! คู่มือเตรียมสอบครูผู้ช่วย สังกัดการบริหารราชการส่วน ... · เพราะ ให้จัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน

! คู่มือเตรียมสอบครูผู้ช่วย “สังกัดการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น” !1

1. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 บังคับใช้เมื่อใด

ก. 20 สิงหาคม พ.ศ. 2534

ข. 21 สิงหาคม พ.ศ. 2534

ค. 4 กันยายน พ.ศ. 2534

ง. 5 กันยายน พ.ศ. 2534

2. ปัจจุบัน ใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ฉบับที่เท่่าใด

ก. ฉบับที่ 7

ข. ฉบับที่ 8

ค. ฉบับที่ 9

ง. ฉบับที่ี 10

3. ข้อใดไม่ใช่เหตุผลในการตราพระราชบัญญัติระเบียบราชการแผ่นดิน

ก. กำหนดอำนาจและหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี

ข. ไม่ให้มีการปฏิบัติงานซ้ำซ้อนกันระหว่างส่วนราชการต่าง ๆ

ค. กำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการต่าง ๆ ให้ชัดเจน

ง. เพื่อให้การบริหารงานในระดับกระทรวงมีเอกภาพ สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายที่รัฐมนตรี

กำหนด

4. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ต้องได้รับคำแนะนำและยินยอมจากใคร

ก. รัฐมนตรี

ข. นายกเทศมนตรี

ค. สภาผู้แทนราษฎร

ง. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ

5. ข้อใดไม่เป็นการบริหารราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน

ก. เพิ่มหน่วยงานที่จำเป็น

ข. ลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ลดภารกิจ

ค. ตอบสนองความต้องการของประชาชน

ง. มีประสิทธิภาพ เกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐ

WWW.KRUNOOMTUTOR.COM/FACEBOOK : ผอ.หนุ่ม ครับ/YOUTUBE : ผอ.หนุ่ม ครับ/ID LINE : Krunoomtutor62

แนวข้อสอบพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม1

http://WWW.KRUNOOMTUTOR.COM/FACEBOOK


6. การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ต้องคำนึงถึงสิ่งใด

ก. การมีส่วนร่วมของประชาชน

ข. การตรวจสอบและประเมินผล

ค. ความรับผิดชอบของผู้ปฏิบัติงาน

ง. ถูกต้องทุกข้อ

7. ข้อใดไม่ใช่การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน

ก. ระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง

ข. ระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค

ค. ระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น

ง. ระเบียบบริหารราชการส่วนประเทศ

8. การกำหนดตำแหน่งและเงินเดือน ต้องคำนึงถึงสิ่งใด

ก. คุณภาพและจำนวนคน

ข. คุณภาพและปริมาณงาน

ค. ปริมาณงานและจำนวนคน

ง. จำนวนคนและประสิทธิภาพของงาน

9. ใครเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน


ข. ผู้ช่วยรัฐมนตรี

ค. นายกรัฐมนตรี

ง. ผู้ว่าราชการจังหวัด

10. ข้อใดไม่ใช่การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง

ก. ทบวง

ข. กระทรวง

ค. สำนักงาน

ง. สำนักนายกรัฐมนตรี

11. การจัดตั้ง การรวม หรือการโอนส่วนราชการ ให้ตราเป็นอะไร

ก. ระเบียบ

ข. กฎหมาย

ค. พระราชบัญญัติ

ง. พระราชกฤษฎีกา




12. ข้อใดกล่าวผิด

ก. ให้ระบุอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการในพระราชกฤษฎีกา

ข. การจัดตั้งทบวง ให้ระบุสังกัดไว้ในพระราชบัญญัติด้วย

ค. การจัดตั้งกรมที่ไม่สังกัดส่วนกลาง ให้ระบุการไม่สังกัดในพระราชบัญญัติด้วย

ง. การรวมหรือโอนส่วนราชการ ถ้าไม่มีการกำหนดตำแหน่ง ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ

13. หน่วยงานใดมีหน้าที่ตรวจสอบดูแลการกำหนดตำแหน่งหรืออัตราของข้าราชการหรือลูกจ้าง

ที่จัดตั้งขึ้นใหม่

ก. สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวง

ข. สำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงบประมาณ

ค. สำนักคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และสำนักนายกรัฐมนตรี

ง. สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และสำนักงบประมาณ

14. การเปลี่ยนชื่อราชการส่วนกลาง ต้องจัดทำเป็นอะไร





15. การยุบส่วนราชการ ต้องจัดทำเป็นอะไร





16. ใครเป็นผู้บังคับบัญชาในสำนักนายกรัฐมนตรี


ข. ผู้ช่วยรัฐมนตรี

ค. นายกรัฐมนตรี ง. หัวหน้าสำนักงาน




17. ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล

ก. วางระเบียบปฏิบัติราชการ

ข. บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหาร

ค. แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นรองนายกรัฐมนตรี

ง. กำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดิน

18. สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับอะไร

ก. ราชการส่วนกลาง

ข. ราชการส่วนท้องถิ่น

ค. ราชการทางการเมือง


19. หน่วยงานใดมีหน้าที่เกี่ยวกับราชการของคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และราชการในพระองค์

ก. สำนักนายกรัฐมนตรี

ข. สำนักงานปลัดกระทรวง

ค. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

ง. สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

20. ใครที่ไม่ได้เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ

ก. เลขาธิการคณะรัฐมนตรี

ข. เลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ค. ผู้ช่วยเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ง. ผู้ช่วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี




ข้อ 1. ตอบ ง.

เพราะ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ให้ไว้ ณ วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2534

ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 108 / ตอนที่ 156 / ฉบับพิเศษ หน้า 1 เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2534 ใช้

บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป คือ วันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2534

ข้อ 2. ตอบ ก.

เพราะ ปัจจุบันใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2553


เพราะ เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน คือ โดยที่เป็นการจำเป็น

ต้องกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการต่าง ๆ ให้ชัดเจนเพื่อมิให้มีการปฏิบัติงานซ้ำซ้อนกันระหว่าง

ส่วนราชการต่าง ๆ และเพื่อในการบริหารงานในระดับกระทรวงมีเอกภาพ สามารถดำเนินการให้เป็นไปตาม

นโยบายที่รัฐมนตรีกำหนดได้ และสมควรเพิ่มบทบัญญัติเกี่ยวกับการมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนให้

ครบถ้วน ชัดเจน เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติราชการ และกำหนดอำนาจและหน้าที่ของผู้ว่าราชการ

จังหวัดในการควบคุมดูแลการปฏิบัติ ราชการของข้าราชการซึ่งปฏิบัติราชการในเขตจังหวัดให้เหมาะสมขึ้น

ประกอบกับประกาศของคณะปฏิวัติซึ่งเป็นกฎหมายหลักในการบริหารราชการแผ่นดินได้ประกาศใช้บังคับมานาน

แล้ว สมควรแก้ไขปรับปรุงเป็นพระราชบัญญัติเสียในคราวเดียวกัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้


เพราะพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ให้ตราขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภา

นิติบัญญัติแห่งชาติ


เพราะ การบริหารราชการตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์

ต่อภารกิจของรัฐ ความมีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐ การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การลด

ภารกิจและยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จำเป็น การกระจายภารกิจและทรัพยากรให้แก่ท้องถิ่น การกระจายอำนาจ

ตัดสินใจ การอำนวยความสะดวก และการตอบสนองความต้องการของประชาชน


เพราะ ในการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ ต้องใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

ให้คำนึงถึงความรับผิดชอบของผู้ปฏิบัติงาน การมีส่วนร่วมของประชาชน การเปิดเผยข้อมูล การติดตามตรวจ

สอบ และการประเมินผลการปฏิบัติงาน


เฉลยแนวข้อสอบพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม




เพราะ ให้จัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้

(1) ระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง

(2) ระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค

(3) ระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น

ข้อ 8. ตอบ ข.

เพราะ ให้กำหนดตำแหน่งและอัตราเงินเดือน โดยคำนึงถึงคุณภาพและปริมาณงานของส่วนราชการนั้น

ข้อ 9. ตอบ ค.

เพราะ ให้นายกรัฐมนตรี รักษาการตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534


เพราะ ให้จัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง ดังนี้

(1) สำนักนายกรัฐมนตรี

(2) กระทรวง หรือทบวง ซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากระทรวง

(3) ทบวง ซึ่งสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวง

(4) กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ซึ่งสังกัดหรือไม่สังกัดสำนักนายก

รัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง

ข้่อ 11. ตอบ ค.

เพราะ การจัดตั้ง การรวม หรือการโอนส่วนราชการ ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ


เพราะ การรวมหรือโอนส่วนราชการ ถ้าไม่มีการกำหนดตำแหน่ง ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา


เพราะ ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนและสำนักงบประมาณ มีหน้าที่ตรวจสอบดูแล มิให้

มีการกำหนดตำแหน่งหรืออัตราของข้าราชการหรือลูกจ้างของส่วนราชการที่จัดตั้งขึ้นใหม่


เพราะ การเปลี่ยนชื่อส่วนราชการ ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา


เพราะ การยุบส่วนราชการ ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา


เพราะ สำนักนายกรัฐมนตรี มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบในการกำหนด

นโยบาย เป้าหมาย และผลสัมฤทธิ์ของงานในสำนักนายกรัฐมนตรี





เพราะ นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล มีอำนาจหน้าที่ดังนี้

(1) กำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อการนี้จะสั่งให้ราชการส่วนกลางราชการส่วนภูมิภาค

และส่วนราชการซึ่งมีหน้าที่ควบคุมราชการส่วนท้องถิ่น ชี้แจงแสดงความคิดเห็น ทำรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติ

ราชการ ในกรณีจำเป็นจะยังยั้งการปฏิบัติราชการใด ๆ ที่ขัดต่อนโยบายหรือมติของคณะรัฐมนตรีก็ได้ และมี

อำนาจสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการ

ส่วนท้องถิ่น

(2) มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับการบริหารราชการของกระทรวงหรือทบวงหนึ่งหรือหลาย

กระทรวงหรือทบวง

(3) บังคับบัญชาราชการฝ่ายบริหารทุกตำแหน่งซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรม และส่วนราชการที่เรียกชื่อ

อย่างอื่นที่มีฐานะเป็นกรม

(4) สั่งให้ข้าราชการซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมหนึ่งมาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยจะให้

ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิมหรือไม่ก็ได้ ในกรณีที่ให้ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิม ให้ได้รับ

เงินเดือนในสำนักนายกรัฐมนตรีในระดับ และขั้นที่ไม่สูงกว่าเดิม

(5) แต่งตั้งข้าราชการซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมหนึ่งไปดำรงตำแหน่งของอีกกระทรวง ทบวง กรมหนึ่ง

โดยให้ได้รับเงินเดือนจากกระทรวง ทบวง กรมเดิม ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ข้าราชการซึ่งได้รับแต่งตั้งมีฐานะเสมือน

เป็นข้าราชการสังกัดกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งตนมาดำรงตำแหน่งนั้นทุกประการ แต่ถ้าเป็นการแต่งตั้งข้าราชการ

ตั้งแต่ข้าราชการตั้งแต่ตำแหน่งอธิบดีหรือเทียบเท่าขึ้นไป ต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี

(6) แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานที่ปรึกษา ที่ปรึกษา หรือคณะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี หรือเป็น

คณะกรรมการเพื่อปฏิบัติราชการใด ๆ และกำหนดอัตราเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนให้แก่ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้ง

(7) แต่งตั้งข้าราชการการเมืองให้ปฏิบัติราชการในสำนักนายกรัฐมนตรี

(8) วางระเบียบปฏิบัติราชการ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปโดยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

เท่าที่ไม่ขัดหรืิอแย้งกับพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น

(9) ดำเนินการอื่น ๆ ในการปฏิบัติตามนโยบาย


เพราะ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการทางการเมือง มีเลขาธิการนายก

รัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการ ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี





เพราะ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการของคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และ

ราชการในพระองค์ มีเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ และรับผิดชอบในการปฏฺิบัติราชการ

ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี


เพราะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และผู้ช่วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็น

ข้าราชการพลเรือนสามัญ ส่วนเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นข้าราชการการเมือง




1. พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ให้ไว้เมื่อใด

ก. 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2496

ข. 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2496

ค. 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2496

ง. 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2496

2. เทศบาล มีฐานะ ตามข้อใด

ก. กระทรวง

ข. นิติบุคคล

ค. ทบวงการเมือง

ง. หน่วยงานในชุมชน

3. ข้อใดไม่ใช่ประเภทของเทศบาล

ก. เทศบาลนคร

ข. เทศบาลเมือง

ค. เทศบาลตำบล

ง. เทศบาลจังหวัด

4. พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ต้องได้รับคำแนะนำและยินยอมจากใคร



ค. สภาผู้แทนราษฎร


5. เมื่อมีการจัดตั้งเทศบาล ให้เลือกตั้งสมาชิกเทศบาลและนายกเทศมนตรีภายในกี่วัน

ก. 15 วัน ข. 25 วัน ค. 45 วัน ง. 60 วัน

6. ในระหว่างที่ไม่มีนายกเทศมนตรี ใครเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกเทศมนตรี

ก. ปลัดอำเภอ

ข. ปลัดจังหวัด


ง. ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล


แนวข้อสอบพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม2



7. ข้อใดกล่าวถึงเทศบาลเมืองไม่ถูกต้อง

ก. เป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัด

ข. ประกาศโดยกระทรวงมหาดไทย

ค. มีราษฎรตั้งแต่หนึ่งหมื่นคนขึ้นไป

ง. การประกาศไม่ต้องระบุชื่อและเขตเทศบาล

8. เทศบาลนคร ต้องมีราษฎรตั้งแต่กี่คนขึ้นไป

ก. 10,000 คน ข. 50,000 คน

ค. 100,000 คน ง. 300,000 คน

9. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสมาชิกสภาเทศบาล

ก. สภาเทศบาลตำบล มีสมาชิก 12 คน

ข. สภาเทศบาลเมือง มีสมาชิก 18 คน

ค. สภาเทศบาลเมือง มีสมาชิก 20 คน

ง. สภาเทศบาลนคร มีสมาชิก 24 คน

10. ผู้มีสิทธิรับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล ต้องมีคุณสมบัติข้อใด

ก. มีส่วนได้ส่วนเสียกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ข. พ้นจากการเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นมา 3 ปี นับถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง

ค. พ้นจากการเป็นผู้บริหารท้องถิ่น 5 ปี นับถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง

ง. พ้นจากการเป็นคณะผู้บริหารท้องถิ่นมา 7 ปี นับถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง

11. สมาชิกสภาเทศบาล มีตำแหน่งได้คราวละกี่ปี

ก. 2 ปี ข. 3 ปี ค. 4 ปี ง. 5 ปี

12. ก่อนเข้ารับหน้าที่ สมาชิกเทศบาลต้องปฏิญาณตนต่อใคร

ก. สภาเทศบาล

ข. นายกรัฐมนตรี

ค. นายกเทศมนตรี


13. สมาชิกภาพของสมาชิกสภาเทศบาล สิ้นสุดเมื่อใด

ก. ลาออกต่อนายอำเภอ

ข. ขาดประชุมสภาเทศบาลสองครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันควร

ค. มีมติจากสมาชิกสภาเทศบาลไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามให้พ้นจากตำแหน่ง

ง. ราษฎรผู้สิทธิ์เลือกตั้งในเขตเทศบาลไม่น้อยกว่าสองในสาม ลงคะแนนเสียงถอดถอน




14. ใครเป็นผู้แต่งตั้งประธานสภาและรองประธานสภา





15. ประธานสภาและรองประธานสภา พ้นจากตำแหน่งเมื่อใด

ก. ลาออกต่อผู้ว่าราชการจังหวัด

ข. สิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกเทศบาล

ค. ได้รับคำสั่งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย


16. มติของสภาเทศบาลให้สมาชิกพ้นจากตำแหน่ง ต้องมีจำนวนสมาชิกสภาเทศบาลเท่าใด จึงจะสามารถ

ยื่นเสนอได้

ก. ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของสมาชิกสภาเทศบาลทั้งหมด

ข. ไม่น้อยกว่าสองในสามของสมาชิกสภาเทศบาลทั้งหมด

ค. ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสองของสมาชิกสภาเทศบาลทั้งหมด

ง. ไม่น้อยกว่าสามในสี่ของสมาชิกสภาเทศบาลทั้งหมด

17. ในกรณีที่ตำแหน่งประธานหรือรองประธานสภาว่างลง ต้องเลือกสมาชิกสภาขึ้นแทนภายในกี่วัน


18. หน่วยงานใดเป็นผู้วางระเบียบข้อบังคับการประชุมสภาเทศบาล

ก. กระทรวงพาณิชย์

ข. กระทรวงกลาโหม

ค. กระทรวงมหาดไทย

ง. กระทรวงศึกษาธิการ

19. ในหนึ่งปี มีสมัยประชุมสามัญกี่สมัย

ก. 2 สมัย ข. 3 สมัย ค. 4 สมัย ง. 5 สมัย

20. ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องจัดประชุมเลือกประธานสภาและรองประธานสภาภายในกี่วันนับแต่วันประกาศ

ผลการเลือกตั้ง






เพราะพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ให้ไว้ ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2496 ประกาศในราชกิจ

จานุเบกษา เล่ม 70/ตอนที่ 14/หน้า 222 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2496 ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวัน

ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป คือ วันที่ 27 กุมพาพันธ์ พ.ศ. 2496


เพราะเทศบาล เป็นทบวงการเมือง


เพราะ เทศบาล มี 3 ประเภท คือ เทศบาลตำบล เทศบาลเมือง และเทศบาลนคร


เพราะ พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ต้องได้รับคำแนะนำและยินยอมจากสภาผู้แทนราษฎร


เพราะ เมื่อมีการจัดตั้งเทศบาลตามพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายว่าด้วยสภา ตำบลและองค์การบริหาร

ส่วนตำบล ให้เลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรีตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้อง

ถิ่น ภายใน 25 วันนับแต่วันที่ได้จัดตั้งเป็นเทศบาล


เพราะ ในระหว่างที่ไม่มีนายกเทศมนตรี ให้ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันที่

จัดตั้งเทศบาลปฏิบัติหน้าที่ปลัดเทศบาล


เพราะเทศบาลเมือง ได้แก่ ท้องถิ่นอันเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัด หรือท้องถิ่นที่มีราษฎรตั้งแต่ 10,000

คนขึ้นไป ทั้งมีรายได้พอควรแก่การที่จะปฏิบัติหน้าที่ อันต้องทำตามพระราชบัญญัตินี้ และซึ่งมีประกาศกระทร

วงมหาดไทยยกฐานะเป็นเทศบาลเมือง ประกาศกระทรวงมหาดไทยนั้นให้ระบุชื่อและเขตของเทศบาลไว้ด้วย


เพราะ เทศบาลนคร ได้แก่ ท้องถิ่นชุมชนที่มีราษฎรตั้งแต่ 50,000 คนขึ้นไป ทั้งมีรายได้พอควรแก่การที่

จะปฏิบัติหน้าที่อันต้องทำตามพระราชบัญญัตินี้ และซึ่งมีประกาศกระทรวงมหาดไทยยกฐานะเป็นเทศบาลนคร

ประกาศกระทรวงมหาดไทยนั้นให้ระบุชื่อและเขตของเทศบาลไว้ด้วย


เพราะ สภาเทศบาลตำบล ประกอบด้วย สมาชิกจำนวน 10 คน สภาเทศบาลเมือง ประกอบด้วย สมาชิก

จำนวน 18 คน สภาเทศบาลนคร ประกอบด้วย สมาชิกจำนวน 24 คน


เฉลยแนวข้อสอบพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม




เพราะ ผู้มีสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล นอกจากต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม

ตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นแล้ว จะต้องไม่เป็นผู้ที่พ้นจากตำแหน่ง

สมาชิกสภาท้องถิ่นคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่นหรือที่ปรึกษาหรือเลขานุการ

ของผู้บริหารท้องถิ่น เพราะเหตุมีส่วนได้เสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำกับองค์กร

ปกครองส่วนท้องถิ่น ยังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง


เพราะ สมาชิกสภาเทศบาล ให้อยู่ในตำแหน่งได้คราวละ 4 ปีนับแต่วันเลือกตั้ง ถ้าตำแหน่งสมาชิกสภา

เทศบาลว่างลงเพราะเหตุอื่นนอกจากถึงคราวออกตามวาระหรือมีการยุบสภา ให้เลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลขึ้น

แทนตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น


เพราะ ก่อนเข้ารับหน้าที่ สมาชิกสภาเทศบาลต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมสภาเทศบาลว่าจะรักษาไว้และ

ปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งจะซื่อสัตย์สุจริตและปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของท้องถิ่น


เพราะ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาเทศบาลสิ้นสุดลง เมื่อ

(1) ถึงคราวออกตามวาระ หรือมีการยุบสภาเทศบาล

(2) ตาย

(3) ลาออก โดยยื่นหนังสือลาออกต่อผู้ว่าราชการจังหวัด

(4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น

(5) ขาดประชุมสภาเทศบาล 3 ครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร

(6) กระทำการอันต้องห้าม คืิอ เป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่เทศ

บาลนั้นเป็นคู่สัญญาหรือในกิจการที่กระทำให้แก่เทศบาลนั้น

(7) สภาเทศบาลมีมติให้พ้นจากตำแหน่ง โดยเห็นว่ามีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความ

เสื่อมเสียประโยชน์ของสภาเทศบาล โดยมีสมาชิกสภาเทศบาลจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3

ของจำนวนสมาชิกสภาเทศบาลทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เข้าชื่อเสนอให้สภาเทศบาลพิจารณา

และมติดังกล่าวต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกสภาเทศบาลทั้ง

หมดเท่าที่มีอยู่ ทั้งนี้ ให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลงนับแต่วันที่สภาเทศบาลมีมติ

(8) ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเทศบาลมีจำนวนไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือก

ตั้งที่มาลงคะแนนเสียง เห็นว่าสมาชิกสภาเทศบาลผู้ใดไม่สมควรดำรงตำแหน่งต่อไป ตาม

กฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น





เพราะ สภาเทศบาล มีประธานสภาคนหนึ่ง และรองประธานสภาคนหนึ่ง ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง

จากสมาชิกสภาเทศบาล ตามมติของสภาเทศบาล


เพราะ ประธานสภาเทศบาลและรองประธานสภาเทศบาล พ้นจากตำแหน่ง เมื่อ


(2) สิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาเทศบาล

(3) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง

(4) สภาเทศบาลมีมติให้พ้นจากตำแหน่ง โดยเห็นว่ามีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความ

เสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่งหรือสภาเทศบาล ปฏิบัติการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัส

ดิภาพของประชาชน หรือละเลยไม่ปฏิบัติการหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่

โดยมีสมาชิกสภาเทศบาลจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกสภาเทศบาล

ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เข้าชื่อเสนอให้สภาเทศบาลพิจารณาและมติดังกล่าวต้องมีคะแนนเสียงไม่

น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกสภาเทศบาลทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ทั้งนี้ ให้พ้นจาก

ตำแหน่งนับแต่วันที่สภาเทศบาลมีมติ


เพราะ สภาเทศบาลมีมติให้สมาชิกพ้นจากตำแหน่ง โดยเห็นว่ามีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความ

เสื่อมเสียหรือก่อความไม่สงบเรียบร้อยแก่เทศบาลหรือกระทำการอันเสื่อมเสียประโยชน์ของสภาเทศบาล โดยมี

สมาชิกสภาเทศบาลจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกสภาเทศบาลทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เข้าชื่อเสนอให้

สภาเทศบาลพิจารณา และมติดังกล่าวต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกสภาเทศบาลทั้ง

หมดเท่าที่มีอยู่ ทั้งนี้ ให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลงนับแต่วันที่สภาเทศบาลมีมติ


เพราะ ในกรณีที่ตำแหน่งประธานสภาเทศบาลหรือรองประธานสภาเทศบาลว่างลง เพราะเหตุใดเหตุหนึี่ง

ให้สภาเทศบาลเลือกสมาชิกสภาเทศบาลขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่างภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง


เพราะ กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้วางระเบียบข้อบังคับการประชุมสภาเทศบาลไว้


เพราะ ใน 1 ปี ให้มีสมัยประชุมสามัญ 4 สมัย สมัยประชุมสามัญครั้งแรกและวันเร่ิมประชุมสมัยสามัญ

ประจำปีให้สภาเทศบาลกำหนด





เพราะ ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องกำหนดให้สมาชิกสภาเทศบาลได้มาประชุมสภาเทศบาลครั้งแรกภายใน 15

วันนับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลครบตามจำนวนแล้ว และให้ที่ประชุมเลือกประธานสภา

เทศบาลและรองประธานสภาเทศบาล




1. พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 บังคับใช้เมื่อใด

ก. 30 ตุลาคม 2540

ข. 31 ตุลาคม 2540

ค. 1 พฤศจิกายน 2540

ง. 2 พฤศจิกายน 2540

2. ปัจจุบันใช้พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด ฉบับที่เท่าใด

ก. ฉบับที่ 1 ข. ฉบับที่ 2 ค. ฉบับที่ 3 ง. ฉบับที่ 4

3. องค์การบริหารส่วนจังหวัด สามารถเรียกค่าบริการได้ แต่ต้องทำอย่างไร

ก. ทำเป็นข้อตกลง

ข. ตั้งเป็นกฎหมาย

ค. จัดทำเป็นระเบียบ

ง. ตราเป็นข้อบัญญัติ

4. ใครเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการส่วนจังหวัด




ง.ผู้ว่าราชการจังหวัด

5. ข้อใดไม่ใช่ราชการส่วนท้องถิ่นอื่น

ก. เทศบาล

ข. สุขาภิบาล

ค. เมืองพัทยา

ง. กระทรวงมหาดไทย

6. องค์การบริหารส่วนจังหวัด ประกอบด้วยอะไรบ้าง

ก. ผู้ว่าราชการจังหวัด และรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย

ข. นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และผู้ว่าราชการจังหวัด

ค. สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด และสภาองค์การบริหารส่วนตำบล

ง. นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด


แนวข้อสอบพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 และที่แก้ไขเพิ่มเติม3



7. องค์การบริหารส่วนจังหวัด มีฐานะเป็นอะไร

ก. บริษัท ข. นิติบุคคล ค. องค์กรเอกชน ง. ห้างหุ้นส่วนจำกัด

8. สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้มาโดยวิธีการใด

ก. แต่งตั้ง ข. เลือกตั้ง

ค. จับฉลาก ง. นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลือก

9. ผู้ที่พ้นจากตำแหน่งในท้องถิ่น เป็นระยะเวลาเท่าใดไม่สามารถสมัครเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหาร

ส่วนจังหวัดได้

ก. ไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันรับสมัคร

ข. มากกว่า 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง

ค. ไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันรับเลือกตั้ง

ง. มากกว่า 5 ปี นับถึงวันรับสมัคร

10. จังหวัดใดมีราษฎรไม่เกิน 500,000 คน สามารถมีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เท่าใด

ก. 24 คน ข. 30 คน ค. 36 คน ง. 42 คน

11. ใครมีอำนาจกำกับดูแลการปฏิบัติราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ก. รัฐมนตรี ข. นายอำเภอ ค. นายกรัฐมนตรี ง. ผู้ว่าราชการจังหวัด

12. หากผลการสอบสวน ปรากฎว่า นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่

ใครมีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง

ก. รัฐมนตรี ข. นายอำเภอ ค. นายกรัฐมนตรี ง. ผู้ว่าราชการจังหวัด

13. องค์การบริหารส่วนจังหวัด ตั้งขึ้นตามกฎหมายใด

ก. พระราชบัญญัติองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น

ข. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน

ค. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด

ง. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงมหาดไทย

14. ข้อใดไม่ถูกต้อง

ก. ยาสูบ จัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นได้ไม่เกินมวนละ 10 สตางค์

ข. น้ำมันเบนซิน จัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นได้ไม่เกินลิตรละ 10 สตางค์

ค. น้ำมันดีเซล จัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นได้ไม่เกินลิตรละ 15 สตางค์

ง. ก๊าซปิโตรเลียม จัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นได้ไม่เกินกิโลกรัมละ 10 สตางค์




15. อายุของสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีกำหนดคราวละเท่าใด

ก. 1 ปี ข. 2 ปี ค. 4 ปี ง. 6 ปี

16. สมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด จะสิ้นสุดลง ยกเว้นข้อใด

ก. ยุบสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ข. ขาดการประชุมติดต่อกันเกิน 3 ครั้ง

ค. ยื่นหนังสือลาออกต่อผู้ว่าราชการจังหวัด

ง. มีมติน้อยกว่า 3 ใน 4 จากสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด

17. ตามกฎหมายว่าด้วยการถอดถอนสมาชิกหรือผู้บริหารท้องถิ่น ต้องมีจำนวนราษฎรผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

ไม่น้อยกว่าเท่าใด

ก. 3 ใน 4 ของจำนวนราษฎรผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

ข. 2 ใน 5 ของจำนวนราษฎรผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

ค. 2 ใน 3 ของจำนวนราษฎรผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

ง. 1 ใน 2 ของจำนวนราษฎรผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

18. ก่อนเข้ารับหน้าที่ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ต้องปฏิญาณตนต่อใคร


ข. นายกรัฐมนตรี

ค. ผู้ว่าราชการจังหวัด

ง. ที่ประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด

19. ใครทำหน้าที่เป็นประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด


ข. ผู้ว่าราชการจังหวัด

ค. บุคคลที่ได้รับเลือกจากสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ง. บุคคลที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดในการเลือกตั้งสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด

20. สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีรองประธานจำนวนกี่คน

ก. 1 คน ข. 2 คน ค. 3 คน ง. 4 คน





เพราะ พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 ให้ไว้ ณ วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2540

ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 114/ตอนที่ 62 ก / หน้า 1 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2540 ใช้บังคับตั้งแต่วันถัด

จากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป คือ วันที่ 1 พฤติกายน 2540


เพราะ ปัจจุบันใช้พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด ฉบันที่ 4 พ.ศ. 2552


เพราะ องค์การบริหารส่วนจังหวัด สามารถเรียกค่าบริการได้ แต่ต้องตราเป็นข้อบัญญัติ


เพราะ ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการส่วนจังหวัด

ข้อ 5 ตอบ ง.

เพราะ ราชการส่วนท้องถิ่นอื่น หมายความว่า เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล เมืองพัทยา

กรุงเทพมหานคร และราชการส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้น นอกจากองค์การบริหารส่วนจังหวัด


เพราะ องค์การบริหารส่วนจังหวัด ประกอบด้วย สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด และนายกองค์การ

บริหารส่วนจังหวัด


เพราะ ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นนิติบุคคล และเป็นราชการส่วนท้องถิ่น


เพราะ สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ประกอบด้วย สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งมาจาก

การเลือกตั้งของประชาชน ตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น


เพราะ ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด นอกจากต้องมีคุณสมบัติ

และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารแล้ว จะต้องไม่เป็นผู้ที่

พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่น คณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการ

หรือที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น เพราะเหตุมีส่วนได้เสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำกับ

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง


เฉลยแนวข้อสอบพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 และที่แก้ไขเพิ่มเติม




เพราะ การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ให้ถือเกณฑ์จำนวนราษฎรแต่ละจังหวัดตาม

หลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง

• จังหวัดใดมีราษฎรไม่เกิน 500,000 คน ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ได้ 24 คน

• จังหวัดใดมีราษฎรเกิน 500,000 คนแต่ไม่เกิน 1,000,000 คน ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา

องค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้ 30 คน

• จังหวัดใดมีราษฎรเกิน 1,000,000 คนแต่ไม่เกิน 1,500,000 คน ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา


• จังหวัดใดมีราษฎรไม่เกิน 1,500,000 คนแต่ไม่เกิน 2,000,000 คน ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา


• จังหวัดใดมีราษฎรเกิน 2,000,000 คนขึ้นไป ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน

จังหวัด ได้ 48 คน


เพราะ ผู้ว่าราชการจังหวัด มีอำนาจกำกับดูแลการปฏิบัติราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัด


เพราะ หากผลการสอบสวน ปรากฎว่า นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจ

หน้าที่ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอให้รัฐมนตรีใช้ดุลยพินิจ สั่งพ้นจากตำแหน่ง คำสั่งของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด


เพราะ องค์การบริหารส่วนจังหวัด จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ.

2498

ข้อ 14 ตอบ ค.

เพราะ องค์การบริหารส่วนจังหวัด มีอำนาจออกข้อบัญญัติเก็บภาษีบำรุงองค์การบริหารส่วนจังหวัดจาก

การค้าในเขตจังหวัด ดังนี้

(1) น้ำมันเบนซิน และน้ำมันที่คล้ายกัน น้ำมันดีเซล และน้ำมันที่คล้ายกัน หรือ ก๊่าซปิโตรเลียมที่ใช้เป็น

เชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ โดยจัดเก็บเพิ่มขึ้นได้ไม่เกินลิตรละสิบสตางค์สำหรับน้ำมัน และกิโลกรัมละไม่เกินสิบ

สตางค์สำหรับก๊าซปิโตรเลียม

(2) ยาสูบ โดยจัดเก็บเพิ่มขึ้นได้ไม่เกินมวนละสิบสตางค์





เพราะ อายุของสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีกำหนดคราวละ 4 ปีนับแต่วันเลือกตั้ง


เพราะ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด สิ้นสุดลงเมื่อ

(1) ถึงคราวออกตามอายุของสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือมีการยุบสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด

(2) ตาย


(4) ขาดประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด 3 ครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร

(5) เป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนั้นเป็นคู่สัญญา

หรือในกิจการที่กระทำให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนั้น หรือที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนั้นจะกระทำ

(6) ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง

(7) สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีมติให้พ้นจากตำแหน่ง โดยเห็นว่ามีความประพฤติในทางที่จะนำมา

ซึ่งความเสื่อมเสียหรือก่อความไม่สงบเรียบร้อยแก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยมีสมาชิกสภาองค์การบริหาร

ส่วนจังหวัดทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เข้าชื่อเสนอให้สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจารณา และมติดังกล่าวต้องมี

คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ทั้งนี้

ให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลงนับแต่วันที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดมีมติ

(8) ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีจำนวนไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนผู้มี

สิทธิเลือกตั้งที่มาลงคะแนนเสียง เห็นว่าสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดผู้ใดไม่สมควรดำรงตำแหน่งต่อไป

ตามกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น


เพราะ ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีจำนวนไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของ

จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาลงคะแนนเสียง เห็นว่าสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดผู้ใดไม่สมควรดำรง

ตำแหน่งต่อไป ตามกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น

ข้อ 18 ตอบ ง.

เพราะ ก่อนเข้ารับหน้าที่ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมสภาองค์การ

บริหารส่วนจังหวัดว่า จะรักษาไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จะซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติ

หน้าที่เพื่อประโยชน์ของประชาชน

ข้อ 19 ตอบ ค.

เพราะ ให้สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลือกสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นประธานสภา

องค์การบริหารส่วนจังหวัด จำนวน 1 คน





เพราะ ให้สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลือกสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นรองประธาน

สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด จำนวน 2 คน




1. พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 บังคับใช้ เมื่อใด

ก. วันที่รับราชโองการ

ข. วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ค. วันที่ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ง. พ้นกำหนด 90 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

2. พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 ต้องได้รับคำแนะนำ และ

ยินยอมจากใคร

ก. รัฐสภา

ข. รัฐมนตรี

ค. นายกเทศมนตรี

ง. สภาผู้แทนราษฎร

3. ข้อใดไม่ใช่หน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น

ก. เทศบาล

ข. สุขาภิบาล

ค. ราชการส่วนท้องถิ่นอื่น

ง. องค์การบริหารส่วนจังหวัด

4. ใครเป็นผู้รักษาการพระราชบัญญัติสภาตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537

ก. นายกรัฐมนตรี

ข. รองนายกรัฐมนตรี

ค. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ง. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

5. ใครไม่เป็นสมาชิกสภาตำบล

ก. กำนัน

ข. ปลัดตำบล

ค. ผู้ใหญ่บ้าน

ง. แพทย์ประจำตำบล

6. สมาชิกสภาตำบลที่มาจากการเลือกตั้งจากราษฎรในแต่ละหมู่บ้าน กำหนดให้มีกี่คน

ก. หนึ่งคน ข. สองคน ค. สามคน ง. ห้าคน


แนวข้อสอบพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม4



7. ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของผู้รับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาตำบล

ก. ไม่มีส่วนได้เสียกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ข. มีชื่อในทะเบียนบ้านติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปีจนถึงวันรับสมัคร

ค. ไม่มีลักษณะต้องห้ามเช่นเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น

ง. พ้นจากตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นเพราะทุจริตยังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันรับสมัคร

8. สมาชิกสภาตำบล มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละกี่ปี นับแต่วันเลือกตั้ง

ก. 2 ปี ข. 3 ปี ค. 4 ปี ง. 5 ปี

9. สมาชิกสภาตำบล จะพ้นจากตำแหน่ง ยกเว้นข้อใด

ก. ลาออกต่อผู้ว่าราชการจังหวัด

ข. ผู้ว่าราชการสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง

ค. ขาดการประชุมติดต่อกัน 3 ครั้งโดยไม่มีเหตุอันควร

ง. มีมติจากสภาตำบลไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกตำบลที่มีอยู่

10. เมื่อสมาชิกสภาตำบลว่างลง เนื่องจากครบวาระ ต้องเลือกตั้งใหม่ ภายในกี่วัน


11. เมื่อสมาชิกสภาตำบลว่างลง เนื่องจากเหตุผลอื่นนอกจากครบวาระ ต้องเลือกตั้งใหม่


12. ข้อใดกล่าวผิด

ก. สภาตำบล มีกำนันเป็นประธานสภาตำบล

ข. รองประธานสภาตำบลมาจากการเลือกตั้ง

ค. รองประธานมีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี

ง. สภาตำบลมีรองประธานมาจากการแต่งตั้งของนายอำเภอ

13. การประชุมสภาตำบล ต้องประชุมไม่น้อยกว่าเดือนละกี่ครั้ง

ก. 1 ครั้ง ข. 2 ครั้ง ค. 3 ครั้ง ง. 4 ครั้ง

14. เลขานุการสภาตำบล ได้มาโดยวิธีการใด

ก. เลือกตั้ง

ข. โดยตำแหน่ง

ค. สรรหาจากผู้มีประสบการณ์

ง. แต่งตั้งจากข้าราชการในตำบล




15. สมาชิกสภาตำบล และเลขานุการสภาตำบล มีฐานะเป็นอะไร

ก. ข้าราชการ

ข. พนักงานราชการ

ค. เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

ง. เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายแรงงาน

16. ข้อใดเป็นหน้าที่ของสภาตำบล

ก. ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายกำหนด

ข. พัฒนาตำบลตามแผนงานโครงการ

ค. เสนอแนะส่วนราชการในการพัฒนาตำบล

ง. ถูกทุกข้อ

17. ข้อใดที่สภาตำบลไม่อาจดำเนินการภายในตำบลได้

ก. จัดให้มีตลาดเพื่อการซื้อขาย

ข. จัดให้มีน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค

ค. จัดให้มีและรักษาทางระบายน้ำ

ง. ส่งเสริมพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ

18. ใครไม่มีอำนาจในการทำนิติกรรมของสภาตำบล

ก. สมาชิกสภาตำบล

ข. ที่ปรึกษาสภาตำบล

ค.ประธานสภาตำบล

ง. เลขานุการสภาตำบล

19. ใครเป็นผู้กำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของสภาตำบล

ก. กำนัน

ข. นายอำเภอ


ง. ประธานสภาตำบล

20. สภาตำบลมีรายได้ติดต่อกัน 3 ปี ไม่ต่ำกว่าเท่าไร จึงจะตั้งเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลได้

ก. 100,000 บาท ข. 150,000 บาท

ค. 200,000 บาท ง. 250,000 บาท





เพราะ พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนบุคคล พ.ศ. 2537 ให้ไว้ ณ วันที่ 26

พฤศจิกายน พ.ศ. 2537 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 111/ตอนที่ 53 ก/หน้า 11 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม

2537 ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 90 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป


เพราะ พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 ต้องได้รับคำแนะนำ และ

ยินยอมของรัฐสภา


เพราะ หน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น หมายความว่า เทศบาล สุขาภิบาล และราชการส่วนท้องถิ่น

อื่น ที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้น แต่ไม่รวมถึงองค์การบริหารส่วนจังหวัด


เพราะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหาร

ส่วนตำบล พ.ศ. 2537


เพราะ สภาตำบล ประกอบด้วย สมาชิกโดยตำแหน่ง ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านของทุกหมู่บ้านในตำบล

แพทย์ประจำตำบล และสมาชิกซึ่งได้รับเลือกตั้งจากราษฎรในแต่ละหมู่บ้านในตำบลนั้นเป็นสมาชิกตำบลหมู่บ้าน

ละ 1 คนฃ


เพราะ สมาชิกซึ่งได้รับเลือกตั้งจากราษฎรในแต่ละหมู่บ้านในตำบลนั้น เป็นสมาชิกสภาตำบลหมู่บ้านละ 1

คนข้อ 7. ตอบ ง.

