Upload
surasak-tasu
View
214
Download
1
Embed Size (px)
DESCRIPTION
weewewewvsfdrvavcsvczdvse
Citation preview
“พระพนัสบดีคู่บ้าน
จักสานคู่เมือง
ลือเลื่องบุญกลางบ้าน
ตำนานพระรถ-เมรี
ศักดิ์ศรีเมืองสะอาด
เก่งกาจการทายโจ๊ก”
คำขวัญ อำเภอพนัสนิคม
จังหวัดชลบุร ี
เมืองพนัสนิคม
เมืองพนัสนิคม เป็นเมืองสำคัญเมือง
หนึ่งตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งเคยรุ่งเรือง
เมื่อสมัย 1,000 ปี มาแล้ว หรือ
สมัยที่ขอมยังเรืองอำนาจอยู่ใน
อาณาจักรสุวรรณภูมิ จากหลักฐานต่าง
ๆ น่าเชื่อถือว่าเมืองที่รุ่งเรืองดังกล่า
ว คือ เมืองพระรถ อำเภอพนัสนิคม
ตั้งขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่ง
เกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพระบรมราชโอง
การสถาปนาเมืองพนัสนิคมขึ้นเมื่อ พ.ศ.
2371 เป็นเมืองชั้นจัตวา ต่อมาเมื่อปี
พ.ศ. 2440 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุ
ลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทร
งปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค จัดระ
เบียบการปกครองสิ่งใหม่เป็นมณฑลจัง
หวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จึงโปร
ดเกล้าให้เมืองพนัสนิคมเป็นอำเภอหนึ่ง
ของจังหวัดชลบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2447
เมืองพนัสนิคมมีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 12,000
คนเศษ ซึ่งประกอบไปด้วยชน 3 เชื้อชาติ คือชาวไทย
ชาวไทยเชื้อสายจีน และชาวไทยเชื้อสายลาว
ชาวพนัสนิคมส่วนใหญ่ประกอบอาชีพพาณิชย
กรรม และหัตถกรรมที่สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับ
ชาวพนัสนิคมเป็นอย่างมากคือ “การจักสาน”
เครื่องจักสานพนัสนิคมเป็นผลิตผลจากการใช้ไม้ไผ่มา
เป็นวัสดุในการจัดทำ สามารถสร้างสรรค์เป็นรูปทรง
และขนาดต่างๆ ใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย เช่น
กระเป๋า ตะกร้า ฝาชี เครื่องประดับตกแต่งต่างๆ ฯลฯ
ความเป็นมา
เมืองพนัสนิคมเป็นเมืองเก่ามีชุมชนที่มา
จากเชื้อชาติต่างๆ มาอยู่รวมกัน ทั้งคนไทย
ซึ่งอพยพมาตั้งแต่คราวกรุงศรีอยุธยาแต
ก ที่วัดโบสถ์ วัดหลวงและบ้านสวนตาล
นอกจาก นี้ ชุมชนเชื้อสายลาวซึ่งมาอยู่อาศัย
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ปัจจุบันคือ
บริเวณหมู่บ้านศรีวิชัย สำหรับชุมชนชาวจีนนั้น
มาอยู่ในคราวเมื่อมีการค้าขายแลกเปลี่ยน
ดังนั้น ประเพณีบุญกลางบ้าน
ในแต่ละแห่ง จึงมีข้อรายละเอียดแตกต่าง
กันเล็กน้อย อันเนื่องมาจากความเชื่อและ
ประเพณีดั้งเดิมของเชื้อชาตินั้น ๆ
งานประเพณีบุญกลางบ้านและเผยแพร่เครื่องจักสาน
อย่างไรก็ งานบุญกลางบ้านนั้น มีมา
แล้วนับร้อยปี (อาศัยอายุจากผู้ให้ข้อมูล
คุณลุงมัย อายุ 85 ปี ท่านบอกว่า สมัยรุ่นบิดา
