Upload
others
View
2
Download
0
Embed Size (px)
Citation preview
- ๑ -
โครงการ
เรียนรู้วิถีธรรม ตามรอย “ท่านพุทธทาสภิกขุ”
ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๗
จัดโดย
สถาบันภาษาศาสตร์และวัฒนธรรมศึกษาราชนครินทร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
สวนโมกข ์
สวนชื่อ “โมกข์” ภาษาโลกว่า หลุด-เกลี้ยง คือ รูป-รส-กลิ่น-เสียง สิ้นท้ังหลาย ท้ังสัมผัส ผิวหนัง ทางใจ-กาย ไม่ท าร้าย ไม่รบเร้า ไม่เผาลน ฯ
ธรรมชาติ ในสวนโมกข์ เข้าโยกใจ จน “ตัวกู” น้อยใหญ่ ไม่ปฏิสนธิ์ จิตเยือกเย็น ผ่องใส คล้ายคนละคน สุขใจจน บอกไม่ได้ ว่าคล้ายอะไร ฯ จิตว่างจน ได้ยิน ก้อนหินพูด ร้องพิศูจน์ “ไม่มีสิ่ง น่าหลงใหล ; จงหยุดเย็น กันเสียบ้าง อย่างหินนี่ไง! ถ้าหาไม่ มีนรก มาหมกคลุม” ฯ
หมายเหตุ :- ผู้ใดใคร นั่งลงใน สวนโมกข์แล้ว ยังไม่แคล้ว หงุดหงิด จิตยังกลุ้ม รีบไปหา หมอประสาท ช่วยคาดคุม แล้วค่อยมา ชุมนุม กลุ่ม “โมกข์” แล ฯ (พุทธทาสภิกขุ)
สวนโมกขพลาราม เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ศึกษาค้นคว้าพระธรรม และเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ที่ส าคัญท่ีสุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย เป็นที่รู้จักในหมู่พุทธศาสนิกชนทั้ง ในและต่างประเทศ ตั้งอยู่ที่วัดธารน้ าไหล เขาพุทธทอง อ าเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผู้ริเริ่มบุกเบิกก่อตั้งคือ ท่านพุทธทาสภิกขุที่องค์การยูเนสโกประกาศยกย่องเป็นบุคคลดี เด่นของโลก ด้านอุทิศตนเพ่ือการสั่งสอนธรรมะ เพ่ือผดุงไว้ซึ่งสันติธรรม ยุติธรรม และให้ มนุษย์อยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างกลมกลืน ในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ อันเป็นวาระ ๑๐๐ ปี ชาตกาลของท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านได้ตั้งชื่อสถานที่ส่งเสริมการปฏิบัติธรรมนี้ว่า “สวนโมกขพลาราม” หมายถึง “อารามอันเป็นก าลังแห่งการหลุดพ้น” สวนโมกข์ท่ีจัดตั้งข้ึนเป็นแห่งแรกคือ สวนโมกข์ท่ี วัดตระพังจิก ต าบลพุมเรียง อ าเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยคณะ ธรรมทาน (จัดตั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ประกอบด้วยท่านพุทธทาสภิกขุ นายธรรมทาส พานิช น้องชาย และกลุ่มผู้สนทนาธรรม) เพ่ือเป็นสถานที่ศึกษาและปฏิบัติธรรม ต่อมาสวนโมกข์เป็นที่รู้จักมากขึ้น มีภิกษุและสามเณรมาอาศัยเพ่ิมข้ึน อีกท้ังมีผู้ศรัทธาทั้งบรรพชิตและ ฆราวาสเพ่ิมข้ึนด้วย ส่งผลให้ปัญหาและความจ าเป็นในด้านต่าง ๆ ก็มีมากข้ึน ประกอบกับ สวนโมกข์ท่ีพุมเรียงมีปัญหาเรื่องน้ า และชาวบ้านถางป่าจนที่ดินรอบวัดตระพังจิกเตียนโล่ง เข้าจับจองปลูกบ้าน ท านา ท าสวน ท าให้สวนโมกข์ท่ีพุมเรียงไม่เหมาะเป็นที่ศึกษาปฏิบัติ ธรรมเหมือนเมื่อก่อน ท่านพุทธทาสจึงด าริจะหาที่ตั้งสวนโมกข์แห่งใหม่
สวนโมกขพลาราม
