Upload
others
View
2
Download
1
Embed Size (px)
Citation preview
Volume 39 Number 4 October – December 2013 Thai Journal of Anesthesiology 325
แนวทางการระงับความรู้สึกผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัด
Deep Brain Stimulation (DBS)
ปฐมพร ปิ่นอ่อน พ.บ.
Abstract: Anesthetic considerations for Deep Brain Stimulation (DBS) surgery: A Review
Pathomporn Pin - on , M.D.
Department of Anesthesiology, Faculty of Medicine Chiang Mai University
include the interference of anesthetic drugs to
microelectrode recording, and an awake and
cooperative patient. The anesthesia providers
should recognize the complications that may
develop during the surgery, which include patients’
loss of airway control, seizures, and intracerebral
hemorrhage (ICH). This review will focus on the
perioperative management for Parkinsonian
patients who will be the candidates of the DBS
surgery; summarize choice of anesthetic
technique, maintenance of anesthesia, and how to
manage when complications develop.
Background: Deep Brain Stimulation
(DBS) has been accepted as one of the treatment
modalities for movement disorders, including
Parkinson’s disease. DBS is a minimally invasive
procedure that takes several steps, including
the brain mapping for the target lesions,
microelectrode recordings, placement of the
stimulator electrodes, intraoperative clinical
testing, and the implantation of the programmable
pulse generator. The anesthetic technique varies
from general anesthesia, local anesthesia, and
intravenous sedation. The anesthetic concerns
บทความฟื้นวิชา
Keywords: Deep Brain Stimulation (DBS), Parkinson’s disease
ภาควิชาวิสัญญีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
13-1601(325-337).indd 325 1/8/14 10:18 AM
326 วิสัญญีสาร ปีที่ 39 ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม 2556
บทนำา โรคพาร์คินสัน (Parkinson’s disease) เป็น
โรคที่มีพยาธิกำาเนิดมาจากการสูญเสียเซลล์ประสาท
dopaminergic ที่ตำาแหน่ง pars compacta ซึ่งเป็นส่วน
หนึ่งของ substantia nigra reticulata (SNR) ทำาให้
เสียสมดุลระหว่างหน้าที่ในการยับยั้ง (inhibitory
function) ของเซลลป์ระสาท dopaminergic และหนา้ที่
ในการกระตุน้ (excitatory function) ของเซลลป์ระสาท
cholinergic ผลลัพธ์ทำาให้การทำาหน้าที่ยับยั้งของ
γ - aminobutyric acid (GABA) จากสมองส่วน
striatum ทำางานมากขึ้นและชักนำาให้การทำาหน้าที่
ยบัยัง้ทีส่มองสว่น thalamus และ brainstem ทำางานมาก
ขึ้นตามไปด้วยและกดการทำางานของระบบควบคุม
การเคลื่อนไหวของสมองส่วนหน้า (cortical motor
system) ทำาให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ1 การ
รักษาหลัก คือ ควบคุมอาการด้วยการรับประทานยา
การรักษาด้วยการผ่าตัดมีบทบาทในผู้ป่วยพาร์คิน
สันที่ดื้อต่อยาหรือเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา ใน
อดีตการผ่าตัดรักษาโรคพาร์คินสัน ได้แก่ การทำา
thalamotomy ในผู้ป่วยที่มีอาการสั่น (tremor) เป็น
อาการหลักและ pallidotomy ใช้ในการรักษาผู้ป่วย
ที่มีผลข้างเคียงจากการใช้ยา levodopa (levodopa-
induced dyskinesia หรือ antiparkinsonian effects)
หรือผู้ป่วยที่มีอาการ dystonia เป็นอาการหลัก2 การ
รักษาทางศัลยกรรมเป็นการทำาลายสมองส่วนที่เป็น
พยาธิกำาเนิดของการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ (lesioning)
และหยุดการส่งสัญญาณที่ผิดปกติ แต่วิธีดังกล่าว
ทำาให้เกิดภาวะทุพพลภาพถาวรหลายประการตาม
มา เช่น อ่อนแรง (paresis) เดินเซ (gait disturbance)
พูดลำาบาก (dysarthria) สับสน เป็นต้น3 จึงล้าสมัยใน
ปัจจุบัน
Deep Brain Stimulation (DBS) เป็นหนึ่ง
ในมาตรฐานขององค์การอาหารและยาประเทศ
สหรัฐอเมริกาในการรักษาผู้ป่วยโรคพาร์คินสันที่ไม่
สามารถควบคุมอาการเคลื่อนไหวผิดปกติจากการ
รกัษาดว้ยยา4 จำานวนผูป้ว่ยทีเ่ขา้รบัการรกัษาดว้ย DBS
เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก5 รวมถึงในประเทศไทย
DBS ถูกพัฒนามาจากการพบว่าการใช้กระแสไฟฟ้า
ความถี่สูงกระตุ้นที่ตำาแหน่งพยาธิกำาเนิดของโรค
พาร์คินสัน ให้ผลการรักษาเช่นเดียวกับการทำาลาย
ตำาแหน่งดังกล่าว (lesioning)6 เหตุผลที่การรักษา
ด้วย DBS เป็นที่นิยมมากกว่าการผ่าตัด ได้แก่ มีความ
ปลอดภัยระหว่างการผ่าตัดมากกว่า ควบคุมอาการ
