103
ทําอยางไร จะใหงานประสานกับความสุข พระพรหมคุณาภรณ (. . ปยุตฺโต)

ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

  • Upload
    others

  • View
    10

  • Download
    0

Embed Size (px)

Citation preview

Page 1: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

ทําอยางไร จะใหงานประสานกับความสุข

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)

Page 2: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

ทาํอยางไร จะใหงานประสานกับความสุข© พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)ISBN 974-89505-7-3

พิมพครั้งแรก - กันยายน ๒๕๔๐ ๕,๒๑๐ เลมพิมพคร้ังที่ ๑๐ - เมษายน ๒๕๕๓ ๑,๐๐๐ เลม

- พิมพในมงคลวารคลายวันเกิดของ ศ. น.สพ. ดร.อรรณพ คุณาวงษกฤต อายุครบ ๖๐ ป ๘ เมษายน ๒๕๕๓

แบบปก: พระอิสรา ฐานิสฺสโร

พิมพที่:

Page 3: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน
Page 4: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

สารบัญ

อนุโมทนา (๑)เกริ่นนํา ๑ทาํอยางไร จะใหงานประสานกับความสุข ๒ทํางานใหถูกตามธรรมชาติ

ไมตองประสาน งานก็มาดวยกันกับความสุข ๒สิง่ทีต่องประสาน มิใชงานกบัความสขุ แตตองประสาน

ตัวเรา ใหเขาถึงความจริงของธรรมชาติ ๑๔ถาเกงจรงิ ตองใหการพฒันา ๒ ดานมาประสาน

ขางในก็ยิ่งสุขไดงาย ขางนอกก็ยิ่งหาไดมาก ๑๙ถาไมลืมธรรมชาติตัวเองของมนุษย

จะยิ่งพบโอกาสที่จะพัฒนาความสุข ๓๒สรางสรรคสิ่งประดิษฐภายนอกแลว

อยาลืมสรางสรรคความสุขภายในดวย ๔๐

Page 5: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

พอเห็นงานและปญหาเปนเวทีพัฒนาตนงานก็ยิ่งไดผล และคนก็ยิ่งเปนสุข ๔๗

ทํางานคือไดสรางสรรคประโยชนจึงยิ่งสุขท่ีรูสึกวาชีวิตมีคุณคา ๖๐

รักษาอิสรภาพไวทั้งไดงานทั้งมีภูมิคุมกันทุกขและเปนฐานใหสุขยิ่งงอกงาม ๖๖

ถารูผิดพลาด ปฏิบัติไมถูก จะสันโดษหรือไมสันโดษก็ไมมีทางพัฒนา ๗๓

พอสนัโดษกบัไมสนัโดษมาประสานเสรมิกนัจะมีแตการพัฒนา ที่ใครๆ ไมอาจกีดกั้น ๗๙

Page 6: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน
Page 7: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

เกริ่นนํา

ขอเจริญพร ขาราชการ และพนักงานโรงพยาบาลตํารวจพรอมท้ังทานผูสนใจใฝธรรมทุกทาน

วันน้ีใกลๆ กับที่บรรยายธรรมนี้มีเหตุการณที่ทําใหตื่นตกใจ คือเรื่องไฟไหมศูนยการคา ทําใหเกิดความรอน รอนท้ังนอกทั้งใน คือ คนที่อยูใกลกับไฟจะรูสึกรอนกาย พรอมกันน้ันก็เปนเหตุการณที่นาหวาดกลัว เปนภัยอันตรายก็ทําใหเกิดการรอนใจดวย แตตอนนี้เรามาพักใจจากเรื่องที่รอนหูรอนใจ มาฟงธรรมะกันใหเย็นหูเย็นใจ แตจะเย็นแคไหนยังไมรับรอง

Page 8: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

ทาํอยางไรจะใหงานประสานกับความสุข*

ทํางานใหถูกตามธรรมชาติไมตองประสาน งานกม็าดวยกนักบัความสขุ

ชื่อเร่ืองที่พูดนี้ก็ตั้งมารอนๆ นี้เอง ชื่อวาทําอยางไรจะใหงานประสานกับความสุข ความจริงก็ตั้งไปอยางนั้นเอง เมื่อต้ังแลวก็ทําใหเกิดความรูสึกคลายๆ วา งานกับความสุขเปนคนละเร่ืองคนละทาง เราจึงตองจับมาประสานกัน คือทําอยางไรจะใหงานกับความสุขมาอยูดวยกัน * บรรยายที่โรงพยาบาลตํารวจ กรุงเทพมหานคร ในวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน๒๕๓๘ เวลา ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.

Page 9: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

วาทีจ่ริง งานกบัความสขุไมใชของแยกกนัมันไมใชคนละพวก มันเปนพวกเดียวกันได โดยธรรมชาตินั้นงานกับความสุขนี้มันมาไดดวยกัน งานมาไดทั้งกับความทุกขและความสุข อยูที่วาเราจะปฏิบัติถูกหรือผิด ถาเราปฏิบัติถูก งานก็จะทําใหเกิดความสุข แตถาปฏิบัติผิด งานก็จะทําใหเกิดความทุกข ทั้งนี้ก็อยูที่เหตุที่ปจจัยจะเขามาประสานกนั ทีพ่ดูคลายกบัวาจะจบัเขามาประสานกันนั้น จึงเปนเพียงสํานวนภาษาเทานั้นเอง

ทําไมอาตมาจึงบอกวางานกับความสุขเปนเรื่องเดียวกัน โดยธรรมชาติเราก็รูกันวา สิ่งทั้งหลายเปนไปตามเหตุปจจัยของมัน เร่ืองของธรรมชาตินั้น อยูที่วาเราตองปฏิบัติใหถูก หมายความวา ปฏิบัติใหถูกตามเหตุปจจัย พูดงายๆ วาดําเนินชีวิตใหถูกตองตามกฎธรรมชาติ ถาเรา

Page 10: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

ดําเนินชีวิตถูกตองตามกฎธรรมชาติ งานก็สามารถมากับความสุข พูดอยางนี้อาจจะฟงยากหนอย อาตมาจะยกตัวอยาง

ธรรมดาคนเราทํางานก็ตองมีจุดมุงหมายวาทํางานไปทําไม คือ เราตองมีความตองการอยางหนึ่งกอน แลวจึงจะทํางาน งานก็คือการกระทําใหบรรลุจุดมุงหมายนั้น ยกตัวอยางงายๆเราเรียกการทําสวนวาเปนงานชนิดหนึ่ง คนที่จะทําสวนก็ตองมีจุดมุงหมายวา จะทําสวนทําไมงานคือการทําสวนนั้นเกิดขึ้นจากการมีความมุงหมายกอน ความมุงหมายอะไร คือ ตองการใหัตนไมเจริญงอกงาม เราตองการใหตนไมเจริญงอกงาม เราจึงไปทําสวน

ถาเราตองการใหตนไมเจริญงอกงาม แลวเราจึงไปทํางานคือทําสวน พอตนไมเจริญ

Page 11: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

งอกงาม เราก็บรรลุเปาหมาย เมื่อเราบรรลุเปาหมาย ความตองการของเราไดรับการสนองแลวเราจะไดรับผลอะไร เราก็เกิดความสุขขึ้น ไมตองพูดถึงวาตองรอใหบรรลุจุดมุงหมายหรอก แมแตในระหวางนั้น ถาทุกอยางเปนไปดวยดี งานเดินคืบหนาไปสูจุดมุงหมาย ใกลเขาไปๆ เราก็จะมีความอิ่มใจ มีความสุขไปเรื่อย

ทีว่านีแ้สดงวาการทาํงานตองมจีดุมุงหมายและถางานนั้นตรงกับจุดมุงหมายที่ตองการก็เปนเร่ืองของธรรมชาติ งานเปนเหตุ ผลคือสําเร็จเปาหมายที่ตองการ เมื่อตองการอะไร แลวไดอันนั้นความตองการไดรับการตอบสนอง เหตุกับผลตรงกัน ก็เกิดความสุขความพึงพอใจขึ้น นี่เปนเรื่องของธรรมชาติ

Page 12: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

แตมนุษยนั้นมีปญหาเกิดขึ้น ซึ่งเปนเรื่องซับซอน คือเวลาเราทํางานไปๆ บางทีเราลืมสนิทวาเราไมไดดําเนินชีวิตตามกฎธรรมชาติ คือการทํางานของเราไมเปนไปเพื่อวัตถุประสงคของตัวงานนั้น เราก็ไดรับผลที่ไมตรงกับความตองการตอนนี้แหละก็จะเกิดเรื่องเปนปญหาขึ้น

โลกปจจุบันมีอารยธรรม เมื่อมนุษยเจริญขึ้นมา มีระบบความเปนอยูและความสัมพันธในสังคมที่ซับซอน ก็จะมีความกาวหนาอยางหนึ่งเกิดขึ้น คือ การสมมติ

ตามเรื่องเดิมของธรรมชาตินั้น การทําสวนเปนตัวงาน ผลที่แทของมันคือตนไมเจริญงอกงาม เมื่อเราทําเหตุคือทําสวน แลวไดผลคือตนไมเจริญงอกงาม เราก็มีความสุข แตในโลกปจจุบัน เมื่อมนุษยเจริญขึ้นมา ก็มีการสรางเปน

Page 13: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

ระบบทางสังคมขึ้น ในระบบที่จัดตั้งในทางสังคมนี้ ก็มีส่ิงซึ่งทางพระเรียกวาสมมติ สมมติอยางไรคือมีการกําหนดใหการทําสวนเปนงานชนิดหนึ่งในสงัคม เมือ่ทาํไปแลวจะไดรับผลตอบแทนคอืเงนิทําใหเรามองวาการไดเงินเปนผลของการทําสวน

ตรงนี้ถามองใหดีจะเห็นวาไดมีผลเกิดซอนขึ้นมา ๒ ชั้น หมายความวาผลของงานนั้นมี๒ อยาง ผลที่ ๑ คือตนไมเจริญงอกงาม ซึ่งเปนผลของการทําสวน ชนิดที่เปนผลตามธรรมชาติแตคราวนี้มีผลอีกอยางหนึ่งเปนผลที่ ๒ เกิดซอนขึ้นมาดวย จากเหตุเดียวกันนั้น ซึ่งเปนผลที่มนุษยสมมติขึ้น โดยบัญญัติจัดตั้งวางเปนระบบขึ้นวาทําสวนแลวไดเงิน เหตุคือการทําสวน แตผลที่ตองการคือเงิน

Page 14: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

ถึงตอนนี้เราก็เห็นแลววาจากเหตุเดียวกันคือการทําสวน มีผลเกิดขึ้น ๒ อยาง คือ การที่ตนไมเติบโตเจริญงอกงาม เปนผลตามธรรมชาติและการที่คนไดเงิน เปนผลตามสมมติของมนุษย

การทําสวนเปนเหตุตามธรรมชาติ ผลที่แทของการทําสวนคืออะไร ตอบไดเลยวาคือการที่ตนไมเจริญเติบโตงอกงาม

แตคนอาจจะทําสวนโดยไมตองการผลตามธรรมชาติ เขาอาจจะทําสวนเพราะตองการไดเงิน ซึ่งเปนผลตามบัญญัติ สมมติ เราจะตองรูเทาทันวาผลตามบัญญัติตามสมมติของมนุษยนี้ ไมเปนจริงตามธรรมชาติ จริงไหมที่วา การทําสวนเปนเหตุแลวไดเงินเปนผล ตอบวาจริง แตเปนจริงตามสมมติของมนุษย ไมมีความจริงแทอยูในธรรมชาติของตัวมันเอง

Page 15: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

สมมติแปลวาอะไร สมมติ มาจากคําวาสํ + มติ มติ แปลวา ขอตกลง การยอมรับ หรือรูกัน สํ แปลวา รวมกัน สมมติจึงแปลวา มติรวมกันหรือขอตกลงรวมกัน เราจึงตองตกลงรวมกันวาคุณไปทําสวนนะ แลวฉันจะใหเงินคุณ เดือนละ๕,๐๐๐ บาท หรือ ๓,๐๐๐ บาทก็แลวแต เมื่อตกลงกันอยางนี้แลว ก็เกิดเปนกฎเกณฑขึ้นมา แตเปนกฎเกณฑของมนุษยที่ไมเปนจริงตามธรรมชาติ คือมันขึ้นอยูกับสมมติ หรือการตกลงกันนั้นถาการตกลงหายไป กฎนีก้ห็มดความหมายไปดวย

ถาเราไปทําสวนแลวเขาไมยอมรับขอตกลงนี้ ตัวสมมติหายไป กฎเกณฑนั้นก็ไมเปนความจริง เมื่อทําเหตุแลว ผลก็ไมเกิด คือทําสวนไปหนึ่งเดือน เงินไมมา กฎถูกยกเลิกไปแลว ฝายที่จะใหเงินก็ไมให กฎสมมติจึงไมเปนความจริงที่แท

Page 16: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๑๐

๑๐

เพราะเปนของที่มนุษยตกลงกันขึ้น มาซอนผลที่แทจริงของธรรมชาติอีกทีหนึ่ง

ถาพูดกันตรงไปตรงมาตามธรรมชาติ เราทําสวนเพื่ออะไร การทําสวนเปนเหตุ ผลที่แทจริงตามธรรมชาติก็คือ ตนไมเจริญงอกงาม อันนี้แนนอน เปนผลตามธรรมชาติ ถาเราตองการใหตนไมเจริญงอกงาม เราก็ตองดูแลรดน้ําตนไมที่เรียกวาทําสวน เมื่อทําสวน ตนไมจึงจะเจริญงอกงาม นี้เปนเหตุเปนผลที่แทจริง เปนกฎเกณฑของธรรมชาติที่เปนจริงแนนอน ที่มนุษยยกเลิกไมได และก็หลอกมันไมไดดวย

แตถาเปนเหตุผลของมนุษยที่ตกลงกันสมมติเปนกฎเกณฑขึ้นมา วาการทําสวนเปนเหตุแลวมีการไดเงินสามพันบาทหรือหาพันบาทเปนผล อันนี้เปนกฎเกณฑของมนุษยที่ซอนขึ้นมา กฎ

Page 17: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๑๑

๑๑

มนุษยที่สมมติกันนี้ มนุษยยกเลิกได และก็หลอกกันไดดวย เร่ืองมันจึงยุง แลวก็จะมีผลตอความสุขความทุกขของเรา ชนิดที่เปนแบบซับซอนหลายชั้นหลายเชิง และถาจับไมถูกจุด ก็จะนุงนังสับสน วุนกันไปหมด ทั้งตัวคน และสังคม

