Upload
others
View
4
Download
0
Embed Size (px)
Citation preview
สวัสดีครับเพื่อนสมาชิก สสค.
เมื่อฉบับที่แล้วเราคุยกันเรื่องสัมมาชีพ คุณหมอประเวศ วะสี
ราษฎรอาวุโส ท่านเตือนสติว่าการพัฒนาเศรษฐกิจเพียงเพื่อเศรษฐกิจนั้น
น่าจะผิดทาง เพราะหมายถึงเราหาเงินเพื่อเงินแต่มิใช่เพื่อคุณภาพชีวิต
และสังคมที ่ดีขึ ้น ในด้านการศึกษาก็น่าจะได้ข้อคิดทำนองเดียวกัน
“การศึกษาเพียงเพื่อการศึกษา” ก็หมายถึงเรียนเพื่อมุ่งหวังใบปริญญา
เท่านั้น โดยผู้ออกแบบการศึกษาอาจมองข้ามการตรวจสอบว่าการศึกษา
จะช่วยให้คุณภาพเด็กเยาวชนดีข้ึนหรือไม่ สังคมดีข้ึนหรือไม่ ประเทศชาติ
พัฒนาขึ้นจากผลของการศึกษาเพียงไร
การศึกษากับการพัฒนาจึงสัมพันธ์กัน หากปฏิรูปการศึกษาโดย
ต่อไม่ติดกับการพัฒนาประเทศจะน่าเสียดายโอกาสหรือไม่? ดังนั้นหากใช้
ตรรกะเริ่มต้นดังกล่าวเราคงต้องเริ่มด้วยการทบทวนว่า การศึกษาจะ
นำไปสู่การพัฒนาคน สังคมและประเทศได้อย่างไร? แต่พวกเราจำนวน
หนึ ่งอาจลืมโจทย์พื ้นฐานนี ้ หากแต่กระโดดข้ามไปออกแบบระบบ
การศึกษาเพื่อการศึกษาและละทิ้งสิ่งเชื่อมโยงการศึกษาเข้ากับชีวิตจริง
ของเด็กเยาวชน
ชีวิตจริงของเด็กเยาวชนไทยในปจจุบันเป็นอย่างไร? คำถามนี้
น่าจะมีคำตอบได้หลากหลายมุมมองแต่โดยรวมๆ แล้วสุ ้มเสียงที ่
วิพากษ์กันออกจะโน้มไปข้างที่น่าห่วงใย ดร.รุ งนภา จิตรโรจนรักษ
นักวิชาการของเราได้ประมวลตัวเลขสถิติจากหลายหน่วยงานรวมถึง
ผลการสำรวจสำมะโนประชากร ปี 2553 ที ่สำนักงานสถิติแห่งชาติ
รายงานไว้ ประมวลแล้วพอจะเห็นภาพชีวิตจริงของเด็กเยาวชนไทยใน
“ภาพใหญ่” ดังนี้
เส้นทางชีวิตของเด็กไทยที่เกิดปีละ 8 แสนคนเศษนั้น หากเทียบ
อัตราส่วน 1 ต่อ 80,000 จะเปรียบให้เห็นภาพง่ายขึ้นว่าหากประเทศไทย
มีเด็ก 10 คนแต่ละรุ่นที่เกิดในปีเดียวกัน เด็กสิบคนนี้จะมีเส้นทางการ
เดินทางตามระบบการศึกษาไทยโดยเดินไปบนเส้นทางได้ใกล้ไกลแตกต่างกัน
โดยจากจำนวนรวม 10 คนนั้น เด็ก 1 คน (หรือร้อยละ 13)
เรียนไม่จบ ม.3 (ไม่จบแม้แต่การศึกษาภาคบังคับ) เด็ก 3 คน (ร้อยละ 30)
ได้เรียนจนจบ ม.3 แล้วเลิกเรียน เด็ก 2 คน (ร้อยละ 21) เรียนจนจบ
ม.6/ปวช. แล้วไม่ได้เรียนต่ออุดมศึกษา เหลือเพียงเด็ก 4 คน (ร้อยละ
36) เรียนต่อขั้นอุดมศึกษา