ของโรคไดใ้นระยะยาว สามารถใชร้ว่มกนักบัยารกัษา
พาร์คินสันได้ ลดอุบัติการณ์การเกิดภาวะทุพพลภาพ
หลงัผา่ตดั และสามารถปรบัโปรแกรมของเครือ่ง DBS
ได้ตามความรุนแรงและอาการเด่นของผู้ป่วยแต่ละ
ราย7-10 ข้อจำากัดได้แก่ ราคาแพง ใช้เวลาในการผ่าตัด
นาน ตอ้งการความรว่มมอืระหวา่งผูป้ว่ยและประสาท
ศัลยแพทย์ขณะผ่าตัด ต้องการการติดตามผู้ป่วยอย่าง
สมำ่าเสมอหลังการผ่าตัด ต้องมีการเปลี่ยนแบตเตอรี่
ของเครือ่งกระตุน้เปน็ระยะ ผูป้ว่ยมคีวามเสีย่งตอ่การ
ติดเชื้อมากขึ้น ผู้ป่วยต้องการการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ
การใช้เครื่อง DBS เมื่อผู้ป่วยจำาเป็นต้องเข้ารับการ
ตรวจวนิจิฉยัดว้ยการถา่ยภาพดว้ยคลืน่แมเ่หลก็ไฟฟา้
(Magnetic Resonance Imaging, MRI) และต้องการ
ประสาทศลัยแพทยท์ีม่คีวามชำานาญในการผา่ตดัและ
การปรับโปรแกรมการทำางานของเครื่องกระตุ้นภาย
หลังการผ่าตัด11
13-1601(325-337).indd 326 1/8/14 10:18 AM
Volume 39 Number 4 October – December 2013 Thai Journal of Anesthesiology 327
ประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยพาร์คินสัน
ด้วยการผ่าตัด DBS ขึ้นอยู่กับการวางตำาแหน่งขั้ว
ไฟฟ้า (electrode) เพื่อทำาการกระตุ้นตำาแหน่งพยาธิ
กำาเนดิของอาการเคลือ่นไหวผดิปกต ิตำาแหนง่ดงักลา่ว
ไดแ้ก ่ventral intermedius nucleus (Vim), subthalamic
nucleus (STN), และ globus pallidus interna (GPi)4
การกระตุ้นแต่ละตำาแหน่งเหมาะสมในการควบคุม
อาการแตกต่างกัน เช่น การวางและกระตุ้นขั้วไฟฟ้า
ที่ Vim ควบคุมเฉพาะอาการสั่น (tremor) ได้ดี6 และ
มีอุบัติการณ์การรบกวนระบบการรับรู้ (cognitive
function) ตำา่กวา่การกระตุน้ขัว้ไฟฟา้ที ่STN หรอื GPi12
การวางและกระตุ้นขั้วไฟฟ้าที่ตำาแหน่ง STN ได้รับ
ความนิยมมากเพราะสามารถควบคุมอาการหลัก
ได้แก่ อาการสั่น (tremor), bradykinesia และ rigidity
ได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับการกระตุ้นขั้วไฟฟ้าที่ตำาแหน่ง
Vim หรือ GPi13,14 และเป็นทางเลือกในการรักษาของ
ผู้ป่วยพาร์คินสันที่ไม่ประสบความสำาเร็จจากการ
กระตุ้นที่ตำาแหน่ง GPi15
เกณฑ์ในการเลือกผู้ป่วยพาร์คินสันเข้ารับ
การผ่าตัดรักษาด้วยการทำา DBS ได้แก่ การพิจารณา
เรื่องอายุ ระยะเวลาที่ป่วย ความรุนแรง อาการหลัก
การตอบสนองตอ่ยา levodopa และการประเมนิผูป้ว่ย
องค์รวมโดยใช้ Core Assessment Program for
Surgical Interventional Therapies in Parkinson’s
Disease (CAPSIT - PD)16 เกณฑ์การยกเว้นผู้ป่วย
ในการรักษาด้วย DBS ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีระบบการ
รับรู้บกพร่อง (cognitive impairement)8,10,17 การ
แข็งตัวของเลือดผิดปกติ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่
ควบคุมอาการได้ไม่ดี ผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดสมอง
ผู้ป่วยที่เคยผ่าตัดสมองมาก่อน ผู้ป่วยโรคหลอดเลือด
หัวใจตีบอย่างรุนแรง ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยมะเร็ง
ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดและผู้ป่วยที่
ไม่สามารถติดตามหลังการผ่าตัดได้18 ส่วนผู้ป่วยที่
ใส่เครื่องควบคุมการเต้นหัวใจชนิดถาวร (permanent
pacemaker)19 และผู้ป่วยโรคซึมเศร้า20ปัจจุบันไม่ถือ
เป็นข้อยกเว้นในการรักษาด้วย DBS
การเตรียมผู้ป่วยก่อนการผ่าตัด DBS วิสัญญีแพทย์ควรประเมินผู้ป่วยพาร์คินสัน
ก่อนเข้ารับการผ่าตัด DBS โดยคำานึงถึงอาการนำา
ของโรค โรคประจำาตัวอื่น ๆ โดยเฉพาะโรคความดัน
โลหิตสูงควรได้รับการควบคุมด้วยยาลดความดัน
โลหิตอย่างสมำ่าเสมอจนถึงเช้าวันผ่าตัดและความ
สามารถในการใหค้วามรว่มมอืกบัประสาทศลัยแพทย์
ระหว่างการผ่าตัด วิสัญญีแพทย์ควรอธิบายขั้นตอน
ระหว่างการผ่าตัดให้ผู้ป่วยทราบอย่างละเอียดก่อน
การผ่าตัด รวมถึงการจัดท่าระหว่างการผ่าตัด งดยา
ที่ใช้ควบคุมอาการเคลื่อนไหวผิดปกติตั้งแต่คืนก่อน
ทำาการผ่าตัดจนถึงเช้าวันผ่าตัด วิสัญญีแพทย์ไม่ควร
ให้ยากดประสาทหรือยาระงับปวดกลุ่มอนุพันธ์
ของฝิ่นก่อนการผ่าตัด เพราะยาดังกล่าวจะมีผล
รบกวนต่อระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย มีผลกด
การหายใจและรบกวนการแปลผลคลื่นไฟฟ้าสมอง
ขณะที่ประสาทศัลยแพทย์หาตำาแหน่งในการวางขั้ว
ไฟฟ้า วิสัญญีแพทย์ควรถามประวัติผู้ป่วยถึงการใส่
อุปกรณ์โลหะในร่างกาย เช่น การใส่อุปกรณ์หนีบ
เส้นเลือด (vascular clip) หรือการใส่เครื่องควบคุม
การเต้นหัวใจ (pacemaker)1 ทั้งนี้เพราะต้องมีการถ่าย
ภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance
Imaging, MRI) ระหว่างการผ่าตัดและวิสัญญีแพทย์
ควรสื่อสารกับประสาทศัลยแพทย์ถึงขั้นตอนการ