เพราะ ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาตำบล ซึ่งได้รับเลือกตั้ง ต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะ

ต้องห้าม ดังนี้

(1) มีชื่อในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรในหมู่บ้านของตำบลที่สมัคร

รับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปีจนถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง

(2) ไม่เป็นผู้มีพฤติกรรมในทางทุจริต หรือพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาตำบลสมาชิกสภาท้องถิ่น

คณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น หรือที่ปรึกษาหรือ

เลขานุการของผู้บริหารท้องถิ่น เพราะเหตุที่มีส่วนได้เสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมใน


เฉลยแนวข้อสอบพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม



สัญญาหรือกิจการที่กระทำกับสภาตำบลหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยังไม่ถึง 5 ปี

นับถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง

(3) มีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามประการอื่นเช่นเดียวกับผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตาม

กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น


เพราะ สมาชิกสภาตำบล ซึ่งได้รับเลือกตั้ง มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี นับแต่วันเลือกตั้ง


เพราะ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ สมาชิกสภาตำบลซึ่งได้รับเลือกตั้งพ้นจากตำแหน่งด้วย

เหตุในเหตุหนึ่ง ดังนี้

(1) ตาย

(2) ลาออกโดยยื่นหนังสือลาออกต่อนายอำเภอ ในกรณีเช่นนี้ให้ถือว่าพ้นจากตำแหน่งนับแต่วัน

ลาออก

(3) มีการยุบสภาตำบล

(4) เป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญากับสภาตำบลที่ตนดำรงตำแหน่งหรือ

ในกิจการที่กระทำให้แก่สภาตำบลนั้น

(5) สภาตำบลมีมติให้พ้นจากตำแหน่งโดยเห็นว่ามีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความเสื่อม

เสียประโยชน์ของตำบล มติดังกล่าวต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวน

สมาชิกสภาตำบลทั้งหมดเท่าที่มีอยู่

(6) นายอำเภอสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง เมื่อได้สอบสวนแล้วปรากฎว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมี

ลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 9 หรือมิได้อยู่ประจำในหมู่บ้านที่ได้รับเลือก

ตั้งเป็นเวลาติดต่อกันเกิน 6 เดือน หรือขาดการประชุมสภาตำบลติดต่อกัน 3 ครั้ง โดยไม่มี

เหตุผลอันสมควร

(7) ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง เมื่อได้สอบสวนแล้วปรากฎว่าบกพร่องในทาง

ความประพฤติ


เพราะ เมื่อตำแหน่งสมาชิกสภาตำบล ซึ่งได้รับเลือกตั้งว่างลง เพราะครบวาระการดำรงตำแหน่ง ให้มีการ

เลือกตั้งภายใน 45 วันนับแต่วันที่ครบวาระ





เพราะ เมื่อตำแหน่งสมาชิกสภาตำบล ซึ่งได้รับเลือกตั้งว่างลง เพราะเหตุอื่นใด นอกจากครบวาระ ให้มี

การเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างภายใน 60 วันนับแต่วันที่ตำแหน่งนั้นว่างลง เว้นแต่วาระการดำรงตำแหน่งที่เหลือ

อยู่ไม่ถึง 180 วัน ให้สภาตำบลประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มีอยู่


เพราะ สภาตำบล มีกำนันเป็นประธานตำบล และมีรองประธานสภาตำบลคนหนึ่ง ซึ่งนายอำเภอแต่งตั้ง

จากสมาชิกสภาตำบลตามมติของสภาตำบล รองประธานสภาตำบล มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี


เพราะ ให้มีการประชุมสภาตำบลไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง การประชุมต้องมีสมาชิกสภาตำบลมา

ประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาตำบลทั้งหมดเท่าที่มีอยู่จึงจะเป็นองค์ประชุม


เพราะ สภาตำบล มีเลขานุการสภาตำบลคนหนึ่ง ซึ่งแต่งตั้งจากข้าราชการที่ปฏิบัติงานในตำบลนั้นหรือ

จากบุคคลอื่นที่มีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้าม


เพราะ สมาชิกสภาตำบล และเลขานุการสภาตำบล เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา


เพราะ สภาตำบล อาจดำเนินกิจการภายในตำบล ดังนี้

(1) จัดให้มีน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และการเกษตร

(2) จัดให้มีและบำรุงรักษาทางน้ำและทางบก

(3) จัดให้มี และรักษาทางระบายน้ำ และรักษาความสะอาดของถนน ทางน้ำ ทางเดิน และ

ที่สาธารณะ รวมทั้งการกำจัดมูลฝอย และสิ่งปฏิกูล

(4) คุ้มครองดูแลและบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม

(5) บำรุงและส่งเสริมการประกอบอาชีพของราษฎร

(6) ส่งเสริมการพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ และผู้พิการ


เพราะ สภาตำบล อาจดำเนินกิจการภายในตำบล ดังนี้

(1) จัดให้มีน้ำเพื่อการบริโภค บริโภค และการเกษตร

(2) จัดให้มี และบำรุงรักษาทางน้ำ และ ทางบก

(3) จัดให้มี และรักษาทางระบายน้ำ และรักษาความสะอาดของถนน ทางน้ำ ทางเดิน และที่

สาธารณะ รวมทั้งการกำจัดมูลฝอย และสิ่งปฏิกูล




(4) คุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม

(5) บำรุง และส่งเสริมการประกอบอาชีพของราษฎร

(6) ส่งเสริมการพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ และผู้พิการ


เพราะ ในการทำนิติกรรมของสภาตำบล ให้ประธานสภาตำบล เลขานุการสภาตำบล และสมาชิกสภา

ตำบลอีก 1 คน ร่วมกันมีอำนาจกระทำการแทนสภาตำบล ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย


เพราะ นายอำเภอ มีอำนาจกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของสภาตำบลให้เป็นไปตามกฎหมาย และ

ระเบียบข้อบังคับของทางราชการ


เพราะ สภาตำบล ที่มีรายได้โดยไม่รวมเงินอุดหนุนในปีงบประมาณที่ล่วงมาติดต่อกัน 3 ปี เฉลี่ยไม่ตต่ำ

กว่าปีละ 150,000 บาท หรือตามเกณฑ์รายได้เฉลี่ยอาจจัดตั้งเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลได้ โดยทำเป็น

ประกาศของกระทรวงมหาดไทย และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ในประกาศนั้นให้ระบุชื่อ และเขต

ขององค์การบริหารส่วนตำบลไว้ด้วย




1. พระราชบัญญัติระเบียบราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2542 ให้ไว้เมื่อใด

ก. 16 พฤศจิกายน 2542

ข. 17 พฤศจิกายน 2542



2. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา มีบทบัญญัติบางประการ เกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและ

เสรีภาพของบุคคลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ยกเว้น มาตราใด

ก. มาตรา 29 ข. มาตรา 35 ค. มาตรา 48 ง. มาตรา 53

3. การบริหารเมืองพัทยา ประกอบด้วยอะไรบ้าง

ก. รัฐมนตรี และสมาชิก

ข. ประชากร และผู้ว่าราชการจังหวัด

ค. สภาเมืองพัทยา และนายกเมืองพัทยา

ง. นายกเมืองพัทยา และสมาชิกเมืองพัทยา

4. สภาเมืองพัทยา มีสมาชิกจำนวนกี่คน

ก. 12 คน ข. 15 คน ค. 22 คน ง. 24 คน

5. ใครที่มีสิทธิ์เลือกตั้งสมาชิกสภาเมืองพัทยา

ก. ผู้ที่แปลงสัญชาติไทยมาแล้วน้อยกว่า 5 ปี

ข. มีสัญชาติอเมริกัน แต่เปลี่ยนเป็นสัญชาติไทยมาแล้ว 6 ปี

ค. มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านน้อยกว่า 180 วันนับถึงวันเลือกตั้ง

ง. มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 1 มกราคมของปีที่มีการเลือกตั้ง

6. ผู้ที่มีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเมืองเทศบาล ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่ากี่ปี

ก. 25 ปีในวันรับสมัคร

ข. 25 ปีในวันเลือกตั้ง

ค. 25 ปีในวันปิดรับการสมัคร

ง. 25 ปีในวันประกาศผลการเลือกตั้ง

7. สภาเมืองพัทยา มีกำหนดคราวละกี่ปี

ก. 2 ปี ข. 3 ปี ค. 4 ปี ง. 5 ปี


แนวข้อสอบพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 25425



8. สมาชิกภาพของสมาชิกเมืองพัทยา จะสิ้นสุดลงเมื่อใด

ก. ลาออกต่อประธานสภาเมืองพัทยา

ข. ขาดการประชุมเกิน 2 ครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันควร

ค. มีมติจากสมาชิกสภาเมืองพัทยาน้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่


9. เมื่อตำแหน่งของสมาชิกสภาเมืองพัทยาว่างลง กรณีใดไม่ต้องมีการเลือกตั้งแทน

ก. มีอายุสภาไม่ถึง 180 วัน

ข. มีอายุสภาไม่ถึง 150 วัน

ค. มีอายุสภาไม่ถึง 120 วัน

ง. มีอายุสภาไม่ถึง 100 วัน

10. ประธานสภาเมืองพัทยา ได้มาโดยวิธีการใด

ก. การคัดสรร ข. การแต่งตั้ง

ค. การเลือกตั้ง ง. การลงคะแนน

11. ใครสามารถเป็นเลขานุการสภาเมืองพัทยาได้

ก. ปลัดเมืองพัทยา

ข. นายกเมืองพัทยา

ค. ประธานเมืองพัทยา

ง. เลขานุการเมืองพัทยา

12. ผู้ว่าราชการจังหวัดเรียกประชุมสภาเมืองพัทยาครั้งแรกภายในกี่วันนับแต่วัน เลือกตั้งสมาชิก


13. สมัยประชุมสามัญ มีกำหนดกี่วัน


14. สมัยประชุมวิสามัญ มีกำหนดกี่วัน


15. นายกเมืองพัทยา ได้มาโดยวิธีการใด

ก. การแต่งตั้ง ข. การสรรหา ค. การคัดเลือก ง. การเลือกตั้ง




16. ใครที่สามารถสมัครรับเลือกตั้ง เป็นนายกเมืองพัทยาได้

ก. มีสัญชาติอื่น

ข. สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรี

ค. มีชื่อในทะเบียนบ้านมากกว่าหนึ่งปีนับถึงวันสมัคร

ง. มีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปีบริบูรณ์ในวันประกาศผลการเลือกตั้ง

17. เมื่อตำแหน่งนายกเมืองพัทยาว่างลง ต้องมีการเลือกตั้งขึ้นใหม่ภายในกี่วัน


18. รองนายกเมืองพัทยา มีได้ไม่เกินกี่คน

ก. 1 คน ข. 2 คน ค. 3 คน ง. 4 คน

19. ใครมีหน้าที่ควบคุม และรับผิดชอบในการบริหารกิจการของ

ก. ปลัดเมืองพัทยา

ข. นายกเมืองพัทยา


ง. เลขานุการสภาเมืองพัทยา

20. เมืองพัทยา มีอำนาจหน้าที่อย่างไร

ก. การรักษาความสงบเรียบร้อย

ข. การส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ

ค. การคุ้มครองและดูแลรักษาทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน






เพราะ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2542 ให้ไว้ ณ วันที่ 19 พฤศกายน พ.ศ.

