22
6.พพพพพพพพพพพ ลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล ลลลลลลลลล 2 ลลลลลล ลลล 1. ลลลลลลลลล 2. ลลลลลลลลลลล พพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพ 2 พพพพพพ พพพ 1.1 พพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพ (CONTINUOUS VARIATION) ลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล ลลลลลลลลลลลลลลลลลล ลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล ลลลล ลลลลลลล ลลลลลลลล ลลลลล ลลลลลลล 1.2 พพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพ (DISCONTINUOUS VARIATION) ลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล ลลลลลลลลลลลลลล ลลลลลลลลลลลลลลลลลล ลลลลลลลลลลลลลล ลลล ลลลล ลลลลลล ลลลลลลลลลลลลลลลลล พพพพพพพพพ ลลลลลลลลล ลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล ลลลล ลลลลล ลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล ลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล ลลลลลลลลลลลล ลลลล ลลลลลลลลล พพพพพพพพพพพพพพ ลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล ล. ลลลลลลลลลลลล ลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล ล. ลลลลลลลลลลลลลลล , ลลลลลลลลลลลลล ล. ลลลลลลลลลลลล , ลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล ล. ลลลลลลลลล , ลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล พพพ พ. พพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพ พพพพพพพพพพพ (GENETICS) ลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล ลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล ลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล ลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล พพพพพพพพ พพพพพพ (GREGOR MENDEL,ล.ล. 1822 – 1884)

พันธุกรรมเมนเดล

  • Upload
    enjoy-

  • View
    2.295

  • Download
    1

Embed Size (px)

Citation preview

Page 1: พันธุกรรมเมนเดล

6.พั�นธุ�ศาสตร์�    ลั�กษณะของสิ่��งมี�ชี�วิ�ตอาจเก�ดข��นแลัะเปลั��ยนแปลังไปได�โดยป�จจ�ย 2 ประการ คื#อ1.   พั�นธุ&กรรมี2.   สิ่��งแวิดลั�อมี

ลั�กษณะทางพั�นธุ�กร์ร์มของส��งม�ชี�วิ�ตแบ่�งออกเป็ น 2 ป็ร์ะเภท คื$อ1.1    ลั�กษณะทางพั�นธุ�กร์ร์มท��ม�คืวิามแป็ร์ผั�นต�อเน$�อง (CONTINUOUS

VARIATION) เป'นลั�กษณะทางพั�นธุ&กรรมีท��มี�คืวิามีลัดหลั��นก�นท�ลัะน�อย สิ่ามีารถน+ามีาเร�ยงลั+าด�บก�นได� เชี-น คืวิามีสิ่.ง น+�าหน�ก สิ่�ผิ�วิ เป'นต�น1.2    ลั�กษณะทางพั�นธุ�กร์ร์มท��ม�คืวิามแป็ร์ผั�นไม�ต�อเน$�อง (DISCONTINUOUS

VARIATION) เป'นลั�กษณะท��แบ-งเป'นกลั&-มี ได�อย-างชี�ดเจน เชี-นหมี.-เลั#อดของคืน ลั�กษณะผิ�วิเผิ#อก ลั�กย��มี ต��งห. การห-อลั��นเป'นต�น

ข'อส�งเกต      โดยท��วิไป ลั�กษณะท��มี�คืวิามีแปรผิ�นแบบต-อเน#�อง เชี-น สิ่�ผิ�วิ น��นสิ่��งแวิดลั�อมีจะมี�อ�ทธุ�พัลัต-อการแสิ่ดงลั�กษณะในสิ่�ดสิ่-วินท��มีากกวิ-าลั�กษณะท��มี�คืวิามีแปรผิ�นแบบไมี-ต-อเน#�อง เชี-น หมี.-เลั#อด

ต�วิอย่�างข'อสอบ่         ลั�กษณะใดต-อไปน��เป'นคืวิามีแปรผิ�นต-อเน#�องก.       การมี�ลั�กย��มี การมี�หน�งตาชี��นเด�ยวิข.       การเวิ�ยนของขวิ�ญ , การมี�ผิ�วิเผิ#อกคื.       คืวิามีสิ่.งของคืน , ปร�มีาณการให�นมีของวิ�วิง.       หมี.-เลั#อด , คืวิามีสิ่ามีารถในการห-อลั��นตอบ่ คื.

การ์คื'นพับ่คืวิามร์)'ทางพั�นธุ�ศาสตร์�       พั�นธุ�ศาสตร์� (GENETICS) เป'นสิ่าขาหน��งของชี�วิวิ�ทยา ศึ�กษาเก��ยวิก�บพัฤต�กรรมีของย�น ซึ่��งเป5นหน-วิยคืวิบคื&มีลั�กษณะทางพั�นธุ&กรรมีแลัะแบบแผินการถ-ายทอดลั�กษณะพั�นธุ&กรรมี       เกร์เกอร์� เมนเดลั (GREGOR MENDEL,คื.ศึ. 1822 – 1884) บาทหลัวิงชีาวิออสิ่เตร�ย ได�ท+าการทดลัองในถ��วิลั�นเตา (Pisum sativum) ได�คืวิามีร. �ทางพั�นธุ&

Page 2: พันธุกรรมเมนเดล

ศึาสิ่ตร6มีากมีาย ท+าให�เข�าได�ร�บการยกย-องเป'นบ�ดาแห-งพั�นธุ&ศึาสิ่ตร6

 

 

 

ส��งม�ชี�วิ�ตท��คืวิร์เลั$อกมาใชี'ในการ์ศ,กษาทางพั�นธุ�ศาสตร์� คืวิร์ม�ลั�กษณะด�งน�-1.    ปลั.กง-าย อาย&สิ่��น ผิลัดก2.    มี�การแปรผิ�นมีาก มี�คืวิามีแตกต-างของลั�กษณะท��ต�องศึ�กษาชี�ดเจนแลัะสิ่ามีารถหาพั�นธุ&6แท�ได�ง-าย3.    มี� RECOMBINATION คื#อการรวิมีก�นของลั�กษณะของพั-อแลัะแมี-เมี#�อมี�การผิสิ่มีพั�นธุ&64.    คืวิามีคื&มีการผิสิ่มีพั�นธุ&6ได�สิ่ามีารถก+าหนดให�มี�ลั�กษณะต-างๆเข�าผิสิ่มีก�นได�ตามีต�องการ

ต�วิอย่�างข'อสอบ่         แมีลังหวิ��เป'นสิ่�ตวิ6ท��น�ยมีน+ามีาใชี�ในการศึ�กษาพั�นธุ&ศึาสิ่ตร6มีากชีน�ดหน��งเน#�องจากมีาจากเหต&ผิลัต-อไปน�� ยกเวิ�นข�อใดก.       ผิสิ่มีพั�นธุ&6แลั�วิให�ลั.กหลัานจ+านวินมีากข.       เก�ดการผิ-าเหลั-าได�ง-ายคื.       วิงจรชี�วิ�ตสิ่��นง.       เพัราะเลั��ยงง-ายตอบ่ ข.

         กฎข'อท�� 1 กฎแห-งการแยกต�วิ (LAW OF SEGREGATION) มี�ใจคืวิามีวิ-า “สิ่��งท��คืวิบคื&มีลั�กษณะทางพั�นธุ&กรรมีของสิ่��งมี�ชี�วิ�ตท��สิ่#บพั�นธุ&6แบบอาศึ�ยเพัศึมี�อย.-เป'นคื.-ๆ แต-ลัะคื.-จะแยกจากก�นในระหวิ-างการสิ่ร�างเซึ่ลัลั6สิ่#บพั�นธุ&6ท+าให�เซึ่ลัลั6สิ่#บพั�นธุ&6แต-ลัะเซึ่ลัลั6มี�หน-วิยคืวิบคื&มีลั�กษณะน��เพั�ยง 1 หน-วิย แลัะ จะกลั�บมีาเข�าคื.-อ�กเมี#�อเซึ่ลัลั6สิ่#บพั�นธุ&6ผิสิ่มี

Page 3: พันธุกรรมเมนเดล

ก�น”

         กฎข'อท�� 2 กฎแห-งการรวิมีกลั&-มีอย-างอ�สิ่ระ (LAW OF INDEPENDENT

ASSORTMENT) มี�ใจคืวิามีวิ-า ในเซึ่ลัลั6สิ่#บพั�นธุ&6จะมี�การรวิมีกลั&-มีของหน-วิยพั�นธุ&กรรมี“ ของลั�กษณะต-างๆ การรวิมีกลั&-มีเหลั-าน��เป'นไปได�อย-างอ�สิ่ระ จ�งท+าให�เราสิ่ามีารถท+านายผิลัท��เก�ดข��นในร& -นลั.ก แลัะร& -นหลัาน”

ข'อคืวิร์ร์ะวิ�ง      ลั�กษณะเด�น หมีายถ�ง ลั�กษณะท��มี�โอกาสิ่แสิ่ดงออกได�มีากกวิ-า      ลั�กษณะด'อย่ หมีายถ�ง ลั�กษณะท��จะแสิ่ดงออกได� ก9ต-อเมี#�อมี�การเข�าคื.-แบบโฮโมีโลัก�สิ่ของย�นด�อยเท-าน��น

ต�วิอย่�างข'อสอบ่         ข�อใดคื#อเหต&ผิลัท��น�กเพัาะพั�นธุ&6สิ่&น�ขเพั#�อขายหลั�กเลั��ยงมี�ให�สิ่&น�ข ผิสิ่มีพั�นธุ&6ก�นเอง ระหวิ-างพั-อก�บลั.กหร#อแมี-ก�บลั.ก แลัะพั��ก�บน�องก.       ขนาดต�วิเลั9กลังข.       ลั.กสิ่&น�ขอ-อนแอ อ�ตรารอดตายต+�าคื.       ท+าให�ย�นท��น+าลั�กษณะด�อยมี�โอกาสิ่เป'นโฮโมีไซึ่ก�สิ่ง.       ลั.กสิ่&น�ขจะมี�ลั�กษณะคืลั�ายคืลั�งก�นมีาก ไมี-มี�ลั�กษณะแปลักใหมี-เก�ดข��นตอบ่ คื.

