยงามมีเสน่ห์ ขึ้นไปอีก แหล่งโปรดปรานของคนรัก สินค้ามือสอง หลายคนที่ไม่เคยมาปัตตานี คงแปลกใจกับเรื่องนี้ ปัตตานีถือเป็นแหล่งของสินค้ามือสอง ชั้นดี ที่นี่ จะมีทั้งตลาดนัด กลางวัน และกลางคืน สำาหรับ กลางวันจะเป็นของ ตลาดนัดจะบังติกอ และตลาดนัดรูสะมิแล สินค้ามือสองจะถูกวางขายเป็นสินค้าหลักๆในตัวตลาดนัด มีของสารพัดอย่าง ไล่กันไม่หมด เสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้า ผ้าห่ม ผ้านวม ไปจนถึง ชุดชั้นใน หรือจะเป็นพวกของวัตถุโบราณประจำาท้องถิ่นก็ยังมีให้พบเห็น สินค้าเหล่านี้ จะมีหมุนเวียนเสริมของใหม่เข้ามาในตลาดอยู่ตลอด บวกกับราคาที่ไม่แพงถ้าเทียบกับที่อื่นๆ

ผู้คน คนปัตตานีก็คงเป็นเหมือคนต่างจังหวัดอื่นทั่วไป ที่ผู้คนส่วนใหญ่จะใจดีเป็นมิตรมีน้ำาใจ แต่กับที่นี่ ด้วยภาพ ด้วยความรู้สึกที่มีกับปัตตานี ผมเชื่อว่าหากใครๆ ได้มา รู้จัก พูดคุย หรือ ยิ่งหากผูกมิตรได้เป็นเพื่อนกันกับคนที่นี่แล้วละก้อ มันจะยิ่งทำาให้รู้สึกอยากกลับมาเยือนอีกไม่รู้เบื่อเลยทีเดียว...

TourisalamText : Simba anda

Fatony I’m in love

Page 15: salamart magazine issue 1 free copy

1415 15

Conversation

หลังจากที่เราคุยกับเจ้าของคลีนิคสวนสนเสร็จ ท้องก็เรียกร้องว่า ควรหาอะไรใส่กระเพาะได้แล้ว มิฉะนั้น เรี่ยวแรงที่มีอยู่อาจจะหมดลงได้ เราตกลงกันไม่นานว่าเราจะเข้าไปหาอะไรลงท้องกันที่ในหมู่บ้านนักกีฬา แต่แล้วก็เกิดการเปลี่ยนใจขึ้นกระทันหันว่า เราไปร้าน “มูฮัมมัดรสเด็ด”กันเถอะ ทันใดเพื่อนร่วมทางก็ตัดสินใจกลับรถทันที แม้ว่าตรงหน้าของเรานั้นจะเป็นร้านขายข้าวหมกก็ตาม ทันทีที่เข้าไปนั่งในร้าน เราสองคนสังเกตุเห็นอะไรบางอย่าง ที่ใช้ความรู้สึกสัมผัสได้เลยว่า ร้านนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน นั่นคืองานป้ายของร้านที่ยังเป็นงานแบบสมัยก่อนอยู่ คือ ปกติยุคนี้หากเป็นงานป้ายที่เป็นคำานั้น (เดี๋ยวจะไปถามเพื่อนอีกทีว่าเขาเรียกกันอย่างเป็นทางการว่าอะไร) ส่วนใหญ่นั้นจะเป็นอักษรโลหะ ตู้ไฟ หรือไม่ก็ปริ้นไววิลไปเลย แต่ที่นี่ยังคงเป็นพลาสติกอยู่ และค๊อตอาหรับที่ใช้ในการเขียนนั้น ก็หาใช่ค็อต(อักษรอาหรับ)ที่เห็นได้ทั่วๆ ไปเท่าไหร่นัก เพราะมีกลิ่นจีนคลุ้งอยู่ หาใช่แค่ป้ายของร้านเท่านั้นที่เป็นหัวข้อในการสนทนาขณะรอก๋วยเตี๋ยวมาเสริฟ แต่อุปกรณ์ภายในร้านตั้งแต่กาน้ำา โต๊ะที่นั่ง เก้าอี้ ตู้ ถ้วย ชาม จาน นั้น มันไม่ใช่ชิ้นงานร่วมสมัยเลยสักนิด ระหว่างนั้นเอง เพื่อนก็พูดขึ้นมาว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพิ่งได้อ่านจากในหนังสือพิมพ์ทางนำาเล่มเมื่อ20ปีก่อนว่ามีร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนึง เคยเปิดอยู่ที่สยามสแควร์เมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว แต่ว่าตอนนี้ปิดไปแล้ว เป็นร้านของคนจีนที่มาเข้ารับอิสลาม ร้านใหญ่มาก และคนเยอะมาก โดยที่ลูกค้าส่วนใหญ่นั้นกลับไม่ใช่มุสลิมจะมีบ้างก็เพียงประปราย และบทสนทนาของเราสองคนนั้นก็จบลงเมื่อก๋วยเตี๋ยวมาเสริ์ฟ ทันทีที่ต่อมรับรสทำางาน ต่อมความรู้สึกก็ตามมา มาที่เรื่องรสชาติของก๋วยเตี๋ยวร้านนี้กันอีกครั้ง ต้องย้ำากันอีกครั้งว่า ด้วยความที่รู้สึกว่า หิวมาก ในขณะนั้น ทำาให้เราสองคน ต่างคนต่างสั่งข้าวหน้าไก่ มาคนละหนึ่งจาน และก๋วยเตี๋ยวมาอีกหนึ่งถ้วย (เกาเหลารวม) แหม่ จะยืดเยื้อไปถึงไหน กลับมาต่อกันที่รสชาติ มากันที่ข้าวหน้าไก่ก่อน ข้าวหน้าไก่ของที่นี่นั้นมีกลิ่นหอมของขิงที่หอมชื่นใจที่ถูกผสมอยู่ในน้ำาซอสเมื่อเจอกับข้าวอุ่นๆ ที่เรียงหมดตักเข้าปากอย่างพอประมาณ รสแรกที่ลิ้มรสนั้นคือ กลิ่นหอมของขิงกับความกลมกล่อมของน้ำาซอสที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวสไตล์อาหารจีนที่อบอวนไปด้วยสมุนไพร ส่วนตัวแล้ว เป็นคนที่ค่อนข้างจะกินยาก ยิ่งมีขิงด้วยแล้วต้องโบกมือลาทุกที แต่ข้าวหน้าไก่จานนี้ ฉันกลับละเลียดกิน ทีละคำาอย่างพินิจพิเคราะห์ว่า ในข้าวหน้าไก่จานนี้ประกอบไปด้วยส่วนผสมอะไรบ้าง เช่นเดียวกันกับเกาเหลารวมที่ฉันและเพื่อนสั่งมาเป็นเมนูเสริม เราสองคนสั่งก๋วยเตี๋ยวมาเนื่องจากว่า ไม่อยากกินข้าวแบบแห้งๆ และอีกเช่นกันทันทีที่ซดน้ำาเข้าไป ความรู้สึกขณะนั้นคือ เผ็ด แบบ ซ่า ซ่า แต่พอกลืนน้ำาก๋วยเตี๋ยวเข้าไปแล้ว ความที่สัมผัสได้ในตอนแรกก็หายไป และต้องรีบตักน้ำาเพื่อซดน้ำาต่อเรื่อยๆ อีกครั้ง ซึ่งตอนหลังที่ได้คุยกับเจ้าของร้าน ทางเจ้าของร้านก็แอบเฉลยว่า มันเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจให้ลูกค้าที่มาทานนั้นต้องทำาเช่นนั้นจริงๆ คือ เมื่อซดน้ำาก๋วยเตี๋ยวช้อนแรกแล้ว ต้องรีบตักน้ำาซดคำาต่อไปทันที หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน .. แม่ยายของเพื่อนที่ไปด้วยกันบอกว่า นี่แหละเจ้าเดียวกับที่เขาเคยกินเมื่อ 30 ปีที่แล้ว รสชาตินี้เลย เพื่อนฉันบอกว่า เขาเคยกินครั้งนึง แต่ไม่แน่ใจว่า จะใช่ร้านเดียวกันไหน เพราะมันนานมาแล้ว วันรุ่งขึ้น พวกเราตัดสินใจไปที่ร้านนี้อีกครั้ง ทันทีที่ซดน้ำาซุปเข้าไปครั้งแรก เพื่อนฉันคนดังกล่าว พูดขึ้นว่า ใช่รสนี้แหละที่เขาเคยกินเมื่อ 20 ปีที่แล้ว!! มูฮัมมัดรสเด็ด ที่เคยอยู่ที่สยามสแควร์ มูฮัมรสเด็ด ที่เคยอยู่บนถนนเส้นคู้ขวา และมูฮัมมัดรสเด็ด ที่วันนี้ย้ายมาเปิดร้านเล็กๆ ในซอยหมู่บ้านสวนสน แม้สถานที่อาจจะเปลี่ยนไป แต่รสชาติมิแปรเปลี่ยนไปตามเวลา ... : หมายเหตุ ร้านนี้อยู่ในหมู่บ้านสวนสนลำาสาลีเข้าไปเจอวงเวียนแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไป (เลยร้านก๋วยเตี๋ยวไส้เข้าไปอีก) สอบถามเส้นทางโทร 086-510-4989