ผ่าตัดอย่างละเอียด
13-1601(325-337).indd 327 1/8/14 10:18 AM
328 วิสัญญีสาร ปีที่ 39 ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม 2556
การดูแลผู้ป่วยพาร์คินสันก่อน ระหว่างและ
หลังผ่าตัด วิสัญญีแพทย์ควรตระหนักถึงยาบางชนิด
ที่ห้ามให้ในผู้ป่วยพาร์คินสันได้แก่ phenothiazines,
butyrophenones และ dopamine receptor antagonists
เช่น metoclopramide ยาเหล่านี้มีผลทำาให้ผู้ป่วย
พาร์คินสันมีอาการแย่ลง ยาในกลุ่ม monoamine
oxidase inhibitor (MAOIs) และ meperidine ควร
หลีกเลี่ยงเช่นกันเพราะทำาให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา
(drug interaction) กับยาที่ใช้รักษาพาร์คินสัน
อุปกรณ์เฝ้าระวังระหว่างการผ่าตัด นอกเหนืออุปกรณ์เฝ้าระวังพื้นฐาน ได้แก่ การ
วัดความดันโลหิตจาก cuff pressure คลื่นไฟฟ้าหัวใจ
(ECG) และการวดัความเขม้ขน้ของออกซเิจนในเลอืด
(SpO2) แลว้การวดัความดนัโลหติจากหลอดเลอืดแดง
(arterial line) การเฝ้าระวังการเกิด air emboli สำาหรับ
ผู้ป่วยที่ทำาผ่าตัดในท่ากึ่งนั่ง (semi - upright) และการ
เฝ้าระวังระดับความลึกของการสลบด้วย Bispectral
index (BIS) ควรพิจารณาสำาหรับผู้ป่วยเป็นราย ๆ ไป
ขั้นตอนการผ่าตัด ขั้นตอนสำาคัญในการผ่าตัดประกอบด้วย
1. การระบุตำาแหน่งพยาธิสภาพ (brain
mapping) โดยประสาทศลัยแพทยจ์ะสวม stereotactic
head frame ให้กับผู้ป่วย4 การบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง
(microelectrode recording, MER) การวางขั้วไฟฟ้า
และการกระตุ้นขั้วไฟฟ้า (macrostimulation) เพื่อดู
การตอบสนองของผู้ป่วย
2. การใส่เครื่องกำาเนิดไฟฟ้า (programmable
pulse generator) ซึ่งทำาหน้าที่ควบคุมการทำางานของ
ขั้วไฟฟ้าทั้ง 2 ขั้นตอนอาจทำาต่อเนื่องในการผ่าตัด
ครั้งเดียวหรือแยกเป็น 2 ครั้งก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
ความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละรายและการตัดสินใจ
ของประสาทศัลยแพทย์ ระบบของ DBS ประกอบ
ด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ขั้วไฟฟ้าที่ใส่ไว้ที่ตำาแหน่ง
พยาธสิภาพในสมอง สายเคเบลิและเครือ่งกำาเนดิไฟฟา้
(programmable pulse generator)21
ขัน้ตอนการผา่ตดัเริม่ตน้จากการใส ่stereotactic
head frame ตามด้วยการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็ก
ไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging, MRI) เพื่อดู
โครงสร้างของสมองและระบุพิกัดของพยาธิสภาพ
ที่จะวางขั้วไฟฟ้า จากนั้นผู้ป่วยจะถูกย้ายกลับมาที่
ห้องผ่าตัดในท่านอนหงายหรือท่ากึ่งนั่งพร้อมกับ
stereotactic head frame ที่ยึดศีรษะผู้ป่วยไว้กับเตียง
ผา่ตดั ประสาทศลัยแพทยท์ำาการเจารทูีก่ะโหลกศรีษะ
(burr hole) เพือ่เตรยีมใสข่ัว้ไฟฟา้ การหาตำาแหนง่ใชก้าร
แปลผลจากคลื่นไฟฟ้าสมอง (microelectrode
recording, MER) ที่เปลี่ยนแปลงตามเซลล์ประสาท
แตล่ะชนดิประกอบกบัดกูารเคลือ่นไหวของผูป้ว่ย เมือ่
พบตำาแหน่งที่คาดว่าเป็นพยาธิสภาพแล้วจะทำาการ
กระตุ้น (macrostimulation) และดูการเคลื่อนไหว
ของผู้ป่วยร่วมกับพิจารณาว่าการกระตุ้นดังกล่าว
ทำาใหอ้าการเคลือ่นไหวผดิปกตขิองผูป้ว่ยดขีึน้รว่มกบั
ไมม่ผีลขา้งเคยีง จากนัน้จะยนืยนัดว้ยภาพถา่ยทางรงัส ี
และยึดตำาแหน่งขั้วไฟฟ้าให้แน่น ทำาขั้นตอนเหล่านี้
ซำ้าในผู้ป่วยที่ต้องใส่ขั้วไฟฟ้าที่สมองทั้งสองข้าง เมื่อ
เรยีบรอ้ยแลว้จงึตอ่สายเคเบลิเชือ่มเขา้กบัเครือ่งกำาเนดิ
ไฟฟ้า (programmable pulse generator) ที่ฝังไว้ใต้
ผิวหนังบริเวณหน้าอกของผู้ป่วย
13-1601(325-337).indd 328 1/8/14 10:18 AM
Volume 39 Number 4 October – December 2013 Thai Journal of Anesthesiology 329
การระงับความรู้สึกผู้ป่วยที่ เข้ารับการ
ผ่าตัด DBS แบ่งตามขั้นตอนในการผ่าตัด การระงับความรู้สึกผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัด
DBS แบ่งเป็นขั้นตอนตามขั้นตอนในการผ่าตัดเช่น
กัน การระงับความรู้สึกในช่วงการใส่ stereotactic
head frame และระหวา่งการถา่ยภาพดว้ยคลืน่แมเ่หลก็
ไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging, MRI) มีหลาย
วิธี ได้แก่
1. การให้ยาระงับความรู้สึกร่วมกับการฉีด
ยาชาเฉพาะที่ที่บริเวณ pin insertion และ/
หรอืรว่มกบัการสกดัเสน้ประสาททีไ่ปเลีย้ง
หนังศีรษะ (scalp nerve blockade)
2. การฉดียาชาเฉพาะทีท่ีบ่รเิวณ pin insertion
รว่มกบัการสกดัเสน้ประสาททีไ่ปเลีย้งหนงั
ศีรษะ (scalp nerve blockade)
3. การฉดียาชาเฉพาะทีท่ีบ่รเิวณ pin insertion
เพียงอย่างเดียว
การสกัดเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงหนังศีรษะ
หรือ scalp nerve blockade ประกอบด้วยการฉีดยาชา
ทีเ่สน้ประสาทรอบศรีษะ 6 เสน้หลกัไดแ้ก ่เสน้ประสาท
supraorbital, supratrochlear, auriculotemporal,
zygomaticotemporal, greater occipital และ lesser
occipital แต่ละตำาแหน่งควรใช้ยาชา bupivacaine
ความเข้มข้นร้อยละ 0.25 - 0.50 ในปริมาตร 2 - 5
มิลลิลิตร22-25
สำาหรับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการให้ยาระงับความ
รู้สึก การให้ยากดประสาทชนิดที่ออกฤทธิ์สั้น
ในปริมาณน้อยๆ จะช่วยลดความวิตกกังวลและ
ลดอาการเคลื่อนไหวผิดปกติขณะที่ถ่ายภาพด้วย
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imag-
ing, MRI) ยาที่แนะนำาให้ใช้ได้แก่ propofol หยดเข้า
หลอดเลือดดำาในขนาด 50 ไมโครกรัม/กิโลกรัม/นาที
โดยจะให้ร่วมกับ dexmedetomidine หรือไม่ก็ได้
พิจารณาตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย
และความคุ้นเคยในการใช้ยาของวิสัญญีแพทย์1 เมื่อ
เสร็จขั้นตอนการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
(Magnetic Resonance Imaging, MRI) แล้ว ควรหยุด
ยาทนัท ีผูป้ว่ยจะถกูพากลบัมายงัหอ้งผา่ตดัเพือ่ทำาการ
หาตำาแหนง่พยาธสิภาพในสมอง การใหย้าระงบัความ
รู้สึกอาจทำาในช่วงนี้ได้หากผู้ป่วยไม่ได้รับการวางยา
สลบตั้งแต่ก่อนไปถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
(Magnetic Resonance Imaging, MRI) แตต่อ้งคำานงึถงึ
ความยากในการดูแลทางเดินหายใจของผู้ป่วย เพราะ
ขณะนี้ผู้ป่วยมี stereotactic head frame ครอบศีรษะ
ไว้ โครงสร้างของ stereotactic head frame จะทำาให้
วสิญัญแีพทยเ์ปดิทางเดนิหายใจผูป้ว่ยโดยใชห้นา้กาก
รวมถึงการใส่ท่อช่วยหายใจยากขึ้น การติดอุปกรณ์
เฝ้าระวังพื้นฐานและการสกัดเส้นประสาทที่ไปเลี้ยง
หนังศีรษะก็สามารถทำาในช่วงนี้ได้เช่นกัน ประสาท
ศัลยแพทย์จะทำาการเจาะกะโหลกศีรษะ (burr hole)
และเปิดหนังศีรษะเพื่อหาตำาแหน่งพยาธิสภาพใน
สมองและวางขั้วไฟฟ้าที่ตำาแหน่งดังกล่าว การผ่าตัด
มักจะเสียเลือดไม่มาก การให้สารนำ้าทดแทนระหว่าง
การผ่าตัดควรให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ การหา
ตำาแหน่งพยาธิสภาพในสมองอาศัยการบันทึกและ
การแปลผลจากคลื่นไฟฟ้าสมอง (microelectrode
recording, MER) ซึ่งอาจใช้เวลานานถึง 3 - 5 ชั่วโมง
ดังนั้นการใส่สายสวนปัสสาวะจึงมีความจำาเป็น
13-1601(325-337).indd 329 1/8/14 10:18 AM
330 วิสัญญีสาร ปีที่ 39 ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม 2556
Figure 1 Stereotactic head frame
ดดัแปลงจาก Computer - assisted Stereotactic
Ventralis Lateralis Thalamotomy with Microelec-
trode Recording Control in Patients with Parkinson’s
disease. Mayo Clinic Proceedings, Volume 62, Issue
8, August 1987, page 655-664
ดัดแปลงจาก Movement Disorder Sur-
gery with the Leksell System (Stereotactic and
Functional Neurosurgery) www.what-when-
how.com
ขั้นตอนการบันทึกและการแปลผลจากคลื่น
ไฟฟ้าสมอง (microelectrode recording, MER) นี้
ประสาทศัลยแพทย์ต้องการความร่วมมือจากผู้ป่วย
ดังนั้น ผู้ป่วยควรรู้สึกตัวเต็มที่และสามารถโต้ตอบ
หรือทำาตามคำาสั่งของประสาทศัลยแพทย์ได้ ผู้ป่วยที่
ได้รับการให้ยาระงับความรู้สึกตั้งแต่แรก ควรได้รับ
การปลุกให้ตื่นในระหว่างการผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับยา
ระงับความรู้สึกอีกครั้งหนึ่งเมื่อประสาทศัลยแพทย์
ไดท้ำาการวางขัว้ไฟฟา้ตรงตำาแหนง่พยาธสิภาพและได้
ทำาการกระตุน้ทดสอบเปน็ทีเ่รยีบรอ้ยแลว้วา่สามารถ
ควบคุมอาการเคลื่อนไหวผิดปกติได้ดีและไม่เกิด
ผลข้างเคียง วิสัญญีแพทย์ควรให้ข้อมูลนี้แก่ผู้ป่วย
13-1601(325-337).indd 330 1/8/14 10:18 AM
Volume 39 Number 4 October – December 2013 Thai Journal of Anesthesiology 331
Table 1 Indications, advantages, and disadvantages of each anesthetic technique for DBS surgery
Anesthetic techniques Indications Advantages Disadvantages
Asleep – awake - asleep (AAA) technique
Suitable for patients who have severe abnormal movement which disturbs to quality of MRI
Patients have no pain during stereotactic head frame insertion and during burr hole procedure
- cough, regurgitate, or vomit during removal of airway instrument (i.e. LMA)
- sympathetic stimulation and subsequent brain edema
- patient may incooperate after removal of airway instrument
- loss of airway control