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ท่านพุทธทาสได้เดินทางหาสถานที่แห่งใหม่ พบสถานที่ซ่ึงเป็น สวนร้างอยู่บนเนินเขาพุทธทอง ทางทิศใต้มีธารน้ าไหลตลอดปี บนยอดเขาพบซากเจดีย์เก่า ปรักหักพังเป็นกองอิฐ ซึ่งท่านพุทธทาสภิกขุสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเจดีย์สมัยศรีวิชัย อายุ ประมาณ ๑,๐๐๐ ปี บริเวณท่ัวไปเป็นป่ารก ต้นไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นสถานท่ีเหมาะสมที่จะสร้างเป็นสวนโมกขพลารามแห่งใหม่ ท่านจึงมอบหมายให้คณะ ธรรมทานติดต่อขอซื้อที่ดิน ท่านได้วางแผนก่อสร้างโดยแบ่งสถานที่เป็น ๒ ส่วน คือ ที่ลาด ต่ าบริเวณเชิงเขาพุทธทองด้านตะวันออกจัดเป็นวัดส าหรับพุทธศาสนิกชนท าบุญฟังธรรม สร้างกุฏิและธรรมศาลาเพื่อประชุมสงฆ์ แสดงธรรม และเป็นที่พักของแขกผู้มาเยือน อีก ส่วนหนึ่งบริเวณเชิงเขาและที่ดอนหลังเขา จัดเป็นสถานที่วิปัสสนาธุระ สร้างกุฏิขนาดเล็ก เฉพาะภิกษุ ๑ รูปเรียงรายรอบเชิงเขา ได้ลงมือสร้างกุฏิหลังแรกในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ โดยมี ชาวบ้านช่วยกันก่อสร้างและถากถางป่า ท่านพุทธทาสขอให้ชาวบ้านถางป่าด้วยความระมัดระวัง เพราะท่านต้องการสงวนรักษาต้นไม้ให้คงสภาพเดิมให้มากท่ีสุด โดยเฉพาะ ต้นไม้ใหญ่ ๆ ที่ให้ร่มเงา สวนโมกขพลารามปัจจุบันมีเนื้อที่ทั้งสิ้นประมาณ ๓๐๐ ไร่ แม้จะมีอาคารและ สิ่งก่อสร้างมากขึ้น ทั้งนี้เพ่ือประโยชน์ใช้สอยและการศึกษาธรรมะ แต่บริเวณสวนโมกข์ ยังคงรักษาสภาพป่าตามธรรมชาติไว้เป็นอย่างดี สวนโมกขพลารามไม่ได้สร้างโบสถ์ ท่าน พุทธทาสภิกขุใช้ลานบนยอดเขาพุทธทองแทนโบสถ์ เป็นสถานที่ประกอบพิธีในวันส าคัญ ทางศาสนาและแสดงธรรมเทศนาในบางคราว ทางด้านตะวันตกบริเวณเขานางเอมีกุฏิ และค่ายลูกเสือเป็นระยะ ส าหรับผู้สนใจศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างสงบ และมีธารน้ าไหล อยู่ทางทิศใต้ของสวนโมกข์ ผลิตน้ าใสสะอาดตลอดปี ล าธารนี้ไหลมารวมกันบริเวณพ้ืนที่ ระหว่างเขานางเอกับเขาพุทธทอง ท่านพุทธทาสภิกขุให้ขุดสระน้ าใหญ่น้อยเป็นระยะ และ ฝังท่อน้ าน าไปใช้ การรักษาสภาพธรรมชาติไว้ให้มากที่สุดเพื่อประโยชน์ต่อการศึกษาและ การปฏิบัติธรรม
lupthawit.purethailand.com
portal.psu.ac.th
สถานที่ส าคัญในสวนโมกขพลาราม
๑. ลานหินโค้ง อยู่ที่เชิงเขาพุทธทองทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นลานดินใต้ต้นไมใ้หญ่น้อย มีก้อนกินขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้างจัดวางอย่างเหมาะสม มีหินโค้งรูปครึ่ง วงกลมสูงประมาณ ๑ ฟุต ท่านพุทธทาสจัดสถานที่นี้ให้คล้ายกับสถานที่ในสมัยพุทธกาลให้ มากที่สุด ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้าของเราประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานกลางดินที่โคน ต้นไม้ สถานที่นี้ส าหรับพระภิกษุ สามเณร อุบาสก และอุบาสิกาฟังธรรมและสวดมนต ์