Tasty Text : inmymind

รสเด็ด

มูฮัมมัด

รสชาติมิเคยเปลี่ยน

Page 16: salamart magazine issue 1 free copy

1617

D-Idea

1+2 3

4+5 6

Mind magnets

ประเดิมกันที่ไอเดียดีๆ ที่อยากนำาเสนอกันเป็นครั้งแรกของการพบกัน คือการทำาแม็กเน็ต จากน้ำาอัดลม คุณคงคิดไม่ออก ไอ้ฝาน้ำาอัดลมมันจะเอาไปทำาอะไรนอกจากเดินหมากฮอส ช่างกิโลขาย กับเอาไปทำาที่ใสน้ำาแข็ง (อย่างหลังนี้โบราณสุดๆ) งานนี้เราให้ชื่อว่า Mind magnets งั้นลุยโลด อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมฝาขวดน้ำาอัดลม,สีสเปรย์สีขาว,กระดาษสติ๊กเกอร์,กรรไกร,กาวตราช้าง,แม่เหล็ก ,กระดาษอัด

มาเริ่มกันทา�ดีกว่านะ1.ทำาความสะอาดฝาขวดน้ำาอัดลมให้สะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง 2.นำาสีสเปรย์สีขาวมาพ่นและปล่อยไว้ให้แห้ง3.หารูปที่คุณชอบและปริ้นใส่กระดาษสติ๊กเกอร์ 4.ตัดให้ได้ตามขนาดของฝาขวด และติดให้เรียบร้อย5.ใช้กระดาษอัดแผ่นเล็กๆมารองไว้ระหว่างฝาขวดน้ำาอัดลมกับแผ่นแม่เหล็ก6.หลังจากนำาแม่เหล็กมาติดด้านหลังฝาขวดด้วยกาวตราช้างเป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อยสำาหรับ mind magnets ที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร นำาไปติดไว้ที่ตู้เย็นหรือเป็นของฝากสำาหรับเพื่อนคนสำาคัญก้อไม่เลวทีเดียวนะ

สันติจงมีแด่ทุกท่าน พบกันเป็นครั้งแรกกับคอลัมน์ D.I.Y (อ่านว่า ดีไอวาย) ย่อมาจาก DO IT BY YOURSELF แปลว่า ทำามันด้วยตัวคุณ เป็นคอลัมน์ที่กล่าวถึงวิชาการงานและพื้นฐานอาชีพ หรือ ก.พ.อ. สมัยเมื่อครั้งเรียนอยู่ประถมนั่นเอง (ซึ่งมันก็นานมาแล้ว) การสร้างงานประเภทไอเดียนั้นหรืองานมือ งานไอเดีย งานที่กลั่นออกมาจากความคิดหากมีมุมทางด้านธุรกิจ มีตลาดที่เหมาะสม ก็สามารถต่อยอดนำาไปสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เป็นกอบเป็นกำากันเลยทีเดียว คอลัมน์นี้มิได้จำากัดอยู่เพียงการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์เท่านั้น แต่คอลัมน์นี้ยังเปิดเป็นพื้นที่ทั้งเรื่องการดูแลบุคลิกภาพ ของแนะนำาต่างๆ ที่คุณสามารถทำามันได้ด้วยตัวคุณ หากคุณผู้อ่านมีไอเดียใดๆ อยากนำาเสนอ ทางทีมงานก็พร้อมน้อมรับไอเดีย