ม�ลัต�เป็/ลัอ�ลัลั�ลัส� (MULTIPLE ALLELES)

       หมีายถ�ง ย�นท��มีากกวิ-า 1 คื.- ท��คืวิบคื&มีลั�กษณะใดลั�กษณะหน��งร-วิมีก�นต�วิอย-างเชี-น หมี.-เลั#อด ABO ของคืนแลัะสิ่�ขนของกระต-าย เป'นต�น

ข'อคืวิร์จำ1า     สิ่.ตรท��คืวิรร. �จ�ก1.  สิ่.ตรในการหาจ+านวินเซึ่ลัลั6สิ่#บพั�นธุ&6ท��สิ่��งมี�ชี�วิ�ตสิ่ร�าง = 2n เมี#�อ n เป'นจ+านวิน heterozygous gene2.  สิ่.ตรในการจ+านวินจ�โนไทป; =3n เมี#�อ n เป'นจ+านวิน heterozygous gene

3.  สิ่.ตรในการหาจ+านวินฟี=โนไทป; =2n เมี#�อ n เป'นจ+านวิน heterozygous gene

4.  สิ่.ตรในการหาจ+านวินจ�โนไทป;ของมี�ลัต�เป>ลัอ�ลัลั�ลัสิ่6 =[n/2]n+1 ; เมี#�อ n เป'นจ+านวินอ�ลัลั�สิ่6

Page 4: พันธุกรรมเมนเดล

ต�วิอย่�างข'อสอบ่สิ่��งมี�ชี�วิ�ตชีน�ดหน��งพับวิ-า สิ่ามีารถสิ่ร�างเซึ่ลัลั6สิ่#บพั�นธุ&6ได�แตกต-างก�นถ�ง 16 ชีน�ดสิ่��งมี�ชี�วิ�ตชีน�ดน��นน-าจะมี�จ�โนไทป;ลั�กษณะใดก.       Aa Bb Cc DD EE

ข.       Aa Bb CC Dd Ee FF

คื.       Aa Bb CC Dd Ee Ff

ง.       AA Bb CC Dd Ee

ตอบ่ ข.

ย่�นท��เก��ย่วิเน$�องก�บ่เพัศ (SECLINKED GENE)

     ย�นท��เก��ยวิเน#�องก�บเพัศึ (SEX LINKED GENE ) หมีายถ�งย�นท��อย.-บนโคืรโมีโซึ่มีเพัศึเชี-น ย�นตาบอดสิ่� ฮ�โมีฟี>เลั�ย กลั�ามีเน#�อแขนขาลั�บ ย�นเหลั-าน��จะอย.-บนโคืรโมีโซึ่มี X จ�งพับลั�กษณะเหลั-าน��ในเพัศึชีายมีากกวิ-าเพัศึหญ�งเน#�องจากเพัศึชีายมี�โคืรโมีโซึ่มี X เพั�ยงเสิ่�นเด�ยวิ

ข'อส�งเกต1.  ลั.กสิ่าวิจะเป'นโรคืตาบอดสิ่�ได�ก9ต-อเมี#�อ มี�แมี-ตาบอดสิ่�หร#อเป'นพัาหะแลั�วิมี�พั-อตาบอดสิ่�2.  ถ�าแมี-ตาบอดสิ่� พั-อตาปกต� ลั.กชีายจะตาบอดสิ่�ท&กคืน

ต�วิอย่�างข'อสอบ่         ผิ.�หญ�งตาปกต� แต-มี�ย�นพัาหะตาบอดสิ่� แต-งงานก�บชีายปกต� ลั.กท��เก�ดมีาจะแสิ่ดงลั�กษณะใดก.       ผิ.�หญ�งแลัะผิ.�ชีายมี�โอกาสิ่ตาบอดสิ่�ข.       ผิ.�หญ�งจะมี�ตาปกต�หมีด แต-ผิ.�ชีายมี�โอกาสิ่ตาบอดสิ่�คื.       ผิ.�หญ�งมี�โอกาสิ่ตาบอดสิ่� แต-ผิ.�ชีายตาบอดสิ่�หมีดง.       ผิ.�หญ�งมี�โอกาสิ่ตาบอดสิ่� ผิ.�ชีายตาปกต�หมีดตอบ่ ข.

ข'อคืวิร์จำ1าการก+าหนดเพัศึของสิ่��งมี�ชี�วิ�ตท��คืวิรร. �จ�ก มี� 4 ระบบ คื#อ

Page 5: พันธุกรรมเมนเดล

โคืร์โมโซมคืวิามผั�ดป็กต�ของโคืร์โมโซมในคืน1.     กลั&-มีอาการดาวิน6 (DOWN’S SYNDROME) เก�ดจากการท��มี�โคืรโมีโซึ่มีคื.-ท�� 21

เก�นมีา 1 โคืรโมีโซึ่มี2.     กลั&-มีอาการไคืลัน6เฟีลัเตอร6(KLINE FELTER’S SYNDROME) เป'นเพัศึชีาย มี�โคืรโมีโซึ่มี X เก�นมีา 1-2 เสิ่�น (XXY,XXXY)

3.     กลั&-มีอาการเทอร6เนอร6 (TURNER’S SYNDROME) เป'นเพัศึหญ�งมี�โคืรโมีโซึ่มี X เพั�ยงเสิ่�นเด�ยวิ4.     กลั&-มีอาการคืร�ด.ซึ่าต6(CRI-DU-CHAT SYNDROME) โคืรโมีโซึ่มีคื.-ท�� 5 ขาดหายไปบางสิ่-วิน

ต�วิอย่�างข'อสอบ่         คืวิามีผิ�ดปกต�ทางพั�นธุ&กรรมีชีน�ดใดต-อไปน��เก�ดข��นในเพัศึหญ�งเท-าน��นก.       ดาวิน6ซึ่�นโดรมีข.       ไคืลัน6เฟีลัเตอร6ซึ่�นโดรมีคื.       เทอร6เนอร6ซึ่�นโดรมีง.       คืร�ด.ดชีาต6ซึ่�นโดรมีตอบ คื.

โคืร์งสร์'าง DNA

Page 6: พันธุกรรมเมนเดล

        JAMES D.WATSON แลัะ FRANCIS H.C. CRICK ได�ศึ�กษาคื�นคืวิ�ารวิบรวิมีหลั�กฐานต-างๆแลัะสิ่ร&ปโคืรงสิ่ร�างของ DNA วิ-ามี�ลั�กษณะด�งต-อไปน��1.     โมีเลัก&ลัของ DNA ประกอบด�วิยสิ่ายสิ่องสิ่ายท��พั�นก�นเป'นเกลั�ยวิคืลั�ายบ�นไดเวิ�ยน2.     แต-ลัะสิ่ายประกอบด�วิยน�วิคืลั�โอไทด6หลัายโมีเลัก&ลัเกาะก�น3.    โมีเลัก&ลัของน�วิคืลั�โอไทด6 แต-ลัะโมีเลัก&ลัประกอบด�วิยสิ่-วินสิ่+าคื�ญ 3 สิ่-วินคื#อกลั&-มีฟีอสิ่เฟีต น+�าตาลัด�ออกซึ่�ไรโบสิ่ (DEOXYRIBOSE) แลัะเบสิ่4.    ระหวิ-างน�วิคืลั�โอไทด6สิ่ายเด�ยวิก�นเชี#�อมีก�นด�วิยกลั&-มีฟีอสิ่เฟีต5.    สิ่ายท��งสิ่องสิ่ายเกาะก�นด�วิยพั�นธุะไฮโดรเจนซึ่��งเป'นพั�นธุะท��ไมี-มี��นคืงน�ก ด�งน��นสิ่ายท��งสิ่องของ DNA จ�งแยกจากก�นได�ง-าย การเกาะก�นของสิ่ายท��งสิ่องน��จะใชี�ด�านท��เป'นเบสิ่เกาะก�นโดย ADENINE (A) จ�บก�THYMINE (TP) (จ�บก�น 2 พั�นธุะ) CYTOSINE(C) จ�บก�น GUANIN (G) (จ�บก�น 3 พั�นธุะ)

ข'อคืวิร์จำ1า   โคืรงสิ่ร�างของ DNA แลัะ RNA คืลั�ายคืลั�งก�นมีาก มี�คืวิามีแตกต-างก�นเพั�ยงเลั9กน�อยเท-าน��น

RNA แบ-งออกเป'น 3 ชีน�ด คื#อ-       MESSENGER RNA (mRNA) หร#อ RNA น+าคื+าสิ่��ง-       TRANSFER RNA (tRNA) หร#อ RNA ถ-ายทอด-       RIBOSOMAL RNA (rRNA)

Page 7: พันธุกรรมเมนเดล

ต�วิอย่�างข'อสอบ่RNA ไมี-มี�สิ่ารใดท�� DNA มี�อย.-ก.       น+�าตาลัไรโบสิ่ แลัะเบสิ่ไธุมี�นข.       น+�าตาลัไรโบสิ่ แลัะเบสิ่ย.ราซึ่�ลัคื.       น+�าตาลัด�ออกซึ่�ไรโบสิ่แลัะเบสิ่ไธุมี�นง.       น+�าตาลัด�ออกซึ่�ไรโบสิ่ แลัะเบสิ่ย.ราซึ่�ลัตอบ่ คื.