ถาเราดาํเนนิชวีติถกูตองตามกฎธรรมชาติก็หมายความวา เราตองการผลที่ตรงตามเหตุ คือเราตองการใหตนไมเจริญงอกงาม แลวเราจงึทาํสวนถาเราทําสวนโดยตองการผลตามกฎธรรมชาติ เรียกวาดําเนินชีวิตตามกฎธรรมชาติ เราก็จะไดความสุขตลอดเวลา เพราะวาการกระทําของเรานั้น เปนเหตุนํามาซึ่งผลโดยตรง ทําสวนไป เห็นตนไมเจริญงอกงามไปก็มีความสุขไป และเราก็รูทันดวยวาการที่ตกลงใหเราไดเงินสามพันบาทหรือหาพันบาทนั้นเปนเรื่องสมมติของมนุษย เพื่อ

Page 18: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๑๒

๑๒

มาเสริมข้ึนอีกชั้นหนึ่ง ใหเราทําสวนไปไดดวยดีคือเราจะไดตั้งหนาตั้งตาตั้งใจทําสวนไปไดอยางเต็มที่โดยไมตองมัวหวงกังวลเรื่องความเปนอยู

ถาเรารูเทาทันสมมติอยางนี้ เราก็มีความสุขขั้นพื้นฐานขึ้นมาจากความตองการผลตามธรรมชาติ และเมื่อไดรับผลตามสมมติดวยก็จะไดความสุขซอนขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง พูดอยางทางพระวา อยูดวยความรูเทาทันสมมติ แตถาเราหลงสมมติเมื่อไร ก็จะเกิดปญหาเมื่อนั้น หมายความวา ถาเราตองการแตผลตามสมมติ คือตองการเงิน แตไมตองการผลตาม ธรรมชาติคือไมตองการใหตนไมเจริญงอกงาม ถาเปนอยางนี้เราจะทํางานดวยความทุกข เพราะตลอดเวลาทั้งหมด ซึ่งเปนเวลาของการทํางาน เราไมไดนึกถึงความเจริญงอกงามของตนไม มันจะเจริญงอก

Page 19: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๑๓

๑๓

งามหรือไมเราก็ไมเอาใจใส แตใจเราไปรอที่เงินตลอดเวลาที่ทํางาน เราไมไดมองไมไดเห็นไมไดความสุขจากผลตามกฎธรรมชาติที่เกิดอยูตลอดเวลานั้น แตไปคอยผลตามกฎของมนุษย ที่จะเกิดขึ้นครั้งเดียวขางหนาอีกนาน เมื่อยังไมถึงเวลาไดเงิน การทํางานก็เลยเหมือนกับเปนการทรมาน ที่วายังไมไดเงินสักที เมื่อไรหนอเงินจะมา ระหวางนี้เราก็ตองจําใจทําสวนไปเรื่อย การทําสวนอยางนี้จึงเปนความทุกขไปตลอดเวลา

นี่แหละโลกมนุษย ซึ่งมีความซับซอนที่มนษุยทาํขึน้เอง เราสรางระบบสงัคมขึน้มาเพือ่หนนุผลตามกฎธรรมชาติ แตแลวเราก็ไปหลงติดมันเสีย แลวเราก็ทําใหชีวิตของเราเองหางเหินแปลกแยกจากความเปนจริงของธรรมชาติ ปญหาขั้นพื้นฐานอยูตรงนี้ เพราะฉะนั้นคนผูใดสามารถ

Page 20: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๑๔

๑๔

ดําเนินชีวิตใหตรงกับกฎของธรรมชาติได คือตองการผลที่ตรงตามเหตุที่เปนจริง เขาจะทํางานดวยความสุข นี่เปนขั้นที่หนึ่ง

ส่ิงที่ตองประสาน มิใชงานกับความสุขแตตองประสานตวัเรา ใหเขาถึงความจรงิของธรรมชาติ

ที่พูดมานี้เปนไปตามหลักความจริงที่วา ความสุขอยูที่การไดสนองความตองการ หรือไดสนองความอยาก ถาเรามีความอยากหรือความตองการที่สอดคลองกับความเปนจริง เราก็จะมีโอกาสสนองความตองการนั้นไดดีขึ้น และก็จะมีความสุขไปขั้นหนึ่งที่สําคัญ เปนความสุขขั้นพื้นฐานเลยทีเดียว และเปนเรื่องของการทํางานโดยตรง เพราะฉะนั้นจึงควรทราบหลักการไววาทางพระทานแยกความอยากหรือความตองการ

Page 21: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๑๕

๑๕

เปน ๒ อยาง และสอนใหคนเรามีความอยากหรือความตองการใหถูกตอง จะไดเกิดผลดีทั้งแกชีวิตและสังคมของตน ทานสอนวา ความอยากหรือความตองการมี ๒ อยาง คือ

๑. ถาอยากไดผลทีต่รงตามกฎธรรมชาติการดําเนินชีวิตก็เปนไปโดยสอดคลองกับธรรมชาติ ความตองการไดผลที่ตรงตามกฎธรรมชาติเชน ทําสวนก็ตองการใหตนไมเจริญงอกงามความอยากอยางนีท้านเรยีกวา ฉันทะ ถามฉีนัทะแลวจะทํางานอยางมีความสุขไดตลอดเวลา

๒. แตถาทํางานเพื่อตองการผลตามกฎสมมติของมนุษย คือทําสวนเพราะอยากไดเงินความอยากอยางนี้ทานเรียกวา ตัณหา เปนความอยากไดผลตามสมมติของมนุษย ที่เปนเหตุใหหาทางหลบเลี่ยงการทําเหตุตามกฎธรรมชาติ ถา

Page 22: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๑๖

๑๖

เปนไปไดก็ตองการไดผลโดยไมตองทํา เพราะฉะนั้นจึงไมนึกถึงการทํางาน แตนึกตลอดเวลาถึงการที่จะไดเงิน เวลาทํางานจึงเปนเวลาแหงความทุกข การทํางานแบบนี้เปนการขับไลหรือวิ่งไลความสุข เพราะเราจะมองและโหยหาความสุขที่อยูขางหนาตลอดเวลา

การทํางานกับความสุขที่วามานี้ เปนขั้นพื้นฐาน เปนสิ่งธรรมดา เปนเรื่องที่เปนไปตามกฎของธรรมชาติ ซึ่งจะตองทําใหไดกอน และธรรมะก็อยูตรงนี้ คือตรงที่ถูกตองตามกฎธรรมชาติถาทําไดตามนี้ ธรรมะตัวจริงก็มา แตถาใครพลาดขั้นนี้ ก็เปนคนที่อยูอยางผิดธรรมชาติ ก็เรียกวาผิดธรรมะ แลวก็จะตองเกิดปญหาแนนอน ตัวคนก็จะทํางานอยางไมมีความสุข และงานนั้นก็จะไมไดผลดี สงัคมกจ็ะเสือ่มตามไป ถงึจะสอนจรยิธรรม

Page 23: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๑๗

๑๗

อะไรกันปากเปยกปากแฉะ ใหขยันนะ รับผิดชอบนะ อดทนนะ ก็เปนจริยธรรมแบบประแปงเทานั้นไมไดผลจริง

เพราะฉะนั้น ผูที่ทํางานทุกคนจะตองมองใหชัดตรงนี้กอนวา ในการทํางานของตนนั้น เบื้องหลังผลที่สมมติคือตกลงกันในสังคมมนุษยวาไดเงินเดือน หรือผลตอบแทนแลว ผลแทจริงตามกฎธรรมชาติของงานของเราคืออะไร เชน

- งานครูเปนเหตุ ผลที่ตองการตามกฎธรรมชาติ คือชวยใหเด็กมีความรู เจริญงอกงามพัฒนา มีสติปญญาความสามารถ เปนคนดีของครอบครัวและสังคม

- งานแพทยและพยาบาลเปนเหตุ ผลที่ตองการตามกฎธรรมชาติ คือชวยใหผูคนหางหายจากโรคภัยไขเจ็บ มีสุขภาพแข็งแรง

Page 24: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๑๘

๑๘

- งานตํารวจเปนเหตุ ผลที่ตองการตามกฎธรรมชาติคือชวยใหประชาชนพนภัยจากการทําราย หายหวาดผวา มีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพยสิน จะไปไหนก็ปลอดโปรงโลงใจราเริงแจมใส อยูกันในสังคมที่รมเย็นเปนสุข ฯลฯ

เมื่อจับผลแทจริงที่ถูกตองตามธรรมชาตินี้ไดแลว ก็จัดปรับความอยากความตองการของตนใหถูกตองตรงกัน ใหเปนความตองการผลตามกฎธรรมชาติ และอยากทําใหเกิดผลอยางนั้นแลวความสุขขั้นพื้นฐานของชีวิต ชนิดมีตลอดเวลาในการทํางานก็จะเกิดขึ้น แลวก็ใหความสุขจากการไดผลตอบแทนตามกฎสมมติของมนุษยเขามาเสริมเขาไปอีกชั้นหนึ่ง ก็จะไดสุขเต็มที่สองชั้นเลย แตถาไมทําตามนี้ ก็มีหวังไดทุกขสองชั้น

Page 25: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๑๙

๑๙

และก็จะทุกขไปดวยกันทั้งตัวคนและสังคม นี่เปนปญหาขอที่หนึ่ง

ถาเกงจริง ตองใหการพฒันา ๒ ดานมาประสานขางในกย็ิง่สุขไดงาย ขางนอกกย็ิง่หาไดมาก

ตอไปเร่ืองที่สอง ที่เกี่ยวกับการทํางานอยางมคีวามสขุ กค็อืความเขาใจเกีย่วกบัความสขุความสุขนั้นมีหลายขั้น หลายอยาง หลายแบบ

คนจํานวนมากมองความสุขไปที่ไหน ตอบวามองไปที่การไดเสพไดบริโภค คือ ตาไดดูสิ่งสวยงาม หูไดฟงเสียงไพเราะ จมูกไดดมกลิ่นหอม ลิ้นไดลิ้มรสอาหารที่เอร็ดอรอย กายไดสัมผัสที่นุมนวล ใจไดคิดฝนในอารมณอยากไดอยากเสพที่เพลิดเพลิน คนเราที่ตองการความสุข

Page 26: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๒๐

๒๐

มักจะมองไปที่วัตถุและสิ่งบริโภคดังที่กลาวมานี้ ความสขุของเขาจงึขึน้กบัวตัถส่ิุงเสพบริโภคเหลานี้

แตถาเรามุงหาความสุขอยูแคสิ่งเหลานี้แลว ความสุขของเราก็จะมีจํากัดอยูอยางเดียวและที่สําคัญคือความสุขของเราจะขึ้นอยูกับวัตถุภายนอกโดยที่เราไมเปนตัวของตัวเอง พูดสั้นๆวาจะหมดอิสรภาพ ยิ่งอยูไปในโลกนานๆ ข้ึน เราก็ยิ่งเอาชีวิตและความสุขของตัวไปฝากไวกับส่ิงภายนอก ผลที่ตามมาขั้นที่หนึ่งคือ พออยูไปนานเขาๆ เราจะตองมีปริมาณวัตถุเสพและบริโภคมากขึ้นๆ จึงจะมีความสุขได

แมวาเราอาจจะเกงในการหาวตัถเุสพและสิ่งบริโภคเหลานั้น และเราก็นึกวาเราเกงจริงๆสามารถหาความสุขไดมาก แตไมรูตัวหรอกวาอยูไปๆ ความสุขของเราก็เลยไปขึ้นอยูกับวัตถุ

Page 27: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๒๑

๒๑

เหลานั้น พอขาดวัตถุเหลานั้นเราอยูดีไมได เราไมมีความสุข อยางนี้เรียกวาสูญเสียอิสรภาพ เรานึกวาเราเกง แตทีจ่ริงชวีติของเราหมดอสิรภาพไปแลว

คนหลายคนอยูในโลกนี้นานๆ แลวหมดอิสรภาพเพราะไมสามารถมีความสุขดวยตนเอง ตองเอาความสุขไปขึ้นกับส่ิงภายนอก และนับวันจะตองขึ้นกับวัตถุที่เพิ่มมากขึ้นดวย แตกอนนี้มีวัตถุนิดหนอยก็มีความสุขได ตอมาพัฒนาความสามารถหาสิ่งเสพสิ่งบริโภคไดมากขึ้น ตอนนี้ตองมีสิ่งบริโภคมาก ถามีนอยก็จะไมมีความสุข ทีนี้เมื่อชีวิตและความสุขไปขึ้นกับวัตถุมากเขา ก็ลําบาก นอกจากพะรุงพะรังไปหมดแลว ก็ไมเปนตัวของตัวเองในการที่จะมีความสุข

การที่ เราหวังจะมีความสุขในการเสพวัตถุนั้นทางพระทานไมหาม แตอยาลืมวา เมื่อหา

Page 28: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๒๒

๒๒

ความสุขไปจะตองรักษาอิสรภาพของตัวไวดวยอิสรภาพก็คือการที่เรายังสามารถมีความสุขไดดวยตนเองอยูบาง หรอืเปนคนทีส่ขุไดงายพอสมควรถาเราเอาความสุขไปฝากไวกับวัตถุภายนอก ตอไปเราจะตองพึ่งพาอาศัยวัตถุมากขึ้นจึงจะสุขได ถามีวัตถุนอยๆ จะสุขไมได ถึงตอนนี้ก็จะเกิดปญหาขอที่สอง คือจะกลายเปนวา เรายิ่งอยูในโลกนานเขาเราก็ยิ่งกลายเปนคนที่สุขไดยากขึ้น

ขอใหสังเกตวา คนในยุคปจจุบันนี้มีลักษณะอยางหนึ่งคือเปนคนที่สุขไดยาก และยิ่งอยูนานไปๆ ก็ยิ่งสุขไดยากขึ้นๆ แตกอนนี้ตอนเปนเด็กยังสุขงายกวา ตอนนั้นมีอะไรนิดหนอยก็สขุแลว แตอยูไปๆ ในโลกกลบัยิง่หมดความสามารถที่จะมีความสุข เพราะสุขยากขึ้นทุกที แสดงวาเรา

Page 29: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๒๓

๒๓

พัฒนาผิดทาง ถาเราเกงจริง เราอยูในโลกนานเขา เราก็ยิ่งตองเปนคนที่สุขไดงายขึ้น

เพราะฉะนั้น เครื่องพิสูจนการพัฒนาของมนุษยอยางหนึ่งก็คือความสามารถที่จะมีความสุข ขอใหดูวาเมื่อเราอยูในโลกไปนานๆเขา เราสุขงายขึ้นหรือสุขยากขึ้น ถาถามตัวเองแลวตองตอบวา เราสุขยากขึ้น ก็แสดงวาเดินผิดทางแลว เราสญูเสยีอสิรภาพลงไปทกุทีๆ เราไมเกงจริง เพราะถาเกงจริงเราตองเปนคนทีส่ขุไดงายขึน้