เย่! ผลงานสำ เร็จ

Page 17: salamart magazine issue 1 free copy

1617 17

Page 18: salamart magazine issue 1 free copy

1819

หากคุณเป็นวิทยากรฝึกอบรม ในเฟสบุค หรือทวีตเตอร์ของคุณก็ต้องหมั่นเผยแพร่ข้อมูลเรื่องสาระความรู้ในการฝึกอบรม รวมทั้งภาพที่เคยไปทำากิจกรรมฝึกอบรมมา หากคุณขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ก็ต้องหมั่นเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพในทวีตเตอร์และเฟสบุคของคุณ พูดง่ายๆ นั่นก็คือการทำาให้คนเชื่อมั่นในตัวเฟสบุคหรือทวีตเตอร์ว่ารู้จริงในเรื่องนั้น ซึ่งจะทำาให้เกิดความมั่นใจในตัวธุรกิจของคุณต่อไป เนื้ อหานั้ น เร าสามารถนำ า เ สนอ เป็ นบทความหรือไฟล์เสียง รวมจะเป็นข้อความสั้นๆ บน สถานะก็ได้ และยังรวมไปถึงการเผยแพร่เนื้อหาดีๆ ที่เกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกับแบรนด์ของเราจากเวบไซต์หรือเฟสบุคอื่น ๆ ข้อที่สาม จงเป็นมนุษย์ การสร้างแบรนด์นั้น เราต้องไม่ทำาตัวเป็นหุ่นยนต์ ไม่ใช่ว่าวันทั้งวันเผยแพร่ข้อมูลอย่างเดียว ใครมาทักก็ไม่ตอบ ใครมาคอมเมนท์ในเนื้อหาก็ไม่คอมเมนท์กลับ อาจจะมีพูดเรื่องอื่น ๆ เช่น ลมฟ้าอากาศ เหตุบ้านการเมืองบ้าง และที่สำาคัญอย่าทำาตัวเป็นรถถังที่รัวยิงอย่างเดียว ไม่ใช่ว่ามีเฟสบุคของบริษัทสามยูสเซอร์ ทวีตเตอร์อีกสามยูสเซอร์ ก็เผยแพร่แต่เนื้อหาเดียวกัน โดยใช้ความทันสมัยของเทคโนโลยีเพื่อให้ง่ายไม่ต้องออกแรงมากในการพิมพ์ข้อมูล แต่กลับจะกลายเป็นว่า เนื้อหาที่ออกมานั้นขาดเอกลักษณ์ของแต่ละยูสเซอร์ และไม่ได้ช่วยสร้างแบรนด์ให้กับธุรกิจแต่ละตัวของเราเลย สามข้อที่กล่าวมาเป็นเพียงจุดเริ่มต้น สิ่งสำาคัญที่สุดคือต้องตระหนักไว้ให้ดีว่า การสร้างแบรนด์ก็เหมือนการปลูกต้นไม้ เราต้องรอวันที่ผลิดอกออกผล ซึ่งอาจจะใช้เวลาหลายปี ไม่ใช่แค่ชั่วข้ามคืน แต่เมื่อเวลาที่ต้นไม้ต้นนั้นมีลูกมีผลขึ้นมา เมื่อแบรนด์เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางขึ้นมา เมื่อนั้นก็ถึงเวลาที่ธุรกิจของเราจะได้เก็บเกี่ยวผลกำาไรเสียที

ช่วงสิบปีที่ผ่านมา เมื่ออินเตอร์เน็ตเฟื่องฟูสุดขีด หลากธุรกิจต่างก็มีคาถาประจำาตัวว่า จะต้อง มีเวบไซต์เป็นของตัวเอง ไม่ต่างจากยุคปัจจุบันที่เวบไซต์แบบโซเชียลเน็ตเวิร์คได้รับความนิยม บริษัทห้างร้านทั้งหลายต่างก็แห่กันมีเฟสบุคเป็นของตัวเอง แต่เฟสบุคของธุรกิจในยุคปัจจุบันนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับเวบไซต์ของธุรกิจในยุคก่อน ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์กับมันอย่างจริงจัง หลายรายเห็นคนอื่นมี ก็มีบ้าง แล้วก็ปล่อยเฟสบุคให้ร้าง ไม่มีการอัพเดทข้อมูลข่าวสารอะไรเลย คอลัมน์ “แบรนด์” ซี่งมาประจำาการในสลามาร์ตฉบับแรกนี้ จะนำาเสนอวิธีการนำาโซเชียลเน็ตเวิร์คสุดฮิตอย่างเฟสบุคและทวีตเตอร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการนำามาเป็นเครื่องมือในการสร้างแบรนด์ให้กับธุรกิจของคุณ แบรนด์ของคุณก็คือ สิ่งที่คนอื่นสัมผัสกับสินค้าหรือบริการของคุณ เขามองคุณแล้วเขานึกถึงอะไร ยกตัวอย่าง แบรนด์ของวอลโว่คือความปลอดภัย แบรนด์ของดอกบัวคู่คือสมุนไพรจากธรรมชาติ แบรนด์ของไปรษณีย์ไทยคือ การขนส่งที่ไม่ใช่จำาเพาะเพียงแค่ส่งจดหมายแบบเมื่อก่อน ธุรกิจในยุคปัจจุบันก็จำาเป็นที่จะต้องหาแบรนด์ของตัวเองให้เจอ และสร้างให้คนอื่นได้รับรู้และยอมรับด้วย และวิธีการสร้างแบรนด์ผ่านเฟสบุคและทวีตเตอร์นั้น มีวิธีง่าย ๆ ด้วยคำาสามคำาต่อไปนี้ ข้อแรก อย่าอุ้มไก่ไปขาย ในปัจจุบันเฟสบุคของธุรกิจหลายเจ้า ต่างจะนำาเฟสบุคหรือทวีตเตอร์มาเป็นเหมือนร้านขายของออนไลน์ของตัวเอง พูดง่ายๆว่า เปลี่ยนจากที่ต้องสร้างเวบไซต์เอง หรือไปฝากขายกับ welove-shopping ก็มาใช้เวบไซต์ฟรีอย่างเฟสบุคหรือทวีตเตอร์จะดีกว่า ถูกและคนใช้เยอะ ซึ่งดีกว่าเป็นไหน ๆ สำาหรับคนที่เคยใช้งานเฟสบุคก็ลองนึกภาพบรรดาธุรกิจเครือข่ายที่มาแพร่หลายในเฟสบุค ไม่ว่าจะเป็นโฆษณารายได้เสริมพาร์ทไทม์ หรือโฆษณาเปลี่ยนชีวิตทั้งหลาย ที่เอาแบงก์พันมากรีดโชว์หรือไม่ก็มีรถหรูมาจอดให้ดู พร้อมกับแท๊กใครเข้าไปทั่ว ว่าหากมาทำาธุรกิจนี้จะดีอย่างไรบ้าง ซึ่งผลตอบรับของการแท๊กโฆษณาทั้งหลายนั้นคือ การต่อต้านและรู้สึกไม่ดีจากผู้ใช้งานเฟสบุค