การ์จำ1าลัองต�วิเองของ DNA (DNA REPLICATION)

      ในการแบ-งเซึ่ลัลั6ระยะ S ของอ�นเตอร6เฟีสิ่ จะมี�การจ+าลัองต�วิเองของ DNA(DNA

REPLICATION) แบบก��งอน&ร�กษ6(SEMI-CONSERVATIVE) ท+าให�เก�ดเป'น DNA

สิ่ายใหมี-ท��เหมี#อนเด�มีท&กประการสิ่+าหร�บการสิ่ร�าง RNA ท��ง 3 ชีน�ดจะเก�ดข��นโดยการจ+าลัองจาก DNA เชี-นก�น แต-จะใชี� DNA เพั�ยงสิ่ายเด�ยวิ เป'นต�นแบบ

การ์ส�งเคืร์าะห์�โป็ร์ต�นแผินภาพัแสิ่ดงกระบวินการในการสิ่�งเคืราะห6โปรต�น

ร์ห์�สทางพั�นธุ�กร์ร์ม       กรดอะมี�โนมี�ท��งสิ่��น 20 ชีน�ดการท��กรดอะมี�โนต�วิใดจะมีาจ�บสิ่าย mRNA ข��นอย.-ก�บลั+าด�บของน�วิคืลั�โอไทด6ซึ่��งแตกต-า-งก�นท��เบสิ่ 4 ชีน�ดคื#อ A T C แลัะ U โดยเบสิ่ 4 ชีน�ด จะเร�ยงลั+าด�บ 3 ต�วิเป'น 1 รห�สิ่ สิ่+าหร�บกรดอะมี�โน 1 โมีเลัก&ลั น�กพั�นธุ&ศึาสิ่ตร6 ได�ศึ�กษาแลัะถอดรห�สิ่เหลั-าน��ได� รห�สิ่พั�นธุ&กรรมีท��สิ่+าคื�ญ คื#อ AUG เป'นรห�สิ่เร��มีการสิ่�งเคืราะห6แลัะการน+ากรดอะมี�โนชี#�อเมีไทโอน�นเข�ามีาต-อก�บ mRNA สิ่-วิน UAA , UAG แลัะ UGA

เป'นรห�สิ่สิ่��งให�หย&ดการสิ่�งเคืราะห6

Page 8: พันธุกรรมเมนเดล

ต�วิอย่�างข'อสอบ่         DNA ท��เป'นต�นแบบให�เก�ด mRNA ด�งต-อไปน�� จะมี�พั�นธุะไฮโดรเจนก��พั�นธุะ5’ AUGACGUUUCGAGUCAAGAAAUGCACC 3’ก.       27 พั�นธุะข.       54 พั�นธุะคื.       66 พั�นธุะง.       69 พั�นธุะตอบ่ คื.

การ์ผั�าเห์ลั�า (MUTATION)

       หมีายถ�งการเปลั��ยนแปลังสิ่ภาพัของย�นจากย�นหน��งเป'นอ�กย�นหน��งอย-างฉั�บพัลั�น การเปลั��ยนแปลังน��เป'นการเปลั��ยนแปลังอย-างถาวิร แบ-งเป'น 2 ระด�บคื#อระด�บโคืรโมีโซึ่มี แลัะระด�บย�นสิ่าเหต&ท��ท+าให�เก�ดมี�วิเตชี��น ต�วิกระต&�นท��ท+าให�เก�ดการกลัายพั�นธุ&6หร#อเร�ยกวิ-าสิ่��งก-อกลัายพั�นธุ&6 (MUTAGEN) ได�แก-1.ร�งสิ่�เชี-น ร�งสิ่� X,UV,คือสิ่มี�ก,น�วิตรอน,เบตา,แกมีมีา เป'นต�น2.สิ่ารเคืมี� เชี-น โคืลัชี�ซึ่�น ไดโคืลัวิอสิ่ พัาราคืวิอทเป'นต�น

พั�นธุ�วิ�ศวิกร์ร์ม       หมีายถ�ง กระบวินการต�ดต-อย�นจากการสิ่�งเคืราะห6ข��น หร#อสิ่��งมี�ชี�วิ�ตจากแหลั-งต-างๆ หลัายแหลั-งเข�าด�วิยก�นตามีคืวิามีเหมีาะสิ่มี แลั�วิใสิ่-เข�าไปในสิ่��งมี�ชี�วิ�ตอ�กชีน�ดหน��ง (HOST) เพั#�อให�ผิลั�ตสิ่ารโปรต�นตามีท��ต�องการ

Gregor Mendel

ได�เสิ่นอผิลังานของเขาในป=คื.ศึ.1865

ซึ่��งเป'นผิลังานท��ได�จากการวิ�เคืราะห6ผิลั

การผิสิ่มีพั�นธุ&6ต�นถ��วิลั�นเตา Pisum Savitum

ในเชี�งคืณ�ตศึาสิ่ตร6

กฎของเมีนเดลัย�งใชี�ประโยชีน6ได�ด�ในป�จจ&บ�น

Page 9: พันธุกรรมเมนเดล

แลัะก-อให�เก�ดคืวิามีก�าวิหน�าในวิ�ชีาการด�านพั�นธุ&ศึาสิ่ตร6

จ�งน�บวิ-า "เมีนเดลั" คื#อ "บ�ดาแห-งพั�นธุ&ศึาสิ่ตร6"

กฎของเมีนเดลั ข�อท�� 1

เมี#�อมี�การสิ่ร�าง Gamete จ+านวิน Gene ลัดลังคืร��งหน��ง

แลัะเมี#�อเก�ดผิสิ่มีพั�นธุ&6มี�การรวิมีต�วิของ Gene

โดย Gene เด-น จะข-มี Gene ด�อย

แลัะให�ร& -น F1 ผิสิ่มีก�นเอง ลั�กษณะท��หายไปในร& -น F1

จะแสิ่ดงออกมีาในร& -น F2

จะได�� เมีลั9ดสิ่�เหลั#อง : เมีลั9ดสิ่�เข�ยวิ 3:1

ภาพัแสิ่ดงเมี9ดถ��วิลั�นเตา

Page 10: พันธุกรรมเมนเดล

ทดสิ่อบการปลั.กถ��วิลั�นเตา ต�นสิ่.งแลัะต�นเต��ย

กฎข�อท�� 2 ของเมีนเดลั

กฎการรวิมีกลั&-มี Gene อย-างอ�สิ่ระ

ในเซึ่ลัลั6สิ่#บพั�นธุ&6จะมี�การรวิมีกลั&-มีของ Gene อย.-

ต-าง Locus ก�นเป'นไปอย-างอ�สิ่ระ

ท+าให�เราสิ่ามีารถท+านายอ�ตราสิ่-วินของเซึ่ลัลั6ท��มี�กลั&-มี Gene ต-างๆได�

ใชี�ลั�กษณะ 2 ลั�กษณะในการศึ�กษา

1. ลั�กษณะเมีลั9ด (เมีลั9ดเร�ยบแลัะเมีลั9ดย-น)

2. สิ่�ของเมีลั9ด (เมีลั9ดสิ่�เหลั#องแลัะสิ่�เข�ยวิ)

น+าเมีลั9ดเร�ยบสิ่�เหลั#อง ผิสิ่มีก�บเมีลั9ดย-นสิ่�เข�ยวิ

Page 11: พันธุกรรมเมนเดล

P = เมีลั9ดเร�ยบสิ่�เหลั#อง

X = เมีลั9ดย-นสิ่�เข�ยวิ

F1= เมีลั9ดเร�ยบสิ่�เหลั#อง (ให�ผิสิ่มีก�นเอง)

F2 เมีลั9ดเร�ยบสิ่�เหลั#อง = 9R_Y_

เมีลั9ดเร�ยบสิ่�เข�ยวิ = 3R_yy

เมีลั9ดย-นสิ่�เหลั#อง = 3rrY_

เมีลั9ดย-นสิ่�เข�ยวิ = 1rryy

เมี#�อ Gene R= เมีลั9ดเร�ยบ r = เมีลั9ดย-น

Y = เมีลั9ดสิ่�เหลั#อง y = เมีลั9ดสิ่�เข�ยวิ

เข�ยนโดยใชี� Gene ท��แสิ่ดง Genotype ลั�กษณะท��มีาผิสิ่มีก�น

เมีลั9ดเร�ยบสิ่�เหลั#อง = RRYY

เมีลั9ดย-นสิ่�เหลั#อง = rryy

Page 12: พันธุกรรมเมนเดล
Page 13: พันธุกรรมเมนเดล

สิ่ร&ปคื+าศึ�พัท6แลัะใจคืวิามีสิ่+าคื�ญท��เก��ยวิก�บกฎของเมีนเดลั ด�งน��

1. สิ่��งท��คือยคืวิบคื&มีลั�กษณะทางพั�นธุ&กรรมี เร�ยกวิ-า Gene

2. สิ่��งมี�ชี�วิ�ตมี�ย�นจ+านวินมีากมีายอย.&-�ในต+าแหน-งต-างๆ เร�ยกวิ-า Locus

ในสิ่��งมี�ชี�วิ�ตท��เป'น Diploid แต-ลัะ Locus จะมี� Gene 2 ชี&ด

น��นคื#อ มี� Gene 2 ต�วิต-อ 1 Locus

Gene ท��สิ่ามีารถเข�าคื.-ได�เร�ยกวิ-าเป'น Allele ของก�นแลัะก�น

3. Gene ปรากฏเพั�ยงหน-วิยเด�ยวิ ก9แสิ่ดงลั�กษณะออกมีาได�

Page 14: พันธุกรรมเมนเดล

เท-าเท�ยมีก�บ Gene 2 ต�วิ เร�ยกวิ-า Gene เด-น (Dominant Gene)