ถาเราพัฒนาทั้งสองดาน คือ๑. ขางใน ก็รักษาความสามารถที่จะมี

ความสุขไวได หรือพัฒนาตนใหเปนคนที่สุขไดงายยิ่งขึ้น

๒. ขางนอก กพ็ฒันาความสามารถทีจ่ะหาสิ่งเสพบริโภคที่จะบํารุงความสุขไดเกงยิ่งขึ้น

Page 30: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๒๔

๒๔

ถาพัฒนาพรอมไปดวยกันอยางนี้ ทั้งขางในก็สุขงายขึ้น และขางนอกก็หาวัตถุหรือหาเงินเกงขึ้น เราก็สุขสองทาง เพราะวาสิ่งที่จะมาชวยเสริมใหเรามีความสุข เราก็หาไดมาก พรอมกันนั้นเราก็เปนคนสุขงายขึ้นดวย เราก็สุขเต็มที่ แตคนจํานวนมากไมเปนอยางนั้น เพราะคนทั่วไปมักพัฒนาแตความสามารถในการหาสิ่งเสพภายนอก ทั้งที่ขางนอกหามาไดๆ แตขางในหมดความสามารถทีจ่ะมคีวามสขุ หรือสูญเสยีความสามารถที่จะมีความสุข ก็เลยสุขยากขึ้น

พอสุขยากขึ้น วัตถุที่หามาเสพนั้น ถึงไดมาก ก็ไมพอและไมทัน ก็เลยตองการมากขึ้นทุกทีไดวัตถุมามากก็ไดความสุขเทาเดิม เพราะอะไรเพราะไดวตัถขุางนอกมาเพิม่ข้ึน เสยีดลุยภาพหนึง่แตความสามารถที่จะมีความสุขขางในลดลงไป

Page 31: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๒๕

๒๕

หนึ่ง แมจะไดของมากขึ้นแตสุขก็เทาเดิม เลยกลายเปนกระบวนการวิ่งไลความสุข ขางนอกบวกหนึ่งขางในลบหนึ่ง ไดหนึ่งลบหนึ่ง เปนอยูอยางนี้ จนกระทั่งในที่สุดความสามารถที่จะมีความสุขขางในหายไป อยางที่บางคนอยูในโลกนานๆ เขา ก็หมดความสามารถที่จะมีความสุขถึงตอนนี้ไดวัตถุมาเทาไรๆ ก็ไมมีความสุข คนอยางนี้เรียกวาคนพัฒนาผิดทาง

ในการพัฒนาที่ถูกทาง คนจะตองมีความสามารถในการมีความสุขมากขึ้น คือเปนคนที่สุขไดงายขึ้น เพราะฉะนั้นจะตองถามตวัเองตลอดเวลาวา เราเปนคนทีส่ขุงายขึน้หรอืไม

ถาอยู ในโลกแลวเปนคนที่สุขงายขึ้น พรอมทั้งมีความสามารถที่จะหาวัตถุบริโภคที่จะบํารุงความสุขไดมากขึ้น ตอมาวัตถุบริโภคเหลา

Page 32: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๒๖

๒๖

นั้นก็จะเหลือเฟอเกินความจําเปน แลวเราจะทําอยางไร เราก็เอาวัตถุเหลานั้นไปเผื่อแผชวยเหลือคนอื่นใหเขามีความสุขดวย ถาอยางนี้ ตัวเราเองก็มีความสุขมากขึ้น แลวเราก็เผื่อแผความสุขใหแกเพื่อนมนุษยไดดวย แลวยังแถมมีความสุขอยางใหมจากการทําใหคนอื่นมีความสุขอีกดวย อยางนี้ก็เรียกวามีเมตตากรุณา นี่เปนเรื่องหนึ่งที่สําคัญ

เพราะฉะนัน้ เครือ่งพสิจูนความเกง หรอืเครือ่งวดัการพฒันาของคนเราขัน้ทีส่อง กคื็อเมื่อเราหาเรามีเงินทองวัตถุมากขึ้น เราพูดไดไหมวา เรามีความสุขจนวัตถุเหลานั้นเกินจําเปนสําหรับความสุขของเรา ถาไดมามีเทาไรก็ไมพอที่จะมีความสุขสักที ก็เรียกวาเราเปนคนที่ยังไมพัฒนา เปนคนที่จัดวา อุตสาหวิ่งมาในหนทาง

Page 33: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๒๗

๒๗

ชีวิตเสียเวลาไปยาวไกล แตกลายเปนคนที่พายแพอยางสิ้นเชิง

ในการทํางาน ถาเรามองความสุขในความหมายเดียววา ความสุขอยูที่การเสพวัตถุเราจะเสียเปรียบ และจะเกิดปญหา เพราะเรามีความสุขแบบเดียว และเปนไดแคนักหาความสุขอยางเดียว คนที่อยูในโลกไดดีนั้น จะตองพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข ซึ่งหมายถึงการที่จะเปนคนที่สุขไดงายขึ้น และมีความสุขดานอื่นเพิ่มข้ึนดวย

ความสุขอะไรอีกที่จะเกิดมีกับเรา อยางแรกก็คือที่กลาวมาแลว คือการดําเนินชีวิตที่ถูกตองตามกฎธรรมชาติ โดยมีความตองการผลที่แทจริง ซึ่งเปนไปตามกระบวนการของเหตุปจจัยในธรรมชาติ เราทํางานไป เราก็สุขใจดวย เรามี

Page 34: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๒๘

๒๘

ความสุขตลอดเวลา ดวยการสนองความตองการผลที่แทของงานตามความจริงของธรรมชาติ พรอมกันนั้นก็รูเทาทันวาเราตองการเงินเดือนหรือคาตอบแทน เพื่อไปหาซื้อวัตถุมาบริโภค มาเสพหาความสุขสะดวกสบายเปนสุขที่เสริมเขาไป สุขจากวัตถุเราก็ไดดวย จึงไดทั้งสองอยาง หมายความวา ขณะทํางานเราก็มีความสุขไปดวย และพอถึงเวลาสิ้นเดือน ไดเงินเดือน เราก็ไดความสุขภายนอกมาสนับสนุน เราก็ไดทั้งสองอยาง แตถาเราไมพัฒนาความสุขดานในที่ไมตองขึ้นกับวัตถุ เราจะมีความสุขแบบเดียวซึ่งตองรอคอยตลอดเวลา เมื่อเปนเชนนี้ชีวิตสวนใหญของเราก็จะเปนชีวิตที่มีความทุกขเปนฐานยืนพื้น

ทีนี้ลองพิจารณาดูอีกทีจะเห็นวา กวาเราจะไดผลตอบแทนเปนเงินสักครั้งนั้น เราตองรอ

Page 35: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๒๙

๒๙

เวลาตั้งเดือน หรืออยางนอยก็หลายวัน แตงานที่เราตองทํานั้น เราตองอยูกับมันนานเหลือเกิน ตั้ง๓๐ วัน หรืออยางนอยก็ราวสัปดาหหนึ่ง แลวซอยออกไปอีก วันละไมรูกี่ชั่วโมง แลวเราไดความสุขอยูตอนเดียว ตอนที่ครบเดือนครบสัปดาหระหวางนั้นก็เปนเวลาแหงการรอคอยความสุขที่ยังไมมาถึง และเปนเวลาแหงการอยูกับความทุกขที่ตองฝนใจทนตลอดเวลา

ชีวิตของเราจะเปนอยางไร ถาดานหนึ่งก็กระวนกระวาย รอคอยเงินที่ยังไมมา พรอมกับที่อีกดานหนึ่ง ก็ตองทนอยูกับงานที่ตองฝนใจทําตลอดเวลานานแสนนาน ถาใครเปนอยางที่วามานี้ ชีวิตสวนใหญของเขาจะเปนชีวิตแหงความทรมาน เปนการเดินทางชีวิตที่ผิด

Page 36: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๓๐

๓๐

งานทํามาหาเลี้ยงชีพนั้นเปนชีวิตสวนใหญของคน ในทางพระศาสนาถือวาสําคัญมากในเมื่องานการหาเลี้ยงชีพครองเวลาสวนใหญในชีวิตของเรา เราจึงจะตองมีความสุขจากการทํางาน หรือการทํามาหาเลี้ยงชีพนี่แหละใหไดชีวิตสวนใหญของเราจึงจะมีความสุข ถาเราไมสามารถใหการงานที่ทํามีความสุขได ก็หมายความวาชีวิตสวนใหญของเราเปนทุกข นี้เปนเคล็ดลับสําคัญ

เปนอันวา สิ่งที่เราจะตองทําใหไดในตอนนี้ คือ ทําใหการงานเปนแหลงที่มาแหงความสุขตลอดเวลาของเรา และทํางานใหมีความสุขดวยการดําเนินชีวิตใหถูกตองตามกฎธรรมชาติ พรอมกันนั้นก็พัฒนาตัวเองใหรูจักความสุขหลายๆ แบบ โดยไมทิ้งความสุขภายในที่

Page 37: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๓๑

๓๑

เปนอิสระไมขึ้นกับการเสพวัตถุ ซึ่งมีไดตลอดเวลาเปนหลักยืนพื้น เร่ิมดวยสุขจากการที่วาเมื่อทํางานไปเห็นผลของงานเกิดขึ้นตรงตามกฎธรรมชาติก็เกิดปติความอิ่มใจ เปนสุขอยูเร่ือย แลวใหไดความสุขทั้งสองอยาง มีความสุขทั้งขางนอกทั้งขางใน ไดทั้งสุขจากวัตถุ ไดทั้งสุขจากการทําการทํางาน ไดทั้งสุขจากการอยูรวมกันดวยไมตรีจิตมิตรภาพกับเพื่อนรวมงาน เปนตน และทําจิตใจใหดี มองอะไรตางๆ ในแงที่จะทําใหดี จนมีความสขุไดตลอดเวลา เรากจ็ะทาํชวีติของเราใหสมบูรณโดยเฉพาะจุดสําคัญที่ทาทาย ก็คือการทํางานทําการที่เปนชีวิตสวนใหญของเราใหมีความสุข ซ่ึงเราจะตองทําใหได

การทําชีวิตใหมีความสุขนั้น ไดบอกแลววาใหดําเนินชีวิตใหถูกตองตามกฎธรรมชาติ ตอง

Page 38: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๓๒

๓๒

ถามตัวเองวาเวลาทํางาน เราตองการผลตรงกับจุดมุงหมายของงานแนหรือเปลา งานทุกชนิดที่ทํามีจุดหมายของมันแนนอน เราตองถามตัวเองวา เราตองการผลอยางนั้นไหม ถาเราสรางความตองการผลของงานที่ตรงตามเหตุได ก็สําเร็จไปขั้นหนึ่งแลว เราก็จะไดความสุขขั้นหนึ่ง แตเร่ืองยังไมจบเทานั้น

ถาไมลืมธรรมชาติตัวเองของมนุษยจะยิ่งพบโอกาสที่จะพัฒนาความสุข

ลึกเขาไปอีก เรามาดูธรรมชาติของมนุษยสักดานหนึ่ง ธรรมชาติของมนุษยนี้เกี่ยวกับเรื่องความสุขดวย ถาเราไมปฏิบัติใหถูกตองตามธรรมชาติของมนุษย เราก็จะพลาด เมื่อกี้ไดพูดถึงธรรมชาติของกิจกรรมการงานของมนุษยวา การ

Page 39: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๓๓

๓๓

ทํางานไมวางานอะไรก็ตองมีจุดหมาย ทีนี้มองลึกลงไปถึงธรรมชาติของมนุษย ธรรมชาติของมนุษยคืออยางไร

พระบอกไววา มนุษยเปนสัตวที่ตองฝกและฝกได ทําไมพระจึงวาอยางนี้

สัตวมีหลายชนิดมากมาย สัตวชนิดอื่นอยูในโลกไป เขาอยูไดดวยสิ่งที่เราเรียกวาสัญชาตญาณ คือมีชีวิตเปนอยูได เดินเหิน หากิน ตอสู หนีภัย ทําอะไรตางๆ ไดโดยสัญชาตญาณ ไมตองเรียนรูมาก สัตวหลายชนิดทีเดียว พอออกจากทองแมก็เดินไดแทบจะทันที เชนหาน พอออกจากไข ก็เดินไดวันนั้นทันที วิ่งไดทันที วายน้ําไดทันที และตามแมไปหากินไดทันที แตมนุษยนี้พอออกจากทองแมยังชวยตัวเองไมไดเลย ตองมีผู

Page 40: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๓๔

๓๔

อ่ืนคอยดูแล ปหนึ่งก็แลว สองปก็แลว สามสี่หาปก็แลว ยังชวยตัวเองใหอยูรอดไมได

มนุษยนี้วาโดยสัญชาตญาณ เปนสัตวที่เสียเปรียบและดอย ระหวางเวลานานปที่ยังดําเนินชีวิตเองไมไดนั้นทําอยางไร มนุษยก็ตองเรียนรู ฝกฝนพัฒนาตนเอง ตั้งแตเกิดมามนุษยตองเรียนรูทุกอยาง ไมวาจะกิน จะนอน จะยืน จะเดิน จะขับถาย ก็ตองเรียนรูทั้งนั้น ตองฝกฝนหัดมาจึงจะอยูได

รวมความวา การดําเนินชีวิตของมนุษยนี้แปลกจากสัตวทั้งหลายอื่นๆ มนุษยไมไดมาเปลาๆ แตตองลงทุน ดวยการเรียนรูฝกหัดเอา ซึ่งตองใชเวลามาก มนุษยจึงเสียเปรียบที่วาสัตวทั้งหลายอื่นมีสัญชาตญาณชวยตัวเองได ไมตองลงทุนมาก แตมนุษยตองลงทุน ดวยการเรียนรู ฝก

Page 41: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๓๕

๓๕

ฝนตัวเอง แตมองอีกดานหนึ่ง ขอเสียเปรียบของมนุษยนี้ ก็กลายเปนขอไดเปรียบ กลาวคือ การฝกฝน เรียนรู พัฒนาตัวเองไดนี่แหละ ที่ทําใหมนุษยกลายเปนสัตวที่ประเสริฐเลิศที่สุด

พอมนุษยรูจักเรียนรูและฝกฝนตัวเองแลว ไมวาอะไรก็จะทําไดหมด จนกระทั่งสัตวทั้งหลายอื่น ไมมีชนิดไหนสูได สัตวทั้งหลายอื่นอยูไดดวยสัญชาตญาณ แตมันมีสัญชาตญาณอยางไรก็ไดแคนั้น เกิดมาอยางไร จนกระทั่งตายก็ไปอยางนั้น หรือเกิดมาอยางไรก็ตายไปอยางนั้น มีขีดจํากัดแคสัญชาตญาณ แตมนุษยนี้พอเกิดแลวกวาจะตาย สามารถฝกขึ้นไป ไมรูจักจบ ตางจากสัตวอ่ืนๆ ที่เกิดมาอยางไรก็ตายไปอยางนั้น แตมนุษยฝกอยางไรไดอยางนั้น อยูที่วาจะตองการฝกหรือไม นี่แหละความสามารถของมนุษย