คนอื่น เนื่องจากรู้สึกรำาคาญและการแท๊กโฆษณานั้นกลายเป็นการรุกล้ำาความเป็นส่วนตัว แต่ไม่ผิดหากเฟสบุคของคุณจะขายของ แต่อย่าขายทุกวัน ไม่ใช่ว่าเช้ากลางวันเย็นก็เอาภาพสินค้าขึ้น ขายของมันทั้งวัน หรือหากใช้งานทวีตเตอร์ก็ทวีตแต่ข้อความขายสินค้า แรก ๆ อาจขายได้ดี แต่ในระยะยาวจะกลายเป็นผลเสีย เพราะโลกโซเชียลมีเดีย แต่ละคนต้องการเจอเพื่อน ไม่ใช่ต้องการเจอเซลล์แมน ! ข้อที่สอง จงเป็นกูรูในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ปกติแล้ว แต่ละคนต่างมีเพื่อนในเฟสบุคหรือคนที่เราตามในทวีตเตอร์กันเป็นหลักร้อยหลักพัน ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เพื่อนของเราในเฟสบุคหรือทวีตเตอร์จะเห็นทุกสิ่งอย่างที่เราเผยแพร่ออกไปได้ เพราะข้อมูลในหน้าข่าวใหม่จะเคลื่อนไหวทุกครั้งที่มีคนอัพเดทเฟสบุคหรือทวีตเตอร์ของตัวเอง เราจึงต้องทำาอย่างไรก็ได้ ให้เพื่อนของเรา ตั้งใจมาเปิดเฟสบุคหรือทวีตเตอร์ของเราดูเป็นการเฉพาะ ทางเลือกแรกคือ เป็นดารา (ซึ่งจะมีแฟนคลับมาคอยตามดูตามเชียร์ เช่นว่าเป็นกินข้าวที่ไหน แสดงหนังเรื่องอะไร หรือคบกับใครอยู่) แต่หากไม่คิดที่จะเป็นดารา ก็จงเป็นกูรู เนื่องจากการสร้างแบรนด์นั้นต้องทำาให้เกิดผลสามขั้นตอนคือ หนึ่ง รู้จัก สอง เชื่อมั่น สาม ลงมือซื้อซ้ำา การทำาให้คนรู้จักแบรนด์ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทำาให้ชื่อแบรนด์ของคุณผ่านตาเขาบ่อย ๆ กรณีการใช้งานเฟสบุคหรือทวีตเตอร์ก็คือการเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลบ่อย ๆ แต่การก้าวสู่ขั้นตอนที่สองด้วยการทำาให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นว่าคุณเป็นกูรูในเรื่องนั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเผยแพร่อะไรในเฟสบุคหรือทวีตเตอร์ ดังนั้นการที่คุณจะเป็นกูรูเรื่องใด ก็ขึ้นอยู่กับว่าแบรนด์ของคุณคืออะไร เพราะการเป็นกูรูในเรื่องนั้น ๆ จะเป็นการทำาให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าคุณรู้จริงในเรื่องดังกล่าว ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นเพื่อให้เกิดการลงมือซื้อนั่นเอง หากคุณทำาหนังสือพิมพ์ เฟสบุคหรือทวีตเตอร์ของคุณก็จะเต็มไปด้วยข่าว ยกตัวอย่าง หนังสือพิมพ์อะซาน ไทยรัฐ เนชั่น แนวหน้า และอื่น ๆ

Brand ดาวุด ลาวัง [[email protected], http://www.twitter.com/choompol ]

การสร้างแบรนด์ผ่านเฟสบุคและทวีตเตอร์

follow me

Page 19: salamart magazine issue 1 free copy

1819 19

หากคุณเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือธุรกิจน่าจะได้เคยอ่านประวัติและมุมมองธุรกิจของ เทียม โชควัฒนา ผู้ก่อตั้งเครือสหพัฒนพิบูลย์ รวมไปถึง ชิน โสภณพาณิชย์ ราชันย์การเงินแห่งธนาคารกรุงเทพ และเจ้าสัวผู้ก่อร่างสร้างตัวในประเทศไทยทั้งหลาย พวกเขามีจุดร่วมอย่างหนึ่งคือ ประสบความสำาเร็จโดยไม่ได้จบปริญญาทางด้านธุรกิจจากที่ไหน