สิ่-วิน Gene ท��ต�องมี� 2 หน-วิยจ�งแสิ่ดงออกมีาได�เร�ยกวิ-า

Gene ด�อย (Recessive Gene)

4. Genotype หมีายถ�ง ชีน�ดของ Gene ของสิ่��งมี�ชี�วิ�ต

Phenotype หมีายถ�ง ลั�กษณะท�� Genotype แสิ่ดงออกมีา

Genotype ท��มี� Gene เหมี#อนก�น 2 ต�วิ เร�ยกวิ-า Homozygote

ถ�ามี� Gene ต-างก�นเร�ยกวิ-า Heterozygote

ตารางแสิ่ดงกลั&-มีเลั#อด

Page 15: พันธุกรรมเมนเดล

การถ-ายทอดลั�กษณะทางพั�นธุ&กรรมี

   ลั�กษณะทางพั�นธุ&กรรมีของคืนคื#อลั�กษณะท��สิ่ามีารถถ-ายทอดต-อไปย�งร& -นลั.กหลัานได�ตามีกฏของเมีนเดลัมี� 2 ลั�กษณะคื#อ ลั�กษณะเด-นจะถ-ายทอดในท&กร& -น ลั�กษณะด�อยจะถ-ายทอดในร& -นใดร& -นหน��งเท-าน��น

กฏของเมีนเดลัมี� 2 ข�อคื#อกฏข�อท�� 1 Law of  Segragation  การท��ย�นท��เป'นแอลัลั�ลัแยกออกจากก�นเพั#�อสิ่ร�าง gamate

(เซึ่ลัลั6สิ่#บพั�นธุ&6)กฏข�อท�� 2 Law of Independent Assortment การท��ย�นท��เป'นแอลัลั�ลัแยกก�นแลั�วิมีารวิมีก�นใหมี-เพั#�อสิ่ร�าง gamate (เซึ่ลัลั6สิ่#บพั�นธุ&6)การถ-ายทอดลั�กษณะทางพั�นธุ&กรรมีตามีกฏของเมีนเดลั1.Monohybrid Cross การถ-ายทอดหน��งลั�กษณะทางพั�นธุ&กรรมีเป'นไปตามีกฏข�อท�� 12.Dihybrid Croos การถ-ายทอดสิ่องลั�กษณะทางพั�นธุ&กรรมีไปพัร�อมีก�นเป'นไปตามีกฏข�อท�� 2พั�นธุ&กรรมี แลัะการถ-ายทอดลั�กษณะทางพั�นธุ&กรรมี หน��งในคื&ณลั�กษณะของสิ่��งมี�ชี�วิ�ต คื#อ มี�คืวิามีสิ่ามีารถในการสิ่#บเผิ-าพั�นธุ&6 ในอด�ตระยะเร��มีต�นของการศึ�กษาด�านวิ�ทยาศึาสิ่ตร6 ย�งไมี-ทราบถ�งกลัไกการถ-ายทอดลั�กษณะของสิ่��งมี�ชี�วิ�ต จากต�วิเด�มีไปย�งสิ่��งมี�ชี�วิ�ตท��เก�ดข��นใหมี-ได�อย-างแน-ชี�ด จ�งเก�ดการต��งสิ่มีมี&ต�ฐานต-างๆข��นมีากมีาย แต-เมี#�อมี�การคื�นคืวิ�าแลัะการศึ�กษาด�านพั�นธุ&ศึาสิ่ตร6มีากข��น ท+าให�เก�ดคืวิามีเข�าใจเก��ยวิก�บการถ-ายทอดลั�กษณะทางพั�นธุ&กรรมีของสิ่��งมี�ชี�วิ�ตมีากข��น โดยเร��มีต��งแต-

ใน ป=คื.ศึ. 1875 ออสิ่คืาร6 เฮอร6ทร�ก (Oscar Hertwig) คื�นพับวิ-าการปฏ�สิ่นธุ�เก�ดจากการรวิมีของอสิ่&จ�ก�บน�วิเคืลั�ยสิ่ของไข- วิอร6เตอร6 เฟีลัมีมี�ง (Walter Flemming) คื�นพับโคืรโมีโซึ่มีในน�วิเคืลั�ยสิ่ แลัะการแบ-งต�วิแบบไมีโตซึ่�สิ่ (mitosis) ในกระบวินการแบ-งเซึ่ลัลั6 แวิน เบลันเดน (Van Benden) พับการแบ-งต�วิแบบไมีโอซึ่�สิ่ (miosis) ในกระบวินการสิ่ร�างเซึ่ลัลั6สิ่#บพั�นธุ&6

Page 16: พันธุกรรมเมนเดล

จนกระท��ง จอร6จ เมีนเดลั (Gregor Mendel คื.ศึ.1822-1884) ได�สิ่ร�างทฤษฏ�ของการถ-ายทอดลั�กษณะทางพั�นธุ&กรรมี จากการศึ�กษาการผิสิ่มีพั�นธุ&6ถ� �วิ (Pisum satium) ท��มี�ลั�กษณะทางพั�นธุ&กรรมีแตกต-างก�นอย-างเด-นชี�ดท�ลัะลั�กษณะ เชี-น ต�นสิ่.ง ก�บต�นเต��ย เป'นร& -นพั-อแมี- (parent generation ; P) ตรวิจด.การแสิ่ดงลั�กษณะในร& -นลั.ก F1

(First fillial generation) ท+าการผิสิ่มีก�นเองในร& -นลั.กด.ลั�กษณะท��ปรากฏในร& -นหลัาน F2 (second fillial

generation) พับวิ-า การถ-ายทอดลั�กษณะไมี-ได�เก�ดจากผิลัของการน+าเอาลั�กษณะต-างๆมีารวิมีก�น แต-มี�หน-วิยเฉัพัาะท��ปรากฏแน-นอนในการผิสิ่มี เชี-น ในการผิสิ่มีพั�นธุ&6 ลั�กษณะของลั.กร& -น F1 ท��ได�มี�ลั�กษณะเพั�ยงลั�กษณะเด�ยวิท��ปรากฏ ลั�กษณะท��ปรากฏในลั.ก F1 เร�ยกวิ-า ลั�กษณะเด-น (dominance) สิ่-วินลั�กษณะท��หายไปเร�ยกวิ-า ลั�กษณะด�อย (Recessive) เมี#�อผิสิ่มีร& -น F1 ร& -นหลัาน F2 ท��ได� ลั�กษณะด�อยท��หายไปจะปรากฏข��น โดยในร& -น F2 มี�อ�ตราสิ่-วินท��แสิ่ดงออกเป'นลั�กษณะเด-นต-อลั�กษณะด�อยเป'น 3 : 1

การถ-ายทอดลั�กษณะ มี�หน-วิยคืวิบคื&มีเฉัพัาะท��เร�ยกวิ-า ย�น (gene) ซึ่��งอย.-เป'นคื.-เร�ยกวิ-า อ�ลัลั�ลั (allels) เมี#�อเก�ดกระบวินผิสิ่มีพั�นธุ&6แลัะการถ-ายทอดลั�กษณะไปย�งร& -นลั.ก จะเก�ดการแยกต�วิออก ลั.กจะได�ร�บย�นสิ่-วินหน��งจากแมี- แลัะอ�กสิ่-วินหน��งจากพั-อ (เป'นกฎข�อท�� 1 ของเมีนเดลั : Law of segregation) ลั�กษณะท��ถ.กถ-ายทอดเป'นอ�สิ่ระต-อก�นไมี-เก��ยวิข�องก�บลั�กษณะอ#�น (กฎข�อท�� 2 ของเมีนเดลั : law of independent assortment) ลั�กษณะท��ปรากฏเป'นลั�กษณะเด-น สิ่-วินลั�กษณะด�อยจะถ.กข-มีการแสิ่ดงออก (กฎข�อท�� 3 ของเมีนเดลั :law of dominance) ลั�กษณะด�อยท��หายไปจะปรากฏในร& -นหลัานมี�อ�ตราสิ่-วินท��แสิ่ดงออกลั�กษณะเด-นต-อลั�กษณะด�อยเป'น 3 : 1 โดยท��พั�นธุ&6ของพั-อ แลัะแมี-เป'นพั�นธุ&6แท� (homozygous) ในกรณ�ท��พั�นธุ&6แท�ผิสิ่มีก�บพั�นธุ&6ทาง (heterozygous) ลั.กท��ออกมีามี�ลั�กษณะภายนอกจะเหมี#อนพั-อ แลัะแมี-อย-างลัะคืร��งของลั.กท��งหมีด ขณะท��พั�นธุ&6ทางผิสิ่มีก�นลั.กท��ได�จะเป'น พั�นธุ&6แท�ท��มี�ย�นเด-น 1 สิ่-วิน พั�นธุ&6แท�ท��มี�ย�นด�อย 1 สิ่-วิน แลัะเป'นพั�นธุ&6ทาง 2 สิ่-วิน

ลั�กษณะท��แสิ่ดงออกภายนอกถ.กเร�ยกวิ-า ฟี=โนไทป; (phenotype) ซึ่��งถ.กคืวิบคื&มีด�วิย ย�น ท��วิางต�วิอย.-บนโคืรโมีโซึ่มี ซึ่��งลั�กษณะของย�นถ.กเร�ยกวิ-า ย�โนไทป; (genotype) เชี-น H แทนย�นเด-นแสิ่ดงลั�กษณะต�นสิ่.ง h แทนย�นด�อยแสิ่ดงลั�กษณะต�นเต��ย