Page 42: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๓๖

๓๖

เราจะเห็นวา มนุษยไดพัฒนาสติปญญาความสามารถขึน้มาจนปรงุแตงสรางสรรคประดษิฐสิ่งตางๆ ไดมากมาย มีวัตถุอุปกรณเทคโนโลยีสารพัด จนกระทั่งโลกมนุษยกลายเปนโลกพิเศษตางหากจากธรรมชาติ แลวมนุษยก็ดําเนินชีวิตอยูในโลกของมนุษยนั้น จนบางทีก็เลยหลงลืมโลกเดิมของธรรมชาติไป ดังเชน บางคนอยูในโลกมนุษยไปตลอดวันๆ โดยไมเห็นโลกธรรมชาติเลยวันหนึ่งๆ ออกจากบานนั่งรถยนตผานถนนตึกอาคารไปทํางาน กลับจากที่ทํางานก็นั่งรถยนตไปบาน เขานอนในหองปรับอากาศ ดูทีวี อยูกับเทคโนโลยี ที่เปนโลกมนุษยโดยไมเห็นธรรมชาติเลย จนไปๆ มาๆ ก็เลยไมรูตัววาไดแปลกแยกไปจากโลกธรรมชาติ

Page 43: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๓๗

๓๗

ความสามารถพิเศษของมนุษยอยูที่วาเราฝกฝนตนเองเรียนรูแลวสามารถสรางสรรคอะไรตางๆ ได มนุษยเปนสัตวประเสริฐดวยการฝก แตถามนุษยไมมีการฝก ไมมีการเรียนรูแลวจะเปนสัตวที่แยที่สุด

เรามักพูดกันวามนุษยเปนสัตวประเสริฐ แตพระทานวาไมถูกหรอก เปนการพูดไมครบ คําพูดที่ถูกตอง คือ “มนุษยเปนสัตวที่ประเสริฐดวยการฝก ถาไมฝกแลวหาประเสริฐไม” จะสูสัตวอะไรอื่นไมไดเลย เพราะฉะนั้น ถาวาโดยสัญชาตญาณแลวมนษุยเปนสตัวทีด่อยทีส่ดุ มนษุยจะดเีลศิจะประเสริฐไดก็อยูที่การฝกฝนเรียนรูเทานั้น

เมื่อเรารูธรรมชาติของมนุษยอยางนี้แลว ถาเราตองการมีชีวิตที่ดีงามประเสริฐ เราก็ตองฝกตนเอง ตองสรางจิตสํานึกข้ึนมาเลยวาเราจะตอง

Page 44: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๓๘

๓๘

เปนอยูดวยการเรียนรูฝกฝนตลอดเวลา ถาเราเรียนรู ฝกฝนพัฒนาตัวเองอยางไมยอมหยุดละก็เราจะเลิศประเสริฐกวานี้อีกมาก คนจํานวนมากไม ใชหลักธรรมชาติของมนุษย อันนี้ ให เปนประโยชน ก็เลยฝกหัดอะไรๆ ดวยความจําใจ จําเปน เทาที่ตัวพออยูได

คนจํานวนมากฝกตัวพอใหมีชีวิตอยูไดเทานั้นเอง พอกินได พอพูดได พอหากินได ก็หยุดแลว ไมฝกตอ แตคนที่รูหลักอยางนี้แลวจะฝกไมหยุด เมื่อเราเรียนรู พัฒนาตัวเองอยูเสมอ ก็จะมีชีวิตที่ดีงามประเสริฐ คนที่เขาประสบความสําเร็จมากมายนั้น บางทีเขาก็ไมมีพื้นเดิมอะไรดีกวาเราหรอก แตเขาฝกตัวเองไมหยุด เรียนรูพัฒนาเรื่อยไป เขากเ็ปนเลศิได นีเ่ปนเรือ่งธรรมชาตขิองมนษุย

Page 45: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๓๙

๓๙

จําหลักของพระไวใหดีวา มนุษยเปนสัตวที่ประเสริฐดวยการฝก ฝกแลวมิใชวาจะประเสริฐกวาสัตวเดรัจฉานเทานั้น มนุษยที่ฝกดีแลวประเสริฐยิ่งกวาเทวดาและพระพรหมเสียอีก ฝกไดจนกระทั่งวาแมแตเทวดาและพระพรหมก็กลับมากราบไหวมนุษย พระพุทธเจาเปนใคร พระพุทธเจาก็เปนมนุษยนี้แหละ แตพระพุทธเจาทรงเรียนรู ฝกฝนพัฒนาพระองคมาตลอดเวลา แลวพระองคก็กลายจากมนุษยธรรมดา เปนพระพุทธเจา พอเปนพระพุทธเจาก็เปนบุคคลสูงสุด หรือแมแตพระอรหันตทั้งหลายก็เปนมนุษยที่ประเสริฐ เทวดาที่มนุษยเคยกราบไหว ก็ตองหันกลับมากราบไหวมนุษย

ฉะนั้น เราเปนมนุษย อยามัวหลงเพลิดเพลินหรือทอใจ ตองตั้งใจฝกฝนพัฒนาตนใหดีที่

Page 46: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๔๐

๔๐

สดุ แลวเราจะมคีวามประเสรฐิ เปนเลศิ จนกระทัง่เทวดาและพรหมก็หันมากราบไหว และในความเลิศความประเสริฐนั้นก็จะมีความสุขสูงขึ้นไปดวย เมื่อมนุษยเรียนรูฝกฝนพัฒนาชีวิตของตนขึ้นไปนั้น เขาก็พัฒนาความสุขขึ้นไปดวย

สรางสรรคส่ิงประดิษฐภายนอกแลวอยาลืมสรางสรรคความสุขภายในดวย

พระพุทธศาสนาเปดเผยความจริงวาความสุขมีมากมาย ความสุขมีหลายแบบ ความสุขมีหลายชั้นหลายระดับ ทั้งความสุขภายนอกภายใน ทั้งความสุขแบบแบงแยกและความสุขแบบประสาน ทั้งความสุขที่อาศัยวัตถุและไมอาศัยวัตถุ ทั้งความสุขทางรางกายและความสุขทางจิตใจ ทั้งความสุขระดับจิตและความสุขระดับ

Page 47: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๔๑

๔๑

ปญญา ทั้งความสุขแบบมัวเมาติดจมและความสุขแบบโปรงโลงผองใส

ความสามารถของมนุษยอยางหนึ่งก็คือ ความสามารถในการปรุงแตงสรางสรรคคิดคน ซึ่งสัตวอ่ืนไมมี การที่มนุษยเจริญขึ้นมามีเทคโนโลยีมีสิ่งประดิษฐตางๆ มากมาย ก็เกิดจากความสามารถของมนุษยในการปรุงแตงสรางสรรคนี่แหละ แตกวาจะออกมาเปนวัตถุปรุงแตงสรางสรรคได ตนเดิมมันมาจากไหน มันก็มาจากในใจของเรา คือ ใจที่มีสติปญญา เร่ิมดวยใชปญญาคิดปรุงแตงขางในแลวจึงแสดงออกมาเปนการปรุงแตงประดิษฐวัตถุ สรางสรรควัตถุขางนอกไดจนกระทั่งเปนคอมพิวเตอรและดาวเทียม ก็เกิดจากความคิดในใจเปนจุดเริ่ม

Page 48: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๔๒

๔๒

ทีนี้ความคิดของเรานี่นะ นอกจากปรุงแตงสรางสรรควัตถุขางนอกแลว อีกอยางหนึ่งก็คือปรุงแตงสุขปรุงแตงทุกขขางใน เราไมรูตัวหรอกวาเราใชความสามารถนี้ตลอดเวลา ดวยการปรุงแตงความสุข และปรุงแตงความทุกข จริงไหมวาที่เราทุกขเราสุขกันนี้ สวนมากเปนสุขและทุกขที่เราปรุงแตงขึ้นเอง ไมเหมือนกับสัตวอ่ืน

สัตว อ่ืนนั้นไม รูจักความทุกขความสุขมากเหมือนมนุษย มันมีความสุขความทุกขที่เกิดจากทางกาย ไดกินอาหาร ไดหลับนอนพักผอนหรือตอสูหนีภัยอะไรๆ ก็ตามประสา แตความสุขความทุกขทางใจที่เกิดจากการคิดปรุงแตงมันไมมี เราจะเห็นวาสัตวกลุมใจไมเปน สัตวมันเครียดไมเปน เครียดไดแตเร่ืองที่สืบเนื่องจากทางกายไมเหมือนมนุษย

Page 49: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๔๓

๔๓

มนุษยนี้ปรุงแตงสุขทุกขในใจกันมากมายพสิดาร ปรุงแตงทกุขใหกลุมใหกงัวลใหเครยีดจนกระทั่งเสียจิตไปเลย สัตวอ่ืนปรุงแตงใจใหเปนบาไมได แตมนุษยปรุงแตงจิตใจจนกระทั่งกลายเปนบาไปก็มี มนุษยมีความสามารถนี้อยูมากมายนัก แตนาเสียดายที่มนุษยใชความสามารถนี้ไปในการปรุงแตงทุกขมากกวาปรุงแตงสุข มีอะไรมากระทบตากระทบหู ไมสบายใจนิดหนอย ก็เก็บเอามาปรุงแตงตอเสียยืดยาวใหญโต เวลาอยูวางๆ แทนที่จะปรุงแตงสุข ก็ปรุงแตงทุกข เอาเรื่องที่ไมดีมาวาดเปนภาพ ทําใหเกิดความรูสกึกลุมใจกงัวล มคีวามโกรธเคยีดแคนตางๆทาํใหมคีวามทกุขมากมาย แสดงวามนษุยสวนมากใชความสามารถไมถูกทาง จึงเปนโทษแกตนเอง

Page 50: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๔๔

๔๔

ทีนี้ถามนุษยฝกตัวใหใชความสามารถนั้นใหถูก เขาก็จะปรุงแตงความสุขไดมากมายมหาศาล

ในทางพระพุทธศาสนาทานแนะนําใหเราปรุงแตงความสุข ทานสอนวิธีทําใจหรือฝกจิตฝกใจ และบอกวิธีใชปญญามากมาย อยางเชน การบําเพ็ญสมาธิตางๆ ก็คือวิธีปรุงแตงจิตใจนั่นเอง แตเปนการปรุงแตงใหเปนสุข ในการมองโลก แมแตสิ่งเดียวกัน ถาเรามองไมเปน ก็เปนเร่ืองรายเกิดทุกข แตถามองเปน ก็กลายเปนดีเปนสุขไปได

ขอเลาเรื่องพระทานหนึ่งที่เปนเพื่อนกันตอนเรียนหนังสือที่มหาจุฬาฯ ในวัดมหาธาตุ ทาพระจันทร เวลาชั่วโมงวางไมไดเรียนหนังสือ ทานจะมองไปที่ทาพระจันทรซึ่งมีผูคนเดินผานไปผานมาขวักไขวจํานวนมาก ทานมองไปมองมา แลวก็

Page 51: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๔๕

๔๕

นั่งหัวเราะ อาตมาก็ถามวาหัวเราะอะไร ไมเห็นมีอะไร ทานบอกวา มองไปเห็นผูคนเดินไปเดินมาทาทางรูปรางเครื่องแตงกาย เสื้อผาสีสันตางๆ กันคนนั้นเดินอยางนี้ คนนี้เดินอยางนั้น ดูแลวขําทานก็เลยหัวเราะ นี่ก็เปนวิธีมองโลกอยางหนึ่ง

บางคนมองอะไรก็เห็นนาขําไปทั้งนั้น บางคนมองเหน็อะไรกรู็สึกขดัห ู ดขัูดตาไปทกุอยางบางคนไมมีอะไรก็นั่งกังวล ไมสบายใจ ทุกขไปหมด นี้เปนตัวอยางงายๆ ของการปรุงแตงจิตใจเราตั้งทาทีของจิตใจอยางไรก็สรางจิตใจใหเปนอยางนั้น สุข-ทุกขก็เกิดตามมา

ในชีวิตประจําวัน เมื่อทํางานทําการ เราก็มองโลก เราก็มองคนที่พบเห็นมาหาไปหา เชนเปนแพทยเปนพยาบาลกม็องคนไขไปดวย เราตอง

Page 52: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๔๖

๔๖

เกี่ยวของกับผูคนทั่วไป กับผูรวมงาน เราจะตองหดัมองใหเปน อยามองในแงทีก่ระทบหกูระทบตา

วิธีมองใหไมเกิดโทษมีหลายอยาง อยางนอยก็ควรมองเห็นวาเปนประสบการณแปลกๆ ในวันหนึ่งๆ เราพบเห็นผูคนมีกิริยาอาการตางๆมากมาย คนนั้นลักษณะอยางนั้น คนนี้ลักษณะอยางนี้ เราก็มองในแงที่วา เปนสิ่งที่ไดรูไดเห็นเปนประสบการณหลากหลาย เปนขอมูลความรูอยาเก็บมาเปนอารมณ เราอาจจะสบายใจหรือพอใจวานี่เราไดรูเห็นรูจักโลกมากขึ้น โลกเปนอยางนี้ เมื่อเราทําใจอยางนี้ สิ่งที่พบเห็นก็ไมกระทบหู ไมกระทบตา ไมกระทบใจ เราก็สบายใจแตไมแคนั้น ยังดีกวานั้นอีกคือเราไดความรูดวย

Page 53: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๔๗

๔๗

พอเห็นงานและปญหาเปนเวทีพัฒนาตนงานก็ยิ่งไดผล และคนก็ยิ่งเปนสุข

ยิ่งกวานั้นก็คือ เราไมใชไดความรูขอมูลเฉยๆ ดังไดกลาวแลววา มนุษยเราเปนสัตวที่เกงในการเรียนรู และเราเปนสัตวประเสริฐไดดวยการเรียนรู เราจึงควรหัดมองใหไดประโยชนสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่งคือ มองเปนการเรียนรูที่จะไดฝกฝนพัฒนาตน

เราอยูในโลกนี้ ถาเรารูจักมอง เราก็ไดตลอด การไดที่ประเสริฐก็คือไดเรียนรูแลวจะไดนําไปใชพัฒนาตน งานการที่ทําก็เปนเวทีพัฒนาตัวเราเอง แมแตประสบการณทั่วๆไปก็เปนประโยชนในการพัฒนาชีวิต