หากจะยกเอาตัวอย่างใกล้ ๆ หน่อยผมก็นึกไปถึงคุณตัน ภาสกรนที ผู้สร้างตำานานโออิชิ อันลือลั่น นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ดีกรี ม.3 คนนี้แหล่ะ ที่หักปากกาเซียนมาตั้งแต่การสร้างโมเดลธุรกิจใหม่กับบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นในนามของร้านโออิชิ ต่อมาด้วยการสร้างปรากฎการณ์ชาเขียวโออิชิเบียดยูนีฟผู้นำาชาเขียวเข้าตลาดมาก่อนชนิดไม่เห็นฝุ่น ตันเข่นคู่แข่งด้วยเอ็มบีเอสไตล์เขาเองที่เล่นเอายูนีฟที่เต็มไปด้วยนักการตลาดมือฉมังถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เริ่มต้นด้วยแคมเปญรวยฟ้าผ่า 30 ฝา 30 ล้านและปีต่อมาด้วยแคมเปญ ไปแต่ตัวทัวร์ยกแกงค์ แคมเปญการตลาดของตันฉีกกฎทุกตำารา เขาเขียนตำาราธุรกิจของตัวเองขึ้นมา ! นักธุรกิจทุกคนต่างก็ต้องสร้างตำาราธุรกิจของตัวเอง บางคนเขียนจนเสร็จแล้ว แต่อีกมากมายหลายคนกำาลังเขียนอยู่ ชุกรี่ ชูแสง ก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนนี้ชุกรี่กำาลังเขียนตำาราธุรกิจของมิสเตอร์ อาระเบียนอยู่ ชุกรี่เป็นเด็กหนุ่มที่ไปจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร ประเทศอียิปต์ เมื่อร่ำาเรียนจบ เขาเริ่มอาชีพแรกของชีวิตด้วยการเป็นล่ามภาษาอาหรับที่โรงพยาบาลหลายแห่ง แต่ในใจของชุกรี่จริง ๆ แล้วเขาอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ธุรกิจแรกที่เขามองไว้คือชวาสม่า แต่ก็ทำาไปได้แค่เพียงโลโก้เท่านั้น เพราะเมื่อลงมือศึกษาแล้ว ต้นทุนค่อนข้างสูงเกินไป ชุกรี่จึงมองหาธุรกิจที่ต้นทุนต่ำาลงมา จึงมาปิ๊งไอเดียที่ธุรกิจขายชาชักและโรตีมะตะบะ แต่ไอเดียนี้ก็พับฐานตั้งแต่เริ่มเช่นกัน เมื่อเจออุปสรรคสำาคัญคือ ทำาไม่เป็น ในที่สุดชุกรี่ก็มาลงตัวที่ธุรกิจลูกชิ้น และแล้วธุรกิจแฟรนไชส์ลูกชิ้นปลาสามทะเลก็คลอดมาสู่โลกธุรกิจ ชุกรี่ประสบความสำาเร็จพอสมควรในช่วงแรก แต่เมื่อเศรษฐกิจผันผวนรอบแล้วรอบเล่า ธุรกิจแฟรนไชส์ลูกชิ้นปลาสามทะเลไม่เปรี้ยงปร้างดังหวัง ชุกรี่จึงจำาเป็นต้องถอยมาตั้งหลัก เขาตัดสินใจเลิกธุรกิจลูกชิ้นปลา แล้วหันมาศึกษาธุรกิจชวาสม่าที่เขาตั้งใจจะทำาในตอนแรกอีกครั้ง ชุกรี่ค้นหาสูตรชวาสม่าจากอินเตอร์เน็ต

โดยใช้ความรู้ภาษาอาหรับที่มี ทำาให้ค้นหาได้มากมายหลายสูตร เขาจึงเอาสูตรอาหรับที่ได้มาดัดแปลงกับสูตรของไทยที่เชฟจากโรงพยาบาลกรุงเทพถ่ายทอดให้เขา ส่วนการเสียบเนื้อเขาก็ศึกษาวิธีการทำาจากคลิปวีดีโอในเวบไซต์ยูทูป ตอนนี้เขาทำาชวาสม่าเป็นแล้ว แต่ปัญหาตอนนี้ของชุกรี่คือ ไม่มีเตา เพราะ เตาชวาสม่าที่ เขาไป

สอบถามมา ต้องนำาเข้าจากประเทศอาหรับ ทำาให้ราคาแพงถึงขั้นเรือนแสน แต่แล้วชุกรี่ก็

เจอทางสว่างเมื่อ

ไปร่วมงานการกุศลของมูลนิธิ

เพื่ อการศึกษาและเด็กกำาพร้า ใน

งานดังกล่าวมีร้านชวาสม่าด้วย และเมื่อชุกรี่ไปพูดคุยก็ได้คำาแนะนำา มาว่า เตาชวาสม่าก็สามารถสั่งทำาในโรงงานที่ไทยได้ อุปสรรคใหญ่ที่ทำาให้ชุกรี่ไม่สามารถทำา ชวาสม่าได้ในตอนแรกจึงหมดลง มิสเตอร์อาระเบียนจึงเปิดตัวสู่โลกธุรกิจ ขั้นตอนต่อมาชุกรี่ได้ขยายกลุ่มเป้าหมายลูกค้าของเขา มิสเตอร์อาระเบียนไม่ได้ทำาสินค้า มาเพื่อขายมุสลิมเท่านั้นชุกรี่จึงเปลี่ยนชื่อเรียกสินค้าจากชวาสม่า ไปเป็น ‘เคบับ’ เพราะชวาสม่าจะเรียกกันแพร่หลายในหมู่อาหรับ แต่คำาว่าเคบับจะเรียกกันในแถบตุรกีและยุโรป ชุกรี่มองว่าคนไทยทั่วไปจะมีโอกาสไปท่องเที่ยวแถบยุโรปบ่อย การใช้ชื่อเรียกสินค้าว่าเคบับ จะคุ้นหูลูกค้าคนไทยมากกว่า รวมทั้งคำาว่า ชวาสม่า จะออกเสียงยากสำาหรับลิ้นคนไทย หากยากที่จะพูดชื่อ ก็ย่อมยากที่จะเรียกซื้อหา ชื่อเคบับจึงเป็นคำาตอบสุดท้ายสำาหรับชุกรี่ ! แต่ชุกรี่รู้ดีว่า การทำาธุรกิจนั้นไม่ง่าย เพราะประสบการณ์ตอนลูกชิ้นปลาสามทะเลสอนเขาไว้เป็นอย่างดี !!! มิสเตอร์อาระเบียนเปิดขายครั้งแรกที่ปากซอยอ่อนนุช 56 เพราะความแปลกใหม่ทำาให้เคบับขายดีมากในสองเดือนแรก แต่พอความฮิตเริ่มหาย ยอดขายมิสเตอร์อาระเบียนก็เริ่มถดถอย ชุกรี่จึงเริ่มวิเคราะห์บทเรียนธุรกิจของตน ด้วยกลุ่มลูกค้าย่านนี้ที่ยังเป็นมุสลิมส่วนมาก เคบับราคาเกือบ 50 บาท ไม่สามารถแทนที่

ผัดกระเพราไก่ไข่ดาวราคา 30 บาท ซึ่งอิ่มกว่าได้ มิสเตอร์อาระเบียนจึงโยกไปขายช่วงวันเสาร์อาทิตย์ที่ตลาดเช้าที่สวนหลวง ร.9 ปรากฎว่าลูกค้าในย่านนั้นที่ส่วนใหญ่เป็นคนไทยจีน ต่างถูกอกถูกใจในรสชาติเคบับ บวกกับการที่ลูกค้ากลุ่มนี้มีฐานะค่อน ข้างดี ทำาให้ตลาดสวนหลวง ร.9 ยอดดีไม่มีตก จากบทเรียนดังกล่าวมิสเตอร์อาระเบียนจึงขยับมาขายที่ศูนย์อาหารมูลนิธิเพื่อศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย เพราะทุกวันศุกร์จะมีลูกค้าระดับกลางเข้ามาแวะเวียนที่นี่เป็นประจำา บทเรียนธุรกิจบทต่อมาของชุกรี่ก็คือ เคบับเป็นอาหารฟาสต์ฟู้ดซึ่งจะประจำาการขายที่ใดที่หนึ่งทุกวันไม่ได้ เพราะลูกค้าเจ้าเดิมนั้นยากที่จะให้มา