มารดา ของท่านทำกันมาก่อนแล้ว และยังคง
ดำรงสืบทอดต่อ ๆ กันมาโดยตลอด)
การกำหนดวัน กระทำในราวเดือน 3-6 โดยผู้เฒ่าผู้แก่
หรือชาวบ้านจะเป็นผู้ร่วมกันกำหนดวันทำบุญ
โดยถือเอาวันว่างและสะดวก
งานประเพณีบุญกลางบ้านและเผยแพร่เครื่องจักสาน
วัตถุประสงค ์
ในการทำบุญกลางบ้านนี้
ไม่ว่าชุมชนเชื้อชาติใดก็ตาม ก็ถือ
คติการทำบุญที่คล้าย ๆ กันคือ
รำลึกถึงภูตผี เทวดา เพื่อ
- จะอยู่ดีมีแรง
- อยู่เย็นเป็นสุข
- สะเดาะเคราะห์
- เป็นสิริมงคล
- ร่มเย็นเป็นสุข
สิ่งที่ได้จากการทำงานบุญ
กลางบ้านทางอ้อมคือ ความสามัคคี
การไต่ถามสารทุกข์สุขดิบซึ่งกันและ
กัน มีปัญหาปรึกษาช่วยกันแก้ไข
และยังทำให้มีการแลกเปลี่ยนฝีมือ
การสารเครื่องจักรสารของชาวชุมชน
การใส่บาตร จะนำที่วางบาตรไว้โดยใช้ผ้าหรือทำที่ใส่บาตร โดยนำบาตรมาวางเรียงกันไว้
พอพระสวดพาหุง 8 ทิศ ชาวบ้านเริ่มใส่บาตรได้
ขอขอบคุณข้อมูล
http://www.nmt.or.th/chon-buri/phanat-muni/Lists/2550/AllItems.aspx
การดำเนินงาน
1. ตั้งปะรำปูพื้น ขึงผ้าม่าน พื้นในบาง
แห่งปูด้วยแผ่นไม้ บางแห่งใช้เสื่อ โดยเลือก
สถานที่ที่เป็นที่ว่างกลางหมู่บ้านหรือกลาง
ท้องนา ของชาวบ้าน
2. การกำหนดสถานที่อาจเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม เช่น
บางปีน้ำท่วมขังก็ย้ายที่ใหม่
3. จัดตั้งที่พระพุทธ ที่วางบาตรน้ำมนต์ บางสถานที่จะจัดตั้งศาลเพียงตา
บางแห่งจะใช้เพียง ต้นเสา 1 ต้น วางไม้พาดเป็นตัวที เรียกว่า ศาลเทวดา
ไว้สำหรับไหว้บรรพบุรุษหรือเจ้าที่ โดยส่วนใหญ่จะทำนอกปะรำพระสงฆ์
4. ตอนเย็นนิมนต์พระ 9 รูป หรือมากกว่านี้มาสวดมนต์เย็น
จะมีการตีฆ้อง 3 ครั้งหลังจากพระสวดจบ 1 บท หลังเลิกสวดมนต์แล้ว บางแห่งก็มีบางแห่งก็ไม่มี
การเล่นคือ หมอลำ ลิเกขี้เมา รำวง
5. เช้าวันรุ่งขึ้น พระจะมาฉันเช้า ชาวบ้านจะนำข้าวหม้อ แกงหม้อ มารวม ๆ
กันตักแบ่งถวายพระ ในบางแห่งจะมีการเผาข้าวหลาม ถวายพระด้วย
6. จะมีการทำกระทงด้วยใบตองใส่ลงไปในกระทงกาบกล้วยที่ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม
ใช้กาบกล้วยตัดเป็นรูปคน หรือบางครั้งใช้ดินเหนียวปั้นเป็นรูปคนเท่าจำนวนคนในบ้านรวมไปถึง
วัว ควาย ไก่ หรือสัตว์เลี้ยงอื่นด้วย ใส่เสื้อผ้าให้ด้วย นำกระทงนี้ไว้วางที่ทิศตะวันตก ในกระ
ทงนั้นบางแห่งใส่ชิ้นพร่าปลายำ พริกแห้ง เกลือ หัวหอม ข้าวดำ ข้าวแดง เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว
ท่านจะนำน้ำมาองค์ละ 1 แก้ว ยืนเป็นวงกลม แล้วสวดมนต์กรวดน้ำราดลงไปในกระทง
บางแห่งว่าอุทิศให้คนอยู่ บางแห่งว่าอุทิศให้คนตาย เสร็จแล้วชาวบ้านจะนำไปทิ้งที่ทางสามแพร่ง
7. หลังเสร็จพิธี ชาวบ้านจะนั่งร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน โดยจะไต่ถามความเป็นอยู่
ตลอดจนแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ซึ่งกันและกัน