งานการเปนเครื่องพัฒนาตัวเราอยางไร คนเรานี้ที่ไดพัฒนาความรูความสามารถ สวน

Page 54: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๔๘

๔๘

มากก็มาจากการงานที่ทํานี่แหละ ไดพูดแลววาการงานที่เราทําเปนชีวิตสวนใหญของเรา คนเราแตละคนกวาจะโตมาก็ไดเรียนรูจากสิ่งที่ตัวเองไดทาํนีแ่หละ ดงันัน้ ถาเราตัง้ใจฝกตวัจากงาน เราก็จะไดความรูความสามารถตลอดจนความชาํนาญมากมาย

นอกจากนั้น การพัฒนาทางจิตใจเราก็ไดดวย เพราะเมื่อทํางานไป เราก็ไดฝกความขยันความเพียร ความอดทน ความรูจักรับผิดชอบ ไดพัฒนาคุณธรรมตางๆ ตลอดจนไดรูจักการอยูรวมกับผูอ่ืน รูจักทํางานรวมกัน และเราก็พัฒนาสติปญญาไปดวย ไดทั้งความรูในตัวงาน การรูจักคิดแกไขปญหา การจัดการหรือดําเนินงานตางๆตลอดจนความรูจักเขาใจโลกและชีวิต ทุกอยางนี้

Page 55: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๔๙

๔๙

เราเรียนรูและฝกหัดอยูตลอดเวลา แตก็จะใหไดผลจริง เราจะตองตั้งใจ และทําดวยความรูเขาใจ

ดวยวิธีนี้เราก็ใชงานเปนเวทีฝกตัวเอง แลวเราจะรูสึกวาเราเดินหนากาวไปเรื่อยๆ พรอมกันนั้น นอกจากสุขจากการทํางานเพื่อผลของมันเราก็จะมีความสุขกับการพัฒนาตัวของเราเอง

เพราะฉะนั้น คนที่ฉลาดก็ใชธรรมชาติของชีวิตมนุษยใหเปนประโยชน เขาจะมองในแงที่วาตองใชงานเปนเวทีฝกฝนพัฒนาตัวเอง หรือเปนเวทีแหงการเรียนรู เมื่อเขามองงานเปนสนามฝกชีวิต หรือเปนเวทีพัฒนาตน ก็หมายความวาเขาชอบพัฒนาตน หรืออยากฝกตัว

เมื่อเขาทํางาน เขาก็ไดสนองความตองการในการฝกตนนั้น เมื่อความตองการในการฝกตนนั้น เมื่อความตองการไดรับการสนอง

Page 56: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๕๐

๕๐

เขาก็มีความสุข เพราะฉะนั้น เขาก็จะมีความสุขไปดวยในการทํางานที่ทําใหเขาไดพัฒนาตัวเอง ซึ่งเปนความสุขที่มีไดตลอดเวลาในชีวิตประจําวัน

ยอนกลับไปถามวา ชีวิตที่ดี คือ ชีวิตอยางไร? ก็คือชีวิตที่มีโอกาสไดฝกฝนตนมากๆ คนที่ทํางานควรดีใจวาเราเปนคนที่มีโอกาสฝกตัวเอง เพราะฉะนั้น จึงควรใชโอกาสนั้นใหเปนประโยชนดวยการฝกเรียนรูไปเร่ือยๆ ซึ่งเปนการหาความสุขจากการทํางานไปดวยในตัว

เปนอันวา การทํางานโดยดําเนินชีวิตใหถูกตองตามกฎธรรมชาติ คือตองการผลที่ตรงตามเหตุซึ่งเปนตัวงานแทๆ ก็ทําใหไดความสุขการมองงานเปนเวทีที่พัฒนาชีวิตของตนเอง เปนที่เรียนรู ก็ทําใหไดความสุข แมแตการพบเห็นผูคน เชนเห็นคนไขมา แลวมองในแงที่เปนการเรียน

Page 57: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๕๑

๕๑

รู วาผูคนตางๆ กัน บางคนมีความสุข บางคนมีความทุกข แตละคนมีจริตนิสัยใจคอตางๆ กันเนื่องจากเขาฝกฝนอบรมหรือพัฒนาตัวเองมาตางกัน หรือมีประสบการณตางๆ กัน มองเปนเร่ืองของการไดเรียนรูทั้งหมด พอไดรูสึกวาเรียนรูแลวก็สบายใจ และยังเปนขอมูลแงคิดที่จะเอาไปใชประโยชนตอไปไดดวย

นอกจากนั้นก็มองตามเหตุปจจัย คือไมมองเขาหาความชอบใจไมชอบใจของตัวเอง เรียกวาไมมองเขามากระทบตน หรือไมสรางตัวตนขึ้นมารับกระทบ

คนเราที่มีทุกขสวนมากเปนเพราะคอยมองเขาหาตัวเอง พอมีอะไรเกิดขึ้นก็รูสึกกระทบตัวเองไปหมด เพราะมีความชอบใจและไมชอบใจเปนพื้นที่จะใชตัดสินอยูขางใน ถาเราไม

Page 58: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๕๒

๕๒

มองแบบเอาเขามากระทบตัวตนของเรา ไมวาจะเห็นภาพเห็นอาการที่นาชอบใจหรือไมนาชอบใจ ก็มองแคเปนเรื่องที่ไดเรียนรูทั้งนั้น แลวก็มองไปตามเหตุปจจัย ตามเรื่องของมัน ตามหลักความจริงที่วาสิ่งทั้งหลายเปนไปตามเหตุปจจัย ก็มีแตไดประโยชน และปญหาก็ไมเกิดขึ้น

คนไขหนาบึ้งมา ก็มองใหเปนไปตามเหตุปจจัย อยามองกระทบตัวเอง ถามองกระทบตัวเองก็คือมองตามชอบใจ ไมชอบใจ เมื่อเห็นคนไขหนาบึ้งมา มองแลวไมถูกตา ไมถูกใจก็จะเกิดปฏิกิริยาเชนโกรธเขา หรือแสดงกิริยาวาจาโตตอบ เปนปญหาทันที

แตถาเห็นคนไขหนาบึ้งมา เขาพูดไมดีเราไมมองเขามาหาตัวเราที่ชอบใจหรือไมชอบใจ แตมองตามเหตุปจจัย เราก็มองที่ตัวเขาตอไป

Page 59: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๕๓

๕๓

แลวความคิดเชิงปญญาก็จะตามมาวา โอ! คนไขคนนี้อาจจะยากจนนะ เขาอาจจะมีปญหาครอบครัว มีเร่ืองที่บาน อาจจะมีปญหากับสามี หรือภรรยา หรือมีปญหาเปนหวงลูก หรือเขาหวงกังวลเรื่องการเงิน หรือเขามีเร่ืองลําบากทุกขใจอยางใดอยางหนึ่ง เหตุปจจัยของการหนาบึ้งนั้นอยูที่ตัวเขาไมเกี่ยวกับเรา เราตองพยายามคิดคนหาเพื่อชวยเขาแกปญหา ถาสงสัยก็อาจสอบถามวาคุณมีปญหาอะไร มีความลําบาก หรือกังวลใจอะไรหรือเปลา เมื่อถามก็จะไดความรู เมื่อรูแลวก็จะเกิดความสงสารเห็นใจเขา แลวก็ชวยเหลือปลดเปลื้องบรรเทาทุกขใหเขา

ถาไมมองแบบกระทบตนแลว นอกจากสบายใจ ก็ยังกลายเปนวา จะสามารถชวยแกปญหาใหแกผูอ่ืน พรอมกับตัวเองก็ไดคุณธรรม

Page 60: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๕๔

๕๔

คือเมตตากรุณาขึ้นมาดวย การมองอยางนี้จึงเปนการศึกษาตลอดเวลา เมื่อศึกษาก็ไดปญญา เมื่อไดปญญาก็แกปญหาได ปญหานั้นคูกับปญญาถาใครไมรูจักปฏิบัติตอปญหา เขาก็ไดความทุกขพอเจอปญหาก็หงุดหงิดงุนงานวาปญหามาแลว กเ็กดิความไมสบายใจ กก็ลายเปนความทกุขข้ึนมา

คนที่มองวาชีวิตของเราคือการฝก พอเจอปญหาแลวสูปญหาไมถอย ก็จะไดฝกตนเพราะการสูปญหาทําใหเกิดปญญา การสูปญหาคือการมีความเพียรพยายามที่จะแกปญหา ซึ่งทําใหคดิคนขวนขวาย เมือ่คิดหาทางแกปญหา ปญญาก็พัฒนาขึ้นมา พอสูปญหาก็เกิดปญญา พอไดปญญาก็หมดปญหา จึงเปนการพัฒนาตัวเองยิ่งขึ้น

Page 61: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๕๕

๕๕

คนที่ประสบความสําเร็จในชีวิตนั้นมักประสบความสําเร็จจากการสูปญหา โดยเฉพาะการเผชิญปญหาที่ยากหรือสูส่ิงที่ยาก เมื่อพยายามแกไข เขาก็พัฒนาตัวเองใหมีความสามารถยิ่งขึ้น เขมแข็งยิ่งขึ้น รูเขาใจเกิดปญญายิ่งขึ้น จนกระทั่งประสบความสําเร็จ

ถาใครไมเคยประสบปญหา ไมเคยพยายามแกปญหา ชีวิตจะเจริญพัฒนาไดอยางไรคนที่คิดจะเอาแตสบาย ไมสูปญหา ไมสูสิ่งที่ยากก็อยูอยางเดิมเทานั้นแหละ อยางคนที่ชอบทําแตงานงายๆ เขาจะพัฒนาตัวเองไดอยางไร เขาอยูอยางไรก็ไดแคนั้น แตคนที่สูปญหา สูสิ่งยาก จะไดพัฒนาตัวเองตลอดเวลา

ฉะนั้น คนที่มีจิตสํานึกในการศึกษา หรือมีจิตสํานึกในการฝกตน จะมองปญหาหรือส่ิงที่

Page 62: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๕๖

๕๖

ยาก เปนเวทีฝกตัวเอง ถาเราพยายามฝกตัวอยางนั้น เราจะรูสึกวาเราไดจากปญหา ไดจากสิ่งที่ยาก พอรูสึกวาเราจะได เชนจะไดฝกตัว จะไดความรูความสามารถ จากปญหา หรือจากสิ่งที่ยากนั้น เราจะเกิดความพอใจ และยินดีที่จะเผชิญปญหาและสิ่งที่ยากนั้น ใจที่ยินดีข้ึนมาก็จะทําใหเต็มใจและตั้งใจทํางาน จึงทําใหมีความสุขดวย และการทํางานก็ไดผลดวย

แตคนที่ไมสูปญหา จะแย เขาจะเจอแตความทุกข พอเจอปญหาก็ทอใจ พอทอใจตัวเองก็มีความทุกข ก็เลยจําใจฝนใจทําสิ่งนั้นดวยความทุกข และเมื่อจําใจฝนใจก็ทํางานนั้นไมไดผลดวยตรงขามกับคนที่สูปญหา มีจิตสํานึกในการฝกตนพอเจอสิ่งที่ยากก็บอกวา เออ ดี คราวนี้เราจะไดมาก คําวา “ยิ่งยากยิ่งไดมาก” เปนคติของนัก

Page 63: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๕๗

๕๗

ฝกตน คนที่ฝกตนบอกวา “ย่ิงยากยิ่งไดมาก” นี่เปนความจริง เพราะอะไรที่ยาก กวาจะทําไดสําเร็จเราก็ไดพัฒนามากมาย

คนที่มีคติวายิ่งยากยิ่งไดมาก พอเจอสิ่งที่ยากจะเกิดความชอบใจยินดีเพราะอยากจะเจออยูแลว เมื่อยินดีที่จะเจอก็เกิดความเต็มใจ แลวก็เกดิความสขุ กลายเปนวามคีวามสขุทีไ่ดเจอปญหาหรือเจอสิ่งที่ทําไดยาก และเมื่อเต็มใจทําก็ทําดวยความสุข แลวก็ทําไดดีดวย จึงประสบความสําเร็จเพราะทําดวยความเต็มใจและตั้งใจทํา พูดไดวาถาใครมีจิตใจอยางนี้ งานก็ไดผล คนก็เปนสุขความสุขของคน กับความไดผลของงาน ประสานกลมกลืนอุดหนุนกัน ไมขัดแยงกันเลย

เพราะฉะนั้น คนเราจะตองมีจิตสํานึกในการฝกฝนตนเอง ใฝใจศึกษาชอบพัฒนาตนเอง

Page 64: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๕๘

๕๘

โดยถือเปนหลักประจําใจไววา มนุษยเปนสัตวที่ประเสริฐดวยการฝก เราจะอยูไปตามสัญชาตญาณเหมือนสัตวชนิดอื่นไมได สัตวชนิดอื่นอยูไดดวยสัญชาตญาณ มันไมตองลงทุน มันไมตองเรียนรู แตมันก็เสียเปรียบ เพราะมันมีสัญชาตญาณอยางไรจนตายก็ไดแคนั้น ตางจากมนุษยซึ่งเร่ิมจากจุดที่ไมมีอะไรเลย แตเพราะมีการเรียนรูไดฝกฝนพัฒนาตัวเอง กวาจะตาย จึงเปลี่ยนแปลงไปมากมาย บางคนประสบความสําเร็จยิ่งใหญ สามารถชวยเหลือใหมนุษยอ่ืนพลอยมีความสุขไปดวย เปนจํานวนลาน จํานวนแสน แตถาไมฝกตน มนุษยนี้จะกลับเปนโทษยิ่งกวาสัตวชนิดอื่น เปนสัตวชนิดเดียวที่สามารถสรางทุกขและความเดือดรอนแกผูอ่ืนเปนแสนเปนลานหรือหลายสิบลานทีเดียว

Page 65: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๕๙

๕๙

ความเปนมนุษยนี้จึงอยูที่การฝก หรืออยูที่การศึกษาแทๆ เราจึงควรนําเอาหลักการนี้ซึ่งเปนความจริงตามธรรมดาของธรรมชาติมาใชใหเปนประโยชน โดยเอาการทาํงานเปนเวทฝีกศกึษาพัฒนาตน พรอมทั้งมองปญหาเปนที่ทํางานของปญญาวา ปญหาคูกับปญญา ถาเจอปญหาเราตองพลิกผันมันใหเปนปญญา เราตองเปลี่ยนปญหาใหเปนปญญา คนผูใดเปลี่ยนปญหาใหเปนปญญาได คนนั้นเกงมาก เขาจะประสบความสําเร็จ เพราะคนไดปญญาจากการสูปญหานี้เอง