Local anesthetic infiltration Suitable for patients who cooperate with the surgical team very well and discontinuation of medication does not cause severe or uncontrolled abnormal movement
- do not disturb to micro- electrode recording and interpretation
- directly observe move- ment and side effects during macrostimula- tion
- decrease surgical time and hospital length of stay26
- pain during stereotactic head frame insertion and burr hole procedure
- pat ients may have loss of airway control especially during heavy IV anesthetic sedation
- p a i n m a y i n d u c e agitation which disturb to quality of MRI, microelectrode recor- ding and interpretation
Scalp nerve blockade
Intravenous sedation
General anesthesia (GA) Suitable for anxiety patients, patients with severe/ uncontrol led abnormal movement
Suitable for lengthy procedure or in case of difficult to identify the location of lesion
Some anesthetic drugs, especially volatile, disturb to microelectrode recor- ding and interpretation
ตัง้แตใ่นขัน้ตอนการประเมนิผูป้ว่ยกอ่นการผา่ตดัแลว้
เทคนิคการระงับความรู้สึกดังกล่าวเรียกว่า asleep –
awake - asleep (AAA) ทางเลือกในการระงับความ
รู้สึกรวมถึงข้อบ่งชี้ ข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธีได้
รวบรวมไว้ในตารางที่ 1
13-1601(325-337).indd 331 1/8/14 10:18 AM
332 วิสัญญีสาร ปีที่ 39 ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม 2556
นอกเหนือจากการที่ผู้ป่วยรู้สึกตัวตลอด
เวลาและให้ความร่วมมือระหว่างการผ่าตัดแล้ว
วิสัญญีแพทย์มีหน้าที่สำาคัญในการรักษาระดับความ
ดนัโลหติใหใ้กลเ้คยีงกบัคา่พืน้ฐานกอ่นการผา่ตดัของ
ผู้ป่วย การเกิดความดันโลหิตสูงระหว่างการผ่าตัด
จะเพิ่มความเสี่ยงต่อเลือดออกในสมองโดยเฉพาะที่
ตำาแหน่งที่วางขั้วไฟฟ้า มีรายงานอุบัติการณ์ดังกล่าว
เฉลี่ยร้อยละ 1.4 ต่อตำาแหน่งการวางขั้วไฟฟ้า27,28
รายงานดังกล่าวแนะนำาว่าวิสัญญีแพทย์ควรรักษา
ระดบัความดนัโลหติไมเ่กนิ 140 มลิลเิมตรปรอทหรอื
อยู่ในช่วงร้อยละ 20 ของความดันโลหิตพื้นฐานของ
ผู้ป่วยก่อนการผ่าตัด ความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก
ในสมองในผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัด DBS สูงขึ้นถึง
ร้อยละ 4 ในผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่
เกิดความดันโลหิตสูงฉับพลันระหว่างการผ่าตัดและ
ผู้ป่วยที่ต้องวางขั้วไฟฟ้าหลายตำาแหน่ง27,29
วิสัญญีแพทย์ควรเตรียมอุปกรณ์สำาหรับการ
เปิดทางเดินหายใจผู้ป่วยให้พร้อมหากเกิดเหตุการณ ์
ฉุก เฉินขึ้นระหว่ างการผ่ าตัดรวมถึง f ibe rop t ic
broncoscope และ laryngeal mask airway (LMA)
ระหว่างผ่าตัดผู้ป่วยควรได้รับออกซิเจนผ่านทาง
หน้ากากออกซิ เจนร่วมกับการเฝ้าระวังระดับ
คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด
สำาหรบัผูป้ว่ยทีไ่มใ่หค้วามรว่มมอืระหวา่งการ
ผ่าตัดหรือไม่สามารถทนต่อการตื่นรู้สึกตัวระหว่าง
การผ่าตัดได้ ควรใช้ยาดมสลบที่ความเข้มข้นไม่เกิน
1 MAC และควรตรวจระดบัความลกึของการสลบดว้ย
Bispectral index (BIS) เมือ่ผูป้ว่ยจำาเปน็ตอ้งไดร้บัการ
ระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกาย (general anesthesia)
พบว่าการวางขั้วไฟฟ้าที่ตำาแหน่ง STN จะประสบ
ความสำาเร็จมากกว่าการวางขั้วไฟฟ้าที่ตำาแหน่ง GPI
ระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วยตามที่เคยมีรายงานว่า
สามารถหาตำาแหน่ง STN ได้และกระตุ้นด้วยไฟฟ้าได้
อย่างปลอดภัยคือ BIS 60 - 6530
การผ่าตัดเพื่อใส่เครื่องกำาเนิดไฟฟ้า (program-
mable pulse generator) ควรใช้เทคนิคการระงับ
ความรู้สึกแบบทั่วร่างกาย (general anesthesia) ทั้งนี้
เพราะไม่มีความจำาเป็นต้องทดสอบการกระตุ้นขั้ว
ไฟฟ้าและการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยแล้ว
ยาระงับความรู้สึกที่ใช้ในการผ่าตัด DBS ยาระงับความรู้สึกที่นิยมใช้ในการผ่าตัด DBS
ในช่วงการบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง (microelectrode
recording, MER) การวางขั้วไฟฟ้าและการกระตุ้น
(mac ros t imu la t ion ) ได้แก่ p ropofo l และ
dexmedetomidine ยาแต่ละชนิดมีผลต่อตำาแหน่ง
พยาธิกำาเนิดซึ่งเป็นเป้าหมายของการวางขั้วไฟฟ้า
(STN, GPi, Vim) แตกต่างกัน ยาระงับความ
รู้สึกชนิดเดียวกันอาจมีผลแตกต่างกันที่ตำาแหน่ง
GPiตามระยะการดำาเนินโรคอีกด้วย4
Propofol มีข้อดีที่ออกฤทธิ์เร็ว สามารถให้
ยาโดยการไตเตรทได้ง่าย ผู้ป่วยฟื้นจากการสลบได้ด ี
ลดอุบัติการณ์การชัก และไม่รบกวนต่อคลื่นไฟฟ้า