ย�นอย.-เป'นคื.- ซึ่��งสิ่-งผิลัต-อการแสิ่ดงท��ปรากฏภายนอก ลั�กษณะ genotype ลั�กษณะ phenotype

HH ต�นสิ่.ง Hh ต�นสิ่.ง hh ต�นเต��ย

ลั�กษณะข-มีก�นไมี-ลัง (incomplete dominance) โดยปกต�บนอ�ลัลั�ย6 หากมี�ย�นเด-นแลัะย�นด�อยอย.-รวิมีก�นลั�กษณะท��แสิ่ดงออกมีาภายนอกจะแสิ่ดงลั�กษณะท��ย�นเด-นคืวิบคื&มี แต-บางลั�กษณะไมี-เป'นเชี-นน��นซึ่��งเก�ดจากย�นเด-นไมี-สิ่ามีารถข-มีลั�กษณะของย�นด�อยลังได� เชี-น ขนสิ่��นสิ่�น+�าตาลั (SSbb, Ssbb) 3 สิ่-วิน ขนยาวิสิ่�ด+า (ssBB, ssBb) 3 สิ่-วิน ขนยาวิสิ่�น+�าตาลั (ssbb) 1 สิ่-วิน การผิสิ่มีวิ�วิสิ่�แดงก�บวิ�วิสิ่�ขาวิ ลั.กท��ได�เป'นวิ�วิสิ่�แดงเทา (roan) ถ�าเอาลั.กมีาผิสิ่มีก�นลั.กท��ได�จะมี�อ�ตราสิ่-วินของวิ�วิสิ่�แดง 1

สิ่-วิน วิ�วิสิ่�แดงเทา 1 สิ่-วิน เป'นต�น การถ-ายทอดท�ลัะ 2 ลั�กษณะ (dihybrid cross) การถ-ายทอดท�ลัะ 2 ลั�กษณะอ�ตราการกระจายต�วิของลั.กร& -น F2 เป'น 9:3:3:1 เชี-น การผิสิ่มีหน.ตะเภา 2 พั�นธุ&6 คื#อ หน.พั�นธุ&6ขนสิ่��นสิ่�ด+า (SSBB) ซึ่��งมี�ลั�กษณะเด-นแท� ก�บหน.พั�นธุ&6ขนยาวิสิ่�น+�าตาลั (ssbb) ซึ่��งเป'นลั�กษณะด�อยแท� ลั.กร& -น F1 ท��ได�มี�ลั�กษณะขนสิ่��นสิ่�ด+า (SsBb) ขณะท��ลั.กร& -น F2 มี�การกระจายต�วิด�งน�� ขนสิ่��นสิ่�ด+า (SSBB, SsBB, SsBb) 9 สิ่-วิน การศึ�กษาพั�นธุ&ศึาสิ่ตร6ของเมีนเดลั

      โยฮ�น  เกรกอร6  เมีนเดลั (Johann  Gregor  Mendel)เป'นชีาวิออสิ่เตร�ยได�ท+าการทดลัองทางชี�วิวิ�ทยาเมี#�อพั.ศึ.1856 (พั.ศึ.2399)การทดลัองได�กระท+าข��นภายในสิ่วินบร�เวิณวิ�ดในกร&งบร.นน6(Brunn)ซึ่��งเมีนเดลับวิชีอย.-

Page 17: พันธุกรรมเมนเดล

เมีนเดลัทดลัองปลั.กผิ�กหลัายชีน�ด  โดยเฉัพัาะอย-างย��งถ��วิซึ่��งมี�ลั�กษณะแตกต-างก�นอย-างเห9นได�ชี�ด  เมีนเดลัท+าการทดลัองอย.-ถ�ง 7 ป=จ�งพับกฏเกณฑ์6การถ-ายทอดลั�กษณะต-างๆ  ข��นมีาในป=1865(พั.ศึ.2408)เมีนเดลัได�เสิ่นอผิลัการทดลัองเร#�อง experiment  in  plant  hybridization  ต-อท��ประชี&มี  Natural  History  Society ในกร&งบร.นน6  ผิลัการทดลัองของเมีนเดลัได�พั�มีพั6ออกเผิยแพัร-แต-ไมี-มี�ผิ.�ใดให�คืวิามีสิ่นใจในป=คื.ศึ.1900

  (พั.ศึ.2443)น�กชี�วิวิ�ทยา 3 ท-านคื#อ ฮ.ดก  เดอฟีร�สิ่6(Hugo  de  Vries)ชีาวิฮอนแลันด6  คืาร6ลั  เอร�ชี  คือร6เรนสิ่(Karl Erich Correns)

  ชีาวิเยอรมี�นแลัะเอร�ชีแชีร6มีาคื ฟีอน  ไซึ่เซึ่เนกก6(Erich  tschermak  von  Seysenegg)ชีาวิออสิ่เตร�ยได�ท+าการทดลัองเชี-นเด�ยวิ   ก�บเมีนเดลัโดยใชี�พั#ชีชีน�ดอ#�นๆอ�กหลัายชีน�ดผิลัท��ได�จากการทดลัองก9มี�ลั�กษณะเด�ยวิก�บเมีนเดลัท+าให�ชี#�อเสิ่�ยงของเมีนเดลัเร��มีโด-งด�งข��น

  แลัะได�ชี#�อวิ-าเป'น  บ่�ดาแห์�งวิ�ชีาพั�นธุ�ศาสตร์�         การทดลัองของเมีนเดลั เมีนเดลัทดลัองโดยใชี�ถ��วิลั�นเตา(garden pea)มี�ชี#�อวิ�ทยาศึาสิ่ตร6วิ-า Pisum sativum  ซึ่��งมี�ลั�กษณะแตกต-างก�นถ�ง 7 ลั�กษณะด�งน��คื#อ

ลั�กษณะท��ศึ�กษา ลั�กษณะเด-น ลั�กษณะด�อย

1.ร.ปร-างของเมีลั9ด เร�ยบ ขร&ขระ

2.สิ่�ของเมีลั9ด เหลั#อง เข�ยวิ

3.สิ่�ของดอก แดง ขาวิ

4.ต+าแหน-งของดอก ท��ลั+าต�น ท��ปลัายยอด

5.ร.ปร-างของฝั�ก อวิบ คือด

6.สิ่�ของฝั�ก เข�ยวิ เหลั#อง

7.คืวิามีสิ่.งของลั+าต�น สิ่.ง เต��ย

ศ�พัท�ทางพั�นธุ�ศาสตร์�บ่างคื1าท��คืวิร์ร์)'จำ�ก    1. จ�น(gene)คื#อลั�กษณะทางพั�นธุ&กรรมีซึ่��งเป'นสิ่-วินหน��งของโคืรโมีโซึ่มี  โคืรโมีโซึ่มีของคืนเรามี�23 คื.-แลัะจ�นมี�อย.-ประมีาณ  50,000 จ�น  จ�นเหลั-าน��กระจายอย.-ในโคืรโมีโซึ่มีแต-ลัะคื.-จะคืวิบคื&มีการถ-ายทอดลั�กษณะไปสิ่.-ลั.กได�ประมีาณ 50,000 ลั�กษณะ        2.แอลัลั�ลั(allele)คื#อ  จ�นท��เป'นคื.-เด�ยวิก�นเร�ยกวิ-าเป'น  แอลัลั�ลั�ก(allelic)ต-อก�นหมีายคืวิามีวิ-าแอลัลั�ลัเหลั-าน��นจะมี�ต+าแหน-ง   เด�ยวิก�นบนโคืรโมีโซึ่มีท��เป'นคื.-ก�น(homologous  chromosome)

        3.เซึ่ลัลั6สิ่#บพั�นธุ&6(gamete)หมีายถ�งเซึ่ลัลั6เพัศึ(sex  cell)ท��งไข-(egg)แลัะอสิ่&จ�หร#อ(sperm)

        4.จ�โนไทป;(genotype)หมีายถ�งจ�นท��คืวิบคื&มีลั�กษณะของสิ่��งมี�ชี�วิ�ตเชี-น TT,tt,Tt

        5.ฟี=โนไทป;(phenotype)หมีายถ�งลั�กษณะท��ปรากฏออกมีาให�เห9นซึ่��งเป'นผิลัจากการแสิ่ดงออกของจ�โนไทป;น��นเอง   เชี-น  TT,Tt

  มี�จ�โนไทป;ต-างก�นแต-มี�ฟี=โนไทป;เหมี#อนก�น คื#อ  เป'นต�นสิ่.งท��งคื.-        6.ฮอมีอไซึ่โกต(homozygote)หมีายถ�งคื.-ของแอลัลั�ลัซึ่��งเหมี#อนก�น เชี-น  TT จ�ดเป'นฮอมีอไซึ่ก�สิ่โดมี�แนนต6(homozygous

  dominant )เน#อ-งจากลั�กษณะท��งคื.-เป'นลั�กษณะเด-นหร#อ  tt  จ�ดเป'นฮอมีอไซึ่ก�สิ่ร�เซึ่สิ่ซึ่�ฟี(homozygous  recessive)เน#�องจาก  ลั�กษณะท��งคื.-เป'นลั�กษณะด�อย  ลั�กษณะท��เป'นฮอมีอไซึ่โกตเราเร�ยกวิ-า  พั�นธุ&6แท