สรุปวา เคล็ดลับในการสรางความสุขและความเจริญกาวหนาก็คือ เราจะตองเปลี่ยนปญหาใหเปนปญญา หลักขอนี้ใหจําไวเลย เมื่อถือหลักนี้แลว ตอไปเราจะเห็นคุณคาของงานมากขึ้น

Page 66: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๖๐

๖๐

ทํางานคือไดสรางสรรคประโยชนจึงยิ่งสุขที่รูสึกวาชีวิตมีคุณคา

งานสุจริตทุกอยางมีคุณคา เพราะมีจุดหมายที่ดีงามเปนประโยชน เปนธรรมดาวา งานทกุอยางทีม่ข้ึีนในสงัคม กเ็พือ่แกปญหาของมนษุยหรือเพื่อสรางสรรคอยางใดอยางหนึ่ง เชน มีงานทําสวนก็เพื่อใหตนไมเจริญงอกงาม สรางความรมร่ืน ใหสถานที่มีบรรยากาศดี ชวยใหผูคนมีความสุข เปนที่พักผอนหยอนใจ อยางนอยก็เปนปอดของชุมชน งานทุกอยางมีจุดหมายที่มีคุณคาฉะนั้นเวลาทํางานก็ควรมองงานดวยจิตสํานึกในคุณคา

การมองเห็นคุณคาของงานทําใหรักงาน อยากทํางาน และเมื่อทําสําเร็จ มองเห็นคุณคาหรือประโยชนเกิดขึ้น เราก็จะมีความสุข และจะรู

Page 67: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๖๑

๖๑

สึกวาชีวิตของเรามีคุณคาซึ่งทําใหมีความสุขชนิดที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก คนที่ทํางานแลวเกิดผลสําเร็จตามความมุงหมายของงานและเหน็คณุคาแหงชวีติของตัวเอง เวลาระลึกขึ้นมาเขาจะรูสึกไมอางวางไมเหมือนคนที่มุงความสุขอยางเดียวจากการเสพวัตถุ เวลาทํางานไมไดนึกถึงเลยวา เราจะทําชีวิตใหมีคุณคาอยางไร กวาจะนึกได เวลาผานไปหลายสิบป พอนึกถึงชีวิตของตนขึ้นมา ก็จะรูสึกอางวางวาเหว

ความสุขจากการเสพบริโภควัตถุนั้นพึ่งไดไมนาน ในที่สุดแมกระทั่งรางกายจะพึ่งความสุขจากวัตถุเสพภายนอกก็ไมไดจริงจังยาวนานอะไร เพียงแคเวลาเจ็บไขไดปวย อาหารที่เคยอรอยก็ไมอรอย ส่ิงที่บําเรอตาบําเรอหู ก็ไมมีความหมาย ยิ่งถึงเวลาแกเฒาลงไป อินทรียตางๆ

Page 68: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๖๒

๖๒

ที่เคยเสพความสุขจากวัตถุ ไมวาตา หู จมูก หรือลิ้น ก็เสื่อมลงไป หมดความหมาย แลวถึงตอนนั้นจะอยูเพื่ออะไร

ถาไมพัฒนาจิตใจใหมีความสุข ชนิดที่เปนอิสระจากวัตถุบาง จะมีชีวิตที่งอนแงนมาก พอแกเฒาหรือเจ็บไข จะวาเหวอางวางทุรนทุรายเต็มไปดวยความทุกข เพราะฉะนั้นตอนที่ยังหนุมยังสาวยังทํางานทําการได จึงควรรีบพัฒนาตัวเอง ทําใหเกิดความสุขภายในที่เปนอิสระ ซึ่งมีทางพัฒนาไดหลายอยาง เร่ิมจากใกลตัวคือใหมีความสุขตลอดเวลาจากการทํางาน ตอจากนั้นเมื่อทํางานไปมองเห็นคุณคาของงานเกิดขึ้น รูสึกขึ้นมาวาชีวิตของเรามีคุณคาจากการทํางานนั้น ก็เกิดมีปติมีความสุขในการทํางานที่สําเร็จผล เกิดคุณคาขึ้นมานั้น

Page 69: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๖๓

๖๓

ยิ่งงานของแพทยพยาบาลและทานที่เกี่ยวของกับการบําบัดโรคนี้ เปนงานที่มีคุณคาอยางยิ่ง เพราะมีความหมายเทากับชีวิตของเพื่อนมนุษย การทํางานคือการไดชวยเหลือเพื่อนมนุษย ไมวาจะชวยทางตรง หรือทางออมก็ตาม ก็เปนการทําใหชีวิตของเพื่อนมนุษยดีขึ้น ชวยใหเขาหายปวย หายทุกขทรมาน พรอมกันนั้นเมื่อชวยชีวิตหรือสุขภาพของคน ก็หมายถึงการชวยสังคมดวย เพราะประเทศชาติก็อาศัยทรัพยากรมนุษย คือพลเมืองที่มีสุขภาพดีรางกายแข็งแรงจึงเทากับชวยกันพัฒนาประเทศชาติดวย โดยเฉพาะงานของคนที่อยูในวงการแพทยพยาบาล รวมทั้งทานที่เปนพนักงานชวยเหลือเกี่ยวกับการเจ็บไขนี้ เปนงานที่มีคุณคาสูงสุด เพราะไมมีอะไรจะมีคุณคาสูงสุดเทาชีวิตคน

Page 70: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๖๔

๖๔

เรามักจะมองโลกในยุคปจจุบันนี้ เปนเร่ืองของเงินทอง จริงอยูเงินทองเปนสิ่งมีคามากจนกระทั่งเราพูดกันวา เวลาเปนเงินเปนทอง อันนั้นก็จริงอยูสวนหนึ่ง แตที่จริงแทแนนอนนั้นเวลามีคายิ่งกวาเงินทอง เพราะเวลามีคาเปนชีวิตของเรา เพราะฉะนั้น จะตองคิดใหมากวาชีวิตทุกขณะที่ผานไป เราไดอะไรดีขึ้นหรือเปลาชีวิตของเรานี้มีความสุขแทที่มีความหมายมากขึ้นหรือไม แตนอกจากนั้นมันยังหมายถึงชีวิตของผูอ่ืนดวย

โดยเฉพาะงานของแพทยพยาบาลและเจาหนาที่โรงพยาบาลเปนงานที่ชวยเหลือชีวิตของเพื่อนมนุษย เพราะฉะนั้นเวลาจึงมีคาเปนชีวิตของเพื่อนมนุษยดวย เมื่อทํางานจึงตองระลึกใหตระหนักวา ทุกขณะที่ผานไปนี้มีความ

Page 71: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๖๕

๖๕

หมายเปนความอยูรอดหรือไมของเพื่อนมนุษย ถาเราทาํงานไดดกีจ็ะชวยชวีติของเขาได และชวีติของเราเองกไ็ดพฒันาไปดวย เราจะไดทัง้สองอยาง

เมื่อมองลึกลงไปอยางนี้ งานของคนจึงมี๓ ขั้น คนประเภทที่ ๑ คิดถึงแตเร่ืองเงินทองอยางเดียว บางทีก็ทําลายทั้งชีวิตของคนอื่น และทําลายชีวิตของตนเองไปดวย เพราะยิ่งอยูไปๆชีวิตก็ยิ่งหมดคุณคา คนประเภทที่ ๒ ไมคิดอยูแคเงินทอง เขาเอาเงินทองเปนสวนประกอบ แลวมองลึกลงไปถึงคุณคาของชีวิต เมื่อเวลาผานไป ก็พยายามทําชีวิตใหมีคุณคามีความหมายมากขึ้น ตอจากนั้นพัฒนาอีกขั้นหนึ่ง คนประเภทที่ ๓นอกจากคํานึงถึงชีวิตของตนเองแลว ยังคิดถึงชีวิตของเพื่อนมนุษยดวย ฉะนั้น เราจะตองทํา

Page 72: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๖๖

๖๖

การงานของเราซึ่งทั้งคูและแขงกับกาลเวลา ใหมีคุณคาอยางแทจริง

ถาเรามีความรูสึกอยางนี้ เราก็จะมองเห็นความสําคัญในงานอาชีพของเรา วามีความหมายเปนชีวิตของเพื่อนมนุษย เมื่อเราทํางานไปเราก็ไดชวยเหลือชีวิตของเพื่อนมนุษย และชวยเหลือสังคมใหเจริญงอกงามไปดวย เราจะมีความสุขความอิ่มใจจากการทํางาน ซึ่งเปนที่หวังพึ่งของสังคม

รกัษาอสิรภาพไวท้ังไดงานท้ังมภีมูคิุมกนัทกุขและเปนฐานใหสุขยิ่งงอกงาม

ถาทําอยางที่กลาวมาขางตน เราก็จะพฒันาชวีติของเราใหดงีามยิง่ขึน้ ซึง่หมายถงึพฒันาความสขุไปดวย ทาํใหชองทางทีจ่ะมคีวามสขุมมีาก

Page 73: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๖๗

๖๗

ขึ้น ถึงตอนนี้ความสุขทางดานวัตถุและความสุขทางดานจติใจจะมาประสานกนั ประสานอยางไร?

ความสุขทางวัตถุเราก็ยังตองการอยู เราไมปฏิเสธ แตความสขุทางวตัถนุัน้ถาวางใจไมเปนก็อยางที่บอกเมื่อกี้แลววา ตอไปความสามารถที่จะมีความสุขของเราอาจจะลดนอยลงไป และเพื่อใหมีความสุขเทาเดิมเราจะตองมีวัตถุเสพบริโภคใหมากขึ้น จนกระทั่งถึงขั้นหนึ่งเราอาจจะหมดความสามารถที่จะมีความสุข ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ไมวาจะมีวัตถุเทาไรก็ไมสามารถมีความสุขได

ความสุขทางวัตถุนี้จะตองวางใจและใชปญญาใหถูก ถาวางใจเปน ไมวาจะมีนอยมีมาก เราก็มีความสุขได เราจะตองฝกตัวใหมีความสุขไดจากวัตถุเสพที่นอยที่สุด ถาทําอยางนั้นได เราจะเกง แมแตมีวัตถุนอยเราก็ยังสุขได

Page 74: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๖๘

๖๘

ถามีวัตถุมากเราจะสุขแคไหน แตคนที่ไมฝกตนเองก็จะกลายเปนวาถาจะใหเขามีสุข เขาจะตองมีวัตถุมากขึ้นๆ จนในที่สุด มีเทาไรก็ไมมีสุข ก็เลยหมดสุข

คนที่จะทําสุขใหมีมากขึ้นได โดยที่วาแมแตมีวัตถุนอยที่สุดก็มีความสุขไดนั้น จะตองรูจักรักษาศักยภาพในการมีความสุข และสรางภูมิคุมกันทุกขเอาไว อยางที่พระพุทธเจาทรงสอนไว เคยสังเกตไหม บางทีทานใหรักษาศีลอุโบสถหลายทานอาจจะรักษาอยูก็ได แตทราบไหมวาศีลอุโบสถนั้นเรารักษาทําไม นั่นแหละคือวิธีการที่จะรักษาอิสรภาพในทางความสุขเอาไว ไมใหปลอยความสุขไปขึ้นกับวัตถุเสียทั้งหมด

เรามักจะมองวา เราจะสุขเมื่อไดเสพทางตา ทางหู ทางลิ้น เชนไดกินอาหารอรอยๆ จึงจะมี

Page 75: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๖๙

๖๙

ความสุข ตอมาเราก็เพลินกับการหาอาหารอรอยกิน จนกระทั่งวา ความสุขของเราเริ่มไปอยูกับล้ินที่ไดเสพ เลยลืมตัวไป พระพุทธเจาจึงทรงสอนวาระวังนะ เธอตองรักษาอิสรภาพของตนเองไวบางลองดูซิวา ถาเราอยูดวยอาหารเพียงเทาที่จําเปนตอชีวิต ใหรางกายของเรามีสุขภาพอยูไดแลว เราจะอยูอยางมีความสุขไดไหม แปดวันใหลองดูวันหนึ่ง ที่พระทานใหรักษาศีล ๘ จึงมีความหมายวาเราเคยบํารุงบําเรอลิ้น ปลอยตัวอยากกินอะไรก็กินตามชอบใจจึงจะมีความสุขมา ๖-๗ วัน พอถึงวันพระก็มีสติลองดูซิ กินอาหารเทาที่จําเปนตอรางกาย จะไดเอาเวลาไปใชทําอยางอื่น ลองดูวาแคนี้เราอยูไดไหม จะมีความสุขไดไหม

เราบอกวา ฉันจะมีความสุขไดจะตองมีฟูกมีหมอนที่นอนสบาย พระทานก็แนะนําวาใน

Page 76: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๗๐

๗๐

๘ วันลองดูสักวันซิ ลองนอนโดยไมตองมีฟูก เอาแคนอนบนเสื่อบนกระดานดูซิจะมีความสุขไดไหมพอลองพอฝกไปนานๆ เขา เราจะรูสึกวา นอนพื้นนอนกระดานก็สบายอยูไดเหมือนกัน และจะรูสึกเปนอิสระมากขึ้นดวย แถมยังดีตอสุขภาพอีก

คนที่ความสุขขึ้นตอวัตถุนี้ จะไปไหนๆ ก็ยาก บางคนจะไปในที่ที่ไมมีสิ่งอํานวยความสะดวกสบาย ก็ไปไมได เทากับสูญเสียอิสรภาพและเกิดมีปญหา เนื่องจากเมื่อไมมีสิ่งเสพเหลานั้นก็จะทุรนทุราย แตคนที่ฝกตัวเองไวดีจะบอกวาถามีวัตถุภายนอก มีส่ิงเสพ มีที่นอนฟูกหมอน ก็สบาย มีก็ดี แตไมมีก็ไดนะ ถาเราฝกไว ตอไปจะเปนอยางนี้คือ เราจะบอกวา “มีก็ดี ไมมีก็ได”

ขอใหทุกทานลองถามตัวเองดู เราเปนอยางนีไ้หม เราเปนคนชนดิทีพ่ดูวา “มกีดี็ ไมมกีไ็ด”

Page 77: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๗๑

๗๑

หรือไม ถาเราพูดไดวา “มีก็ดี ไมมีก็ได” ก็แสดงวาเรายังเปนคนที่มีอิสรภาพอยู แตบางคนไมเปนอยางนั้น ตองมีจึงจะอยูได ถาไมมีอยูไมได ถาไมมีแลวทุรนทุรายหมดความสุข ถาอยางนี้ก็แสดงวาชีวิตหมดอิสรภาพ เพราะชีวิตตองไปขึ้นกับวัตถุภายนอกหมดแลว