๒. โรงมหรสพทางวิญญาณ สร้างเป็นอาคารสมัยใหม่ ๒ ชั้น อยู่บนเชิงเขา พุทธทองทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ คนทั่วไปมักเรียกว่า “โรงหนัง” ท่านได้ให้เหตุผลใน การสร้างโรงมหรสพทางวิญญาณว่า เมื่อท่านชราภาพลง ไม่มีแรงเทศนาอธิบายธรรมได้ นาน ๆ แขกท่ีมาเยี่ยมชมสวนโมกข์ก็เพ่ิมจ านวนมากขึ้น โรงมหรสพจะช่วยประหยัดเวลาใน การศึกษาธรรมะ กิจกรรมที่จะจัดในอาคารนี้ก าหนดให้เป็นกิจกรรมของโรงเรียนวันอาทิตย์ ส าหรับนักเรียน กิจกรรมโรงเรียนวันพระส าหรับประชาชนทั่วไป กิจกรรมโรงเรียนอบรม ภิกษุที่จะเป็นเจ้าหน้าที่องค์การเผยแผ่ธรรม สถานที่สวดมนต์ของประชาชนผู้มาปฏิบัติ ธรรม ตลอดจนกิจกรรมฝึกอบรมสั่งสอนและประกอบพิธีกรรมบางอย่าง นอกจากนี้ อาคาร นี้ได้แบ่งจัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงวัตถุสิ่งของเก่ียวกับประวัติความเป็นมาของพุทธศาสนา ฉายภาพชุดปริศนาธรรม ฉายภาพยนตร์ประกอบความรู้ทางธรรมะและความรู้ทั่วไป เพ่ือน้อมน าจิตใจประชาชนให้สร้างคุณงามความดี
๓. โรงป้ัน อยู่หลังเนินเขาพุทธทองติดกับเชิงเขานางเอ ใกล้สระเก็บน้ าจากธารน้ าไหล เป็นโรงไม้เก่า ไม่มีฝา หลังคามุงสังกะสี เป็นโรงฝึกการปั้นแก่พระภิกษุสามเณรและผู้สนใจ เริ่มจากพระภิกษุรูปหนึ่งทดลองงานปั้น แต่ไม่เคยท างานปั้นมาก่อน จึงไปศึกษาดู งานปั้นที่โรงเรียนเพาะช่าง กรุงเทพฯ ต่อมามีภิกษุจากอินเดียที่มีฝีมือทางปั้นและแกะสลัก ได้มาเยี่ยมและพักท่ีสวนโมกข์ระยะหนึ่ง ได้สอนการปั้นภาพแบบอินเดียให้ภิกษุรูปนั้นด้วย ภาพปั้นส่วนใหญ่ใช้ปูนซีเมนต์หล่อเบ้า เรียกว่า ภาพปั้นหินเทียม หรือ ภาพสลักหินเทียม ภาพที่เด่นที่สุดคือภาพพุทธประวัติซึ่งจ าลองแบบมาจากภาพพุทธประวัติหินสลักชุดแรก ของโลกท่ีอินเดีย (พ.ศ. ๓๐๐-๗๐๐) สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ลักษณะเด่นของภาพปั้น ยุคนี้คือเป็นภาพยุคก่อนมีพระพุทธรูป จึงไม่มีรูปพระพุทธเจ้า ทว่าใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ แทน สื่อถึงการไม่มี “ตัวตน” กล่าวคือไม่ต้องการให้ยึดติดกับวัตถุท่ีเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า จน ไม่อาจเข้าถึงหลักธรรมค าสอนของพระศาสดา เช่น ใช้ภาพดอกบัวบานแทนการประสูติ ภาพธรรมจักรแทนการปฐมเทศนา เป็นต้น มีทั้งหมด ๖๐ ภาพ ประดับอยู่ที่ด้านนอกโรง มหรสพทางวิญญาณ ต่อมาทางโรงปั้นได้ปั้นตุ๊กตาและสัตว์นานาชนิดเป็นรางวัลแก่เด็ก ๆ ที่ไปทัศนศึกษาที่สวนโมกข์ รูปตุ๊กตาเหล่านี้จะแสดงถึงคุณงามความดีท่ีสอนให้เด็กเป็นคนดี ของสังคมและประเทศชาติ
๔. สระนาฬิเกร์ เนื้อท่ีประมาณ ๑ ไร่ มีเกาะอยู่กลางสระ บนเกาะมีต้นมะพร้าว ๑ ต้น ตั้งชื่อว่า “สระนาฬิเกร์” นาฬิเกร์เป็นชื่อมะพร้าวพันธุ์หนึ่ง ผลเล็ก สีเหลืองหรือส้ม น้ าหอมหวาน (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔, ๒๕๕๖: ๖๒๔) ท่านพุทธทาสภิกขุให้ขุดสระนี้เป็นปริศนาธรรม มะพร้าวนาฬิเกร์ คือพระนิพพาน พ้ืนน้ า