สมองและการแปลผลโดยเฉพาะเมื่อระดับความเข้ม
ข้นของยาในกระแสเลือดมีค่า 0.8 - 2 ไมโครกรัมต่อ
มิลลิลิตร31 propofol สามารถใช้เป็นยาในการรักษา
ภาวะการสลบเมื่อใช้เทคนิค AAA ได้โดยมีรายงาน
ว่าเมื่อให้ propofol โดยการหยดเข้าหลอดเลือดดำาใน
ขนาด 50 ไมโครกรัม/กิโลกรัม/นาที ผู้ป่วยจะใช้เวลา
เฉลี่ย 9 นาทีในการตื่นรู้สึกตัวเต็มที่หลังจากหยุดยา1
ทัง้นีร้ะยะเวลาดงักลา่วอาจแตกตา่งกนัในผูป้ว่ยแตล่ะ
รายขึ้นอยู่กับยากดประสาทและยาระงับปวดกลุ่ม
13-1601(325-337).indd 332 1/8/14 10:18 AM
Volume 39 Number 4 October – December 2013 Thai Journal of Anesthesiology 333
อนุพันธ์ของฝิ่นที่ให้ร่วมกับ propofol
Dexmedetomidine เป็นยาในกลุ่ม selective
α 2 – adrenergic receptor agonist โดยเลือกจับกับ
α 2 – receptor สูงถึง 1620 เท่าของการจับกับ α –
1 receptor เป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็ว ถูกทำาลายที่ตับ
และขับออกทางไต มีค่าครึ่งชีวิต 2 ชั่วโมง ออกฤทธิ์
กดประสาทผ่านทาง subcortical pathway จึงทำาให้
ผู้ป่วยหลับและตื่นเร็วคล้ายกับการนอนหลับตาม
ธรรมชาติ dexmedetomidine ไม่ได้ออกฤทธิ์ในการ
กดประสาทผ่านทางระบบ gamma - amino - butyric
acid (GABA) เหมือนยาระงับความรู้สึกส่วนใหญ่
ดังนั้น จึงไม่รบกวนต่อกระบวนการรับรู้ (cognitive
function) มฤีทธิก์ดการหายใจนอ้ย จากการศกึษาพบวา่
ผูป้ว่ยทีไ่ดร้บั dexmedetomidine ในชว่งแรกจะมรีะดบั
คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงขึ้น ตามด้วยผู้ป่วย
หายใจเรว็ขึน้เพือ่ขบัคารบ์อนไดออกไซดส์ว่นเกนิ การ
ตอบสนองนี้จำาเพาะต่อการให้ยา dexmedetomidine
เรียกว่า “hypercapnic arousal phenomenon”32,33 ผล
ของยา dexmedetomidine ต่อระบบหัวใจและหลอด
เลือดขึ้นอยู่กับขนาดและความเร็วในการให้ยา การ
ให้ยาขนาดต่ำาๆทีละน้อยจะมีผลในการลดความดัน
โลหิตและหัวใจเต้นช้าลง เมื่อให้ยาในขนาดสูงหรือ
ให้อย่างรวดเร็วจะทำาให้ความดันโลหิตสูงขึ้นทันทีได้
การบริหารยานิยมการหยดเขา้หลอดเลือดดำาอย่างตอ่
เนื่องในขนาด 0.3 - 0.7 ไมโครกรัม/กิโลกรัม/ชั่วโมง
ในกรณีที่ไม่ได้ให้ bolus dose 34,35 หรือให้ยาในขนาด
0.1 - 0.4 ไมโครกรัม/กิโลกรัม/ชั่วโมงในผู้ป่วยที่ได้รับ
ยา bolus dose36
ระหว่างการบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง (micro-
electrode recording, MER) วิสัญญีแพทย์อาจให้ยา
dexmedetomidine เพียงอย่างเดียวหรือให้ร่วมกับ
propofol ก็ได้ อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยให้ความร่วม
มือดีอาจหยุดยาทั้งสองชนิดและให้เพียงยาแก้ปวด
กลุ่มอนุพันธ์ของฝิ่นเป็นระยะเมื่อผู้ป่วยมีอาการปวด
โดยควรบริหารยาแบบไตเตรท ยาระงับปวดที่นิยม
ใช้ได้แก fentanyl และ remifentanil
จากการศกึษากอ่นหนา้นีพ้บวา่การใหย้าระงบั
ความรูส้กึรว่มกบัการเฝา้ระวงัระดบัความรูส้กึตวัของ
ผู้ป่วยด้วย Bispectral index (BIS) โดยให้มีค่ามากกว่า
80 โดยเฉพาะในช่วงของการบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง
(microelectrode recording, MER) จะไม่มีผลรบกวน
ต่อการแปลผลคลื่นไฟฟ้าสมอง36
ภาวะแทรกซ้อนระหว่างการผ่าตัด DBS ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในการผ่าตัด
ขั้นตอนนี้ ได้แก่ การชัก มีรายงานว่าพบได้สูงถึง
ร้อยละ 10 และสัมพันธ์กับการมีเลือดออกในสมอง37
วิสัญญีแพทย์ควรเตรียมยากันชักให้พร้อม ทั้งนี้การ
เลือกยากันชักควรพิจารณาเลือกยาที่ออกฤทธิ์เร็ว
ระยะเวลาการออกฤทธิส์ัน้ เพือ่จะไดไ้มร่บกวนตอ่การ
บันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง (microelectrode recording,
MER) รวมถึงเตรียมอุปกรณ์ในการป้องกันทางเดิน
หายใจของผู้ป่วย จากการศึกษาพบว่าอาการชักที่เกิด
ระหว่างผ่าตัด DBS ไม่สัมพันธ์กับการชักหลังผ่าตัด
และผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่เกิดการชักซำ้าภายหลังการ
ผ่าตัด4
ผู้ป่วยพาร์คินสันมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ
แทรกซ้อนหลังผ่าตัดจากการไม่สามารถขับเสมหะ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสี่ยงต่อการสำาลัก ปอดแฟบ
(atelectasis) และการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
ผู้ป่วยที่ได้รับการระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกาย
(general anesthesia) และใส่ท่อช่วยหายใจจะมีความ
13-1601(325-337).indd 333 1/8/14 10:18 AM
334 วิสัญญีสาร ปีที่ 39 ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม 2556
เสี่ยงต่อการหดเกร็งของกล่องเสียง (laryngospasm)
และระบบการหายใจล้มเหลวหลังการถอดท่อช่วย