เร่ืองนี้สําคัญ พระพุทธเจาตรัสสอนใหฝกรักษาศีล ๘ แปดวันครั้งเดียว ทําไมจะทําไมไดควรจะลองดู เราจะรักษาอิสรภาพของเราไวไดเราจะอยูไดโดยมีความสุข ที่ไมตองคอยบําเรอดวยการกิน การนอน และการดูฟงสิ่งบันเทิงตางๆเวนสักวันในแปดวัน ดีไหม แลวเราก็เอาเวลาที่จะบํารุงบําเรอตัวเองนั้นไปสรางสรรคพัฒนาชีวิต ดวยการทําสิ่งที่เปนประโยชน หรือทํากิจการอะไรที่เกื้อกูลเพื่อนมนุษย ประโยชนก็

Page 78: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๗๒

๗๒

ไดดวย ชีวิตก็เปนอิสระดวย ความสุขก็มีไดงายขึ้นดวย นี่แหละเปนวิธีการของพระพุทธเจา

โลกปจจุบันมีความโนมเอียง ในทางชักจูง และลอเราเราใหเอาชีวิตไปฝากไวกับวัตถุเสพบริโภค ถาเรามีความรูเทาทัน เราก็จะฝกตัว เพื่อรักษาอิสรภาพของชีวิตจิตใจไวใหได ความสุขของเราก็จะขึ้นกับวัตถุนอย และเราก็จะไดความสขุจากวตัถเุทาทีม่นีัน้เตม็ที ่ พรอมทัง้มชีวีติทีด่งีามไมลุมหลงมัวเมาผิดพลาด พรอมทั้งจะพัฒนาใหเกดิมคีวามสขุแบบอืน่ทีลึ่กทีสู่งขึน้ไปเพิม่ข้ึนอีกดวย

ตอนแรกนี้ก็รักษาฐานไวกอน คือฝกตนใหอยูในขั้นที่พูดไดวา “มีก็ดี ไมมีก็ได” เมื่อฝกไปๆหลายคนจะเปนอยางนี้จริงๆ คือไมอยากนอนฟูกและมองเห็นวา นอนเสื่อนอนไมกระดานสบายดีกวา และเปนผลดีตอสุขภาพดวย ถึงตอนนี้หลาย

Page 79: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๗๓

๗๓

คนบอกวา “มีก็ได ไมมีก็ดี” หมายความวา ฟูกหมอนเหลานั้นนะ มีก็ได แตถาไมมีจะยิ่งดี ฉันจะเบาสบาย

ถารูผิดพลาด ปฏิบัติไมถูกจะสันโดษหรือไมสันโดษ ก็ไมมีทางพัฒนา

พอฝกแลว ชีวิตเราเองดีขึ้น โลงเบาขึ้นเราก็เอาเวลาที่จะบํารุงบําเรอตาหูล้ินกายไปใชประโยชนอยางอื่น ตอนนี้จะตรงกับคําที่วา ความสุขอยูที่ความพอใจ เมื่อเรามีความพอใจ แมมีวัตถุสิ่งเสพไมตองมาก เราก็มีความสุข การมีความสุขจากวัตถุสิ่งเสพบําเรอไดงายโดยไมตองมีมากนี้ ทานเรียกวามีความสันโดษ สันโดษคือความพอใจ ความสุขอยูที่ความพอใจ แมจะมีวัตถุไมตองมาก ก็มีความพอใจและมีความสุขได

Page 80: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๗๔

๗๔

ทีนี้พอมีความสุขจากวัตถุไดโดยไมตองมีมากแลว จะทาํอยางไร สันโดษทาํใหเรามคีวามสขุแตไมไดหมายความวาสันโดษเพื่อความสุขนะ อยาเขาใจผิด หลายคนเขาใจวา สันโดษเพื่อจะไดมีความสุข เมื่อเราเปนคนมีความพอใจงาย ถึงจะมีวัตถุไมมากก็มีความพอใจ เราก็มีความสุข แตถาสันโดษไมเปน จะกลายเปนวาไมอยากไดไมอยากดีไมอยากมีอะไร ไมอยากมีวัตถุมาก ไมอยากมีเงินมีทองรํ่ารวย แลวก็เลยไปวาไมอยากทํางานทําการ กลายเปนเกียจครานไป ถาอยางนี้ก็ไมใชการปฏิบัติธรรมแลว แตกลายเปนความสับสนปนเป ไมรูอะไรเปนอะไร เพราะฉะนั้นจะตองใหชัด ไมใชแควาสันโดษคืออะไรเทานั้น ตองชัดดวยวาสันโดษในอะไร และสันโดษเพื่ออะไร

Page 81: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๗๕

๗๕

สนัโดษ คอืความพอใจในวตัถเุสพบรโิภคเทาที่มีที่ไดเปนของตน ไมโลภอยากไดของคนอื่นหรือเกินเลยจากความชอบธรรม สันโดษคืออะไรทิ้งไวเทานี้กอน

ทีนี้ สันโดษเพื่ออะไร สันโดษไมใชเพื่อความสุข ความสุขเปนของพวงมากับสันโดษอยูในตัวแลว หรือวาสันโดษพวงเอาความสุขมาดวยอยูแลว จึงไมตองสันโดษเพื่อความสุขอีก แตกอนจะตอบวาสันโดษเพื่ออะไร ขอทวนวาสันโดษในอะไร เมื่อกี้นี้ไดพูดแลววา สันโดษ คือพอใจในวัตถุเสพบริโภค ตรงนี้จํากัดใหดี ไมใชใหสันโดษในความดีในการทําหนาที่การงาน ในการบําเพ็ญประโยชน เปนตน ตรงนี้สําคัญ นี่ขอหนึ่งละ เดี๋ยวจะพูดตอไป

Page 82: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๗๖

๗๖

ทีนี้ สันโดษอยางไร คนที่ไมสันโดษ ไมพอใจในวัตถุเสพบริโภค เทาที่มีที่ไดเปนของตนโดยชอบธรรม จะเปนอยางไรบาง

๑. เขาไมมคีวามสขุกบัส่ิงทีม่ทีีไ่ด เพราะไมรูจักพอ และไมพอใจ ความสุขของเขาไปอยูกับสิ่งที่ยังไมมียังไมได (=ยังไมมีความสุข)

๒. เขามัววุนวายกับการหาสิ่งเสพมาบํารุงบําเรอความสุข เวลา แรงงาน และความคิดที่จะใชกับการเสพบริโภคบํารุงบําเรอตัวเองนั้น ก็ยังไมพอ (=ไมมีเวลา แรงงานและความคิดที่จะเอามาทําหนาที่การงาน สรางสรรคความดี หรือแมแตจะดูแลครอบครัว)

๓. เวลาทําการทํางาน ใจของเขาก็วาวุนกระวนกระวายฟุงซาน ไมเปนอันตั้งใจทํา และไมมีสมาธิ เพราะคิดถึงแตเร่ืองที่จะไปเสพไปบริโภค

Page 83: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๗๗

๗๗

บํารุงบําเรอความสุขของตน และรอคอยเวลานั้น(=ไมตั้งใจทํางาน และทํางานอยางไมมีความสุข)

๔. เมื่อเขาตองการเสพบริโภคบําเรอความสุขมากขึ้นๆ เวลาที่จะหาความสุขไมพอ ก็ตองเบียดบังเวลาทํางานไป เงินทองที่จะจายซื้อสิ่งเสพและบริการ ไดไมทันไดไมพอ ก็ตองกูหนี้ยืมสินหรือทุจริต

เมื่อเปนอยางนี้ ชีวิตคนก็เสื่อม สังคมก็โทรม ประเทศชาติจะพัฒนาแสนยาก หรือวาไมมีทางพัฒนาไดสําเร็จ ในสังคมของคนที่ไมสันโดษนี้ ทั้งราษฎรและประเทศชาติมัวแตกลุมกังวลกับเร่ืองหนี้ที่ทวมตัว เลยไมเปนอันทําอะไร

ถึงตอนนี้ก็หันกลับมาตอบคําถามวา “สันโดษเพื่ออะไร?” คําตอบหาไดจากขางบนโดยเฉพาะขอ ๒. คนไมสันโดษ ตองใชเวลา แรง

Page 84: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๗๘

๗๘

งาน และความครุนคิดหมดไปกับการวุนวายหาสิ่งเสพบํารุงบําเรอความสุขของตน สวนคนที่สันโดษ ซึ่งตรงกันขาม ก็มีเวลา แรงงาน และความคิดเหลืออยู ทีนี้ จะเอาเวลา แรงงาน และความคิดนั้นไปทําอะไร ถาสันโดษเพื่อความสุข ก็สบายแลว นอนเลย ก็ขี้เกียจ เวลา แรงงาน และความคิดที่ออมไวไดก็สูญเสียเปลา อยางนี้ชีวิตก็เสื่อม สังคมก็โทรม เชนเดียวกัน เพราะฉะนั้นตองตอบใหไดวา “สันโดษเพื่ออะไร?”

ขอตอบเสียเลยวา สันโดษเพื่อจะไดออมเวลา ออมแรงงาน ออมความคิดเอาไวแลวเอาเวลา แรงงาน และความคิดนั้นไปใชในการทําหนาที่การงาน ทําความดี ทําการสรางสรรคสิ่งที่เปนประโยชน พัฒนาตน และพัฒนาสังคม

Page 85: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๗๙

๗๙

ดวยเหตุนี้แหละเมื่อกี้นี้จึ งไดถามวา สันโดษในอะไร และที่ตอบวาสันโดษในวัตถุเสพบริโภคที่จะบํารุงบําเรอตัวเอง เปนการจํากัดขอบเขตของสันโดษไว ก็เพื่อจะไดเปดกวางตอนเอาเวลา แรงงาน และความคิดไปใช คือเอาไปใชในเรื่องที่ไมตองสันโดษ หมายความวา เอาเวลาแรงงาน และความคิดนั้นไปใชทํางานการสรางสรรคความดี บําเพ็ญประโยชนตอไป

พอสันโดษกบัไมสันโดษมาประสานเสรมิกนัจะมีแตการพัฒนา ที่ใครๆ ไมอาจกีดกั้น

อยากจะย้ํานิดหนึ่งวา คนที่สุขไดงาย มีวัตถุนิดหนอยก็สุขนั้น ดีแลว ไดเปรียบแลว ทีนี้พอเราสันโดษแลว ผลที่จริงของมันจะตามมา ผลที่จริงคืออะไร เราเคยใชเวลาแรงงานและความคิด

Page 86: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๘๐

๘๐

วันหนึ่งๆ วุนวายหมดไปกับการหาสิ่งเสพหาความสุข แตเมื่อสันโดษแลว คนที่สันโดษนั้นก็จะเปนคนที่ไดเปรียบ คือเปนคนที่มีความสุขทางวัตถุไดงาย แลวยังแถมมีเวลาแรงงานและความคิดมากมาย ที่จะเอามาทุมใหกับการทํางานไดเต็มที่

ถึงตอนนี้พระพุทธเจาก็ตรัสสําทับตอไปอีกชั้นหนึ่งวาไมใหสันโดษ เร่ืองนี้จะตองสังเกตใหดี อยาสับสน พระพุทธเจา ตรัสไวคูกัน ตองจําใหครบวา

๑. ใหสันโดษในสิ่งเสพ คือ เปนคนมีความสุขงายดวยวัตถุนอย และ

๒. ใหไมสันโดษในกุศลธรรม คือ ใหไมอ่ิมไมพอในการทําสิ่งที่ดีงาม

Page 87: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๘๑

๘๑

อะไรที่เปนความดีงามเปนประโยชนแลว ทานสอนใหไมยอมอิ่ม ไมใหยอมพอ พระพุทธเจาตรัสวา พระองคนี่แหละเปนตัวอยางของผูไมสันโดษ พระพุทธเจาตรัสวา ที่พระองคตรัสรูบรรลุโพธิญาณไดก็เพราะพระองคไมสันโดษ แตอยาพูดทิ้งดวนไว ตองตอใหเต็มดวย คือตองพูดตอไปวาพระองคตรัสรูเพราะไมสันโดษในกุศลธรรม

เมื่อนึกถึงงานที่จะทํา นึกถึงกิจการที่ดีงาม นึกถึงการชวยเหลือเพื่อนมนุษย นึกถึงการพัฒนาชีวิตของตนตอไปทั้งพฤติกรรมจิตใจและปญญาแลว เราเกิดความพอใจที่จะทํา อยากทําใหมาก และใหดียิ่งขึ้นไปๆ กวาที่ไดทําอยู อยางนี้เรียกวา เราไมสันโดษในกุศลธรรม ทําไดผลแคนี้ยังไมพอ ทําใหดียิ่งขึ้นตองปรับปรุงยิ่งขึ้นไป คราวนี้แหละงานก็จะไดผล

Page 88: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๘๒

๘๒

ดียิ่งขึ้นๆ ฉะนั้น สันโดษ และไมสันโดษ จึงสงเสริมซ่ึงกนัและกนั พระพทุธเจาตรสัไวทัง้สองอยางอยาจําอยางเดียว

ถาจําสันโดษดวนๆ ลอยๆ ก็ผิดเลย อาจจะไดผลข้ันหนึ่งคือ สุขไดงาย ดวยวัตถุนอยๆ แตกลายเปนคนขี้เกียจ เสียไปเลย คนสันโดษแบบนี้จะพัฒนาประเทศชาติไมได

ในสุดทางตรงขาม ถาไมสันโดษในวัตถุเสพก็กลายเปนวาจะตองหมดเวลาไปกับกิจกรรมสนองความเห็นแกตัวและการเบียดเบียนแยงชิงกัน ก็เดือดรอนอีก ซึ่งก็ไมพัฒนาหรือพัฒนาแบบสรางปญหา

จึงเปนจุดสําคัญที่ตองจําวา ใหสันโดษในสิ่งเสพ และไมสันโดษในกุศลธรรม แลวใหสันโดษกับไมสันโดษมาหนุนกัน คือสันโดษ

Page 89: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๘๓

๘๓

ในวัตถุ มีความสุขงายดวยวัตถุนอย แลวสงวนเวลา แรงงานและความคิดเอาไว และเอาเวลาเร่ียวแรงและความคิดนั้นไปทุมใหกับการทํางานสรางสรรคสิ่งดีงาม พัฒนาตัวเอง และบําเพ็ญประโยชนสุขชวยเหลือเพื่อนมนุษย เมื่อทํางานไปก็มีความสุขในทางดานจิตใจยิ่งขึ้น เปนอันวาไดสุขทั้งสองดาน สุขทางกายก็ได สุขทางใจก็ไดงานก็ไดผล มีแตความดีงาม ชีวิตตัวเองก็งอกงามมีความสุข สังคมก็รมเย็นกาวหนา โลกนี้ก็เจริญอยางถูกตอง