ดูเผินๆ เด็กสี่คนที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยน่าจะมีโอกาสที่ดีกว่ามาก
แต่กลับพบสถิติว่าใน 4 คนนี้มีเพียง 3 คนที่เรียนได้จนจบอุดมศึกษา
ยิ่งกว่านั้นใน 3 คนที่ใช้เวลาเพิ่มอีก 4-8 ปีนั้นมีเพียง 1 คนเท่านั้นที่ได้
งานทำในปีแรกหลังจากจบปริญญา ส่วนที่เหลือ 2 คนจบแล้วต้องว่างงาน
ในระยะ 12 เดือนแรก
ผลการสำมะโนประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อปี 2553
ซึ่งมีความละเอียดกว่าการสุ่มตัวอย่างเพราะต้องเดินเข้าไปถามทุกบ้านนั้น
รายงานผลสอดคล้องกับข้อมูลที่วิเคราะห์ข้างต้น โดยพบว่าประชากร
อายุ 15-19 ปี ออกทำงานจำนวนมากถึง 1.2 ล้านคน หรือประมาณ
1 ใน 4 (ร้อยละ 26) เยาวชนวัยนี ้หากอยู ่ในระบบก็จะอยู่ระดับ
มัธยมปลาย ปวช. หรือเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย กลุ่มผู้ทำงานจะมีอาชีพ ดังนี้
1) การเกษตร ป่าไม้ ประมง (41%) 2) งานพื้นฐาน เช่น แผงลอย
ทำความสะอาด ซักรีด ส่งของ เป็นต้น (17%) 3) พนักงานบริการ/ขาย/
เสมียน (15%) 4) วิชาชีพ ข้าราชการ ช่างฝีมือ/เทคนิค (14%) และ
5) ควบคุมเครื่องจักร (7%)
“เด็กและเยาวชนบนเส้นทางระบบการศึกษาไทย” จดหมายถงึเพือ่นสมาชกิ ฉบบัที ่105
ในขณะที่เยาวชนอายุ 20-24 ปี ทำงานจำนวน 2.8 ล้านคน
(ร้อยละ 61) ไม่ทำงานจำนวน 1.7 ล้านคน (ร้อยละ 36) เยาวชนวัยนี้
หากอยู่ในระบบก็จะเป็นระดับอุดมศึกษา หรือสายอาชีพชั้นสูง ตัวเลข
สำมะโนจึงตรงกับตัวเลขเปรียบเทียบเด็กสิบคนข้างต้นว่ามีเพียง 4 ใน
10 คนเท่านั ้นที ่เร ียนต่อ สำหรับส่วนใหญ่ออกทำงานมีอาชีพดังนี ้
1) การเกษตร ป่าไม้ ประมง (27%) 2) พนักงานบริการ/ขาย/เสมียน
(20%) 3) วิชาชีพ ข้าราชการ ช่างฝีมือ/เทคนิค (18%) 4) อาชีพงาน
พื้นฐาน เช่น แผงลอย ทำความสะอาด ซักรีด ส่งของ เป็นต้น (14%)
และ 5) ควบคุมเครื่องจักร (11%)
บางท่านเห็นสถิตินี ้แล้วอาจรีบเสนอทางออกให้เพิ ่มที ่นั ่งใน
มหาวิทยาลัย แต่ข้อเท็จจริงนั้นอัตราการเข้าเรียนอุดมศึกษาของไทยเมื่อ
เปรียบเทียบกับต่างประเทศแล้วเราไม่ได้มีอัตราต่ำกว่าประเทศอื่นเลย
ไม่มีประเทศใดในโลกที่พยายามให้เด็กของตนเข้าเรียนอุดมศึกษาทั้งหมด
100% ยิ่งกว่านั้นจากสถิติของผลการเรียนมหาวิทยาลัยดังกล่าวมาแล้ว