Page 18: พันธุกรรมเมนเดล

        7.เฮเทอร6โรไซึ่โกต(heterozygote)หมีายถ�งคื.-ของแอลัลั�ลัท��ไมี-เหมี#อนก�นเชี-น Tt  ลั�กษณะของเฮเทอร6โรไซึ่โกตเร�ยกวิ-าเป'นพั�นทาง        8.ลั�กษณะเด-น(dominant)คื#อลั�กษณะท��แสิ่ดงออกเมี#�อเป'นฮอมีอไซึ่ก�สิ่โดมี�แนนต6แลัะเฮเทอร6โรไซึ่โกต         9.ลั�กษณะด�อย(recessive)คื#อลั�กษณะท��จะถ.กข-มีเมี#�ออย.ในร.ปของเฮเทอร6โรไซึ่โกตแลัะจะแสิ่ดงออกเมี#�อเป'นฮอมีอไซึ่ก�สิ่ร�เซึ่สิ่ซึ่�ฟี      10.ลั�กษณะเด-นสิ่มีบ.รณ6(complete  dominant)หมีายถ�งการข-มีของลั�กษณะเด-นต-อลั�กษณะด�อยเป'นไปอย-างสิ่มีบ.รณ6ท+าให� พั�โนไทป;ของฮอมีอไซึ่ก�สิ่   โดมี�เนนท6แลัะเฮเทอร6โรไซึ่โกตเหมี#อนก�นเชี-น  TT  จะมี�พั�โนไทป;เหมี#อนก�บ  Tt  ท&กประกอบ       11.ลั�กษณะเด-นไมี-สิ่มีบ.รณ6(incomplete  dominant) เป'นการข-มีก�นอย-างไมี-สิ่มีบ.รณ6ท+าให�เฮเทอร6โรไซึ่โกตไมี-เหมี#อนก�บฮอมีอ  ไซึ่ก�สิ่โดมี�แนนท6  เชี-น  การผิสิ่มีดอกไมี�สิ่�แดงก�บดอกไมี�สิ่�ขาวิได�ดอกสิ่�ชีมีพั.แสิ่ดงวิ-าแอลัลั�ลัท��คืวิบคื&มีลั�กษณะดอกสิ่�แดงข-มีแอลัลั�ลัท��คืวิบ  คื&มีลั�กษณะดอกสิ่�ขาวิได�ไมี-สิ่มีบ.รณ6       12.ลั�กษณะเด-นรวิมี(co-dominant) เป'นลั�กษณะท��แอลัลั�ลัแต-ลัะต�วิมี�ลั�กษณะเด-นก�นท��งคื.-ข-มีก�นไมี-ลังท+าให�ฟี=โนไทป;ของเฮเทอร6  โรไซึ่โกตแสิ่ดงออกมีาท��งสิ่องลั�กษณะ  เชี-น  หมี.-เลั#อด AB ท��งแอลัลั�ลั IA แลัะแอลัลั�ลั IB จะแสิ่ดงออกในหมี.-เลั#อดท��งคื.-        13.เทสิ่ต6  คืรอสิ่(test  cross)เป'นการผิสิ่มีระหวิ-างต�นท��มี�ฟี=โนไทป;เด-นก�บต�นท��มี�ฟี=โนไทป;ด�อย เพั#�อต�องการทราบวิ-าต�นลั�กษณะ  เด-นเป'นลั�กษณะพั�นธุ&6แท�หร#อพั�นธุ&6ทาง ถ�าหากต�นท��ผิสิ่มีซึ่��งเป'นลั�กษณะด�อยน��นเป'นพั-อแมี-จะเร�ยกการผิสิ่มีแบบแบคื คืรอสิ่(back cross)

      14.คืาร�โอไทป;(karyotype)คื#อการศึ�กษาโคืรโมีโซึ่มีโดยการถ-ายภาพัแลั�วิน+าภาพัถ-ายของโคืรโมีโซึ่มีมีาจ�ดเร�ยงเข�าคื.-ก�นแลัะแบ-ง  เป'กลั&-มีๆได�       15.การถ-ายทอดพั�นธุ&กรรมีลั�กษณะเด�ยวิ(monohybrid  cross)เป'นการผิสิ่มีพั�นธุ&6ซึ่��งเราคื+าน�งถ�งลั�กษณะเพั�ยงลั�กษณะเด�ยวิแลัะ   มี�จ�นคืวิบคื&มีอย.-เพั�ยงคื.-เด�ยวิ       16.การถ-ายทอดพั�นธุ&กรรมีสิ่องลั�กษณะ(dihybrid  cross)เป'นการผิสิ่มีท��ศึ�กษาสิ่องลั�กษณะในเวิลัาเด�ยวิก�นมี�จ�นคืวิบคื&มีสิ่องคื.-

"ย่�น" ตอนท��เราอย.-ในคืรรภ6 แลัะได�ร�บการถ-ายทอดลั�กษณะพั�นธุ&กรรมีมีาจากพั-อแมี- ลั�กษณะต-างๆ เหลั-าน��ได�ถ-ายทอดจากร& -นหน��งไปสิ่.-อ�กร& -นหน��งได�อย-างไร น��คื#อการคื�นพับท��ย��งใหญ-ของเรา ....

ในย&คืกลัางศึตวิรรตท�� 19 บาทหลัวิงจากสิ่+าน�กออก�สิ่ท�เน�ยน (Augustinian Order) นามีวิ-า เกรเกอร6 โจฮ�นน6 เมีนเดลั ได�เร��มีหาคื+าตอบของการถ-ายทอดพั�นธุ&กรรมี (heredity) โดยเขาพัยายามีทดลัองทางวิ�ทยาศึาสิ่ตร6

เมีนเดลัมี�น�สิ่�ยอยากร. �อยากเห9นแลัะมี�คืวิามีร�กในธุรรมีชีาต� คืวิามีสิ่นใจทางวิ�ทยาศึาสิ่ตร6ของเมีนเดลัคืรอบคืลั&มีไปถ�งการศึ�กษาเก��ยวิก�บพั#ชี อ&ต&น�ยมีวิ�ทยา แลัะทฤษฏ�วิ�วิ�ฒนาการ

เมีนเดลัท+างานในโบสิ่ถ6ซึ่��งป�จจ&บ�นต��งอย.-ในสิ่าธุารณร�ฐเชีก (Czech Republic) เขาเร��มีศึ�กษาด�วิยการผิสิ่มีพั�นธุ&6ต�นถ��วิต-างชีน�ดก�น แลัะคือยสิ่�งเกตลั�กษณะของถ��วิในร& -นลั.ก ท+าไมีเมีนเดลัจ�งเลั#อกต�นถ��วิ อยากร. �คื+าตอบไหมี ???

เมีนเดลัสิ่�งเกตวิ-าเมี#�อผิสิ่มีพั�นธุ&6ถ� �วิเมีลั9ดผิ�วิเร�ยบแลัะเมีลั9ดผิ�วิขร&ขระ ร& -นลั.กท��ได�ออกมีาน��น มี�เมีลั9ดผิ�วิเร�ยบท��งหมีด ไมี-ได�มี�ท� �งสิ่องลั�กษณะด�งท��เขาคืาดเอาไวิ� แต-เมี#�อน+าเมีลั9ดถ��วิผิ�วิเร�ยบท��ได�มีาเพัาะพั�นธุ&6ต-อ ปรากฏวิ-า ในร& -นท�� 2 มี�ท��งถ��วิผิ�วิเร�ยบแลัะผิ�วิขร&ขระ ด�งน��น เขาพัยายามีท+าการทดลัองต-อไป เพั#�อให�เข�าใจกลัไกทางชี�วิภาพัทางลั�กษณะท��ไมี-ปรากฏในร& -นแรก แต-ปรากฏในร& -น 2 แทน แลั�วิวิ�นหน��ง เมีนเดลัก9น��งน�บถ��วิท��มี�ผิ�วิขร&ขระร& -นท�� 2 เขาพับวิ-า 1 ใน 4 ของถ��วิมี�ผิ�วิท��ขร&ขระ

Page 19: พันธุกรรมเมนเดล

สิ่��งท��เมีนเดลัสิ่�งเกตในการทดลัองของเขา คื#อ ปรากฏการณ6ทางชี�วิภาพั ซึ่��งป�จจ&บ�นน��เร�ยกวิ-า ลั�กษณะเด-นก�บ

ลั�กษณะด�อย แต-ต�วิเมีนเดลัเองย�งไมี-ร. �จ�กคื+าน�� ... จนกระท��งผิลัการทดลัองของเขา ได�เผิยให�เห9นคืวิามีจร�งท��น-าท��ง ซึ่��งเขากลั-าวิวิ-า ถ.กบ�งคื�บคืวิบคื&มีจนสิ่�งเกตได�

จะสิ่�งเกตได�วิ-า แมี�เมีนเดลัจะผิสิ่มีพั�นธุ&6ถ� �วิข�ามีพั�นธุ&6ไปมีา แต-ลั�กษณะท��ซึ่-อนอย.- ก9จะปรากฏออกมีาเพั�ยง 1 ใน 4 ของร& -นท�� 2 เท-าน��นเอง...