ที่พูดมานี้เปนหลักการงายๆ เปนเรื่องที่สอดคลองกับกฎธรรมชาติ แตคนมักจะมองไมออก หลายคนไปมองวาถาคนไทยสันโดษบานเมืองจะไมพัฒนา ประเทศชาติก็จะแย ที่พูดอยางนี้เพราะจับไมถูก ก็เลยหาทางพัฒนาประชากร

Page 90: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๘๔

๘๔

ไทย ไมไดผลสักที คือ มองเห็นแคสุดโตง ๒ ขางที่ผิดทั้งคู เมื่อรังเกียจสันโดษในวัตถุวาจะข้ีเกียจก็โดดไปตรงขามใหไมสันโดษในวัตถุนั่นแหละ มองไดแคนั้น

เมื่อคนไมสันโดษในวัตถุ มุงจะเอาแตวัตถุใหมาก ไมรูจักพอ ความสุขในวัตถุตัวเองก็ไมไดแลวยังแยงชิงกันกับคนอ่ืน สังคมวุนวาย แลวก็อยากไดเงินมาก แตไมอยากทํางาน คิดแตจะใหไดเงินทางลัด ทํางานดวยความจําใจ มองเห็นการทํางานเปนเรื่องที่ตองทุกขทน เมื่อเปนอยางนี้จะพัฒนาประเทศชาติไดอยางไร สังคมจะมีแตการทุจริตและการหาทางลัดตางๆ เต็มไปดวยปญหาในการพัฒนา เพราะพัฒนาผิดหลักและเสียฐานมองอะไรตื้นเกินไป ถาขืนพัฒนาอยางนี้ อีก ๕๐๐

Page 91: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๘๕

๘๕

ป เมืองไทยก็ไมมีทางฟนตัว ยิ่งพัฒนาไป ชาติไทยจะยิ่งหมดตัว

มัวไปเขาใจวาสันโดษแลวประเทศชาติจะไมพัฒนา ตองใหไมสันโดษในสิ่งเสพ นึกเอาวาฝร่ังเจรญิมาอยางนัน้ ไมไดศกึษาเขาใหชดั ไมรูตวัวาจับจุดผิด แทนที่จะบอกวา ใหสันโดษในวัตถุสิ่งเสพสําหรับตัวเอง และมีความสุขงาย แลวก็ตอดวยไมสันโดษในการทํางานสรางสรรคความดี ถาจับไดอยางนี้หลักการที่ถูกตองก็จะหนุนซึ่งกันและกนั ประเทศชาตกิจ็ะพฒันายิง่กวาทีค่าดหมาย

ขอสรุปวา ความสันโดษในวัตถุเสพบริโภค ที่ประสานกับความไมสันโดษในการสรางสรรคสิ่งดีงาม จะมีผลดีที่สําคัญคือ

Page 92: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๘๖

๘๖

๑. คนที่สันโดษในวัตถุเสพ บรรลุเปาหมายของการมีความสุขทางวัตถุไดเสมอ เพราะสุขงายดวยวัตถุนอยเทาที่มีเทาที่ได

๒. เขาไมตองเผาผลาญเวลา แรงงานและความครุนคิดใหหมดไปกับการทะยานหาความสุขจากการเสพ ก็ออมเวลา แรงงาน และความคิดนั้นไว เอามาทุมเทใชในการทําหนาที่การงาน พัฒนาชีวิตของตน และสรางสรรคสิ่งที่ดีงาม ไดอยางเต็มที่

๓. ใจอยูกับงาน ไมฟุงซานวุนวาย ตั้งใจทํางาน มีสมาธิ และมีความสุขในการทํางาน

ทะลุสมมติ ถึงตัวธรรมชาติ สุขจากวัตถุเสพก็มาประสานสุขจากงานสรางสรรค แมไมร่ํารองหา

Page 93: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๘๗

๘๗

ชีวิตก็ดีงาม สังคมก็พัฒนาอาตมาไดพูดมามาก ใกลจะ ๓ ชั่วโมง

แลว ก็เปนขอคิดตางๆ ที่นํามาฝากไวแกที่ประชุมวา ถาเราดําเนินชีวิตเปนคือดําเนินชีวิตถูกตองแลว อะไรตางๆ ก็จะเปนเหตุปจจัยสงผลกันไปเองตามธรรมชาติ เราเองก็มีชีวิตที่ดีงาม มีความสุขมากขึ้น และชองทางที่จะมีความสุขก็มากขึ้น อีกทั้งความสุขนั้นก็สอดคลองเขากันไดกับความดีงามดวย ไมใชความสุขที่แฝงความชั่วราย หรือความสุขบนความทุกข บนความเดือดรอนของผูอ่ืน แตเปนความสุขที่สงเสริมความดีงามและเปนประโยชนแกสังคม ชีวิตตนเองเปนสุขก็ชวยใหสังคมเปนสุขมากยิ่งขึ้น และการทํางานก็กลายเปนเครื่องนําความสุขมาใหมากยิ่งขึ้น

Page 94: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๘๘

๘๘

ในทางตรงขาม ถาจับหลักในการทํางานไมถูก พอคนเริ่มแปลกแยกจากธรรมชาติ ความหมายของงานก็เร่ิมวิปลาส การทํางานก็กลายเปนแบบจําใจทํา ที่เปนคติการทํางานของคนยุคปจจุบัน ในอารยธรรมแหงการสมมติอยางที่วาเมื่อกี้ ที่ผูคนหลงไปวาตัวงานเปนเหตุ การไดเงินเปนผล ซึ่งเปนการติดในโลกสมมติ ที่ไมตรงตามกฎธรรมชาติ เพราะฉะนั้นงานในความหมายของคนสวนมากเหลานี้จึงเปนการฝนใจทํา หรือทําดวยความจําใจ แลวก็ตองหันไปเนนเรื่องเวลาพักผอนหยอนใจ เพราะเวลาทํางานเปนเวลาแหงความทุกขจึงตองไปหาความสุขภายหลัง แตความสุขในการพักผอนหยอนใจ ๖-๗ วันจึงจะมีสักครั้ง การทํางาน ๕ วันกลายเปนเวลาของความทุกขไป หมายความวาใน ๗ วันเปนทุกข ๕

Page 95: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๘๙

๘๙

วัน สุข ๒ วัน และสุข ๒ วันก็ยังไมแนเสียดวยบางทีทํางานทั้งปตองหาเวลาชดเชยเสีย ๑๐ วันโดยใช ๑๐ วันนั้นในการหาความสุขดวยการเสพวัตถุไปกินเหลาเมายา

แมแตคนที่ ไปปฏิบัติ เจริญสมาธิทํากรรมฐานก็เหมือนกัน อยานึกวาพน บางคนทํางานไมมีความสุข นานๆ ก็ไปเขากรรมฐานทําสมาธิหาความสุขทีหนึ่ง กลายเปนการชดเชย แตก็ยังดีในแงหนึ่งที่วา ทํางานผิดพลาดไปกลายเปนทุกขแลวก็ยังมีทางออกที่จะชดเชย จุดที่พลาดอยูที่ตัวการทํางาน ถาทํางานถูกตอง มีความสุขในการทํางานแลว วันหยุดก็ไมใชเปนเวลาชดเชยแตเปนเวลาเสริมสุข คือทําใหเขาไดเปลี่ยนบรรยากาศ มีเวลาทํากิจสวนตัวสลับบาง พรอม

Page 96: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๙๐

๙๐

ทั้งไดมีโอกาสพัฒนาชีวิตในดานอื่นที่จะเสริมชีวิตใหสมบูรณ

งานคือโอกาสที่ดีที่สุดในการฝกฝนพัฒนาตนเอง และเปนโอกาสของการสรางสรรคถาปฏิบัติถูกตอง เราก็จะไดความสุขทั้ง ๒ ดานทั้งสุขจากการทํางาน และสุขจากการพักผอน

เมื่อพระพุทธเจาทํางานพระองคมีความสุขตลอดเวลา ไมมีทุกขสักนิด การที่เสด็จไปชวยเหลือส่ังสอนผูคนนั้น พระองคก็ทรงมีความสุขพอเหนื่อยพระองคทรงพักผอนดวยการเขาฌาน การเขาฌานนั้นก็มีความสุขอีก เพราะฉะนั้น พระองคจึงสุขตลอดเวลา ขอใหใชวิธีทํางานแบบนี้แลวงานการของเราก็จะเปนสัมมาอาชีวะหรือสัมมาชีพจริงๆ

Page 97: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๙๑

๙๑

อาชีวะที่ถูกตอง หรือสัมมาชีพ ก็คือ การทํามาหาเลี้ยงชีพของเรานั้น นอกจากไมเบียดเบียนกอความเดือดรอนแกสังคมแลว ยังเปนเรื่องสรางสรรค หรือชวยแกปญหาของสังคม และเปนโอกาสในการพัฒนาชีวิตของตัวเราเองดวย

งานที่ดีก็ยิ่งเปนโอกาสในการพัฒนาชีวิตของตัวเองมากขึ้น อยางทานที่ทํางานในวงการแพทยและพยาบาลนี้ เมื่อเทียบกับงานการอื่น จะเห็นวาเปนผูที่ไดเปรียบ เพราะมีโอกาสในการพัฒนาชีวิตมาก และไดทําในสิ่งที่มีคุณคา นาอนุโมทนาเปนอยางยิ่ง จึงเปนเรื่องที่นาปติยินดีขอใหทานมีความอิ่มใจในงานที่ทํา ซึ่งไดชวยเหลือชีวิตของเพื่อนมนุษยและพัฒนาตนเองไปดวยพรอมกัน

Page 98: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๙๒

๙๒

เพราะฉะนั้นเราจะตองรูทันโลกมนุษยที่ไดสรางอารยธรรมขึ้นมา เปนเรื่องของสมมติ เราปรุงแตงโลกสมมติขึ้นมา ใหมีระบบสมมติที่วาทํางานทําการแลวมีเงินเปนผลตอบแทน จนกระทั่งตัวมนุษยเองก็มาติดหลงอยูกับสมมติที่ตัวสรางขึ้นนี้ คนใดไมหลงติดในส่ิงเหลานี้ จะหาความสุขไดไมยาก

คนที่สุขแทจริง คือคนที่ยังเขาถึงธรรมชาติ และโยงธรรมชาติกับสมมติของมนุษยใหถึงกันและประสานเสริมกันได

ตราบใดที่เรายังสามารถเขาใจถึงความจริงของธรรมชาติ และมองทะลุสมมติได ชีวิตก็จะไมขาดความสุข

Page 99: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๙๓

๙๓

ยิ่งในโลกปจจุบันนี้ที่เจริญมาก เต็มไปดวยสิ่งสมมติ มีอารยธรรมปรุงแตงมาก เราจะตองมีปญญารูเทาทันความจริงอยูเสมอ

คนที่ประสบความสําเร็จแทจริง คือคนที่ไมหาง ไมขาดลอยไปจากความเปนจริงของธรรมชาติ คนผูใดสามารถเขาถึงความจริงของธรรมชาติได ชีวิตของเขาไมแปลกแยกจากธรรมชาติเขารูเทาทันสมมติและทําใหมันมาเสริมความสุขของตนเองได แตถาเราไมรูเทาทันความจริง และหลงสมมติไป ชีวิตจะยิ่งลอยหางจากความสุขออกไป มีแตความทุกขที่ซับซอนเพิ่มข้ึน

ธรรมก็คือความจริงของธรรมชาติ คนที่รูธรรมก็ตองรูจักความจริงทั้งสองขั้น คือความจริงแทของธรรมชาติ กับความจริงตามสมมติ

Page 100: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๙๔

๙๔

การสมมตินั้นไมใชเร่ืองเลื่อนลอย มนุษยผูมีปญญาทําการสมมติขึ้นมาดวยเหตุผล เพื่อการสรางสรรคอยางใดอยางหนึ่งในโลกมนุษย โดยตั้งอยูบนฐานของความจริงของธรรมชาติ เหมือนอยางเรื่องที่วาเราสมมติใหเงินเดือนคนทําสวน ก็เพื่อใหคนทําสวนตั้งใจทําเหตุตามธรรมชาติ คือปลูกและบํารุงตนไมใหเจริญงอกงาม ถาคนหางจากความจริงของธรรมชาติ เอาแคทําสวนไดเงิน คนนั้นจะไมมีความสุขจากการทํางาน และสังคมก็จะไมไดผลงานที่ดีดวย แตถาเมื่อใดคนทําสวนทําดวยความรูเทาทันสมมติ มองทะลุไปถึงความจริงของธรรมชาติ แลวตองการผลตามกฎธรรมชาติ ใหตนไมเจริญงอกงาม โดยไดผลตามสมมติ คือไดเงินเดือนมาหนุนดวยอีกขั้นหนึ่ง เขาก็จะไดความสุขเต็มสองขั้น

Page 101: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๙๕

๙๕

ถาทํางานโดยหวังใหตนไมเจริญงอกงาม ตั้งใจทํา เมื่อตนไมเจริญงอกงามก็เกิดความปติอ่ิมใจ ปล้ืมใจ มีความสุข แลวก็ไดเงินเปนความสุขเสริมเขามาอีกดานหนึ่งดวย เปนความสุขครบสองช้ัน นี่แหละชีวิตที่อยูกับความจริงของธรรมชาติ ไมแปลกแยกจากธรรมชาติ ไมหลงสมมติจะเปนชีวิตที่สุขสมบูรณ

อาตมาไดนําหลักการและขอคิดเหลานี้มาฝากไว ถาหากจะมีประโยชนบางสําหรับทานที่อยูในวงการทํางาน ก็ขออนุโมทนาดวย ขอใหทุกทานในโรงพยาบาลตํารวจที่ทํางานอันมีคุณคาอยางยิ่ง ซึ่งเวลาที่ผานไปๆ ไมใชเปนเงินเปนทองเทานั้น แตเวลานั้นเปนทั้งชีวิตของคนไขและชีวิตของตัวเราเองที่มีคุณคาอยางยิ่ง ถาทํางานแลวไดมองเห็นคุณคาของงานที่ไดชวยเหลือชีวิตของ

Page 102: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน

๙๖

๙๖

เพื่อนมนุษยและประเทศชาติ ก็ขอใหทุกทานจงมีปติและความสุขในการทํางานตลอดเวลา ขอใหทุกทานไดรับผลทั้งในขั้นสมมติ และผลตามความจริงของธรรมชาติดังที่กลาวมา

ขอตั้งจิตอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย จงอวยชัยใหพร อภิบาลรักษาใหทุกทานเจริญดวยจตุรพิธพรชัย ประสบความเจริญกาวหนา ความสําเร็จ และรมเย็นงอกงามโดยทั่วกันทุกทานตลอดกาลทุกเมื่อ เทอญ

Page 103: ทําอย างไร จะให งานประสานกับความสุข€¦ · แล วเราจึงไปทํางานคืํอทาสวน