2542 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 / ตอนที่ 120 ก / หน้า 21 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2542 ใช้

บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป คือ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2542


เพราะ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิ

และเสรีภาพของบุคคลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 29 ประกอบกับ มาตรา 35 และมาตรา 48


เพราะ การบริหารเมืองพัทยา ประกอบด้วย

(1) สภาเมืองพัทยา

(2) นายกเมืองพัทยา


เพราะ สภาเมืองพัทยา ประกอบด้วย สมาชิกจำนวน 24 คน ซึ่งเลือกตั้งโดยราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขต

เมืองพัทยา


เพราะ บุคคลผู้มีคุณสมบัติ ดังนี้ เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิก

(1) มีสัญชาติไทย แต่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ต้องได้สัญชาติไทยมาแล้ว

ไม่น้อยกว่า 5 ปี

(2) มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ 1 มกราคมของปีที่มีการเลือกตั้ง

(3) มีชื่อยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเมืองพัทยาเป็นเวลาติดต่อกัน ไม่น้อยกว่า 180 วันนับถึง

วันเลือกตั้ง


เพราะ บุคคลผู้มีคุณสมบัติ ดังนี้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก

(1) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด

(2) มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง

(3) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเมืองพัทยาเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปีนับถึงวันสมัคร

รับเลือกตั้ง หรือเป็นผู้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเมืองพัทยาในวันสมัครรับเลือกตั้ง และ


เฉลยแนวข้อสอบพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2542



ได้เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรียน และที่ดินหรือกฎหมายว่าด้วยภาษีบำรุงท้องที่

ให้เมืองพัทยาในปีที่สมัคร หรือในปีก่อนปีที่สมัคร 1 ปี


เพราะ อายุของสภาเมืองพัทยา มีกำหนดคราวละ 4 ปีนับแต่วันเลือกตั้ง


เพราะ สมาชิกภาพของสมาชิกเมืองพัทยา สิ้นสุดลงเมื่อ

(1) ถึงคราวออกตามอายุของสภาเมืองพัทยาหรือมีการยุบสภาเมืองพัทยา

(2) ตาย

(3) ลาออก โดยยื่นหนังสือลาออกต่อประธานสภาเมืองพัทยา

(4) กระทำการอันต้องห้ามตามมาตรา 18

(5) ขาดคุณสมบัติตามมาตรา 12 หรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 13

(6) ขาดประชุมสภาเมืองพัทยา 3 ครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร

(7) สภาเมืองพัทยามีมติให้พ้นจากตำแหน่ง เพราะมีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความ

เสื่อมเสียหรือก่อความไม่สงบเรียบร้อยแก่เมืองพัทยา หรือกระทำการอันเสื่อมเสียประโยชน์

ของสภาเมืองพัทยา โดยมีสมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกเท่าที่อยู่เข้า

ชื่อเสนอให้สภาเมืองพัทยา พิจารณา และมติ ดังกล่าวต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน

4 ของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ ทั้งนี้ให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลงนับแต่วันที่สภาเมืองพัทยามีมติ

(8) ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเมืองพัทยาได้ลงคะแนนเสียงให้พ้นจากตำแหน่งตามกฎหมาย

ว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น


เพราะ เมื่อตำแหน่งสมาชิกว่างลง ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่างภายใน 45 วันนับแต่วันที่

ตำแหน่งนั้นว่างลง เว้นแต่ อายุของสภาเมืองพัทยาเหลืออยู่ไม่ถึง 180 วัน


เพราะ ให้สภาเมืองพัทยาเลือกสมาชิกเป็นประธานสภาเมืองพัทยา จำนวน 1 คน และรองประธานสภา

เมืองพัทยา จำนวน 2 คน แล้วเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง


เพราะ บุคคลซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา หรือผู้ช่วยเลขานุการประธาน

สภาเมืองพัทยา ต้องมิใช่รองนายกเมืองพัทยา เลขานุการนายกเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา

ประธานที่ปรึกษาหรือที่ปรึกษา ให้ปลัดเมืองพัทยาทำหน้าที่เลขานุการสภาเมืองพัทยา มีหน้าที่รับผิดชอบ

งานธุรการ และการจัดประชุม และงานอื่นใดตามที่สภาเมืองพัทยามอบหมาย





เพราะ ภายใน 15 วันนับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเรียก

ประชุมสภาเมืองพัทยาครั้งแรก


เพราะ ในปีปฏิทินหนึ่งให้มีสมัยประชุมสามัญของสภาเมืองพัทยา ไม่น้อยกว่า 2 สมัยแต่ต้องไม่เกิน 4

สมัย จำนวนสมัยประชุมสามัญ และวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีแต่ละสมัยให้สภาเมืองพัทยากำหนด แต่

สภาเมืองพัทยาจำกำหนดจำนวนสมัยประชุมสำหรับปีแรกเป็นการเฉพาะก็ได้ สมัยประชุมสามัญให้มีกำหนด 30

วัน แต่ถ้ามีกรณีจำเป็น สภาเมืองพัทยาจะมีมติขยายสมัยประชุมสามัญออกไปอีกก็ได้ แต่ต้องไม่เกิน 30 วัน


เพราะ สมัยประชุมวิสามัญ ให้มีกำหนด 15 วัน


เพราะ ให้เมืองพัทยา มีนายกเมืองพัทยา 1 คน ซึ่งเลือกตั้งโดยราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเมืองพัทยา


เพราะ บุคคลผู้มีคุณสมบัติ ดังนี้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเมืองพัทยา

(1) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด

(2) มีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง

(3) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

(4) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเมืองพัทยา เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปีนับถึงวันสมัคร

รับเลือกตั้ง หรือเป็นผู้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเมืองพัทยาในวันสมัครรับเลือกตั้ง และ

ได้เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือน และที่ดิน หรือกฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือน

และที่ดิน หรือกฎหมายว่าด้วยภาษีบำรุงท้องที่ ให้เมืองพัทยาในปีที่สมัคร หรือในปีก่อนปีที่

สมัคร 1 ปี


เพราะ เมื่อนายกเมืองพัทยาพ้นจากตำแหน่ง ให้จัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นใหม่ ภายใน 45 วันนับแต่วันที่พ้น

จากตำแหน่ง


เพราะ นายกเมืองพัทยา อาจแต่งตั้งรองนายกเมืองพัทยาจำนวนไม่เกิน 4 คน ซึ่งมิใช่สมาชิกเป็นผู้ช่วย

เหลือในการบริหารราชการของเมืองพัทยา ตามที่นายกเมืองพัทยามอบหมาย





เพราะ นายกเมืองพัทยา มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้

(1) กำหนดนโยบาย และรับผิดชอบในการบริหารราชการของเมืองพัทยาให้เป็นไปตาม

กฎหมาย ข้อบัญญัติ และนโยบาย

(2) สั่ง อนุญาต และอนุมัติเกี่ยวกับราชการของเมืองพัทยา

(3) แต่งตั้ง และถอดถอนรองนายกเมืองพัทยา เลขานุการนายกเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการ

นายกเมืองพัทยา ประธานที่ปรึกษา ที่ปรึกษา หรือคณะที่ปรึกษา

(4) วางระเบียบเพื่อให้งานของเมืองพัทยาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

(5) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือผู้ว่าราชการจังหวัด

มอบหมาย หรือตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของนายกเมืองพัทยา หรือ

นายกเทศมนตรี หรือคณะเทศมนตรี


เพราะ เมืองพัทยา มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการในเขตเมืองพัทยา ในเรื่อง ดังนี้

(1) การรักษาความสงบเรียบร้อย

(2) การส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ

(3) การคุ้มครอง และดูแลรักษาทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

(4) การวางผังเมือง และการควบคุมการก่อสร้าง

(5) การจัดการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย และการปรับปรุงแหล่งเสื่อมโทรม

(6) การจัดการจราจร

(7) การรักษาความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง

(8) การกำจัดมูลฝอย และสิ่งปฏิกูล และการบำบัดน้ำเสีย

(9) การจัดให้มีน้ำสะอาด หรือการประปา

(10) การจัดให้มีการควบคุมตลาด ท่าเทียบเรือ และที่จอดรถ

(11) การควบคุมอนามัย และความปลอดภัยในร้านจำหน่ายอาหาร โรงมหรสพ และ

สถานบริการอื่น

(12) การควบคุม และส่งเสริมกิจการท่องเที่ยว

(13) การบำรุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น

(14) อำนาจหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นของเทศบาลนครหรือของเมืองพัทยา




1. พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542

บังคับใช้เมื่อใด





2. อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เดิมใช้คำว่าอะไร

ก. อธิบดีส่วนท้องถิ่น

ข. อธิบดีกรมปกครอง

ค. อธิบดีการปกครอง

ง. อธิบดีกรมการปกครอง

3. ปัจจุบัน ใครไม่ได้เป็นผู้รักษาพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กร

ปกครองส่วนท้องถิ่น

ก. นายอุตตม สาวนายน

ข. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา

ค. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ง. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน

4. การใช้พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์ปกครองส่วนท้องถิ่น

พ.ศ. 2542 สอดคล้องกับมาตราใดในรัฐธรรมนูญ

ก. มาตรา 284 ข. มาตรา 289

ค. มาตรา 293 ง. มาตรา 300

5. ใครเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542

ก. นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ข. นายชวน หลีกภัย

ค. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์

ง. นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร


แนวข้อสอบพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่


6



6. ปัจจุบัน ใครเป็นประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ก. นายวิษณุ เครืองาม

ข. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์

ค. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ง. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา

7. คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ประกาศ ยกเลิกสิ่งใด

ก. งบประมาณสนับสนุนการศึกษา

ข. การบำรุงซ่อมแซมสาธารณสมบัติ

ค. หลักเกณฑ์ในการบริการสาธารณะ

ง. การอำนวยความสะดวกในที่สาธารณะ

8. พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2549

(ฉบับที่ 2) บังคับใช้เมื่อใด

ก. วันที่ให้ไว้

ข. วันที่รับราชโองการ

ค. วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ง. วันที่ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

9. ใครเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2549 (ฉบับที่ 2)

ก. นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ข. นายชวน หลีกภัย


ง. นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

10. การใช้พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

พ.ศ. 2549 (ฉบับที่ 2) มีจุดประสงค์ใด

ก. เพื่อปรับปรุงสัดส่วนรายได้

ข. เพื่อวางแผนการดำเนินงาน

ค. เพื่อกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ง. เพื่อกำหนดมาตรฐานในการปกครองส่วนท้องถิ่น




11. การตราพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ต้องได้รับคำแนะนำ และยินยอมจากใคร

ก. รัฐสภา

ข. รัฐมนตรี


ง. กรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

12. ข้อใดไม่ใช่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ก. เมืองพัทยา หมู่บ้าน

ข. เทศบาล กรุงเทพมหานคร

ค. โรงพยาบาล สถานีตำรวจ

ง. องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล

13. ใครเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครอง

ส่วนท้องถิ่น


ข. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ค. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย


14. ก.ถ. คืออะไร

ก. คณะกรรมการการส่วนท้องถิ่น

ข. คณะกรรมการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ค. คณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ง. คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

15. คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์ปกครองส่วนท้องถิ่น มีจำนวนทั้งหมดกี่คน

ก. 15 คน ข. 27 คน ค. 37 คน ง. 40 คน

16. ใครเป็นประธานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ก. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

ข. นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ค. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ง. นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย




17. ใครเป็นเลขานุการคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ก. เลขาธิการ ก.พ.

ข. ปลัดกระทรวงมหาดไทย

ค. ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ง. หัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

18. คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

กี่คน

ก. 10 คน ข. 11 คน ค. 12 คน ง. 22 คน

19. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ก. มีผู้บริหารเทศบาล 2 คน

ข. มีผู้บริหารองค์กรส่วนจังหวัด 2 คน

ค. มีผู้บริหารองค์กรส่วนตำบล 4 คน

ง. มีผู้บริหารกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา หรือ อื่น ๆ 2 คน

20. ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่จำเป็นต้องมี

ความรู้ในเรื่องใด

ก. ด้านกฎหมาย

ข. ด้านการศึกษา

ค. ด้านเศรษฐศาสตร์

ง. ด้านการพัฒนาท้องถิ่น





เพราะ พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.

2542 ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป คือ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2542


เพราะ ในพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ให้แก้ไขคำว่า อธิบดีกรมการปกครอง เป็น อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น


เพราะ ให้นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม


เพราะ ในมาตรา 284 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้บัญญัติให้มีกฎหมายกำหนดแผนและ

ขั้นตอนการกระจายอำนาจเพื่อพัฒนาการกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


เพราะ นายชวน หลีกภัย เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอน

การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542


เพราะ ปัจจุบัน นายวิษณุ เครืองาม เป็นประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน

ท้องถิ่น


เพราะ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ประกาศยกเลิกหลักเกณฑ์

การสนับสนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลองค์การบริหารส่วนตำบลในการให้บริการสาธารณะ


เพราะ พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.