สิ่+าหร�บเมีนเดลั น��คื#อก�าวิใหมี- แลัะเป'นคืร��งแรกท��เขาสิ่ามีารถอธุ�บายได�วิ-า ลั�กษณะท��ถ-ายทอดต-อเน#�องก�นมีาจากร& -นสิ่.-ร& -น จะถ.กถ-ายทอดในสิ่�ดสิ่-วินท��จ+าก�ด หร#ออาจกลั-าวิได�อ�กอย-างหน��งวิ-า มี�นเป'นกฎตายต�วิทางธุรรมีชีาต�ท��คืวิบคื&มีพั�นธุ&กรรมี

ด�วิยคืวิามีชี-างวิ�เคืราะห6ของเมีนเดลั น��จะเป'นการคื�นพับคืร��งแรกของโลักวิ�ทยาศึาสิ่ตร6ทางด�านพั�นธุ&กรรมี ลั�กษณะท��ถ-ายทอดแต-ลัะอย-าง จะถ.กก+าหนดโดยป�จจ�ยคื.-หน��ง

เมีนเดลั กลั-าวิวิ-า พั-อแลัะแมี-ต-างก9ถ-ายทอดแต-ลัะป�จจ�ย แต-ลัะอย-าง บางป�จจ�ยปรากฏให�เห9นชี�ดเจน บางป�จจ�ยก9ซึ่-อนเร�น

ซึ่��งข��นอย.-ก�บการผิสิ่มีผิสิ่านของป�จจ�ยต-างๆ ท��ถ-ายทอดมีาสิ่.-ลั.ก ป�จจ�ยในคืวิามีหมีายของเมีนเดลัน�� ต-อมีาเร�ยกก�นวิ-า ย่�น (gene) น��นเอง

คื+าวิ-า การถ-ายทอดของเมีนเดลั ถ.กน+ามีาใชี�เพั#�อบรรยายลั�กษณะท��เร�ยกวิ-า ย่�นเด��ย่วิ ซึ่��งบางคืร��งจะกลั�บมีาปรากฏ 1

ใน 4 ของร& -นลั.ก ซึ่��งเป'นลั�กษณะท��ไมี-อ�นตราย เชี-น กระบนใบหน�า หร#อคืวิามีสิ่ามีารถในการห-อลั��น แต-บางท�มี�นอาจเป'นพัาหะของโรคืร�ายได� เชี-น โรคืหอบห#ด โรคืสิ่มีองพั�การ เป'นต�น คืวิามีร. �ท� �งหมีดท��กลั-าวิข�างต�น มีาจากการศึ�กษาต�นถ��วิของคืนเพั�ยงคืนหน��งเท-าน��น หลั�งจากน��น ได�มี�การทดลัองก�บสิ่�ตวิ6อ�กสิ่ายพั�นธุ&6หน��ง แลัะท+าให�เก�ดการคื�นพับท��ย��งใหญ-เร#�องต-อๆ ไป ....

เมีนเดลัได�ท+าการศึ�กษาลั�กษณะต-างๆ ของถ��วิลั�นเตา ท��มี�ชี#�อวิ�ทยาศึาสิ่ตร6วิ-า Pisum sativum ลั�กษณะท��ท+าการศึ�กษามี� 7 ลั�กษณะด�งน��

1. ลั�กษณะร.ปร-างของเมีลั9ด คื#อ เมีลั9ดเร�ยบก�บเมีลั9ดขร&ขระ 2. สิ่�ของเมีลั9ด คื#อ เมีลั9ดท��มี�สิ่�เหลั#องก�บเมีลั9ดท��มี�สิ่�เข�ยวิ 3. ลั�กษณะร.ปร-างของฝั�ก คื#อ ฝั�กเร�ยบก�บฝั�กเป'นข�อ 4. สิ่�ของฝั�ก คื#อ ฝั�กสิ่�เข�ยวิก�บสิ่�เหลั#อง 5. สิ่�ของดอก คื#อ ดอกสิ่�มี-วิงก�บสิ่�ขาวิ 6. ต+าแหน-งของการออกดอก คื#อ ต+าแหน-งดอกออกท��ซึ่อกใบก�บดอกออกท��ปลัายยอด 7. คืวิามีสิ่.งของต�นถ��วิ คื#อ ต�นสิ่.งก�บต�นเต��ย

เมีนเดลัได�ท+าการผิสิ่มีถ��วิท��งแบบผิสิ่มีต�วิเอง (self pollination) แลัะแบบผิสิ่มีข�ามีต�น (cross pollination) ท+ามีาเร#�อยๆ เขาเลั#อกเก9บเมีลั9ดมีาน�บด.ลั�กษณะสิ่�ของเมีลั9ด ได�อ�ตราสิ่-วินของเมีลั9ดสิ่�เหลั#องต-อเมีลั9ดสิ่�เข�ยวิเท-าก�บ 3 : 1 เร�ยก

ในภายหลั�งวิ-า Mendelial ratio เป'นอ�ตราสิ่-วินท��แสิ่ดงลั�กษณะของฟี= โนไทป; ในต�นลั.กร& -นท�� 2 (F2) ถ�าเป'นย�น 1

คื.-จะได� mendelial ratio เป'น 3 : 1 (อ�ตราสิ่-วินรวิมีเป'น 4) แลัะถ�าเป'นย�น 2 คื.- ก9จะได�อ�ตราสิ่-วินท��แสิ่ดงลั�กษณะท��ปรากฏออกมีาให�เห9น ในต�นลั.กร& -นท�� 2 (F2) เป'น 9 : 3 : 3 : 1 หร#อ รวิมีเท-าก�บ 16 สิ่-วิน

(คืลั�กเพั#�อด.ภาพัขนาดใหญ-)

Pisum sativum

Page 20: พันธุกรรมเมนเดล

จากการพั�ฒนาคืวิามีร. �ด�านพั�นธุ&ศึาสิ่ตร6 ท+าให�ทราบวิ-าลั�กษณะทางพั�นธุ&กรรมีถ.กคืวิบคื&มีโดย ย�น จากภายในท��วิางต�วิอย.-บนโคืรโมีโซึ่มี ท+าให�เก�ดการศึ�กษาเก��ยวิก�บ ย�น มีากข��นเร��มีจาก

ในป= คื.ศึ.1908 ด�บบลั�วิ เอสิ่ ซึ่�ตต�น (W.S. Sutton) พับวิ-าหน-วิยคืวิบคื&มีลั�กษณะทางพั�นธุ&กรรมี หร#อ ย�นมี�ต+าแหน-งบนโคืรโมีโซึ่มีเด�ยวิก�น โดยท��อ�ลัลั�ย6ท��คืวิบคื&มีลั�กษณะเด�ยวิก�นมี�ต+าแหน-งท��ตรงก�นบนโคืรโมีโซึ่มีคื.-เด�ยวิก�น (homologous chromosome) ในบางกรณ� ย�นมีากกวิ-า 1 คืวิบคื&มีลั�กษณะเด�ยวิก�น เชี-น หมี.-เลั#อดในคืนมี� 4 หมี.- (A, B, AB, O) เร�ยกวิ-า มี�ลัต�เป>ลัอ�ลัลั�ย6 (multiple alleles)

ต-อมีา เอ โกสิ่เซึ่สิ่ (A. Kossel) ศึ�กษาคื&ณสิ่มีบ�ต�ของด�เอ9นเอ พับวิ-า ด�เอ9นเอประกอบด�วิย สิ่ารประกอบไนโตเจน (nitrogenous compound) 2 กลั&-มี คื#อ สิ่ารประกอบพั�วิร�น (purine) ได�แก- อะด�น�น (Adenine ; A) ก�วิน�น (Guanine ; G) แลัะสิ่ารประกอบไพัร�มี�ด�น (pyrimidine) ได�แก- ไธุมี�น (Thymine ; T) ไซึ่โตซึ่�น (Cytosine ; C)

ป= คื.ศึ. 1934 พั� เอ ลั�วิ�น (P. A. Levene) เสิ่นอวิ-า ด�เอ9นเอ ประกอบด�วิยการเร�ยงต�วิของกรดน�คืลั�อ�ก (nucleic

acid) ท��มี�น�วิคืลั�โอไทด6 (nucleotide) เป'นสิ่-วินประกอบ โดยท��น�วิคืลั�โอไทด6 ประกอบด�วิย 3 สิ่-วิน คื#อ 1. น+�าตาลัคืาร6บอน 5 ต+าแหน-ง (pentose sugar) 2 ชีน�ด ได�แก- ด�ออกซึ่�ไรโบสิ่ ในด�เอ9นเอ แลัะ ไรโบสิ่ ในอาร6เอ9นเอ 2. สิ่ารประกอบไนโตเจน (nitrogenous compound) 2 กลั&-มี คื#อ สิ่ารประกอบพั�วิร�น (purine) ได�แก- อะด�น�น (Adenine ; A) ก�วิน�น (Guanine ; G) แลัะสิ่ารประกอบไพัร�มี�ด�น (pyrimidine) ได�แก- ไธุมี�น (Thymine ; T)

ไซึ่โตซึ่�น (Cytosine ; C) ในด�เอ9นเอ ขณะท��ในอาร6เอ9นเอมี� ย.เรซึ่�ลั (Uracil ; U) แทนท��ไธุมี�น (Thymine ; T)

3. สิ่ารประกอบฟีอสิ่เฟีต ซึ่��งกรดน�วิคืลั�อ�กประกอบด�วิยน�วิคืลั�โอไทด6ท��เป'นหน-วิยย-อยจ+านวินมีาก ในสิ่��งมี�ชี�วิ�ตแต-ลัะชีน�ดมี�ปร�มีาณแลัะชีน�ดของสิ่ารประกอบไนโตรเจนในกรดน�วิคืลั�อ�กในปร�มีาณท��แตกต-างก�น แต-พับวิ-า ปร�มีาณของ อะด�น�น ก�บ ไธุมี�น แลัะ ก�วิน�น ก�บไซึ่โตซึ่�น มี�ปร�มีาณท��เท-าก�น