อุดหนุนเคบับทุกวัน ชุกรี่จึงตระเวณขายตามตลาดนัด ต่าง ๆ ไม่ซ้ำาที่ เมื่อยอดขายดี แต่การต้องยกเตาขึ้นลงรถทุกวัน นอกจากจะลำาบากในการยกแล้ว ยังอาจทำาให้เตาเสียได้ ชุกรี่จึงนำารถซูบารุมาเป็นร้านแทนคีออสเสียเลย นอกจากจะสร้างความสะดวกในการตระเวณขายตามตลาดนัดแล้ว ยังกลายเป็นจุดขายให้กับร้านเพิ่มขึ้นไปอีก อุปสรรคต่อมาของมิสเตอร์อาระเบียนคือ คู่แข่งทางธุรกิจ ชุกรี่ไม่ได้มองไปที่เคบับเชื้อสายไทย แต่เขามองไปที่พ่อค้าเคบับชาวตุรกีเสียมากกว่า เพราะความเป็นต้นตำารับ แต่มิสเตอร์อาระเบียนก็สู้ด้วยความหลากหลาย เพราะนอกจากเมนูเนื้อและไก่ ชุกรี่ก็เพิ่มเมนูปลาแซลมอน นักเก๊ตและไก่ป๊อบ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า รวมไปถึงซอสที่เป็นสูตรของมิสเตอร์อาระเบียนเอง ที่ชุกรี่มั่นใจว่าถูกลิ้นคนไทยมากกว่า ล่าสุดจุดขายใหม่มาแรงที่รถมิสเตอร์อาระเบียนไปจอดขายดีชนิดเทน้ำาเทท่าก็คือตลาดนัดรถไฟ แต่ชุกรี่ก็ประกาศชัดเจนว่า เป้าหมายที่เขามุ่งไปสู่คือการเข็นเคบับขึ้นห้าง แต่จะเป็นการผลักดันในนามของ ‘เคบับบอย บาย มิสเตอร์อาระเบียน’ เพื่อสร้างความต่างจากแบรนด์มิสเตอร์อาระเบียนที่จะขายแต่บนรถเท่านั้น กว่าชุกรี่จะถึง ณ จุด เขาคงต้องงัดบรรดายุทธวิธีการตลาดเพื่อทำาให้สินค้ามุสลิมหลากหลายแบรนด์ในมือเขา ก้าวออกไปต่อสู้อย่างทัดเทียมในสมรภูมิธุรกิจอาหาร และเป็นการเขียนตำาราธุรกิจสไตล์มิสเตอร์อาระเบียนที่ชุกรี่ ชูแสง ใช้ชีวิตทั้งชีวิตเขียน

businessหมายเหตุริสกี : เรื่อง ดาวุด ลาวัง

Page 20: salamart magazine issue 1 free copy

2021

“อัสลามุอะลัยกุ้ม....สบายดีนะ” ประโยคทักทายแบบนี้เราคงคุ้นหู และคุ้นปากกันเป็นอย่างดีแทบจะไม่มีวันใดเลยที่เราจะว่างเว้นจากการใช้ประโยคทักทายกันเช่นนี้ เราคุ้นเคยกับมันจนเราแทบจะไม่ต้องคิดเลยเวลาจะพูดมัน เหมือนมันเป็นถ้อยคำาที่ออกมาจากปากเราโดยอัตโนมัติ เราเคยคิดกันบ้างไหมว่า ทุกครั้งที่เรากล่าวสล่ามออกไปให้พี่น้องเรา แล้วตามด้วยประโยคยอดฮิตว่า สบายดีมั๊ย หรือ สบายดีนะ เราตั้งใจจะให้มันจากใจหรือเปล่า

คำาว่า “อัสลามุอะลัยกุมฯ” แปลว่าขอความสันติสุขจากอัลลอฮ์จงมีแด่ท่าน เวลาที่เรากล่าวคำาๆนี้ เราอยากให้ผู้ที่เราคุยด้วย มีความสุขสันติจริงหรือเปล่า หรือเวลาที่เราถามพี่น้องเราว่า สบายดีมั๊ย เราอยากรู้จริงๆ หรือเปล่า ว่าเขาจะสบายดีไหม หรือว่ามันเป็นแค่คำาทักทาย หลายครั้งเราถามเขาว่าสบายดีมั๊ย เราแทบจะไม่เคยหยุดฟังคำาตอบเลยว่า เขาเป็นอย่างไร การให้สล่ามซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่ท่านนบีสอนเราให้กระทำาต่อกัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์

ทำาให้เกิดความรักในระหว่างพี่น้อง เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเรากับพี่น้องเรามีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน ใครโกรธกันก็ให้ใช้การให้สล่ามเป็นใบเบิกทางมาสู่การคืนดี ใครเริ่มกล่าวก่อนคือคนที่ใจกว้างกว่า การให้สล่ามของมุสลิมทำาให้ยะฮูดอิจฉา

ส่วนคำาถามที่ตามหลังการให้สล่าม “สบายดีมั๊ย” ถึงแม้จะดูเป็นประโยคธรรมดา ที่เราถามกันตามมารยาท แต่ถ้าพิจารณาความหมายให้ถ่องแท้ มันคือการแสดงความห่วงใย ทำาไมเราไม่ลึกซึ้งกับมัน ใช้เวลากับมันสักเล็กน้อย แบบที่บรรดาศอหาบะฮ์กระทำากัน เมื่อพบกันพวกเขากล่าวสล่าม นั่งคุยกันสักครู่ ถามไถ่สารทุกข์ แบบอยากรู้จริงๆ ว่าสบายดีหรือเปล่า “พอจะช่วยอะไรได้บ้างไหม” อย่างน้อยก็ให้กำาลังใจ “ไม่เป็นไรนะอัลลอฮ์ทดสอบ” เสร็จแล้วก็ตักเตือนกัน ย้ำากันในเรื่องความยำาเกรง บางครั้งเมื่อพูดคุยกันถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ พวกเขาก็พากันนั่งร้องไห้