2549 (ฉบับที่ 2) บังคับใช้วันที่ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา


เฉลยแนวข้อสอบพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่





เพราะ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการพระราชบัญญัติกำหนดแผนและ

ขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2549 (ฉบับที่ 2)


เพราะ เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กร

ปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2549 (ฉบับที่ 2) คือ ได้แก้ไขเพ่ิมเติมการกำหนดสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครอง

ส่วนท้องถิ่น ให้เป็นไปตามสภาพข้อเท็จจริงนั้น และยังคงเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วน

ท้องถิ่นให้ได้รับไม่น้อยกว่าร้อยละ 35 ไว้เช่นเดิม


เพราะ พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้อง

ได้รับคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา


เพราะ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หมายความว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลองค์การบริหาร

ส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้ง


เพราะ ให้นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษา

การตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น


เพราะ ก.ถ. คือ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น


เพราะ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย

(1) นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธาน

(2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงมหาด

ไทย ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข

เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการ ก.พ. เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการ

เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานงบประมาณ และอธิบดีกรมส่งเสริม

การปกครองท้องถิ่น

(3) ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 12 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารองค์การบริหาร

ส่วนจังหวัด 2 คน ผู้บริหารเทศบาล 3 คน ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบล 5 คน และผู้

บริหารกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารเมืองพัทยา หรือผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่




มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นรวม 2 คน ทั้งนี้ โดยให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละ

ประเภทเลือกกันเอง ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่นายกรัฐมนตรีกำหนด

(4) ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 12 คน ประกอบด้วย บุคคลซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านการ

บริหารราชการแผ่นดิน ด้านการพัฒนาท้องถิ่น ด้านเศรษฐศาสตร์ ด้านการปกครองส่วน

ท้องถิ่นในสาขารัฐศาสตร์ หรือรัฐประศาสนศาสตร์ และด้านกฎหมาย

ทั้งนี้ การสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่นายกรัฐมนตรีกำหนด

ให้หัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็น

เลขานุการคณะกรรมการ


เพราะ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีนายกรัฐมนตรี หรือรอง

นายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธาน


เพราะ ให้หัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็น

เลขานุการคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น


เพราะ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีผู้แทนองค์กรปกครองส่วน

ท้องถิ่น จำนวน 12 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัด 2 คน ผู้บริหารเทศบาล 3 คน ผู้

บริหารองค์การบริหารส่วนตำบล 5 คน และผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารเมืองพัทยา หรือผู้บริหารองค์กร

ปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ที่มีกฎหมายจัดตั้งรวม 2 คน ทั้งนี้ โดยให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละ

ประเภทเลือกกันเองตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่นายกรัฐมนตรีกำหนด


เพราะ มีผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครอง

ส่วนท้องถิ่น เป็นผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบล 5 คน


เพราะ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 12 คน ประกอบด้วย บุคคลซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในด้านการบริหาร

ราชการแผ่นดิน ด้านการพัฒนาท้องถิ่น ด้านเศรษฐศาสตร์ ด้านการปกครองส่วนท้องถิ่นในสาขารัฐศาสตร์ หรือ

รัฐประศาสนศาสตร์ และด้านกฎหมาย ทั้งนี้ การสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่นายก

รัฐมนตรีกำหนด




1. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ให้ไว้เมื่อใด





2. ใครเป็นผู้รักษาการพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542


ข. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง



3. ข้อใดไม่ใช่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ก. เมืองพัทยา

ข. กรุงเทพมหานคร

ค. กลุ่มเกษตรกรหมู่บ้าน

ง. องค์การบริหารส่วนจังหวัด

4. คณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีทั้งหมดกี่คน

ก. 11 คน ข. 12 คน ค. 13 คน ง. 14 คน

5. ข้อใดไม่ใช่พนักงานส่วนท้องถิ่น

ก. พนักงานส่วนตำบล

ข. ข้าราชการส่วนจังหวัด

ค. ข้าราชการกรุงเทพมหานคร

ง. ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย

6. ใครเป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ก. ผู้ทรงคุณวุฒิ


ค. หัวหน้าส่วนราชการ

ง. ผู้แทนองค์การบริหารส่วนจังหวัด


แนวข้อสอบพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 25427



7. ข้อใดไม่ใช่ผู้แทนองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ก. ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล


ค. สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ง. ผู้แทนข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด

8. ใครเป็นเลขานุการคณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ก. ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด


ค. สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ง. ผู้แทนข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด

9. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด ต้องมีอายุเท่าใด

ก. 40 ปีบริบูรณ์

ข. น้อยกว่า 40 ปีบริบูรณ์

ค. ไม่ต่ำกว่า 40 ปีบริบูรณ์

ง. ไม่ต่ำกว่า 35 ปีบริบูรณ์

10. ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ของคณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ก. กำหนดคุณสมบัติของข้าราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ข. กำหนดระเบียบการปฏิบัติงานของข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ค. ตรวจสอบ ดูแลความประพฤติของข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ง. กำกับ ดูแล ตรวจสอบ แนะนำ ชี้แจง ส่งเสริม พัฒนาความรู้ให้กับข้าราชการ

องค์การบริหารส่วนจังหวัด

11. ใครมีอำนาจออกคำสั่งเกี่ยวกับการบรรจุแต่งตั้ง การย้าย การโอน การรับโอนบุคคลใน





ง. นายกองค์การบริหาร

12. คณะกรรมการกลางข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีทั้งหมดกี่คน

ก. 12 คน ข. 15 คน ค. 18 คน ง. 22 คน




13. ใครไม่ได้เป็นคณะกรรมการกลางข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ก. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ข. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ

ค. เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน

ง. อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น

14. ใครเป็นผู้ดำเนินการคัดเลือกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้แทนองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ก. นายอำเภอ


ค. ปลัดกระทรวงมหาดไทย

ง. ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด

15. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเลขานุการคณะกรรมการกลางข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ก. มีตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอธิบดี

ข. มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

ค. เป็นข้าราชการในกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น

ง. มาจากการแต่งตั้งของอธิบดีส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น

16. ใครมีหน้าที่กำหนดมาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการคัดเลือกการบรรจุ และแต่งตั้ง

การย้าย การเลื่อนขั้นเงินเดือนสำหรับข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ก. ผู้ว่าราชการจังหวัด

ข. คณะกรรมการการปกครองส่วนท้องถิ่น

ค. คณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ง. คณะกรรมการกลางข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด

17. คณะกรรมการพนักงานเทศบาล มีทั้งหมดกี่คน

ก. 12 คน ข. 15 คน ค. 18 คน ง. 19 คน

18. ใครไม่ได้เป็นผู้แทนเทศบาลในคณะกรรมการพนักงานเทศบาล

ก. ปลัดเทศบาล


ค. ประธานสภาเทศบาล

ง. ผู้แทนพนักงานเทศบาล




19. ใครเป็นประธานคณะกรรมการกลางพนักงานเทศบาล

ก. ผู้แทนเทศบาล


ค. ปลัดกระทรวงมหาดไทย

ง. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือรัฐมนตรีช่วยที่ได้รับมอบหมาย

20. คณะกรรมการพนักงานส่วนตำบล มีทั้งหมดกี่คน

ก. 15 คน ข. 18 คน ค. 27 คน ง. 30 คน





เพราะ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ให้ไว้เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน

2542 ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป คือ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2542


เพราะ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วน

ท้องถิ่น พ.ศ. 2542


เพราะ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หมายความว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลองค์การบริหาร

ส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้ง


เพราะ ในองค์การบริหารส่วนจังหวัดแต่ละแห่ง ให้มีคณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด

คณะหนึ่ง จำนวน 12 คน ประกอบด้วย

(1) ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน

(2) หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด จำนวน 3 คน จากส่วนราชการในจัังหวัดนั้น

ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศกำหนดว่าเป็นส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ในกรณีจำเป็น

เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานบุคคล ผู้ว่าราชการจังหวัด จะประกาศเปลี่ยนแปลงการ

กำหนดส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเม่ือใดก็ได้

(3) ผู้แทนองค์การบริหารส่วนจังหวัด จำนวน 4 คน ประกอบด้วย นายกองค์การบริหาร

ส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด

คัดเลือกจำนวน 1 คน ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด และผู้แทนข้าราชการองค์การ

บริหารส่วนจังหวัด ซึ่งคัดเลือกกันเอง จำนวน 1 คน

(4) ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 4 คน ซึ่งคัดเลือกจากบุคคล ซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในด้านการ

บริหารงานท้องถิ่น ด้านการบริหารงานบุคคล ด้านระบบราชการ ด้านการบริหาร และ

การจัดการ หรือด้านอื่นที่จะเป็นประโยชน์แก่การบริหารงาน บุคคลขององค์การบริหาร

ส่วนจังหวัด ให้ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นเลขานุการคณะกรรมการข้าราชการ



เฉลยแนวข้อสอบพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542




เพราะ พนักงานส่วนท้องถิ่น หมายความว่า ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด พนักงานเทศบาล

พนักงานส่วนตำบล ข้าราชการกรุงเทพมหานคร พนักงานเมืองพัทยา และข้าราชการ หรือพนักงานขององค์กร

ปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมาย จัดตั้งซึ่งได้รับการบรรจุ และแต่งตั้งให้ปฏิบัติราชการ โดยได้รับเงินเดือน

จากงบประมาณหมวดเงินเดือนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือจากเงินงบประมาณ หมวดเงินอุดหนุนของ

รัฐบาลที่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำมาจัดเป็นเงินเดือนของข้าราชการ

หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น


เพราะ คณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็น ประธาน


เพราะ คณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีผู้แทนองค์การบริหารส่วนจังหวัด จำนวน 4

คน ประกอบด้วย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งสภาองค์การ

บริหารส่วนจังหวัด คัดเลือก จำนวน 1 คน ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด และผู้แทนข้าราชการองค์การบริหาร

ส่วนจังหวัด ซึ่งคัดเลือกกันเอง จำนวน 1 คน


เพราะ คณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็น

เลขานุการคณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด


เพราะ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังนี้

(1) มีสัญชาติไทย

(2) มีอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปีบริบูรณ์

(3) ไม่เป็นข้าราชการ ซึ่งมีตำแหน่ง หรือเงินเดือนประจำ

(4) ไม่เป็นพนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กร

ปกครองส่วนท้องถิ่น

(5) ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

(6) ไม่เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น

(7) ไม่เป็นเจ้าหน้าที่ หรือผู้มีตำแหน่งใด ๆ ในพรรคการเมือง





เพราะ คณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีอำนาจหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์ และ

ดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลในองค์การบริหารส่วนจังหวัดนั้น ในเรื่องดังนี้

(1) กำหนดคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามที่มีความจำเป็นเฉพาะสำหรับข้าราชการองค์การ

บริหารส่วนจังหวัดนั้น

(2) กำหนดจำนวน และอัตราตำแหน่ง อัตราเงินเดือน และวิธีการจ่ายเงินเดือน และประโยชน์

ตอบแทนอื่น สำหรับข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด

(3) กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการคัดเลือก การบรรจุ และแต่งตั้ง การย้าย การโอน

การรับโอน การเลื่อนระดับ การเลื่อนขั้นเงินเดือน การสอบสวน การลงโทษทางวินัย การ

ให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์

(4) กำหนดระเบียบเกี่ยวกับการบริหาร และการปฏิบัติงานของข้าราชการองค์การบริหารส่วน

จังหวัด

(5) กำกับ ดูแล ตรวจสอบ แนะนำ และชี้แจง ส่งเสริม และพัฒนาความรู้แก่ข้าราชการองค์การ



เพราะ การออกคำสั่งเกี่ยวกับการบรรจุ และแต่งตั้ง การย้าย การโอน การรับโอน การเลื่อนระดับ

การเลื่อนขั้นเงินเดือน การสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์

หรือการอื่นใดที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลให้เป็นอำนาจของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนด แต่สำหรับการออก

คำสั่งแต่งตั้ง และการให้ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดพ้นจากตำแหน่ง ต้องได้รับความเห็นชอบจาก

คณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดก่อน


เพราะ คณะกรรมการกลางข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดคณะหนึ่ง ประกอบด้วย

(1) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้รับ

มอบหมาย เป็น ประธาน

(2) ปลัดกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ผู้อำนวยการสำนัก

งบประมาณ อธิบดีกรมบัญชีกลาง และอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น

(3) ผู้แทนองค์การบริหารส่วนจังหวัด จำนวน 6 คน ซึ่งคัดเลือกจากนายกองค์การบริหารส่วน

จังหวัดจำนวน 3 คน และปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด จำนวน 3 คน




(4) ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 6 คน ซึ่งคัดเลือกจากบุคคล ซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในด้านการ

บริหารงานท้องถิ่น ด้านการบริหารงานบุคคล ด้านระบบราชการ ด้านการบริหาร และ

การจัดการ หรือด้านอื่น ที่จะเป็นประโยชน์แก่การบริหารงานบุคคลขององค์การบริหาร

ส่วนจังหวัด ให้อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นแต่งตั้งข้าราชการในกรมส่งเสริมการ

ปกครองท้องถิ่นคนหนึ่ง ซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอธิบดี เป็น เลขานุการ

คณะกรรมการกลางข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด


เพราะ รัฐมนตรีว่าการกลาโหม ไม่ได้เป็นคณะกรรมการกลางข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด


เพราะ ให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ดำเนินการจัดให้มีการคัดเลือกนายกองค์การบริหารส่วน

จังหวัด หรือปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด แล้วแต่กรณี เป็นผู้แทนองค์การบริหารส่วนจังหวัด


เพราะ เลขานุการคณะกรรมการกลางข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด มาจากการแต่งตั้งของอธิบดี

กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ซึ่งเป็นข้าราชการในกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 1 คน ซึ่งดำรงตำแหน่ง

ไม่ต่ำกว่า รองอธิบดี


เพราะ คณะกรรมการกลางข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้

(1) กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการคัดเลือกผู้แทนข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด

และผู้ทรงคุณวุฒิ

(2) กำหนดมาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามเบื้องต้นสำหรับข้าราชการ


(3) กำหนดมาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับอัตราตำแหน่ง และมาตรฐานของตำแหน่ง

(4) กำหนดมาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับอัตราเงินเดือน และวิธีการจ่ายเงินเดิือน และประโยชน์

ตอบแทนอื่น

(5) กำหนดมาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการคัดเลือก การบรรจุ และแต่งตั้ง

การย้าย การโอน การรับโอน การเลื่อนระดับ และการเลื่อนขั้นเงินเดือน

(6) กำหนดมาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับวินัย และการรักษาวินัย และการดำเนินการทางวินัย

(7) กำหนดมาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับการให้ออกจากราชการ

(8) กำหนดมาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับสิทธิการอุทธรณ์ การพิจารณาอุทธรณ์ และการร้องทุกข์