ปัจจุบันเรามีผู้ที่เข้าเรียนแต่ไม่จบมากถึง 1 ใน 4 นี่ยังไม่รวมสภาพปัญหา
ที่เรียนจบแล้วตกงานอีกจำนวนมาก
โดยประชากรที่อายุ 25-29 ปี ประชากรวัยนี้ควรจะจบการศึกษา
ระดับสูงสุดของแต่ละคนแล้วและควรจะทำงานกันเกือบทั้งหมด แต่
ข้อมูลสำมะโนพบว่า ทำงานจำนวน 4.2 ล้านคน (ร้อยละ 84) และไม่ได้
ทำงานมากถึง 720,000 คน หรือประมาณ 1 ใน 7 (ร้อยละ 15) สำหรับ
อาชีพนั้นมีการกระจายตัวดังนี้ 1) การเกษตร ป่าไม้ ประมง (24%) 2)
วิชาชีพ ข้าราชการ ช่างฝีมือ/เทคนิค (23%) 3) พนักงานบริการ/ขาย/
เสมียน (22%) 4) อาชีพงานพื้นฐาน เช่น แผงลอย ทำความสะอาด
ซักรีด ส่งของ เป็นต้น (13%) และ 5) ควบคุมเครื่องจักร (11%)
ระบบการศึกษาพื้นฐานได้จับเด็กเยาวชนเข้ามาอยู่ในโรงเรียน
ยาวนาน 12-15 ปี เด็กแต่ละรุ่นนั้นเมื่ออายุ 18 ปี จำนวนมากถึง 6 ใน
10 คนออกจากระบบการศึกษากันแล้ว วัยรุ ่นเหล่านี ้เมื ่อออกจาก
รั้วโรงเรียนก็จะต้องกลายเป็น “ผู้ใหญ่” โดยฉับพลัน พวกเขาต้องผจญ
ชีวิตจริง ต้องพึ่งตนเอง ต้องรับผิดชอบต่อครอบครัว และที่สำคัญคือ
ต้องมีงานทำ คำถามตัวโตก็คือในช่วงเวลา 12-15 ปีนั้นโรงเรียนได้
เตรียมให้เด็กพร้อมกับการผจญชีวิตจริงเพียงไร?
บนเส้นทางการศึกษานั้นไม่ว่าเด็กจะใช้เวลาเพียง 12 ปี 15 ปี
19-20 ปี หรือเท่าใดก็ตาม แต่สิ่งที่เขาควรจะได้รับเท่าเทียมกันน่าจะเป็น
ความพร้อม รวมถึงทักษะจำเป็นที่เขาจะใช้สู้ชีวิต มีอาชีพ พัฒนาตนเอง
และเป็นสมาชิกท่ีดีของสังคมไทย หากประกอบกับโอกาสท่ีเขาจะได้เรียนรู้
อย่างต่อเนื่องในวัยทำงานด้วยก็ย่อมหมายถึงการศึกษาที่เป็นประโยชน์
ต่อชีวิตจริง มิใช่เพียงการศึกษาเพื่อศึกษาหรือใบปริญญาเท่านั้น
สมาชิกสามารถติดตามข่าวสารความเคลื ่อนไหวของ สสค.
ได้ทาง www.QLF.or.th หรือทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ twitter
สสค. @QLFthailand และ Facebook ที่ www.facebook.com/
QLFthailand เช่นเคยครับ
สุภกร บัวสาย @supakornQLF 19 มีนาคม 2556
ขณะนี้ สสค. มีผู้รับจดหมายข่าวกว่า 23,000 คน สมัครเป็นสมาชิก สสค. เพิ่มเติม เพื่อร่วมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ หรือดาวน์โหลดไฟล์จดหมายข่าว ได้ที่ www.QLF.or.th