อยากเห็นสังคมเราใส่ใจในเรื่องการให้สล่าม และการใส่ใจที่จะถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ

เชื่อเถอะทุกคนมีความทุกข์ซ่อนอยู่ในใจกันทั้งนั้น แต่ละคนร้อยแปดปัญหา บางทีปัญหาเหล่านั้นก็อาจ พบทางออกด้วยการพูดคุยกับคนอื่นเพียงไม่กี่ประโยค คนที่ห่วงใยเราจริงจัง คนที่ถามเราว่าสบายดีไหม แล้วมองหน้าสบตาเรา มองเข้ามาในใจเราว่า เรามีอะไรให้ช่วยไหม จับมือเราและบอกกับเราว่า “ไม่เป็นไรนะ เข้มแข็งนะ อัลลอฮ์ทดสอบ”

การให้สล่าม การทักทายว่า สบายดีไหม เป็นสิ่งล้ำาค่าที่อิสลามมอบเป็นของขวัญแด่ผู้ศรัทธา ใช้มันให้คุ้มค่า อย่าให้มันเป็นเพียงแค่คำาทักทายตามมารยาทสังคม อย่าเอ่ยมันออกมาจากปากเพียงอย่างเดียว แต่จงเอ่ยมันด้วยสายตา และด้วยความเอื้ออาทร...จากหัวใจ

ให้สล่�ม...ด้วยใจสิ่งล้ำ�ค่�ที่อิสล�มมอบเป็นของขวัญแด่ผู้ศรัทธ�ใช้มันให้คุ้มค่�

อย่�ให้มันเป็นเพียงแค่คำ�ทักท�ยต�มม�รย�ทสังคม

อย่�เอ่ยมันออกม�จ�กป�กเพียงอย่�งเดียว

แต่จงเอ่ยมันด้วยส�ยต�และด้วยคว�มเอื้ออ�ทร...จ�กหัวใจ

SalamArticle โดย : อ.อัชอารีย์ เรืองปราชญ์

Page 21: salamart magazine issue 1 free copy

2021 21

ผู้ลี้ภัยสุดท้�ยกล�ยเป็น

ช�วสวรรค์

อบูอุบัยดะฮฺ อิบนุอัลญัรอหฺ

(อัล บานบาวียฺ)อบูอุบัยดะฮฺ อิบนุอัลญัรอหฺ

เขาคืออามิร อิบนุ อับดิลลาฮฺ อิบนิ อัล ญัรรอฮฺ อิบนิ ฮิลาล อิยนิ อุฮัยยิบ อิบนิ ฏ็อบบะฮฺ อิบนิ อัลหาริษ อิบนิ ฟิฮฺรินฺ อิบนิ มาลิก อิบนิ อันนัฏรฺ อิบนิกินานะฮฺ อิบนิ คุซัยมะฮฺ อบู อุบัยดะฮฺ ผู้เลื่องลือด้วยความกุนยะฮฺของเขา และอ้างถึงปู่ของเขาจึงถูกเรียกขานว่า อบูอุบัยดะฮฺ อิบนุ อัล ญัรรอหฺเข้ารับอิสลามพร้อมกับอุษมาน อิบนุ มัซฺอูน อุบัยดะฮฺ อิบนุ อัล เญาวฺน์ อิบนิ อัล มุฏเฏาะลิบ อับดุรเราะหฺมาน อิบนุ เอาวฺฟ์ และอบูสละมะฮฺ อิบนุ อับดิลอะสัด ในเวลาเดียวกันก่อนหน้าที่ท่านศาสนฑูต (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮฺวะซัลลัม) จะเข้าสู่บ้านของ อัล- อัรก็อม อบูอะบัยดะฮฺจึงเป็นหนึ่งในสิบคนแรกที่เข้ารับอิสลาม และเป็นหนึ่งจากสิบบุคคลที่ได้รับการบอกข่าวถึงสรวงสวรรค์ เขาเคยอพยพไปยังแผ่นดินอัล - หะบะชะฮฺ (อบิสซีเนีย- เอธิโอเปีย) ในการอพยพครั้งที่ 2 ภายหลังกลับสู่นครมักกะฮฺและอพยพสู่นครมะดีนะฮฺเมื่อท่าน ศาสนฑูต (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) อนุญาตให้ชาวมุสลิมอพยพสู่นครมะดีนะฮฺ ในวันสมรภูมิบัดรฺ อบูอุบัดะฮฺ อิบนุ อัล ญัรรอหฺเข้าร่วมรบภายใต้ธงศึกของท่านศาสนฑูต (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) แต่อับดุลลอฮฺ อิบนุ อัล ญัรรอหฺ บิดาของเขาอยู่ในฝ่ายทัพของมุชริกีน เมื่อทั้งสองประจัญหน้ากับฝ่ายบิดาก็ไล่ฟาดฟันบุตรชายของตน ฝ่ายบุตรชายก็หลบหลีกไม่ตอบโต้ แต่เมื่อฝ่ายบิดาไม่ลดละและหมายเอาชีวิตบุตรของตน อบูอุบัยดะฮฺจึงปลิดชีพบิดาของตนในสมรภูมินั้น อัล-กุรอานที่มีใจความว่า “เจ้าจักไม่พบกลุ่มชนที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันสิ้นโลกว่าพวกเขาจะให้ความรักต่อบุคคลที่ฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺและศาสนฑูตของพระองค์ และมาตรแม้นว่าพวกฝ่าฝืนนั้นจักเป็นบิดาหรือบุตรของพวกเขาก็ตาม” (อัล- มุญาดะละฮฺ /22) ในวันสมรภูมิอุหุด อบูอุบัยดะฮฺคือหนึ่ง