หายใจสูงขึ้น38
การดูแลผู้ป่วยภายหลังการผ่าตัด DBS เมื่อผู้ป่วยพาร์คินสันที่ เคยได้รับรักษาด้วย
DBS กลับมาผ่าตัดหรือต้องถ่ายภาพด้วยคลื่น
แม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging, MRI)
ควรมีผู้เชี่ยวชาญในการปรับโปรแกรมของเครื่อง
กำาเนิดไฟฟ้า (programmable pulse generator) มา
ชว่ยดแูลผูป้ว่ยรวมถงึการตดัสนิใจเปดิ - ปดิหรอืปรบั
โปรแกรมควรอยูใ่นความดแูลของประสาทศลัยแพทย์
อยา่งใกลช้ดิ ระหวา่งการผา่ตดัหากตอ้งมกีารใชเ้ครือ่ง
จี้ไฟฟ้า (electro cautery) ควรเลือกใช้ชนิด bipolar
diathermy และควรวางแผน่กระจายไฟฟา้ (dispersion
pad) ให้ห่างจากเครื่องกำาเนิดไฟฟ้าและขั้วไฟฟ้าของ
ระบบ DBS ให้มากที่สุด
สรุป การรกัษาผูป้ว่ยโรคพารค์นิสนัดว้ยการทำา DBS
เป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน วิสัญญีแพทย์มีโอกาส
ต้องดูแลผู้ป่วยพาร์คินสันที่เคยเข้ารับการรักษาด้วย
DBS มาก่อนเพิ่มขึ้น การเข้าใจขั้นตอนการผ่าตัดและ
ทางเลอืกในการระงบัความรูส้กึรวมถงึแนวทางในการ
ดแูลผูป้ว่ยเมือ่ตอ้งกลบัมารบัการผา่ตดัอืน่ ๆ หลงัการ
ทำา DBS จะทำาให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วยและ
ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
เอกสารอ้างอิง1. Deiner S, Hagen J: Parkinson’s disease and deep
brain stimulator placement. Anesthesiol Clin.
2009;27:391-415, table of contents
2. Poon CC, Irwin MG: Anaesthesia for deep
brain stimulation and in patients with implanted
neurostimulator devices. Br J Anaesth.
2009;103:152-65.
3. Blomstedt P, Hariz MI: Are complications
less common in deep brain stimulation than in
ablative procedures for movement disorders?
Stereotact Funct Neurosurg 2006;84:72-81.
4. Venkatraghavan L, Manninen P: Anesthesia for
deep brain stimulation. Curr Opin Anaesthesiol.
2011;24:495-9.
5. Shah RS, Chang SY, Min HK, Cho ZH, Blaha
CD, Lee KH: Deep brain stimulation: technology
at the cutting edge. J Clin Neurol. 6:167-82.
6. Benabid AL, Pollak P, Gervason C, Hoffmann D,
Gao DM, Hommel M, Perret JE, de Rougemont
J: Long-term suppression of tremor by chronic
stimulation of the ventral intermediate thalamic
nucleus. Lancet. 1991;337:403-6.
7. Kumar R, Lozano AM, Kim YJ, Hutchison
WD, Sime E, Halket E, Lang AE: Double-blind
evaluation of subthalamic nucleus deep brain
stimulation in advanced Parkinson’s disease.
Neurology. 1998;51:850-5.
13-1601(325-337).indd 334 1/8/14 10:18 AM
Volume 39 Number 4 October – December 2013 Thai Journal of Anesthesiology 335
8. Schupbach WM, Chastan N, Welter ML, Houeto
JL, Mesnage V, Bonnet AM, Czernecki V,
Maltete D, Hartmann A, Mallet L, Pidoux B,
Dormont D, Navarro S, Cornu P, Mallet A, Agid
Y: Stimulation of the subthalamic nucleus in
Parkinson’s disease: a 5 year follow up. J Neurol
Neurosurg Psychiatry. 2005;76:1640-4.
9. Ostergaard K, Sunde N, Dupont E: Effects of
bilateral stimulation of the subthalamic nucleus
in patients with severe Parkinson’s disease and
motor fluctuations. Mov Disord. 2002;17: 693-
700.
10. Krack P, Batir A, Van Blercom N, Chabardes S,
Fraix V, Ardouin C, Koudsie A, Limousin PD,
Benazzouz A, LeBas JF, Benabid AL, Pollak P:
Five-year follow-up of bilateral stimulation of
the subthalamic nucleus in advanced Parkinson’s
disease. N Engl J Med. 2003; 349:1925-34.
11. Lang AE, Houeto JL, Krack P, Kubu C, Lyons
KE, Moro E, Ondo W, Pahwa R, Poewe
W, Troster AI, Uitti R, Voon V: Deep brain
stimulation: preoperative issues. Mov Disord
2006; 21 Suppl. 14:S171-96.
12. Loher TJ, Gutbrod K, Fravi NL, Pohle T,
Burgunder JM, Krauss JK: Thalamic stimulation
for tremor. Subtle changes in episodic memory
are related to stimulation per se and not to a
mic ro tha l amotomy e f fec t . J Neuro l .
2003;250:707-13.
13. Anderson VC, Burchiel KJ, Hogarth P, Favre J,
Hammerstad JP: Pallidal vs subthalamic nucleus
deep brain stimulation in Parkinson disease.
Arch Neurol. 2005;62:554-60.
14. Volkmann J, Allert N, Voges J, Weiss PH, Freund
HJ, Sturm V: Safety and efficacy of pallidal or
subthalamic nucleus stimulation in advanced PD.
Neurology. 2001;56:548-51.