ด�บบลั�วิ คือห6น (W. Cohn) พับวิ-า หน-วิยย-อยของน�วิคืลั�โอไทด6ถ.กเชี#�อมีต-อก�นด�วิยหมี.-ฟีอสิ่เฟีต ท+าให�เก�ดเป'นสิ่ายยาวิ โดยเชี#�อมีก�นตรงต+าแหน-งคืาร6บอนต�วิท�� 3 ของน�วิคืลั�โอไทด6ต�วิหน��งก�บต+าแหน-งคืาร6บอนต�วิท�� 5 ของน�วิคืลั�โอไทด6อ�กต�วิหน��ง สิ่ามีารถเข�ยนได�เป'น 5-3 หร#อ 3-5 ตามีท�ศึทางการเชี#�อมีของหมี.-ฟีอสิ่เฟีต

ในป= คื.ศึ. 1952 เจ ด� วิ�ตสิ่�น แลัะ เอฟี เอชี จ� คืร�ก (J.D. Watson and F.H.G. Crick) รายงานวิ-า ด�เอ9นเอมี�โคืรงสิ่ร�างเป'นสิ่าย 2 สิ่ายพั�นก�นคืลั�ายบ�นไดเวิ�ยน แต-ลัะสิ่ายประกอบด�วิยน�วิคืลั�โอไทด6จ+านวินหลัายโมีเลัก&ลัเร�ยงต-อก�น สิ่ายท��งสิ่องจ�บย�ดก�นด�วิยพั�นธุะไฮโดรเจนจากสิ่ารประกอบไนโตรเจนท��ง 4 คื#อ อะด�น�น จ�บก�บ ไธุมี�น แลัะ ก�วิน�น จ�บก�บไซึ่โตซึ่�น ของอ�กสิ่ายหน��ง ในท�ศึทางท��กลั�บท�ศึก�น โมีเลัก&ลัของด�เอ9นเอประกอบด�วิยน�วิคืลั�โอไทด6ต��งแต-หลัายพั�นคื.- จนถ�ง 20000 คื.- การเร�ยงต�วิของน�วิคืลั�โอไทด6ท��แตกต-างท+าให�ลั�กษณะด�เอ9นเอมี�คืวิามีหลัากหลัาย ลั�กษณะทางพั�นธุ&กรรมีท��ท+าการถ-ายทอดจ�งมี�คืวิามีแตกต-างก�นด�วิย

การท+างานแลัะหน�าท��ของย�นสิ่ามีารถตรวิจสิ่อบโดยการชี�กน+าให�เก�ดการกลัายพั�นธุ&6 เชี-น ในป= คื.ศึ. 1941 จ� ด�บบลั�วิ บ�เด�ลั แลัะ ด� แอลั แททท�มี (G.W. Beadle and D.L. Tatum) ศึ�กษาถ�งคืวิามีสิ่�มีพั�นธุ6ระหวิ-างย�น แลัะ เอนไซึ่มี6 จากการชี�กน+าให�เก�ดการกลัายพั�นธุ&6โดยการฉัายร�งสิ่�อ�ลัตร�าไวิโอเลัต ในราขนมีป�งท��ชี#�อ น�วิโรสิ่สิ่ปอรา น+าสิ่ายพั�นธุ&6กลัาย (mutants) มีาท+าการเพัาะเลั��ยงบนอาหาร พับวิ-าสิ่ายพั�นธุ&6กลัายบางต�วิไมี-สิ่ามีารถเจร�ญได�ในอาหารท��ขาดกรดอะมี�โนบางชีน�ดเมี#�อเท�ยบก�บพั�นธุ&6ปกต� (wild type) ท+าให�ทราบวิ-า เมี��อย�นเปลั��ยนไปท+าให�ไมี-สิ่ามีารถสิ่ร�างเอนไซึ่มี6บางชีน�ดท��เก��ยวิข�องก�บการสิ่�งเคืราะห6กรดอะมี�โนบางชีน�ดได� ท+าให�ได�สิ่มีมี&ต�ฐานวิ-า ย�นต�วิหน��งท+าหน�าท��คืวิบคื&มีหน��งเอนไซึ่มี6 (one

gene one enzyme) คื#อ ย�นปกต�จะคืวิบคื&มีการสิ่ร�างเอนไซึ่มี6เป'นปกต� ถ�าย�นผิ�ดปกต�ไปการสิ่�งเคืราะห6เอนไซึ่มี6จะไมี-เก�ดข��น หร#อผิ�ดปกต�ไป ท+าให�ไมี-เก�ดปฏ�กร�ยาในกระบวินการต-างๆ ในร-างกายท��มี�เอนไซึ่มี6น��นเก��ยวิข�อง โดยมี�ด�เอ9นเอท+าหน�าท��เป'นแมี-พั�มีพั6ท+าหน�าท��สิ่�งเคืราะห6กรดอะมี�โนท��เป'นองคื6ประกอบของโปรต�นชีน�ดต-างๆ เบสิ่ไนโตรจ�น�สิ่ท��ง 4 ชีน�ดบนสิ่ายด�เอ9นเอท+าหน�าท��เป'นรห�สิ่ในการสิ่�งเคืราะห6กรดอะมี�โนท��ง 20 ชีน�ด กรดอะมี�โนเก�ดจากการเร�ยงต�วิของเบสิ่จ+านวิน 3

เบสิ่ ท��เร�ยกวิ-า codon ซึ่��งมี�คืวิามีสิ่�มีพั�นธุ6ก�บ anticodon บน tRNA ในกระบวินการลัอกรห�สิ่เพั#�อสิ่ร�างเป'นโปรต�นต-อ

Page 21: พันธุกรรมเมนเดล

ไป

โคืรงสิ่ร�างท��พับอย.-ในน�วิเคืลั�ยสิ่ของเซึ่ลัลั6แต-ลัะเซึ่ลัลั6เร�ยกวิ-า โคืรโมีโซึ่มี ในโคืรโมีโซึ่มีมี�โมีเลัก&ลัของข�อมี.ลัท��จ+าเป'นต-อการสิ่ร�างโปรต�นชีน�ดหน��ง ท��ใชี�ในการสิ่ร�างแลัะคืวิบคื&มีเซึ่ลัลั6 โดยย�นเป'นต�วิก+าหนดลั�กษณะของคืนแต-ลัะคืน เชี-น สิ่�ผิมี สิ่�ตา ในระหวิ-างท��มี�การสิ่#บพั�นธุ&6แบบอาศึ�ยเพัศึ เซึ่ลัลั6สิ่#บพั�นธุ&6เป'นต�วิถ-ายย�นไปสิ่.-ร& -นท��เก�ดข��นใหมี-

ย�น โคืรโมีโซึ่มีประกอบด�วิย ด�เอ9นเอ ซึ่��งขดต�วิพั�นก�นเป'นเกลั�ยวิแน-น โคืรงสิ่ร�างทางเคืมี�อ�นสิ่ลั�บซึ่�บซึ่�อนของด�เอ9นเอน��จะคืลัายเกลั�ยวิออก เป>ดต�วิย�นออกมีาเมี#�อจ+าเป'นต�องใชี� ย�นสิ่ร�างโปรต�นท��จ+าเป'นต-อการสิ่ร�างเซึ่ลัลั6ข��นใหมี- ก-อนเซึ่ลัลั6จะมี�การแบ-งต�วิ โคืรโมีโซึ่มีจะจ+าลัองร.ปแบบของตนเองไวิ�

ไมีโตซึ่�สิ่ ขณะท��มี�การเจร�ญเต�บโตแลัะซึ่-อมีแซึ่มีสิ่-วินท��สิ่�กหรอ เซึ่ลัลั6ของร-างกายจะแบ-งต�วิออกเป'น 2 เซึ่ลัลั6 โคืรโมีโซึ่มีท��อย.-ในน�วิเคืลั�ยสิ่ของเซึ่ลัลั6 จะมี�การจ+าลัองตนเอง เซึ่ลัลั6ใหมี-แต-ลัะเซึ่ลัลั6จะมี�จ+านวินโคืรโมีโซึ่มี 46 แท-ง เหมี#อนเซึ่ลัลั6เด�มีท&กอย-าง

ไมีโอซึ่�สิ่ เซึ่ลัลั6สิ่#บพั�นธุ&6มี�จ+านวินโคืรโมีโซึ่มี 23 แท-ง ในขณะท��เซึ่ลัลั6มี�การแบ-งต�วิแบบไมีโอซึ่�สิ่ จะเก�ดการสิ่ลั�บท��แลัะผิสิ่มีย�นก�นข��น เซึ่ลัลั6แบ-งต�วิโดยท��เซึ่ลัลั6ท��เก�ดใหมี- ได�ร�บโคืรโมีโซึ่มี 23 แท-งเท-าน��น ในการแบ-งต�วิเซึ่ลัลั6ข� �นท�� 2 โคืรโมีโซึ่มีจะแยกต�วิออกจากก�น กลัายเป'นเซึ่ลัลั6สิ่#บพั�นธุ&6อ�ก 2 เซึ่ลัลั6

พั�นธุ&กรรมี ย�นถ.กถ-ายทอดจากร& -นหน��งไปย�งอ�กร& -นหน��งต-อๆไป เด9กทารกจะได�ร�บย�นคืร��งหน��งจากพั-อ แลัะอ�กคืร��งหน��งจากแมี- 1 ใน 4

ของย�นในต�วิมีาจากร& -นป.G ย-า ตา ยาย การสิ่ลั�บท��ของย�นในขณะท��เซึ่ลัลั6มี�การแบ-งต�วิแบบไมีโอซึ่�สิ่ หมีายคืวิามีวิ-าพั��ชีายก�บน�องสิ่าวิ จะได�ร�บการถ-ายทอดย�นท��ไมี-เหมี#อนก�นจากพั-อแมี- อย-างไรก9ตามี คืวิามีคืลั�ายคืลั�งก�นของสิ่มีาชี�กในคืรอบคืร�วิอาจมี�ข��นได