(9) กำหนดมาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการ วิธีการบริหาร และ

การปฏิบัติงานของข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด และกิจการอันเกี่ยวกับการบริหาร

งานบุคคลในองค์การบริหารส่วนจังหวัด

(10) ให้ข้อคิดเห็น หรือให้คำปรึกษาในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการข้าราชการองค์การ


(11) กำกับ ดูแล แนะนำ และชี้แจง ส่งเสริม และพัฒนาความรู้แก่ข้าราชการองค์การบริหารส่วน

จังหวัด

(12) ปฏิบัติการอื่น ตามที่พระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ

คณะกรรมการกลางข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด


เพราะ คณะกรรมการพนักงานเทศบาล ประกอบด้วย

(1) ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็น ประธาน

(2) หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด จำนวน 5 คน จากส่วนราชการในจังหวัดนั้น

ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศกำหนดว่าเป็นส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ในกรณีจำเป็น

เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานบุคคล ผู้ว่าราชการจังหวัดจะประกาศเปลี่ยนแปลงการ

กำหนดส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเมื่อใดก็ได้

(3) ผู้แทนเทศบาล จำนวน 6 คน ดังนี้

(ก) ประธานสภาเทศบาล ซึ่งประธานสภาเทศบาลในเขตจังหวัดนั้นคัดเลือกกันเอง

จำนวน 2 คน

(ข) นายกเทศมนตรี ซึ่งนายกเทศมนตรีในเขตจังหวัดนั้นคัดเลือกกันเอง จำนวน 2 คน

(ค) ผู้แทนพนักงานเทศบาล ซึ่งปลัดเทศบาลในเขตจังหวัดนั้นคัดเลือกกันเอง

จำนวน 2 คน (4) ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 6 คน ซึ่งคัดเลือกจากบุคคล ซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในด้านการ

บริหารงานท้องถิ่น ด้านการบริหารงานบุคคล ด้านระบบราชการ ด้านการบริหาร และการจัดการ หรือด้านอื่นที่

จะเป็นประโยชน์แก่การบริหารงานบุคคลของเทศบาล ให้ผู้ว่าราชการจัังหวัดแต่งตั้งข้าราชการ หรือพนักงาน

เทศบาลคนหนึ่งในจังหวัด เป็น เลขานุการคณะกรรมการพนักงานเทศบาล





เพราะ ผู้แทนเทศบาล จำนวน 6 คน ดังนี้

(1) ประธานสภาเทศบาล ซึ่งประธานสภาเทศบาลในเขตจังหวัดนั้นคัดเลือกกันเอง

จำนวน 2 คน

(2) นายกเทศมนตรี ซึ่งนายกเทศมนตรีในเขตจังหวัดนั้นคัดเลือกกันเอง จำนวน 2 คน

(3) ผู้แทนพนักงานเทศบาล ซึ่งปลัดเทศบาลในเขตจังหวัดนั้นคัดเลือกกันเอง จำนวน 2 คน


เพราะ คณะกรรมการกลางพนักงานเทศบาล ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือ

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้รับมอบหมาย เป็น ประธาน


เพราะ คณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลร่วมกัน ทำหน้าที่บริหารงานบุคคล สำหรับองค์การบริหารส่วน

ตำบลทุกแห่งที่อยู่ในเขตจังหวัดนั้น ประกอบด้วย

(1) ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือรองผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งได้รับมอบหมาย เป็น ประธาน

(2) นายอำเภอ หรือหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดนั้น จำนวน 8 คน ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัด

ประกาศกำหนดว่าเป็นส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ใน

การบริหารงานบุคคล ผู้ว่าราชการจังหวัดจะประกาศเปลี่ยนแปลงการกำหนดส่วนราชการ

ที่เกี่ยวข้อง เมื่อใดก็ได้

(3) ผู้แทนองค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 9 คน ดังนี้

(ก) ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลใน

เขตจังหวัดนั้นคัดเลือกกันเอง จำนวน 3 คน

(ข) ประธานกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งประธานกรรมการบริหาร

องค์การบริหารส่วนตำบลในเขตจังหวัดนั้นคัดเลือกกันเอง จำนวน 3 คน

(ค) ผู้แทนพนักงานส่วนตำบล ซึ่งปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดนั้น

คัดเลือกกันเอง จำนวน 3 คน

(4) ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน ซึ่งคัดเลือกจากบุคคล ซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในด้านการ

บริหารงานท้องถิ่น ด้านการบริหารงานบุคคล ด้านระบบราชการ ด้านการบริหาร และการจัดการ หรือด้านอื่นที่

จะเป็นประโยชน์แก่การบริหารงานบุคคลขององค์การบริหารส่วนตำบล ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งข้าราชการ

หรือพนักงานส่วนตำบล 1 คน ในจังหวัด เป็น เลขานุการคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบล




1. พระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ให้ไว้เมื่อใด

ก. 9 ตุลาคม 2546 ข. 10 ตุลาคม 2546

ค. 11 ตุลาคม 2546 ง. 12 ตุลาคม 2546

2. พระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546

ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อใด



3. พระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 บังคับใช้เม่ือใด



4. พระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 สอดคล้องกับ

มาตราใดในรัฐธรรมนูญ

ก. มาตรา 220 ข. มาตรา 221 ค. มาตรา 222 ง. มาตรา 223

5. พระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 สอดคล้องกับ

มาตราใดในระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน

ก. มาตรา 1 และมาตรา 71

ข. มาตรา 3 และมาตรา 75

ค. มาตรา 3 และมาตรา 71

ง. มาตรา 4 และมาตรา 71

6. ใครเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการพระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการ

บ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546

ก. นายชวน หลีกภัย

ข. นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร


ง. นายทักษิณ ชินวัตร


แนวข้อสอบพระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 25468



7. ก.พ.ร. คืออะไร

ก. คณะกรรมการกฤษฏีกา

ข. คณะกรรมการพัฒนา และปฏิรูป

ค. คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ

ง. คณะกรรมการการพัฒนาท้องถิ่นในราชการ

8. ใครเป็นผู้รักษาการ พระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546

ก. รัฐมนตรี ข. รองรัฐมนตรี

ค. นายกรัฐมนตรี ง. ผู้ว่าราชการจังหวัด

9. ข้อใดไม่ใช่ส่วนราชการใน พระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

พ.ศ. 2546

ก. กรม ข. ทบวง ค. กระทรวง ง. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

10. ข้อใดไม่ใช่ข้าราชการใน พระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

พ.ศ. 2546

ก. ลูกจ้าง ข. พนักงาน ค. อัตราจ้าง ง. ผู้ปฏิบัติงานในส่วนราชการ

11. ข้อใดไม่ใช่เป้าหมายในการบริหารราชการ

ก. มีขั้นตอนมาก

ข. มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่า

ค. ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี

ง. มีการประเมินผลสม่ำเสมอ

12. การบริหารราชการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน หมายถึงอะไร

ก. เกิดความผาสุก

ข. สังคมสงบ และปลอดภัย

ค. ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี


13. อะไรคือ ศูนย์กลางในการบริหารราชการ

ก. รัฐมนตรี ข. กระทรวง

ค. ประชาชน ง. ศาลากลางจังหวัด




14. ข้อใดไม่ใช่แนวทางการบริหารราชการ

ก. วิเคราะห์ผลดี และผลเสีย

ข. เมื่อเกิดปัญหาไม่ต้องแจ้ง ก.พ.ร.

ค. รับฟังความคิดเห็นของประชาชน

ง. ปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ตรวจสอบได้

15. ในการดำเนินงานตามภารกิจ ส่วนราชการต้องจัดทำสิ่งใด

ก. แผนปฏิบัติงาน ข. แผนปฏิบัติราชการ

ค. แผนพัฒนาราชการ ง. รายละเอียด และขั้นตอน

16. ใครเป็นผู้รักษาการตาม พระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

พ.ศ. 2546


ข. รองนายกรัฐมนตรี



17. เมื่อมีภารกิจที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการ หรือภารกิจใกล้เคียงกัน ส่วนราชการ ควรทำอย่างไร

ก. เสนอรัฐมนตรี

ข. เปลี่ยนแผนปฏิบัติราชการ

ค. กำหนดแนวทางปฏิบัติราชการ

ง. ประชุมคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง

18. ส่วนราชการจะพัฒนาความรู้ได้ โดยวิธีใด

ก. สร้างวิสัยทัศน์ของข้าราชการ

ข. ปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการ

ค. ส่งเสริม และพัฒนาความสามารถของข้าราชการ


19. เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติราชการ ก.พ.ร. อาจจะกำหนดมาตรการกำกับการปฏิบัติราชการ

แล้วเสนอต่อใคร

ก. คณะรัฐมนตรี ข. นายกรัฐมนตรี

ค. ผู้ว่าราชการจังหวัด ง. คณะกรรมการ ก.พ.ร.

20. แผนการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นแผนที่กำหนดระยะเวลากี่ปี

ก. 1 ปี ข. 2 ปี ค. 3 ปี ง. 4 ปี





เพราะ พระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ให้ไว้เมื่อ

วันที่ 9 ตุลาคม 2546


เพราะ พระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ประกาศ

ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2546


เพราะ พระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 บังคับใช้ตั้ง

แต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือ วันที่ 10 ตุลาคม 2546


เพราะ พระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 อาศัย

อำนาจตามความในมาตรา 221 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย


เพราะ พระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 สอดคล้อง

กับมาตรา 3/1 และมาตรา 71/10(5) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไข

เพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545


เพราะ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และ

วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546


เพราะ ก.พ.ร. หมายถึง คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ


เพราะ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รักษาการ พระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้าน

เมืองที่ดี พ.ศ. 2546


เพราะ ส่วนราชการ หมายความว่า ส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม

และหน่วยงานอื่นของรัฐที่อยู่ในกำกับของราชการฝ่ายบริหาร แต่ไม่รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น


เฉลยแนวข้อสอบพระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546




เพราะ ข้าราชการ หมายความรวมถึง พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานในส่วนราชการ


เพราะ การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ได้แก่ การบริหารราชการเพื่อบรรลุเป้าหมาย ดังต่อไปนี้

(1) เกิดประโยชน์สุขของประชาชน

(2) เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ

(3) มีประสิทธิภาพ และเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ

(4) ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจำเป็น

(5) มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์

(6) ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวก และได้รับการตอบสนองความต้องการ

(7) มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการสม่ำเสมอ


เพราะ การบริหารราชการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน หมายถึง การปฏิบัติราชการที่มีเป้าหมาย เพื่อ

ให้เกิดความผาสุก และความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ความสงบ และปลอดภัยของสังคมส่วนรวม ตลอดจน

ประโยชน์สูงสุดของประเทศ


เพราะ ในการบริหารราชการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ส่วนราชการจะต้องดำเนินการ โดยถือว่า

ประชาชนเป็นศูนย์กลางจะไดัรับการบริการจากรัฐ


เพราะ ในการบริหารราชการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ส่วนราชการจะต้องดำเนินการ โดยถือว่า

ประชาชนเป็นศูนย์กลางที่จะได้รับการบริการจากรัฐ และจะต้องมีแนวทางการบริหารราชการ ดังต่อไปนี้

(1) การกำหนดภารกิจของรัฐ และส่วนราชการต้องเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ตามมาตรา 7 และ

สอดคล้องกับแนวนโยบายแห่งรัฐ และนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา

(2) การปฏิบัติภารกิจของส่วนราชการต้องเป็นไปโดยซื่อสัตย์สุจริต สามารถตรวจสอบได้ และ

มุ่งให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชน ทั้งในระดับประเทศ และท้องถิ่น

(3) ก่อนเริ่มดำเนินการ ส่วนราชการต้องจัดให้มีการศึกษาวิเคราะห์ผลดี และผลเสียให้ครบถ้วน

ทุกด้าน กำหนดขั้นตอนการดำเนินการที่โปร่งใส มีกลไกตรวจสอบการดำเนินการในแต่ละ

ขั้นตอน ในกรณีที่ภารกิจใดจะมีผลกระทบต่อประชาชนส่วนราชการต้องดำเนินการรับฟัง

ความคิดเห็นของประชาชน หรือชี้แจงทำความเข้าใจ เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึง

ประโยชน์ที่ส่วนรวมจะได้รับจากภารกิจนั้น




(4) ให้เป็นหน้าที่ของข้าราชการที่จะต้องคอยรับฟังความคิดเห็น และความพึงพอใจของสังคม

โดยรวม และประชาชนผู้รับบริการ เพื่อปรับปรุง หรือเสนอแนะต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อให้มี

การปรับปรุงวิธีปฏิบัติราชการให้เหมาะสม

(5) ในกรณีที่เกิดปัญหา และอุปสรรคจากการดำเนินการ ให้ส่วนราชการดำเนินการแก้ไข

ปัญหา และอุปสรรคนั้นโดยเร็ว ในกรณีที่ปัญหา หรืออุปสรรคนั้นเกิดขึ้นจากส่วนราชการ

อื่น หรือระเบียบข้อบังคับที่ออกโดยส่วนราชการอื่น ให้ส่วนราชการแจ้งให้ส่วนราชการที่

เกี่ยวข้องทราบ เพื่อดำเนินการแก้ไขปรับปรุงโดยเร็วต่อไป และให้แจ้ง ก.พ.ร. ทราบด้วย


เพราะ ก่อนจะดำเนินการตามภารกิจ ส่วนราชการต้องจัดทำแผนปฏิบัติราชการไว้เป็นการล่วงหน้า