15. Volkmann J, Allert N, Voges J, Sturm V,
Schnitzler A, Freund HJ: Long-term results of
bilateral pallidal stimulation in Parkinson’s
disease. Ann Neurol. 2004;55:871-5.
16. Defer GL, Widner H, Marie RM, Remy P, Levivier
M: Core assessment program for surgical
interventional therapies in Parkinson’s disease
(CAPSIT-PD). Mov Disord. 1999;14:572-84.
17. Welter ML, Houeto JL, Tezenas du Montcel
S, Mesnage V, Bonnet AM, Pillon B, Arnulf I,
Pidoux B, Dormont D, Cornu P, Agid Y: Clinical
predictive factors of subthalamic stimulation in
Parkinson’s disease. Brain. 2002;125:575-83.
18. Broggi G, Franzini A, Marras C, Romito L,
Albanese A: Surgery of Parkinson’s disease:
inclusion criteria and follow-up. Neurol Sci.
2003;24 Suppl 1: S38-40.
19. Capelle HH, Simpson RK, Jr., Kronenbuerger M,
Michaelsen J, Tronnier V, Krauss JK: Long-term
deep brain stimulation in elderly patients with
cardiac pacemakers. J Neurosurg. 2005;102:53-9.
20. Voon V, Saint-Cyr J, Lozano AM, Moro E, Poon
YY, Lang AE: Psychiatric symptoms in patients
with Parkinson disease presenting for deep
brain stimulation surgery. J Neurosurg .2005;
103:246-51.
13-1601(325-337).indd 335 1/8/14 10:18 AM
336 วิสัญญีสาร ปีที่ 39 ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม 2556
21. Venkatraghavan L, Luciano M, Manninen
P: Review article: anesthetic management of
patients undergoing deep brain stimulator
insertion. Anesth Analg.110:1138-45.
22. Osborn I, Sebeo J: “Scalp block” during
craniotomy: a classic technique revisited. J
Neurosurg Anesthesiol. 22:187-94.
23. Pinosky ML, Fishman RL, Reeves ST, Harvey
SC, Patel S, Palesch Y, Dorman BH: The effect
of bupivacaine skull block on the hemodynamic
response to craniotomy. Anesth Analg. 1996;83:
1256-61.
24. Lee EJ, Lee MY, Shyr MH, Cheng JT, Toung
TJ, Mirski MA, Chen TY: Adjuvant bupivacaine
scalp block facilitates stabilization of hemody-
namics in patients undergoing craniotomy with
general anesthesia: a preliminary report. J Clin
Anesth. 2006;18:490-4.
25. Piccioni F, Fanzio M: Management of
anesthesia in awake craniotomy. Minerva
Anestesiol. 2008;74:393-408.
26. Taylor MD, Bernstein M: Awake craniotomy
with brain mapping as the routine surgical
approach to treating patients with supratentorial
intraaxial tumors: a prospective trial of 200 cases.
J Neurosurg. 1999; 90:35-41.
27. Gorgulho A, De Salles AA, Frighetto L, Behnke
E: Incidence of hemorrhage associated with
electrophysiological studies performed using
macroelectrodes and microelectrodes in
functional neurosurgery. J Neurosurg. 2005;
102:888-96.
28. Binder DK, Rau GM, Starr PA: Risk factors
for hemorrhage during microelectrode-guided
deep brain stimulator implantation for
movement disorders. Neurosurgery. 2005;56:
722-32; discussion 722-32.
29. Binder DK, Rau G, Starr PA: Hemorrhagic
complications of microelectrode-guided deep
brain stimulation. Stereotact Funct Neurosurg.
2003;80:28-31.
30. Lin SH, Chen TY, Lin SZ, Shyr MH, Chou YC,
Hsieh WA, Tsai ST, Chen SY: Subthalamic
deep brain stimulation after anesthetic
inhalation in Parkinson disease: a preliminary
study. J Neurosurg. 2008;109:238-44.
31. Maltete D, Navarro S, Welter ML, Roche S,
Bonnet AM, Houeto JL, Mesnage V, Pidoux B,
Dormont D, Cornu P, Agid Y: Subthalamic
stimulation in Parkinson disease: with or without
anesthesia? Arch Neurol. 2004;61:390-2.
32. Hsu YW, Cortinez LI, Robertson KM, Keifer JC,
Sum-Ping ST, Moretti EW, Young CC, Wright
DR, Macleod DB, Somma J: Dexmedetomidine
pharmacodynamics: part I: crossover comparison
of the respiratory effects of dexmedetomidine
and remifentanil in healthy volunteers.
Anesthesiology. 2004;101:1066-76.
33. Rozet I: Anesthesia for functional neurosurgery:
the role of dexmedetomidine. Curr Opin
Anaesthesiol. 2008;21:537-43.
13-1601(325-337).indd 336 1/8/14 10:18 AM
Volume 39 Number 4 October – December 2013 Thai Journal of Anesthesiology 337
34. Souter MJ, Rozet I, Ojemann JG, Souter KJ,
Holmes MD, Lee L, Lam AM: Dexmedetomidine
sedation during awake craniotomy for seizure
resection: effects on electrocorticography.
J Neurosurg Anesthesiol. 2007;19:38-44.
35. Rozet I, Muangman S, Vavilala MS, Lee LA,
Souter MJ, Domino KJ, Slimp JC, Goodkin
R, Lam AM: Clinical experience with
dexmedetomidine for implantation of deep
brain stimulators in Parkinson’s disease. Anesth
Analg. 2006;103:1224-8.
36. Elias WJ, Durieux ME, Huss D, Frysinger
RC: Dexmedetomidine and arousal affect
subthalamic neurons. Mov Disord. 2008;
23:1317-20.
37. Seijo FJ, Alvarez-Vega MA, Gutierrez JC,
Fdez-Glez F, Lozano B: Complications in
subthalamic nucleus stimulation surgery for
treatment of Parkinson’s disease. Review
of 272 procedures. Acta Neurochir (Wien).
2007;149:867-75; discussion 876
38. Easdown LJ, Tessler MJ, Minuk J: Upper airway
involvement in Parkinson’s disease resulting in
postoperative respiratory failure. Can J Anaesth.
1995;42:344-7.
13-1601(325-337).indd 337 1/8/14 10:18 AM