ท่านเรียกว่าทะเลขี้ผึ้งเปรียบเหมือนสังสารวัฏ ยามทะเลร้อนมนุษย์ไม่สามารถข้ามไปได้ ยามเมื่อทะเลเย็นและข้ีผึ้งแข็งตัว มนุษย์ผู้พ้นบาปก็ถึงบุญ พ้นบุญก็ถึงนิพพานก็ข้ามไปได้ ปริศนาธรรมนี้มาจากเพลงกล่อมเด็กภาคใต้บทหนึ่งว่า “เอ่ย น้องเอย มะพร้าวนาฬิเกร์ ต้นเดียวโนโน กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม้ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง กลางทะเลขี้ผึ้ง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญเอย”
๕. ธรรมวารีนาวาอิศรกุลนฤมิตร เป็นที่เก็บน้ าฝนและที่ปฏิบัติธรรม ท่านพุทธทาสภิกขุคิดท าท่ีเก็บน้ าฝนเป็นอาคารรูปเรือขนาดเท่าของจริง ท าด้วยคอนกรีต อยู่ทางด้านเหนือของโรงมหรสพทางจิตวิญญาณ สื่อถึงเรือเป็นเครื่องมือในการข้าม สังสารวัฏไปสู่นิพพาน ภายนอกของเรือท้ัง ๒ ด้านผนึกภาพปริศนาธรรม จัดสวนทราย และสวนหินบนดาดฟ้าเรือเพ่ือประกอบการศึกษาธรรมชาติและเป็นที่ฝึกสมาธิ ด้านหัวเรือสร้างเป็นสถูปสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ท้ายเรือจัดเป็นมุมสงบส าหรับนั่งพัก สนทนาธรรม อ่านหนังสือ หรือพิจารณาธรรมตามล าพังหรือเป็นกลุ่ม ต่อมาได้สร้างอาคารธรรม วารีนาวา ล าที่ ๒ มีขนาดใหญ่กว่าล าแรก ใช้เป็นที่เก็บน้ าฝน และเป็นที่ตั้งของห้องสมุด โมกขบรรณาลัยส าหรับผู้สนใจศึกษาใช้บริการ
๖. ธรรมสถาน ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสวนโมกข์ ตรงทางหลวงหมายเลข ๔๑ เข้ามาตามทางสายย่อยอีกราว ๒ กิโลเมตร เป็นเขตปฏิบัติธรรม แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนคือ ๑) ธรรมาศรมนานาชาติ หรือ สวนโมกข์นานาชาติ ท่านพุทธทาสตั้งขึ้นเพื่ออบรมอานา- ปานสติส าหรับชาวต่างชาติ ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมส าหรับชาวไทยด้วย โดยใน วันที่ ๑-๑๑ ของทุกเดือนจะจัดอบรมส าหรับชาวต่างชาติ วันที่ ๑๙-๒๗ ของทุกเดือนจัด อบรมส าหรับชาวไทย ๒) ธรรมาศรมธรรมทูต หรือ “ดอนเคี่ยม” เพราะมีต้นเคี่ยมข้ึนอยู ่เป็นจ านวนมาก เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมส าหรับชาวต่างชาติผู้ศึกษาธรรมอย่างลึกซึ้ง สามารถถ่ายทอดธรรมสู่ชาวต่างชาติด้วยกันได้ ๓) ธรรมาศรมธรรมมาตา สถานที่ฝึกอบรม ธรรมส าหรับผู้หญิง สอนโดยผู้หญิง
แนวทางในการสอนธรรมของท่านพุทธทาสภิกขุคือ
“กินอยู่อย่างต่ า มุ่งกระท าอย่างสูง”
“เป็นอยู่อย่างง่าย มุ่งกระท าสิ่งที่ยาก” และ
“ใช้ชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด” สวนโมกขพลารามจึงเป็นมรดกธรรมที่ท่านพุทธทาสภิกขุมอบให้กับสังคมไทย
หนังสืออ้างอิง
ปิยะฤทัย ปิโยพีระพงศ์. ๒๕๕๕. ตาม “ใจ” ไปสวนโมกข.์ อนุสาร อ.ส.ท. ๕๒: ๑๐ (พฤษภาคม): ๘๔-๙๖. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. ๒๕๕๖. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน. พรศักดิ์ พรหมแก้ว. ๒๕๔๒. สวนโมกขพลาราม. หน้า ๗๘๒๙-๗๘๔๔. ใน สารานุกรมวัฒนธรรม ไทย ภาคใต้ เล่ม ๑๖ สงวน ไชยเดช-สุนัต. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์. วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง. ๒๕๔๙. ๑๐๐ ปีพุทธทาสภิกขุ. สารคดี ๒๒: ๒๕๕ (พฤษภาคม): ๗๐- ๑๗๓.
ท่ีมาของภาพ http://dhamma-alive.blogspot.com/2013/03/blog-post_4918.html