จากเหล่าสาวกที่ร่วมต่อสู้เคียงข้างท่านศาสนฑูต (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ในขณะที่ฝ่ายทัพของมุสลิมกำาลังเพลี่ยงพล้ำาให้แก่ฝ่ายมุชรีกีน อบูบักร (ร.ฎ.) ได้เล่าถึงวีรกรรมของอบูอุบัยดะฮฺว่า ท่านศาสนฑูต (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ถูกฝ่ายศัตรูขว้างที่ใบหน้าของท่านจนกระทั่งห่วงเหล็ก สองห่วงจากเกราะอ่อนที่ท่านศาสนฑูต (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) สวมปิดศีรษะของท่านฝังอยู่ที่โหนกแก้มของท่าน อบูบักร (ร.ฎ.) รีบเข้าไปหาท่านศาสนฑูต (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮฺวะซัลลัม) ทันใดนั้นอบูอุบัยดะฮฺก็ตรงรี่เข้ามาและบอกกับท่าน อบูบักร (ร.ฎ.) ว่าตนจะเป็นผู้ดึงห่วงเหล็กทั้งสองห่วงนั้นออกจากโหนกแก้มของท่านศาสนฑูต (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) อบูอุบัยดะฮฺใช้ฟันหน้าของตนกัดห่วงเหล็กอันแรกออก ฟันหน้า สองซี่ของเขาก็หลุดตามห่วงเหล็กออกมา เขาทำาเช่นนั้นกับห่วงเหล็กอีกอันหนึ่ง ฟันซี่หน้าอีกคู่หนึ่งของเขาก็หลุดตามห่วงเหล็กอันที่สองออกมาจากวีรกรรมครั้งนั้นทำาให้อบูอุบัยดะฮฺกลายเป็นคนฟันหลอนับแต่นั้น ครั้งหนึ่งท่านศาสนฑูต (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ส่งอบูอุบัยดุฮฺให้นำากำาลังพล สี่สิบนายเพื่อเข้าโจมตีพวกมุชรีกีนในตำาบล ซิลกิศเศาะฮฺ พวกมุชรีกีนแตกพ่ายและมีคนหนึ่งถูกจับเป็นเชลยภายหลังคนผู้นั้นได้เข้ารับอิสลาม ท่านศาสนฑูต (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้ส่งอบูอุบัยดะฮฺให้นำาทัพออกทำาศึกอีกหลายครั้ง ในวันแห่งการพิชิตนครมักกะฮฺ เขาเป็นทัพหน้าของท่านศาสนฑูต (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) เขาได้รับความไว้วางใจจากท่านศาสนฑูต (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ซึ่งท่านเคยจับมือของเขาและกล่าวว่า “นี่คือผู้ที่ซื่อสัตย์แห่งประชาชาตินี้” ในช่วงที่ท่านอบูบักร (ร.ฎ.) ดำารงตำาแหน่งค่อลีฟะฮฺ อบูอุบัยดะฮฺคือหนึ่งในแม่ทัพที่เข้าพิชิตแคว้นชาม เขาคุมกำาลังพล 7,500 นาย เข้าทำาศึกกับพวกโรมันไบแซนไทน์ในสมรภูมิอัล ยัรมู๊ก ซึ่งแม่ทัพใหญ่ที่ท่าน อบูบักร (ร.ฎ.) แต่งตั้งคือ คอลิด อิบนุ อัล วะลีด สมรภูมิยัรมู๊ก เป็นความปราชัย

ของฝ่ายโรมันอย่างไม่ต้องสงสัย ภายหลังชัยชนะในสมรภูมิยัรมู๊ก อบูอุบัยดะฮฺ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่เข้าพิชิตนครดามัสกัสซึ่งถูกพิชิตภายหลัง ถูกปิดล้อมเป็นเวลา 70 คืน เมืองหิมศฺ เมืองหะมารต ฺเสียให้แก่ฝ่ายมุสลิมตามลำาดับ อบูอุบัยดะฮฺส่งคอลิด อิบนุ อัล-วะลีดให้นำาทัพเข้าปิดล้อมเมือง กินนัสรีน , หะลับ (อแล๊ปโป) และ อับฏอกียะฮฺ (แอ๊น ท็อช) ซึ่งทั้งหมดยอมแพ้ต่อกองทัพอันเกรียงไกรของมุสลิมด้วยการทำาสัญญาประนีประนอม เมื่อแคว้นชาม (ซีเรีย) ถูกพิชิตโดยสมบูรณ์แล้ว อบูอุบัยดะฮฺก็นำาทัพมุ่งหน้าสู่ปาเลสไตน์เพื่อร่วมสมทบกับกองกำาลังของ อัมรฺ อิบนุ อัล อาศ นครอิลียาอฺหรือบัย ตุลมักดิศ (เยรูซาเล็ม) ถูกกองทัพของอบูอุบัยดะฮฺปิดล้อมเอาไว้จนในที่สุดพลเมืองแก่งนครอันศักดิ์สิทธิ์ก็ร้องขอให้แม่ทัพอบูอุบัยดะฮฺประนีประนอมกับพวกเขาเช่นเดียวกับพลเมืองในแคว้นชาม โดยมีเงื่อนไขว่าให้เคาะลีฟะฮฺอุมัร (ร.ฎ.) เดินทางมายังนครแห่งนี้เพื่อทำาสนธิสัญญาและรับกุญแจเมืองด้วยตัวเอง อบู อุบัยดะฮฺจึงมีสาส์นไปถึงเคาะลีฟะฮฺซึ่งท่านก็ตัดสินใจเดินทางมาตามคำาร้องขอนั้น นครอิลิยาอฺหรือบัยตุลมักดิสจึงถูกพิชิตในที่สุด ปี ฮ.ศ.ที่ 18/ ค.ศ. 639 เกิดโรคระบาดซึ่งเรียกกันในหน้าประวัติศาสตร์อิสลามว่า “ฏออูนอัม ว๊าส” ซึ่งระบาดทั้งในแคว้นชามและอิรัก มีพลเมืองล้มตายจากโรคระบาดใหญ่ครั้งนั้นเป็นจำานวนมาก และแม่ทัพอบูอุบัยดะฮฺ อิบนุ อัล ญัรรอหฺก็คือผู้หนึ่งที่เสียชีวิตในครั้งนั้น ขอพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงพึงพระทัยต่อสาวกผู้ยิ่งใหญ่ วีรบุรุษผู้แกล้วกล้า แม่ทัพผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งประวัติศาสตร์อิสลามได้จารึกเอาไว้ เขาคืออบูอุบัยดะฮฺ อามิร อิบนุ อับดิลลาฮฺ อัล ญัรรอฮฺอัลฟิฮฺรียฺ อัล กุเราะชียฺ(ร.ฎ.)

The heroes โดย : อ.อาลี เสือสมิง

21

Page 22: salamart magazine issue 1 free copy

2223

Page 23: salamart magazine issue 1 free copy

2223 23

Page 24: salamart magazine issue 1 free copy

24