เพราะ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการตาม พระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคล

ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542


เพราะ ในกรณีที่ภารกิจใดมีความเกี่ยวข้องกับหลายส่วนราชการ หรือเป็นภารกิจที่ใกล้เคียง หรือต่อเนื่อง

กัน ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องนั้นกำหนดแนวทางการปฏิบัติราชการเพื่อให้เกิดการบริหารราชการแบบบูรณาการ

ร่วมกัน โดยมุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ


เพราะ ทุกข้อล้วนแล้วแต่เป็นแนวทางปฏิบัติให้ส่วนราชการได้พัฒนาความรู้


เพราะ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ก.พ.ร. อาจเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อ

กำหนดมาตรการกำกับการปฏิบัติราชการ โดยวิธีการจัดทำความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร หรือโดยวิธีการอื่นใด

เพื่อแสดงความรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการ


เพราะ ในการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ให้จัดทำเป็นแผน 4 ปี




1. ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ ให้ใช้บังคับตั้งแต่เมื่อใด

ก. 20 พฤษภาคม 2526

ข. 1 มิถุนายน 2526

ค. 7 กรกฎาคม 2526

ง. 12 สิงหาคม 2526

2. ข้อใดคือความหมายของคำว่า งานสารบรรณ

ก. หนังสือราชการ

ข. งานที่เกี่ยวกับการบริหารงานเอกสาร

ค. การประยุกต์ใช้วิธีการทางอิเล็กตรอน

ง. การรับส่งข้อมูลข่าวสารผ่านระบบสื่อสารด้วยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์

3. ข้อใดคือ ความหมายของคำว่า อิเล็กทรอนิกส์





4. ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ คืออะไร





5. ใครเป็นผู้รักษาการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ


ข. หลักฐานทางราชการ

ค. เอกสารที่ทำขึ้นตามกฎหมาย

ง. หนังสือไปมาระหว่างส่วนราชการ


แนวข้อสอบระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 และที่แก้ไขเพิ่มเติม9



6. ข้อใดไม่ใช่หนังสือที่เป็นหลักฐานในราชการ

ก. บันทึกข้อความ

ข. หลักฐานทางราชการ

ค. เอกสารที่ทำขึ้นตามกฎหมาย

ง. หนังสือไปมาระหว่างส่วนราชการ

7. หนังสือ มีกี่ชนิด

ก. 3 ชนิด ข. 5 ชนิด ค. 6 ชนิด ง. 7 ชนิด

8. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับหนังสือภายนอก

ก. ใช้กระดาษตราครุฑ

ข. ใช้ติดต่อภายในส่วนราชการ

ค. เป็นหนังสือถึงบุคคลภายนอก

ง. เป็นหนังสือติดต่อราชการที่เป็นแบบพิธี

9. ข้อใด คือ รายละเอียดในหนังสืออภายนอก ตามลำดับ

ก. ที่ วัน เดือน ปี ส่วนราชการเจ้าของหนังสือ เรื่อง คำขึ้นต้น อ้างถึง (ถ้ามี)

ข. คำขึ้นต้น ที่ ส่วนราชการเจ้าของหนังสือ วัน เดือน ปี เรื่อง อ้างถึง (ถ้ามี)

ค. ส่วนราชการเจ้าของหนังสือ ที่ วัน เดือน ปี เรื่อง คำขึ้นต้น อ้างถึง (ถ้ามี)

ง. ที่ ส่วนราชการเจ้าของหนังสือ วัน เดือน ปี เรื่อง คำขึ้นต้น อ้างถึง (ถ้ามี)

10. หนังสือที่เป็นแบบพิธีน้อยกว่าหนังสือภายนอก เรียกว่าหนังสืออะไร

ก. หนังสืออสั่งการ

ข. หนังสืออภายใน

ค. หนังสือภายนอก

ง. หนังสือประทับตรา

11. หนังสือภายใน ควรใช้กระดาษชนิดใด

ก. กระดาษพิมพ์ดีด

ข. กระดาษตราครุฑ

ค. กระดาษบันทึกข้อความ

ง. กระดาษเขียนจดหมาย




12. ใครเป็นผู้รับผิดชอบลงชื่อย่อกำกับตราในหนังสืออประทับตรา

ก. หัวหน้าส่วนราชการระดับกลาง

ข. หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม

ค. หัวหน้าส่วนราชการระดับทบวง

ง. หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง

13. ข้อใดกล่าวถูกต้อง เกี่ยวกับหนังสือประทับตรา

ก. ใช้ประทับตราแทนการลงชื่อ

ข. ใช้ระหว่างส่วนราชการกับส่วนราชการ

ค. ใช้ระหว่างส่วนราชการกับบุคคลภายนอก


14. การส่งสำเนาหนังสือ ส่ิงของ เอกสารหรือบรรณสาร ควรจัดทำเป็นหนังสือ ชนิดใด

ก. หนังสือภายใน

ข. หนังสือสั่งการ

ค. หนังสือประทับตรา

ง. หนังสือประชาสัมพันธ์

15. ข้อใดไม่ใช่หนังสือสั่งการ

ก. คำสั่ง ข. ระเบียบ ค. ข้อบังคับ ง. กฎหมาย

16. ข้อความที่ผู้บังคับบัญชาสั่งการ คืออะไร


17. ข้อความที่ผู้มีอำนาจวางไว้ คืออะไร


18. ข้อความที่ผู้มีอำนาจกำหนดให้ใช้ คืออะไร


19. ข้อใดไม่ใช่หนังสือประชาสัมพันธ์

ก. ข่าว ข. โฆษณา ค. ประกาศ ง. แถลงการณ์

20. ข้อความที่ทางราชการเห็นสมควรเผยแพร่ให้ทราบ หมายถึงอะไร

ก. ข่าว ข. โฆษณา ค. ประกาศ ง. แถลงการณ์





เพราะ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2526 ข้อ 2. ตอบ ข.

เพราะ งานสารบรรณ หมายความว่า งานที่เกี่ยวกับการบริหารงานเอกสาร เริ่มตั้งแต่การจัดทำ การรับ

การส่ง การเก็บรักษา การยืม จนถึงการทำลาย


เพราะ อิเล็กทรอนิกส์ หมายความว่า การประยุกต์ใช้วิธีการทางอิเล็กตรอน ไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

หรือวิธีอื่นใดในลักษณะคล้ายกัน และให้หมายความรวมถึง การประยุกต์ใช้วิธีการทางแสง วิธีการทางแม่เหล็ก

หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้วิธีต่าง ๆ เช่นว่านั้น


เพราะ ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ หมายความว่า การรับส่งข้อมูลข่าวสาร หรือหนังสือผ่านระบบ

สื่อสารด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์


เพราะ ให้ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รักษาการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ

และให้มีอำนาจตีความ และวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้ รวมทั้งการแก้ไขเพิ่มเติมภาคผนวก

และจัดทำคำอธิบายกับให้มีหน้าที่ดำเนินการฝึกอบรมเกี่ยวกับงานสารบรรณ


เพราะ หนังสือราชการ คือ เอกสารที่เป็นหลักฐานในราชการ ได้แก่

(1) หนังสือที่มีไปมาระหว่างส่วนราชการ

(2) หนังสือทีี่ส่วนราชการมีไปถึงหน่วยงานอื่นใด ซึ่งมิใช่ส่วนราชการ หรือที่มีไปถึงบุคคล

ภายนอก

(3) หนังสืออที่หน่วยงานอื่นใด ซึ่งมิใช่ส่วนราชการ หรือบุคคลภายนอกมีมาถึงส่วนราชการ

(4) เอกสารที่ทางราชการจัดทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานในราชการ

(5) เอกสารที่ทางราชการจัดทำขึ้นตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับ

(6) ข้อมูลข่าวสาร หรือหนังสือที่ได้รับจากระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์


เฉลยแนวข้อสอบระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 และที่แก้ไขเพิ่มเติม




เพราะ หนังสือ มี 6 ชนิด คือ

1. หนังสือภายนอก

2. หนังสือภายนอก

3. หนังสือประทับตรา

4. หนังสือสั่งการ

5. หนังสือประชาสัมพันธ์

6. หนังสือที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้น หรือรับไว้เป็นหลักฐานในราชการ


เพราะ หนังสือภายนอก คือ หนังสือติดต่อราชการที่เป็นแบบพิธี โดยใช้กระดาษตราครุฑ เป็นหนังสือ

ติดต่อระหว่างส่วนราชการ หรือส่วนราชการมีถึงหน่วยงานอื่นใด ซึ่งมิใช่ส่วนราชการ หรือที่มีถึงบุคคลภายนอก


เพราะ หนังสือภายนอก โดยกรอกรายละเอียด ดังนี้

1. ที่ ให้ลงรหัสตัวพยัญชนะ และเลขประจำของเจ้าของเรื่อง ทับเลขทะเบียนหนังสือส่ง สำหรับหนังสือ

ของคณะกรรมการให้กำหนดรหัสตัวพยัญชนะเพิ่มขึ้นได้ตามความจำเป็น

2. ส่วนราชการเจ้าของหนังสือ ให้ลงชื่อส่วนราชการ สถานที่ราชการ หรือคณะกรรมการ ซึ่งเป็น

เจ้าของหนังสือนั้น และโดยปกติให้ลงที่ตั้งไว้ด้วย

3. วัน เดือน ปี ให้ลงตัวเลขของวันที่ ชื่อเต็มของเดือน และตัวเลขของปีพุทธศักราชที่ออกหนังสือ

4. เรื่อง ให้ลงเรื่องย่อที่เป็นใจความสั้นที่สุดของหนังสือฉบับนั้น ในกรณีที่เป็นหนังสือต่อเนื่อง โดยปกติ

ให้ลงเรื่องของหนังสือฉบับเดิม

5. คำขั้นต้น ให้ใช้คำขึ้นต้นตามฐานะของผู้รับหนังสือ ตามตารางการใช้คำขั้นต้นของสรรพนาม และ

คำลงท้าย ที่ แล้วลงตำแหน่งของผู้ที่หนังสือนั้นมีถึง หรือ ชื่อบุคคลในกรณีที่มีถึงตัวบุคคลไม่เกี่ยวกับ

ตำแหน่งหน้าที่

6. อ้างถึง (ถ้ามี) ให้อ้างถึงหนังสือที่เคยมีติดต่อกันเฉพาะหนังสือที่ส่วนราชการผู้รับหนังสือได้รับมาก่อน

แล้ว จะจากส่วนราชการใดก็ตาม โดยให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของหนังสือ และเลขที่หนังสือ วันที่

เดือน ปีพุทธศักราช ของหนังสือนั้น


เพราะ หนังสือภายใน คือ หนังสือติดต่อราชการที่เป็นแบบพิธีน้อยกว่าหนังสือภายนอก เป็นหนังสือติดต่อ

ภายในกระทรวง ทบวง กรม หรือจังหวัดเดียวกัน ใช้กระดาษบันทึกข้อความ





เพราะ หนังสือภายใน ใช้กระดาษบันทึกข้อความ


เพราะ หนังสือประทับตรา คือ หนังสือที่ใช้ประทับตราแทนการลงชื่อ ของหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม

ขึ้นไป โดยให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกอง หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไป เป็น

ผู้รับผิดชอบลงชื่อย่อกำกับตรา


เพราะ หนังสือประทับตรา คือ หนังสือที่ใช้ประทับตราแทนการลงชื่อให้ใช้ได้ทั้งระหว่างส่วนราชการ กับ

ส่วนราชการ และระหว่างส่วนราชการกับบุคคลภายนอกเฉพาะกรณีที่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ


เพราะ หนังสือประทับตรา ใช้ในกรณีที่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ได้แก่

1. การขอรายละเอียดเพิ่มเติม

2. การส่งสำเนาหนังสือ สิ่งของ เอกสาร หรือบรรณสาร

3. การตอบรับทราบที่ไม่เกี่ยวกับราชการสำคัญ หรือการเงิน

4. การแจ้งผลงานที่ได้ดำเนินการไปแล้วให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทราบ

5. การเตือนเรื่องที่ค้าง

6. เรื่อง ซึ่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไปกำหนดโดยทำเป็นคำสั่ง ให้ใช้หนังสือประทับตรา


เพราะ หนังสือสั่งการ มี 3 ชนิด ได้แก่ คำสั่ง ระเบียบ และข้อบังคับ


เพราะ คำสั่ง คือ บรรดาข้อความที่ผู้บังคับบัญชาสั่งการให้ปฏิบัติโดยชอบด้วยกฎหมาย

ใช้กระดาษตราครุฑ


เพราะ ระเบียบ คือ บรรดาข้อความที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ได้วางไว้ โดยจะอาศัยอำนาจของกฎหมายหรือไม่ก็

ได้ เพื่อถือเป็นหลักปฏิบัติงานเป็นการประจำ ใช้กระดาษตราครุฑ


เพราะ ข้อบังคับ คือ บรรดาข้อความที่ผู้มีอำนาจหน้าที่กำหนดให้ใช้ โดยอาศัยอำนาจของกฎหมายที่

บัญญัติให้กระทำได้ ใช้กระดาษตราครุฑ





เพราะ หนังสือประชาสัมพันธ์ มี 3 ชนิด ได้แก่

• ประกาศ

• แถลงการณ์ และ

• ข่าว


เพราะ ข่าว คือ บรรดาข้อความที่ทางราชการเห็นสมควรเผยแพร่ให้ทราบ



Documents

! คู่มือเตรียมสอบครูผู้ช่วย สังกัดการบริหารราชการส่วน ... · เพราะ ให้จัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน