Upload
-
View
224
Download
3
Embed Size (px)
Citation preview
บทที่ 2ฟงกชันตรีโกณมิติ
( 40 ชั่วโมง )
วิชาตรีโกณมิติแตเดิมไมไดนิยาม ไซน โคไซน แทนเจนต ในรูปของฟงกชัน แตนิยามในรูปของอัตราสวนระหวางความยาวของดานของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก และเมื่อนําไปประยุกตสวนมากก็จะเปนการประยุกตในเรื่องระยะทาง ความสูง โดยอาศัยรูปสามเหลี่ยม ดวยเหตุนี้จึงทําใหบางคนคิดวาวิชาตรีโกณมิติเปนวิชาที่เกี่ยวกับดานและมุมของรูปสามเหลี่ยมเทานั้น และเมื่อเขียน sin x ก็ทําใหเขาใจวา x เปนขนาดของมุมแตเพียงอยางเดียว แตในปจจุบันมีการใชวิชาการนี้อยางกวางขวาง เชน ในการศึกษาเกี่ยวกับวิชาแสง เสียงและในวิชาแคลคูลัส การอินทิเกรตฟงกชันบางชนิดจะตองใชฟงกชันตรีโกณมิติชวยในการอินทิเกรต ดังนั้นการศึกษาวิชาตรีโกณมิติจึงไมควรจะจํากัดอยูเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับรูปสามเหลี่ยม ดังนั้นเพื่อใหผูเรียนมีความเขาใจวิชาตรีโกณมิติกวางขวางขึ้นจึงไดจัดสาระการเรียนรูตามลําดับดังนี้ ฟงกชันไซนและโคไซน คาของฟงกชันไซนและโคไซน ฟงกชันตรีโกณมิติอ่ืนๆ ฟงกชันตรีโกณมิติของมุม การใชตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวกและผลตางของจํานวนจริงหรือมุม ตัวผกผันของฟงกชันตรีโกณมิติ เอกลักษณและสมการตรีโกณมิติ กฎของโคไซนและไซน และการหาระยะทางและความสูง
ผลการเรียนรูท่ีคาดหวัง1. มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับฟงกชันตรีโกณมิติ และเขียนกราฟของฟงกชันที่กําหนดใหได2. นําความรูเร่ืองฟงกชันตรีโกณมิติและการประยุกตไปใชแกปญหาได
ผลการเรียนรูที่คาดหวังเปนผลการเรียนรูที่สอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูชวงชั้นทางดานความรูดังนั้นในการจัดการเรียนรู ผูสอนตองคํานึงถึงมาตรฐานการเรียนรูดานทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตรดวยการสอดแทรกกิจกรรมหรือโจทยปญหาที่จะสงเสริมใหผูเรียนเกิดทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตรที่จําเปนอันไดแก ความสามารถในการแกปญหา การใหเหตุผล การสื่อสาร การสื่อความหมายทางคณิตศาสตรและการนําเสนอ การเชื่อมโยงความรูตาง ๆ ทางคณิตศาสตรและเชื่อมโยงคณิตศาสตรกับศาสตรอ่ืน และการคิดริเร่ิมสรางสรรค นอกจากนั้นกิจกรรมการเรียนรู ควรสงเสริมใหผูเรียนตระหนักใน คุณคาและมีเจตคติที่ดีตอวิชาคณิตศาสตร ตลอดจนฝกใหนักเรียนทํางานอยางเปนระบบ มีระเบียบวินัย รอบคอบมีความรับผิดชอบ มีวิจารณญาณ และมีความเชื่อมั่นในตนเอง
52
ปญหาและขอเสนอแนะ1. ในการเริ่มตนสอนบทนี้ ผูสอนควรเริ่มตนสอนโดยถือเสมือนวาผูเรียนไมเคยเรียนตรีโกณมิติ
มาเลย เพื่อใหผูเรียนเขาใจวาฟงกชันตรีโกณมิติเปนฟงกชันของจํานวนจริงกอน แลวจึงคอยกลาวถึงฟงกชันตรีโกณมิติของมุม ดังลําดับหัวขอที่ใหไวในหนังสือเรียน มิฉะนั้นจะเปนการยากที่จะใหผูเรียนเขาใจบทนิยามของฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริง เนื่องจากผูเรียนมักจะนึกถึงฟงกชันของมุมและคาของฟงกชันของมุม
2. ความรูพื้นฐานในการเรียนบทนี้ไดแกความรูในเรื่องวงกลมหนึ่งหนวย การสมมาตรและความยาวของสวนโคงของวงกลม
3. เมื่อเร่ิมสอน ผูสอนควรทําใหผูเรียนเขาใจเกี่ยวกับการวัดระยะไปตามสวนโคงของวงกลมหนึ่งหนวยใหยาว θ หนวย โดยเริ่มวัดจากจุด (1, 0) ไปถึงจุด (x, y) โดยคิดทิศทางและควรกําหนด θ เปนจํานวนจริงตาง ๆ เชน 2, -2, 7, 1
3, 2 เปนตน จํานวนจริงที่สําคัญอีกจํานวนหนึ่งก็คือ π ซ่ึงเปน
จํานวนอตรรกยะที่มีคา 3.14159265358979323846… เหตุที่ใชจํานวนจริง π เพราะความยาวของเสนรอบวงอยูในรูปของ π และในการนิยามฟงกชันตรีโกณมิติ จะนิยามโดยใชวงกลมหนึ่งหนวย ในบทนี้จะใชคา πเทากับ 3.1416
4. กราฟของความสัมพันธ 2 2{ (x, y) (x h) (y k) 1 }− + − = จะเปนวงกลมรัศมี 1 หนวย (unitcircle) ซ่ึงมีจุดศูนยกลางอยูที่จุด (h, k) ในหนังสือเรียนนี้เมื่อกลาวถึง วงกลมหนึ่งหนวย (The unit circle)จะหมายถึงวงกลมรัศมี 1 หนวยที่มีจุดศูนยกลางอยูที่จุดกําเนิดซึ่งเปนกราฟของความสัมพันธ
2 2{ (x, y) x y 1 }+ = เทานั้น5. ผูสอนควรใหผูเรียนเขาใจความหมายของสัญลักษณ เชน cos θ 2 , cos2θ , (cos θ)2 วาเหมือน
กันหรือตางกันอยางไร6. ในการหาคาของฟงกชันไซนและโคไซนของจํานวนจริงบางจํานวน เชน , ,
6 4 3π π π นั้นใชทฤษฎี
ทางเรขาคณิตเกี่ยวกับวงกลม ดังนั้นเพื่อชวยใหผูเรียนเขาใจไดรวดเร็วข้ึน ผูสอนควรทบทวนทฤษฎีบทตอไปนี้“ในวงกลมเดียวกันหรือวงกลมที่เทากัน คอรดที่ตัดสวนโคงออกไดยาวเทากันยอมยาวเทากัน”
ผูสอนอาจชวยใหผูเรียนเขาใจทฤษฎีบทดังกลาวไดดังนี้6.1 โดยใชความรูเกี่ยวกับสมมาตรซึ่งใชวิธีพับรูปใหทับกันสนิท เชน จากรูป ใหสวนโคง AB เทากับสวนโคง BC จะเห็นวา OB เปนแกนสมมาตร ของรูปสามเหลี่ยมฐานโคง OAB กับรูปสามเหลี่ยมฐานโคง OBC AB ทับกับ BC สนิท นั่นคือ คอรด AB เทากับคอรด BC6.2 โดยการพิสูจน ซ่ึงการพิสูจนนี้ตองใชความรูที่วา “ในวงกลมเดียวกัน
O
BA
C
53
หรือวงกลมที่เทากัน มุมที่จุดศูนยกลางซึ่งรองรับดวยสวนโคงที่เทากัน ยอมเทากัน” ดังนี้ให A เปนจุดศูนยกลางของวงกลม และใหสวนโคง BC ยาวเทากับสวนโคง CDดังนั้น BAC CAD
∧ ∧
=
จะได ∆ ABC ≅ ∆ ACD (ด.ม.ด.)ดังนั้น คอรด BC ยาวเทากับคอรด CD
หมายเหตุ สําหรับความรูที่วา “ในวงกลมเดียวกันมุมที่จุดศูนยกลางซึ่งรองรับดวยสวนโคงที่เทากันยอมยาวเทากัน” นั้น ผูเรียนไดเรียนมาแลวในชั้นชวงชั้นที่ 3 ซ่ึงผูสอนอาจทบทวนความรูดังกลาวโดยใชวิธีดังตอไปนี้
มุมที่จุดศูนยกลางซึ่งรองรับดวยสวนโคงที่ยาว 2πr หนวย มีขนาดกี่องศา ( 360° )
มุมที่จุดศูนยกลางซึ่งรองรับดวยสวนโคงที่ยาว 1 หนวย มีขนาดกี่องศา (r
180π
o
)
มุมที่จุดศูนยกลางซึ่งรองรับดวยสวนโคงที่ยาว a หนวย มีขนาดกี่องศา (r
180π
o
) a
ดังนั้นถามีสวนโคงยาว a หนวยเทากันและ r เปนรัศมีของวงกลมมุมที่จุดศูนยกลางจึงเทากันคือ 180a
rπ องศา
7. หนังสือเรียนจะแสดงเฉพาะ θ ที่เปนบวกและจุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย อยูในควอดรันตที่หนึ่งผูสอนควรแสดงรูปในกรณีที่จุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย ตกอยูในควอดรันตที่ 2 (ดังรูป ก) หรือควอดรันตที่ 3หรือควอดรันตที่ 4 ตลอดจนกรณีที่ θ เปนจํานวนลบ เชน ดังรูป ขเพื่อใหผูเรียนเห็นวาสําหรับทุกคาของ θ ∈ R
sin ( - θ ) = - sin θcos ( - θ ) = cos θ
8. หลังจากที่ผูเรียนไดรูจักฟงกชัน tangent, cotangent, cosecant และ secant แลวควรใหผูเรียน
AB
C D
aar
O
Y
X(1, 0)
θ
- θ
0
รูป กY
X(1, 0)- θ
θ
0
รูป ข
54
สรุปขอความตอไปนี้ได โดยใชบทนิยามของฟงกชันเหลานี้และผลที่ไดจากขอ 7 เมื่อ θ เปนจํานวนจริง
tan ( - θ ) = - tan θcot ( - θ ) = - cot θcosec ( - θ ) = - cosec θsec ( - θ ) = sec θ
9. คาของฟงกชันตรีโกณมิติในตารางที่กําหนดไวใหทายหนังสือเรียนนั้น สวนใหญเปนคาโดยประมาณ แตมีบางคาที่เปนคาที่ถูกตอง เชน sin 30° = 0.5000, tan 45° = 1.0000 ในหนังสือเรียนจะเขียนคาของฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริง (หรือมุม) ที่กําหนดใหวาเทากับคาที่อานไดจากตาราง จะไมใชเครื่องหมาย ≈ เชน sin
4π = 0.7071
ถาตองการจะตรวจสอบวาคาของฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริง (หรือมุม) ที่กําหนดใหคาใดเปนคาโดยประมาณ คาใดเปนคาที่แทจริง อาจทําไดโดยอาศัยสมการ sin 2θ + cos 2θ = 1 ถาคานั้นสอดคลองกับสมการแสดงวาเปนคาที่แทจริง ถาใกลเคียงก็แสดงวาเปนคาประมาณ เชน
จากตาราง sin 41° = .6561 cos 41° = .7547
จะได sin2 41° + cos2 41° = .430467 + .569572 ≈ 1.000 จะเห็นวาคาดังกลาวไมสอดคลองกับสมการ sin 2θ + cos 2θ = 1
ดังนั้นคา sin2 41° และ cos2 41° ที่ไดจากตารางจึงเปนคาโดยประมาณ10. ผูสอนควรใหผูเรียนสังเกตวา เมื่อ 0 ≤ x ≤
2π
1) sin x, tan x, sec x จะมีคาเพิ่มขึ้น เมื่อ x เพิ่มขึ้น 2) cos x, cot x, cosec x จะมีคาลดลง เมื่อ x เพิ่มขึ้น
3) sin x, tan x, sec x จะมีคาลดลง เมื่อ x ลดลง 4) cos x, cot x, cosec x จะมีคาเพิ่มขึ้น เมื่อ x ลดลง
ขอสังเกตนี้มีประโยชนในการเขียนกราฟและการหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติเมื่อกําหนดจํานวนจริง (หรือมุม) ให หรือการหาจํานวนจริง (หรือมุม) เมื่อกําหนดคาของฟงกชันตรีโกณมิติให โดยที่คาที่กําหนดใหนั้นไมอยูในตาราง ดังนั้น การประมาณคาของฟงกชันตรีโกณมิติที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง จึงควรจะพิจารณาสมบัติของฟงกชันดังกลาวขางตน
55
11. ในการสอนใหผูเรียนเขียนกราฟของ y = sin x หรือ y = cos x โดยใชวงกลมหนึ่งหนวยนั้นผูสอนอาจสรางและใชอุปกรณดังนี้
วัสดุท่ีใช ไม 2 แผน (แผนบนเปนรูปวงกลมหนึ่งหนวยติดอยูบนแผนไมรูปสี่เหล่ียม)ตะปูและเชือก 1 เสน (หรือแถบกระดาษ)
วิธีใช 1) ใชเชือกหรือแถบกระดาษวัดรอบรูปวงกลมหนึ่งหนวย ความยาวที่ไดจะเปน 2π หนวย แลวแบงสเกลบนเชือกหรือแถบกระดาษเปน π,
2π ,
3π ,
4π ,
8π หรือจํานวนอื่นๆ
ตามตองการ 2) ใชเชือกหรือกระดาษวัดระยะไปตามสวนโคง (โดยคิดทิศทาง) จนไดความยาวของ สวนโคง ตามตองการ ใหจุดปลายของสวนโคงนั้นเปนจุด B หาระยะหางระหวาง จุด B กับ สวนของเสนตรง AM และ สวนของเสนตรง PQ (โดยคิดเครื่องหมาย) ไดเปนระยะ BF และ BD ตามลําดับ 3) นําคาของความยาวของสวนโคงถึงจุด B กับระยะ BF มาลงจุด ( AB , BF ) บน ระนาบแกนมุมฉาก XY โดยท่ี
แกน X เปนแกนบอกความยาวของสวนโคง โดยคิดทิศทางการวัดแกน Y เปนแกนบอกระยะหางระหวางจุดปลายโคงนั้นกับ สวนของเสนตรง AM (คิดทิศทางการวัด)
4) จุดอื่น ๆ จะหาไดในทํานองเดียวกัน เชน ( AC , CE )− ทําเชนนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะได กราฟของ y = sin x
5) ในทํานองเดียวกัน กราฟของ y = cos x หาไดจากการลงจุดซึ่งเปนคูอันดับของ
M A (1, 0)
PD B
FE
C GQ
0
56
ความยาวสวนโคง กับ ระยะตั้งฉากจากจุดปลายสวนโคงนั้นกับสวนของเสนตรง PQ(บนระนาบแกนมุมฉาก XY) โดยคิดทิศทางการวัด เชน ( AB , BD )
หมายเหตุ AB หมายถึงความยาวของสวนโคง AB
12. ในการใชตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติเพื่อหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติที่ θ เมื่อกําหนด θ ใหหรือเพื่อหาคา θ เมื่อกําหนดคาของฟงกชันตรีโกณมิติที่ θ นั้น ผูสอนควรจะทบทวนสมบัติของฟงกชันดังตอไปนี้
1) ถา f เปนฟงกชัน และ θ1 = θ2
จะได f (θ1) = f (θ2) เชน ถา θ =
4π จะได sin θ = sin
4π
2) ถา f เปนฟงกชันแตไมเปนฟงกชัน 1 - 1และ f (θ1) = f (θ2)
ไมอาจสรุปไดวา θ1 = θ2
เชน จาก sin π = 0 และ sin 2π = 0 ดังนั้น sin π = sin 2π = 0
แต π ≠ 2π
13. ในการพิจารณาชวงที่มีกราฟเหมือนกันของฟงกชันที่เปนคาบ (periodic function) นั้นจะเริ่มจากจุดใดก็ได เชน กราฟของ y = sin x ซ่ึงมีคาบเปน 2π อาจพิจารณาชวงที่มีกราฟซ้ํากันไดดังรูป
14. ในเรื่องของฟงกชันที่เปนคาบ นอกจากจะกลาวถึงเรื่องคาบ ยังกลาวถึงเรื่องแอมพลิจูด ซ่ึงคาบและแอมพลิจูดจะบอกลักษณะและขอบเขตของกราฟ ดังนั้น ผูสอนควรใหผูเรียนเขียนกราฟเหลานี้บนกระดาษกราฟแลวใหสังเกตดูวากราฟของแตละฟงกชันมีคาบและมีแอมพลิจูดเปนอยางไร เชน
X
Y
01
-1-π-2π π 2π
2π 2π
2π 2π 2π2π 2π
57
จากรูป กราฟของ y = sin x และ y = 2sin x มีคาบเทากันคือ 2π แตมีแอมพลิจูดตางกันคือ มีคาเปน 1 และ 2 ตามลําดับ
15. ในหนังสือเรียนไมไดใหบทนิยามของฟงกชันที่เปนคาบไว เพราะไมไดมุงหวังใหผูเรียนสามารถพิสูจนไดวาฟงกชันที่กําหนดใหเปนฟงกชันที่เปนคาบหรือไม สําหรับบทนิยามของฟงกชันที่เปนคาบเปนดังนี้
“ฟงกชัน f ซ่ึงไมเปนฟงกชันคงตัว จะเปนฟงกชันที่เปนคาบก็ตอเมื่อมีจํานวนจริง p ที่ทําใหf (x + p) = f (x) สําหรับทุกคาของ x และ x + p ที่อยูในโดเมนของ f
และถา p เปนจํานวนบวกที่นอยที่สุดที่ทําใหฟงกชัน f มีสมบัติดังกลาวจะเรียก p วาคาบ(fundamental period) ของฟงกชัน f”
16. เนื่องจากบทเรียนนี้เปนการใหนักเรียนรูจักฟงกชันตรีโกณมิติในลักษณะของฟงกชันที่จับคูระหวางจํานวน θ ซ่ึงเปนความยาวของสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยกับจํานวนจริงซึ่งสัมพันธกับจุดปลายของสวนโคง ผูสอนควรเริ่มตนดวยการทบทวนความหมายของฟงกชันเสียกอน และใหผูเรียนไดเรียนรูและเกิดทักษะในการแกปญหาเกี่ยวกับฟงกชันไซน และฟงกชันโคไซนใหดีกอนที่จะแนะนําใหรูจักฟงกชันตรีโกณมิติอ่ืนๆ เพื่อใหผูเรียนเกิดแนวคิดที่ชัดเจนและสามารถนําแนวคิดที่ไดไปปรับใชได
17. กรณีที่ผูเรียนมีความสับสนในการจับคูระหวางความยาวสวนโคง 3π
, 4π
และ 6π
กับคูอันดับ (21
, 23
) , ( 2
1,
21
) และ (23
,21
) ผูสอนอาจใหผูเรียนวาดรูปเพื่อแสดงจุดปลาย
ของสวนโคงที่ยาว 3π
, 4π
และ 6π
และเปรียบเทียบคาของ 21
, 23
และ 2
1 วาสามารถเรียงคาจาก
มากไปนอยหรือจากนอยไปมากไดเชนใด ก็จะชวยใหผูเรียนสามารถจับคูระหวางความยาวสวนโคงและจุดปลายสวนโคงไดถูกตอง
X
Y
y = 2sin xy = sin x
π012
-2-1
-π-2π 2π
58
18. เมื่อผูเรียนสามารถหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงหรือของมุม α ± β ไดแลว
ผูสอนควรใหผูเรียนหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติ π ± α , 2π± α เปรียบเทียบกับผลที่ไดมากอนหนานี้
เชน ผูเรียนควรหาไดวาsin (π + α) = sin πcos α + cos πsin α
= - sin α
หรือ cos(2π
- α ) = cos2π
cos α + sin 2π
sin α
= sin α เปนตน ในกรณีที่หาคา tan ( )
2π± α และ cot ( )
2π± α ตองเปลี่ยนใหอยูในรูป sin ( )
2π± α และ
cos ( )2π± α เสียกอน19. ในหนังสือเรียนไมไดกลาวถึงโดเมนและเรนจของฟงกชันผกผันของฟงกชัน cotangent, cosecant
และ secant ซ่ึงถาผูเรียนถามผูสอนอาจตอบวาหนังสือบางเลมกําหนดโดเมนและเรนจดังนี้
ฟงกชัน โดเมน เรนจarccotangent R {y | 0 < y < π}arcsecant {x | x ≥ 1 หรือ x ≤ -1} {y | 0 ≤ y <
2π หรือ
2π < y ≤ π}
arccosecant {x | x ≥ 1 หรือ x ≤ -1} {y | 0 < y ≤ 2π หรือ -
2π ≤ y < 0}
20. ผูสอนควรบอกผูเรียนวาเอกลักษณใดที่ไดพิสูจนแลว สามารถนําไปอางอิงได และผูสอนควรแนะนําเอกลักษณที่เห็นวาสําคัญ เชน
1) เอกลักษณพื้นฐาน (basic identities) 1sin
cscθ =
θ
1cossec
θ =θ
sin 1tancos cot
θθ = =
θ θ
sin ( ) sin−θ = − θ
cos ( ) cos−θ = θ
tan ( ) tan−θ = − θ
59
2) เอกลักษณแบบพีทาโกรัส (Pythagorean identities) 2 2sin cos 1θ + θ =
2 21 tan sec+ θ = θ
2 21 cot csc+ θ = θ
3) เอกลักษณแบบฟงกชันรวม (Cofunction identities) sin ( x) cos x
2π− =
cos ( x) sin x2π− =
tan ( x) cot x2π− =
4) เอกลักษณแบบผลบวกและผลตาง sin ( ) sin cos cos sinα ± β = α β ± α β
cos ( ) cos cos sin sinα ± β = α β α βm
tan tantan ( )1 tan tan
α ± βα ± β =
α βm
5) เอกลักษณแบบจํานวนทวีคูณ sin 2x 2 sin x cos x=
2 2cos 2x cos x sin x= −
2
2 tan xtan 2x1 tan x
=−
2 1 cos 2xsin x2
−=
2 1 cos 2xcos x2
+=
6) เอกลักษณแบบครึ่งมุม x 1 cos xsin
2 2−
= ±
x 1 cos xcos2 2
+= ±
x 1 cos xtan2 1 cos x
−= ±
+
60
21. เพื่อใหผูเรียนไมมีความรูสึกวาเอกลักษณตรีโกณมิติมีมากเกินไป ผูสอนควรใหผูเรียนเลือกจําเฉพาะบางเอกลักษณ แลวนําเอกลักษณเหลานั้นไปพัฒนาเปนเอกลักษณอ่ืนๆ เชน
จากเอกลักษณ 2 2sin cos 1θ + θ = ซ่ึงไดมาจากสมการของวงกลมหนึ่งหนวย x2 + y2 = 1 เมื่อนํา sin2θ หารตลอดจะได
2 21 cot csc+ θ = θ
เมื่อนํา cos2θ หารตลอดจะได tan2θ + 1 = sec2θ
หรือจากเอกลักษณ sin( α+ β) สามารถพัฒนาไปสู sin 2x เปนตน
22. ในการสอนการพิสูจนเอกลักษณ สําหรับผูเรียนที่มีความสามารถทางการเรียนไมมากนัก ผูสอนควรเริ่มตนจากการยกตัวอยางที่งายกอน แลวจึงคอยๆยกตัวอยางที่ยากขึ้น เพื่อให ผูเรียนไมเกิดความทอถอยตั้งแตแรก ดังตัวอยางตอไปนี้
ตัวอยางที่ 1 จงพิสูจนวา sin2(–θ) + cos2(–θ) = 1วิธีทํา sin2(–θ) + cos2(–θ) = [sin(–θ)]2 + [cos(–θ)]2
= (–sin θ)2 + (cos θ)2
= (sin θ)2 + (cos θ)2
= 1
ตัวอยางที่ 2 จงพิสูจนวา 2 2sin ( ) cos ( )sin( ) cos( )
−θ − −θ−θ − −θ
= cos θ – sin θ
วิธีทํา2 2sin ( ) cos ( )sin( ) cos( )
−θ − −θ−θ − −θ
=2 2[sin( )] [cos( )]
sin( ) cos( )−θ − −θ−θ − −θ
=2 2( sin ) (cos )
sin cos− θ − θ− θ− θ
=2 2(sin ) (cos )
sin cosθ − θ
− θ− θ
= (sin cos )(sin cos )(sin cos )
θ− θ θ+ θ− θ+ θ
= cos θ – sin θ
61
ตัวอยางที่ 3 จงพิสูจนวา 1 tan1 cot+ θ+ θ
= tan θ
วิธีทํา 1 tan1 cot+ θ+ θ
= 1 tan11tan
+ θ
+θ
= 1 tantan 1tan
+ θθ+θ
= tan (1 tan )tan 1θ + θ
θ+= tan θ
ตัวอยางที่ 4 จงพิสูจนวา sin 1 cos1 cos sin
θ + θ+
+ θ θ = 2 csc θ
วิธีทํา sin 1 cos1 cos sin
θ + θ+
+ θ θ=
2 2sin (1 cos )(1 cos )(sin )
θ+ + θ+ θ θ
=2 2sin 1 2cos cos(1 cos )(sin )θ+ + θ+ θ+ θ θ
=2 2(sin cos ) 1 2cos(1 cos )(sin )θ+ θ + + θ+ θ θ
= 2 2cos(1 cos )(sin )
+ θ+ θ θ
= 2(1 cos )(1 cos )(sin )
+ θ+ θ θ
= 2(1 cos )(1 cos )(sin )
+ θ+ θ θ
= 2sinθ
= 2 csc θ
ตัวอยางที่ 5 จงพิสูจนวา 1 coscos 1 sin
θ−
θ + θ = tan θ
วิธีทํา 1 coscos 1 sin
θ−
θ + θ=
21 sin coscos (1 sin )+ θ− θ
θ + θ
=2sin (1 cos )
cos (1 sin )θ+ − θθ + θ
62
=2sin sin
cos (1 sin )θ+ θθ + θ
= sin (1 sin )cos (1 sin )
θ + θθ + θ
= tan θ
23. การพิสูจนเอกลักษณโดยทั่ว ๆ ไปไมมีกฏเกณฑแนนอนตายตัว เพียงแตพยายามแสดงใหเห็นวาทั้งสองขางของสมการนั้นเทากันจริงสําหรับทุกคาของสมาชิกที่อยูในโดเมนของฟงกชันทั้งหมดในสมการโดยอาศัยเอกลักษณที่พิสูจนแลวการพิสูจนเอกลักษณอาจจะเริ่มทําจากนิพจนที่อยูทางซายของสมการใหเหมือนกับนิพจนที่อยูทางขวาของสมการ หรือทําจากนิพจนที่อยูทางขวาของสมการใหเหมือนกับนิพจนที่อยูทางซายของสมการ หรืออาจจะทําจากนิพจนที่อยูแตละขางของสมการใหผลสุดทายเปนนิพจนเดียวกันสําหรับบางเอกลักษณการทําจากนิพจนที่อยูแตละขางของสมการใหผลสุดทาย เปนนิพจนเดียวกันจะสะดวกกวาการทําจากนิพจนขางใดขางหนึ่งใหเหมือนกับนิพจนอีกขางหนึ่งดังตัวอยางตอไปนี้
จงพิสูจน 2 2tan sin cot cos 2 sin cos cot tanθ θ + θ θ + θ θ = θ + θ
LS = 2 2sin cossin cos 2 sin coscos sin
θ θθ + θ + θ θ
θ θ
=3 3sin cos 2 sin cos
cos sinθ θ+ + θ θ
θ θ
=4 4 2 2sin cos 2 sin cos
sin cosθ + θ + θ θ
θ θ
=2 2 2 2(sin cos ) (sin cos )
sin cosθ + θ θ + θ
θ θ
= 1sin cosθ θ
RS = cos sinsin cos
θ θ+
θ θ
=2 2cos sinsin cosθ + θθ θ
= 1sin cosθ θ
LS = RS
24. ในเรื่องการแกสมการตรีโกณมิติ เมื่อเอกภพสัมพัทธคือ เซตของจํานวนจริงหรือมุม ในกรณีที่หาคา θ เมื่อ 0 < θ < 2π ไดมากกวา 1 คานั้น การตอบคําตอบในรูปของคาทั่วไป ไมจําเปนตองใหผูเรียน
63
เขียนคําตอบรวมเปนคาเดียวเสมอไป ผูเรียนสามารถตอบในรูปของคาทั่วไปของแตละคาของ θ เมื่อ0 < θ < 2π ไดก็เพียงพอแลว ตัวอยางเชนจงแกสมการ cot θ = 1จะได θ = 5,
4 4π π เมื่อ 0 ≤ θ < 2π
ดังนั้น คาทั่วไปของ θ คือ 2nπ + 4π และ 2nπ + 5
4π เมื่อ n ∈ I
ผูเรียนไมจําเปนตองตอบไดวาคาทั่วไปของ θ คือ nπ + 4π เมื่อ n ∈ I
25. ในโจทยปญหาที่เกี่ยวกับเรื่องระยะทางและความสูง กรณีที่โจทยกลาวถึงผูสังเกตมองดูวัตถุเปนมุมกมหรือมุมเงย โดยที่โจทยไมไดกําหนดความสูงของผูสังเกตให ใหถือวาความสูงของผูสังเกตเปนศูนยหนวย
กิจกรรมเสนอแนะบทนิยามของฟงกชันไซนและโคไซน
ในการสอนบทนิยามของฟงกชันไซนโดยใชวงกลมหนึ่งหนวย ตลอดจนการหาคาของฟงกชันนั้นผูสอนควรทบทวนเกี่ยวกับการสมมาตรและความยาวของเสนรอบวงซึ่งอาจทําไดดังนี้
1. ผูสอนทบทวนความรูเร่ืองสมมาตร โดยใหผูเรียนดูจากรูปและบอกแกนสมมาตร เชน
รูปสี่เหล่ียมนี้มีเสนทแยงมุมเปนแกนสมมาตร
สวนโคงครึ่งวงกลมนี้มีแกน Y เปนแกนสมมาตร
Y
X0
64
สวนของเสนตรง AB สมมาตรกับสวนของเสนตรง CD โดยมีแกน Y เปนแกนสมมาตร
จุด A สมมาตรกับจุด D โดยมีแกน Y เปน แกนสมมาตร
จากความรูเร่ืองสมมาตรนี้จะนําไปใชในการหาโคออรดิเนตของจุดตาง ๆผูสอนกําหนดจุดสองจุดใด ๆ ซ่ึงสมมาตรกันโดยมีแกน X หรือแกน Y เปนแกนสมมาตรและ
กําหนดโคออรดิเนตของจุดหนึ่งให ใหผูเรียนบอกโคออรดิเนตของอีกจุดหนึ่ง เชน จากรูป
ใหจุด A (4, 1) สมมาตรกับจุด B โดยมีแกน X เปนแกนสมมาตรใหจุด P(-2, 3) สมมาตรกับจุด Q โดยมีแกน Y เปนแกนสมมาตรผูเรียนควรบอกไดวาโคออรดิเนตของจุด B และ Q คือ(4, -1) และ (2, 3) ตามลําดับ
2. ผูสอนทบทวนเรื่องวงกลมซึ่งผูเรียนควรจะบอกสิ่งตอไปนี้ได 2.1 ความสัมพันธ 2 2{ (x, y) x y 1 }+ = มีกราฟเปนวงกลม จุดศูนยกลางอยูที่จุด (0, 0)
รัศมี 1 หนวย ซ่ึงผูสอนแนะนําผูเรียนวาจะเรียกวงกลมนี้วา “วงกลมหนึ่งหนวย” 2.2 เสนรอบวงของวงกลมหนึ่งหนวยยาว 2π หนวย 2.3 วงกลมหนึ่งหนวยตัดแกน X ที่จุด (1, 0) และ (-1, 0) ตัดแกน Y ที่จุด (0, 1) และ
(0, -1) 2.4 ความยาวของสวนโคงของวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) ในทิศทวนเข็มนาฬิกา
ไปยังจุด (0, 1) , (-1, 0) , (0, -1) , (1, 0) ยาวเทากับ 3, ,2 2π π
π และ 2π หนวย ตามลําดับ 2.5 ความยาวของสวนโคงของวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) ในทิศทวนเข็มนาฬิกา
ไปยังจุดกึ่งกลางของสวนโคงที่เชื่อมระหวาง 1) จุด (1, 0) กับจุด (0, 1) ยาว
4π หนวย
2) จุด (0, 1) กับจุด (-1, 0) ยาว 34π หนวย
C D A B
O
Y
X
Y
X
QP(-2, 3)
A(4, 1)
B0
65
3) จุด (-1, 0) กับจุด (0, -1) ยาว 54π หนวย
4) จุด (0, -1) กับจุด (1, 0) ยาว 74π หนวย
ผูสอนบอกขอตกลงกับผูเรียนวาถาวัดระยะสวนโคงไปในทิศทางตามเข็มนาฬิกา จะแทนความยาวของสวนโคงดวยจํานวนลบ แตถาวัดทวนเข็มนาฬิกาจะแทนความยาวของสวนโคงดวยจํานวนบวก แลวผูสอนใหผูเรียนบอกความยาวสวนโคง ดังเชนในขอ 2.4 และ 2.5 แตใหวัดในทิศตามเข็มนาฬิกา
3. ผูสอนใหผูเรียนบอกโคออรดิเนตของจุดปลายของสวนโคงของวงกลมหนึ่งหนวยที่เร่ิมวัดจากจุด (1, 0) ไปยาว θ หนวย (โดยคิดทิศทาง) ซ่ึงผูสอนตกลงกับผูเรียนวาตอไปนี้จะเรียกจุดปลายที่ไดวา “จุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย” และผูสอนอาจใชวิธีการดังนี้
3.1 ผูสอนใหผูเรียนบอกจุดปลายสวนโคงที่ยาว 0, 2π , π, 3
2π , 2π ซ่ึงผูเรียนควรตอบไดวา
คือจุด (1, 0) , (0, 1) , (-1, 0) , (0, -1) , (1, 0) ตามลําดับ 3.2 ผูสอนใหผูเรียนบอกจุดปลายสวนโคงที่ยาว
2π
− , - π, 32π
− , -2π ซ่ึงผูเรียนควรตอบไดวาคือจุด (0, -1) , (-1, 0) , (0, 1) , (1, 0) ตามลําดับ
3.3 ผูสอนและผูเรียนอาจชวยกันหาจุดปลายสวนโคงที่ยาว , ,4 6 3π π π หนวย โดยยังไมตอง
กลาวถึงชื่อไซนและโคไซน หลังจากชวยกันหาไดแลว ผูเรียนควรบอกจุดปลายของสวนโคงที่ยาวn n n, ,4 6 3π π π เมื่อ n เปนจํานวนเต็มได โดยใชวิธีการนับเพิ่มทีละสวน และในทํานองเดียวกันควรบอกจุด
ปลายสวนโคงที่ยาว 2n , 2n , 2n4 6 3π π π
π + π + π + ได เมื่อ n เปนจํานวนเต็มใดๆ4. ผูเรียนควรสรุปไดวา เมื่อกําหนดจํานวนจริง θ ให 1 คาก็จะมีจุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย
เพียงจุดเดียวเทานั้น เชนถา
4π
θ = จะไดจุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย จุดเดียวเทานั้น คือ จุด 2 2( , )2 2
ถา 6π
θ = จะไดจุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย จุดเดียวเทานั้น คือ จุด 3 1( , )2 2
ถา 2π
θ = จะไดจุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย จุดเดียวเทานั้น คือ จุด ( 0, 1 )
5. จากขอ 4 ผูสอนใหผูเรียนบอกคูอันดับซึ่งสมาชิกตัวหนาเปนจํานวนจริง θ ที่แทนความยาวสวนโคง และสมาชิกตัวหลัง คือ พิกัดหลังของจุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย ซ่ึงผูเรียนควรบอกคูอันดับไดเชน 2 1( , ) , ( , ) , ( ,1)
4 2 6 2 2π π π
66
ผูสอนและผูเรียนชวยกันสรุปวา เนื่องจากคูอันดับเหลานี้มีเปนจํานวนมาก จึงไมสามารถเขียนเซตของคูอันดับดังกลาวแบบแจกแจงจากสมาชิกได แตสามารถเขียนเซตนี้แบบบอกเงื่อนไขได
6. ผูสอนและผูเรียนชวยกันเขียนเซตของคูอันดับดังกลาวแบบบอกเงื่อนไข จะได f = { (θ, y)θ เปนจํานวนจริง และ y เปนพิกัดหลังของจุด ( x, y) ซ่ึงเปนจุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย}
ผูสอนถามผูเรียนวา f เปนฟงกชันหรือไม ซ่ึงผูเรียนควรจะตอบไดวาเปนฟงกชันพรอมทั้งบอกเหตุผลได
ผูสอนบอกผูเรียนวาฟงกชันนี้ เรียกวา ฟงกชันไซน (sine) ดังนั้นsine คือ { (θ, y)θ เปนจํานวนจริง และ y เปนพิกัดหลังของจุด( x, y) ซ่ึงเปนจุดปลายสวนโคงที่ยาว θหนวย}
7. ผูสอนทบทวนความรูในเรื่องคาของฟงกชันวา เมื่อ f เปนฟงกชัน และ (x, y) ∈ f จะไดวา y เปนคาของฟงกชัน f ที่ x หรือเขียนไดวา y = f (x)
ดังนั้นผูเรียนควรบอกไดวา เมื่อ (θ, y) ∈ sine จะไดวา y เปนคาของฟงกชันไซนที่ θ หรือเขียนไดวา y = sine(θ) ซ่ึงผูสอนบอกผูเรียนวานิยมเขียนเปน y = sin θ
8. ผูสอนใหผูเรียนบอกคูอันดับซึ่งสมาชิกตัวหนาเปนจํานวนจริง θ ที่แทนความยาวสวนโคงและสมาชิกตัวหลังคือ พิกัดแรกของจุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย แลวใชวิธีการในทํานองเดียวกันกับขอ 5, 6และ 7 เพื่อใหนักเรียนสรุปไดวา x = cosine(θ) หรือ x = cos θ
9. ผูสอนใหผูเรียนบอกโดเมนและเรนจของฟงกชันทั้งสองซึ่งผูเรียนควรบอกไดวาDsine = Dcosine = RRsine = Rcosine = {x 1 x 1}− ≤ ≤
10. ผูสอนฝกใหผูเรียนหาคาของฟงกชันไซนและโคไซนที่ θ สําหรับ θ บางจํานวน เชน50, , , , ,
2 3 6 6π π π π
π ฯลฯ11. ผูสอนใหผูเรียนหาความสัมพันธระหวาง sin θ และ cos θ ซ่ึงผูเรียนควรสรุปไดวา
sin2θ + cos2θ = 112. ผูสอนแนะนําใหผูเรียนเขาใจความหมายของสัญลักษณ cos2θ กับ (cos θ)2 และ cos θ2
ฟงกชันตรีโกณมิติอ่ืน ๆในการสอนเกี่ยวกับบทนิยามของฟงกชันตรีโกณมิติอ่ืน ๆ ผูสอนอาจทบทวนความรูเร่ืองพีชคณิต
ของฟงกชันและใชวิธีการดังตอไปนี้
67
1. ผูสอนยกตัวอยางฟงกชันพีชคณิต 2 ฟงกชัน แลวใหผูเรียนหาผลหารของฟงกชันพรอมทั้งบอกโดเมนของฟงกชันผลลัพธ เชน
ให f = { (x, y) | y = 1} g = { (x, y) | y = x - 5}
ซ่ึงผูเรียนควรตอบไดวา f 1{(x, y) y }g x 5
= =−
และ โดเมนของ fg
คือ { x | x ≠ 5 }
2. ผูสอนกําหนดฟงกชัน g และ h ตอไปนี้ g = { (θ, y) | y = sin θ}
h = { (θ, y) | y = cos θ} ใหผูเรียนบอกโดเมนของ g และ h และใหหา g
h และ
gh ผูเรียนควรตอบไดวา
Dh = Dg = R g
h = { (θ, y) | y = sin
cosθθ
, cos θ ≠ 0}hg
= { (θ, y) | y = cossin
θθ
, sin θ ≠ 0}
3. ผูสอนบอกผูเรียนวาฟงกชัน gh
นี้เรียกวาฟงกชัน tangent และ gh เรียกวา ฟงกชัน cotangent
และเนื่องจาก (θ, y) ∈ tangent ผูเรียนควรบอกไดวา y = tangent θ = sin
cosθθ
, cos θ ≠ 0
ในทํานองเดียวกันเมื่อ (θ, y) ∈ cotangent ผูเรียนควรบอกไดวา y = cotangent θ = cos
sinθθ
, sin θ ≠ 0
4. ผูสอนแนะนําผูเรียนวาอาจเขียน “tangent” ยอๆ เปน “tan” ได แลวผูสอนใหผูเรียนหาโดเมนและเรนจของฟงกชัน tan ซ่ึงผูเรียนควรตอบไดวา
Dtan = { x | x ∈ Dsin ∩ Dcos , cos x ≠ 0 } แต cos x ≠ 0 เมื่อ x ≠ n
2π , โดยที่ n เปนจํานวนคี่
นั่นคือ Dtan = { x | x ∈ R , x ≠ n2π , n เปนจํานวนคี่ }
และแนะนําฟงกชัน cot ในทํานองเดียวกัน5. ผูสอนใชคําถามเพื่อใหผูเรียนสรุปเกี่ยวกับฟงกชัน cosecant ดังนี้
ถาให f = { (θ, y) | y = 1} g = { (θ, y) | y = sin θ}
68
จะได fg
= { (θ, y) | y = 1sin θ
, sin θ ≠ 0}
ผูสอนบอกผูเรียนวาฟงกชัน fg
นี้เรียกวาฟงกชัน cosecant ดังนั้น
cosecant คือ { (θ, y) | y = 1sin θ
, sin θ ≠ 0}
และเนื่องจาก (θ, y) ∈ cosecant ผูเรียนควรบอกไดวา y = cosecant θ = 1
sin θ , sin θ ≠ 0
6. ผูสอนแนะนําสัญลักษณ cosec และ csc แลวใหผูเรียนบอกโดเมนและเรนจของฟงกชันcosecant ผูเรียนควรตอบไดวา
Dcosec = { x | x ∈ Dsin ∩ R , sin x ≠ 0 } แต sin θ ≠ 0 เมื่อ θ ≠ nπ โดยที่ n เปนจํานวนเต็ม นั่นคือ Dcosec = { x | x ∈ R , x ≠ nπ , n ∈ I }
การพิจารณาเรนจของฟงกชัน cosecant คือพิจารณา cosec x ทําไดดังนี้ เนื่องจาก -1 ≤ sin x ≤ 1 นั่นคือ sin x 1≤
จะได 11sin x
≤
cosec x 1≥
นั่นคือ cosec x ≥ 1 หรือ cosec x ≤ -1 ดังนั้น Rcosec = { x | x ≥ 1 หรือ x ≤ -1 }7. ผูสอนใชวิธีการเดียวกันนี้สําหรับฟงกชันตรีโกณมิติอ่ืน ๆ8. ผูสอนใหผูเรียนหาความสัมพันธระหวางฟงกชันตรีโกณมิติตาง ๆ เชน 1 + tan2θ = sec2θ ,
1 + cot2θ = cosec2θ หลังจากนั้นฝกใหผูเรียนใชความสัมพันธเหลานี้ โดยการหาคาของฟงกชันหนึ่งเมื่อกําหนดคาของฟงกชันอีกฟงกชันหนึ่งให เชน
(1) กําหนด sin θ = 0.40 , 2π
< θ < π ใหหา cos θ (โดยใช sin2θ + cos2θ = 1) (2) กําหนด tan θ = 0.75 ,
2π
< θ < π ใหหา sec θ (โดยใช 1 + tan2θ = sec2θ ) (3) กําหนด cot θ = 0.75 ,
2π
< θ < π ใหหา cosec θ (โดยใช 1 + cot2θ = cosec2θ )
69
การหา cos (α - β) เม่ือ α , β เปนจํานวนจริงหรือมุมใด ๆ1. ผูสอนทบทวนความรูเกี่ยวกับฟงกชันตรีโกณมิติและระยะทางระหวางจุด 2 จุดซึ่งผูเรียนควรจะ
บอกไดวา 1.1 ถา (m, n) เปนจุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวยแลว จะได m = cos θ และ n = sin θ 1.2 2 2sin cos 1θ + θ =
1.3 ระยะระหวางจุด (a, b) และ (c, d) เทากับ 2 2(a c) (b d)− + −
2. ผูสอนและผูเรียนชวยกันหา cos (α - β) ตามขั้นตอนดวยวิธีการตอไปนี้ เนื่องจากในวงกลมหนึ่งหนวย จุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย คือจุด (cos θ , sin θ) ดังนั้น
นักเรียนควรบอกไดวา ถา P1 เปนจุดปลายสวนโคงที่ยาว α หนวย จะไดโคออรดิเนตของจุด P1 คือ (cos α , sin α)
ถา P2 เปนจุดปลายสวนโคงที่ยาว β หนวย จะไดโคออรดิเนตของจุด P2 คือ (cos β , sin β) ถา P3 เปนจุดปลายสวนโคงที่ยาว α - β หนวย จะไดโคออรดิเนตของจุด P3 คือ
(cos (α - β) , sin (α - β))
เนื่องจากสวนโคง P1P2 และสวนโคง AP3 ตางก็ยาวเทากับ α - βดังนั้น คอรด P1 P2 ยาวเทากับคอรด AP3
นั่นคือ 1 2 3P P AP=
2 2(cos cos ) (sin sin )α− β + α − β = 2 2{cos ( ) 1} sin ( )α − β − + α − β
ยกกําลังสองทั้งสองขาง จะได2 2(cos cos sin sin )− α β + α β = 2 2 cos ( )− α− β
2(cos cos sin sin )− α β + α β = 2 cos ( )− α− β
ดังนั้น cos ( ) cos cos sin sinα− β = α β + α β
P1
Y
X0
P2
A (1, 0)
βα
Y
X0 A (1, 0)
P2 ( cos β , sin β)
P1 ( cos α , sin α )
P3 ( cos (α - β ) , sin (α - β ) )
70
ตัวผกผันของฟงกชันตรีโกณมิติ1. ผูสอนอาจทบทวนเรื่องตัวผกผันของฟงกชัน โดยกําหนดฟงกชันทั้งแบบบอกเงื่อนไขและแบบ
แจกแจงสมาชิกแลวใหนักเรียนหาตัวผกผันของแตละฟงกชันนั้น เชนf = { (1, 2) , (2, 4) , (4, 6) , (5, 4) }g = 2{ (x, y) y x 5 }= +
h = { (x, y) 2y 3x 4 }− =
ผูเรียนควรหาตัวผกผันของแตละฟงกชันนั้นไดและบอกไดวาเปนฟงกชันหรือไม2. ผูสอนทบทวนเรื่องฟงกชันผกผันซึ่งผูเรียนควรบอกไดวาคือตัวผกผันของฟงกชันที่เปนฟงกชัน
และฟงกชัน 1 – 1 เทานั้นที่มีฟงกชันผกผัน3. ผูสอนใหผูเรียนพิจารณาฟงกชัน { (x, y) y sin x }= ใหผูเรียนบอกตัวผกผันของฟงกชันนี้และ
บอกดวยวาเปนฟงกชันหรือไม เพราะเหตุใด ผูเรียนควรตอบไดวาคือ { (x, y) x sin y }= ซ่ึงไมเปนฟงกชัน เพราะฟงกชันไซนไมเปนฟงกชัน 1 – 1 ในการพิจารณาวาตัวผกผันของฟงกชันไซน เปนฟงกชันหรือไม ผูสอนอาจใหผูเรียนพิจารณาจากกราฟของ y = sin x ก็ได
4. จากกราฟของ y = sin x ผูสอนและผูเรียนชวยกันพิจารณาหาชวงบนแกน X ที่ทําใหกราฟเปนฟงกชัน 1 – 1 และฟงกชันนั้นมีเรนจเปน [-1, 1] ซ่ึงผูเรียนควรหาชวงไดตาง ๆ กัน เชน [ 3,
2 2π π ] ,
[ 3 5,2 2π π ] , [ ,
2 2π π
− ] , [ 3 ,2 2π π
− − ]
23π0 X
Y
1
-1 2π
23π
−2π
−
1
-10 X
Y
2π
−
X
Y
1
-10
2π
23π
2π0
1
-1X
Y
52π
71
5. ผูสอนใหผูเรียนเขียนฟงกชันที่มีกราฟอยูในแตละชวงที่หาได ซ่ึงผูเรียนควรเขียนไดดังนี้3{(x, y) y sin x, x }
2 2π π
= ≤ ≤
3 5{(x, y) y sin x, x }2 2π π
= ≤ ≤
{(x, y) y sin x, x }2 2π π
= − ≤ ≤
3{(x, y) y sin x, x }2 2− π π
= ≤ ≤ −
.
.
.6. จากฟงกชันที่ไดในขอ 5 ผูสอนใหผูเรียนบอกฟงกชันที่มี 0 เปนสมาชิกในโดเมนผูเรียนควรตอบ
ไดวาคือ {(x, y) y sin x, x }2 2π π
= − ≤ ≤ ซ่ึงผูสอนบอกผูเรียนวา โดยท่ัวไปมักนิยมใหเปนฟงกชันผกผัน
ของฟงกชันไซน จะเรียกฟงกชันนี้วา arcsine ดังนั้น arcsine คือ{(x, y) x sin y, y }
2 2π π
= − ≤ ≤
นั่นคือ สําหรับ (x, y) ∈ arcsine จะได y = arcsin x เมื่อ x = sin y และ y
2 2π π
− ≤ ≤
7. ผูสอนอาจใชวิธีการทํานองเดียวกับขางตนในการใหนิยามฟงกชัน arccosine และ arctangentดังนั้น arccosine คือ { (x, y) x cos y, 0 y }= ≤ ≤ π
และ arctangent คือ { (x, y) x tan y, y }2 2π π
= − < <
8. ใหผูเรียนสรุปโดเมนและเรนจของฟงกชัน arcsine, arccosine และ arctangent
9. ผูสอนฝกใหผูเรียนหาคาของฟงกชันผกผันทั้งสาม ซ่ึงผูเรียนจําเปนตองทราบวาคาของฟงกชันผกผันตองอยูในเรนจของฟงกชันผกผันนั้น ๆ เชน ผูสอนใหผูเรียนแทนคา arcsin 2
2
เมื่อให arcsin 22
= t แลว นักเรียนควรบอกไดวา
sin t = 22
และ t2 2π π
− ≤ ≤
ดังนั้น t = 4π นั่นคือ arcsin 2
2 =
4π
72
การเขียนกราฟของฟงกชันไซนและโคไซน
กราฟของฟงกชันตรีโกณมิติเปนกราฟที่มีความสําคัญ โดยเฉพาะกราฟของฟงกชันไซนและโคไซน เนื่องจากผูเรียนมีความรูพื้นฐานในการเขียนกราฟมาแลว ดังนั้นการเขียนกราฟของฟงกชันตรีโกณมิติ ผูสอนอาจดําเนินการตามตัวอยางตอไปนี้ เพื่อใหผูเรียนเกิดทักษะในการเขียนกราฟของฟงกชันไซนและโคไซน
กราฟของ y = sin x 0 ≤ x ≤ π
โดเมน คือ [0, π ] เรนจ คือ [0, 1]
กราฟของ y = sin x , 0 ≤ x ≤ 2π กราฟของ y = sin x x ∈ R
โดเมน คือ [0, 2π] เรนจ คือ [–1, 1] โดเมน คือ เซตของจํานวนจริง เรนจ คือ [–1, 1]
ฟงกชันตรีโกณมิติทุกฟงกชันเปนฟงกชันที่เปนคาบ กราฟของฟงกชันในแตละชวงยอยจะมีลักษณะเหมือนกัน ความยาวของชวงยอยที่ส้ันที่สุดที่มีสมบัติดังกลาว เรียกวาคาบ คาบของฟงกชัน y = sin x เทากับ 2π ดังรูป
x sin x0 0
6π 1
2
2π 156π 1
2
π 0
12
1
6π
2π 5
6π
X
Y
0 π
X1
–12π π
Y
0 X
Y
1
–1 –π π 2π
X
Y
1–1
2π 2π 2π
–2π–4π 2π 4π
2π
0
73
การแบงคาบของกราฟ y = sin x อาจจะตางจากตัวอยางขางตนก็ไดแตคาบจะเทากับ 2π เสมอ
ฟงกชันไซนมีคาสูงสุดเทากับ 1 และคาต่ําสุดเทากับ - 1 คร่ึงหนึ่งของคาสูงสุดลบดวยคาต่ําสุดของฟงกชันไซน 1 ( 1)( 1)
2− −
= เรียกวาแอมพลิจูดนั่นคือ ฟงกชัน y = sin x มีคาบเทากับ 2π และแอมพลิจูดเทากับ 1
กราฟของ y = a sin x a ∈Ra = 1, y = sin x, 0 ≤ x ≤ 2π
ฟงกชัน y = sin x มีคาบ เทากับ 2π และแอมพลิจูดเทากับ 1กราฟของ y = sin x ตัดแกน X ที่จุด (0, 0), (π, 0) และ (2π, 0)
a = 2, y = 2 sin x, 0 ≤ x ≤ 2π
ฟงกชัน y = 2 sin x มีคาบ เทากับ 2π และแอมพลิจูดเทากับ 2กราฟของ y = 2 sin x ตัดแกน X ที่จุด (0, 0), (π, 0) และ (2π, 0)
1
–12π π X
Y
0
2
–22π π X
Y
0
X
Y
1–1
2π
–2π–4π 2π 4π
2π 2π 2π 2π
0
74
a = 12
, y = 12
sin x, 0 ≤ x ≤ 2π
ฟงกชัน y = 12
sin x มีคาบ เทากับ 2π และแอมพลิจูดเทากับ 12
กราฟของ y = 12
sin x ตัดแกน X ที่จุด (0, 0), (π, 0) และ (2π, 0)
a = –1, y = – sin x, 0 ≤ x ≤ 2π
ฟงกชัน y = – sin x มีคาบ เทากับ 2π และแอมพลิจูดเทากับ 1กราฟของ y = – sin x ตัดแกน X ที่จุด (0, 0), (π, 0) และ (2π, 0)
กราฟของ y = sin(nx) , n ∈Rn = 2, y = sin 2x, 0 ≤ x ≤ 2π
ฟงกชัน y = sin 2x มีคาบ เทากับ π และแอมพลิจูดเทากับ 1กราฟของ y = sin 2x ตัดแกน X ที่จุด (0, 0), (
2π , 0), (π, 0), ( 3
2π , 0) และ (2π, 0)
1
–12π π X
Y
0
1
–1X
Y
0 2π π
12
2π π X
Y
012
−
75
n = 12
, y = sin 12
x, 0 ≤ x ≤ 2π
ฟงกชัน y = sin 12
x มีคาบ เทากับ 4π และแอมพลิจูดเทากับ 1
กราฟของ y = sin 12
x ตัดแกน X ที่จุด (0, 0), (2π, 0) และ (4π, 0)ในกรณีทั่วไป
เมื่อทราบคาบและแอมพลิจูดของฟงกชันไซนที่กําหนดให เราสามารถรางกราฟของฟงกชันไซนอยางคราว ๆ ไดดังตัวอยางที่ไดกลาวมาแลว
กราฟของฟงกชันโคไซนเราสามารถเขียนกราฟของฟงกชันโคไซนไดในทํานองเดียวกับการเขียนกราฟ
ของฟงกชันไซนตามที่ไดกลาวมาโดยทั่วไป
f : R → R, f(x) = cos (nx)คาบ เทากับ 2
nπ แอมพลิจูด เทากับ 1 เรนจ คือ [–1, 1]
f : R → R, f(x) = a cos (nx), n, a > 0คาบ เทากับ 2
nπ แอมพลิจูด เทากับ a เรนจ คือ [–a, a]
12 X
Y
0 4π 2π
f : R → R, f(x) = sin (nx)คาบ เทากับ 2
nπ แอมพลิจูด เทากับ 1 เรนจ คือ [–1, 1]
f : R → R, f(x) = a sin (nx), n, a > 0คาบ เทากับ 2
nπ แอมพลิจูด เทากับ a เรนจ คือ [–a, a]
76
กราฟของ y = cos x , 0 ≤ x ≤ 2π
กราฟของ y = cos x , –2π ≤ x ≤ 2π
ฟงกชัน y = cos x มีคาบเทากับ 2π และแอมพลิจูดเทากับ 1กราฟของฟงกชัน y = cos x ตัดแกน X ที่จุด 3( , 0)
2π
− , ( , 0)2π
− , ( , 0)2π และ 3( , 0)
2π
เมื่อผูเรียนมีความเขาใจและสามารถเขียนกราฟของฟงกชันไซน และ ฟงกชันโคไซน ไดแลวผูสอนควรฝกใหผูเรียนเขียนกราฟของฟงกชันไซน และ ฟงกชันโคไซน ที่มีรูปแบบตางไปจากเดิม ซ่ึงในที่นี้จะขอยกตัวอยางเพียงการเขียนกราฟของฟงกชันไซนเทานั้น เพราะเมื่อผูเรียนมีความเขาใจหลักการแลวก็จะสามารถเขียนฟงกชันตรีโกณมิติอ่ืนๆ โดยอาศัยหลักการเดียวกันนี้ได
ตัวอยาง จงเขียนกราฟของ y = – sin x + 2วิธีทํา จากกราฟของ y = sin x เขียนกราฟของ y = – sin x ไดดังนี้
1
–1X
Y
0 2π π
x cos x0 1
2π 0π –132π 0
2π 1
32π
2π
2π
−32π
−0–2π 2π X
Y
2
-2
Y
X–π2π π 2π 5
2π
32π
2π
−
y = sin x
0
77
จากกราฟ y = – sin x เขียนกราฟของ y = – sin x + 2 ไดดังนี้
สําหรับตัวอยางที่ 1 – 3 ในหนังสือเรียน หัวขอ 2.8 หนา 142 – 143 นั้น ผูสอนอาจอาศัยกราฟเพื่อชวยใหผูเรียนเกิดความเขาใจ และสามารถหาคําตอบไดงายและรวดเร็วข้ึน โดยขอยกตัวอยางที่ 1เพียงตัวอยางเดียว ดังนี้ตัวอยางที่ 1 จงหาคาของ arcsin 1วิธีทํา ให arcsin 1 = θ จะได sin θ = 1
หาคา θ เมื่อ 22π
≤θ≤π
− และ sin θ = 1
พิจารณากราฟ y = sin θ
จากกราฟ จะพบวา เมื่อ 22π
≤θ≤π
− จะมี θ = 2π เพียงคาเดียวที่ sin θ = 1
ดังนั้น arcsin 1 = 2π
–π2π
π 2π
52π3
2π
2π
−
2
-2
Y
X
y = –sin x
0
–π2π π 2π 5
2π
32π
2π
−
4
2
-2
Y
X
y = –sin x + 2
0
52π3
2π
2π
− 2π
Y
θ–π π 2π–1
1
0
78
ตัวอยางแบบทดสอบประจาํบท
1. กําหนดให sin α + cos α = 1.2 จงหาคาของ sin3α + cos3α
2. จากรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ABC กําหนดให AC = 4 หนวย , BP = 1 หนวย และ BP ⊥AC ที่จุด P จงหาคามุม θ
3. กําหนดให a และ b เปนคาคงตัว และ 23 4cos
1 2sin− + θ
− θ = a + b sin θ
จงหาคา a และ b ที่ทําใหสมการนี้เปนจริงทุก ๆ คามุม θ4. จงหาคามุม x ทั้งหมด ซ่ึง 0 ≤ x ≤ 2π และ sin 2x + cos 2x + sin x + cos x + 1 = 05. รูปสามเหลี่ยมรูปหนึ่ง มีดานทั้งสามยาว x, y และ 2 2x xy y+ + หนวย
จงหามุมที่ใหญที่สุดของรูปสามเหลี่ยมนี้6. กําหนดให ABCD เปนรูปสี่เหล่ียมใดๆ ที่อยูภายในวงกลม ซ่ึง AB = 2 หนวย ,
BC = 3 หนวย, CD = 4 หนวย และ DA = 6 หนวย ดังรูป จงหาความยาวดาน AC
7. จงหาคา x ที่ทําใหสมการ cos10x – sin10x = 1 เปนจริง เมื่อ 0 ≤ x ≤ 2π8. กําหนดให sin 54° = cos 36° จงหาคาของ sin 18°9. ถาความยาวของเข็มยาวและเข็มสั้นของนาฬิกาเทากับ 6 เซนติเมตร และ 4 เซนติเมตร
ตามลําดับ จงหาระยะทางจากจุดปลายของเข็มยาวไปยังจุดปลายของเข็มสั้น เมื่อนาฬิกาเรือนนี้บอกเวลา 14.00 น.
A
B
D
C
32x
6 4
A
B Cθ
P
79
10. รูปสามเหลี่ยม ABC รูปหนึ่งมี AC = BC และ ABAC
= r จงพิสูจนวา
cos A + cos B + cos C = 1 + r – 2r2
เฉลยตัวอยางแบบทดสอบ
1. เนื่องจาก sin α + cos α = 1.2 ---------- (1)ยกกําลังสองทั้งสองขาง จะได
(sin α + cos α)2 = (1.2)2
sin2α + 2 sin α cos α + cos2α = 1.44 1 + 2 sin α cos α = 1.44
sin α cos α = 0.22 ---------- (2)ดังนั้น (sin α + cos α)3 = (1.2)3
sin3α + 3 sin2 α cos α + 3 sin α cos2α + cos3α = 1.728 sin3α + 3 sin α cos α (sin α + cos α) + cos3α = 1.728 ---------- (3)แทนคาสมการ (1) และ (2) ลงในสมการ (3) sin3α + 3(0.22)(1.2) + cos3α = 1.728ดังนั้น sin3α + cos3α = 0.936
2. พื้นที่ ∆ ABC = 12
(4)(1) = 2 ----------- (1)
แตพื้นที่ ∆ ABC = 12
AB⋅BC
= 12
AC sin θ ⋅ AC cos θ
= 8 sin θ cos θ= 4 sin 2θ ----------- (2)
จากสมการ (1) และ (2)จะได 2 = 4 sin 2θ
sin 2θ = 12
ดังนั้น 2θ = 30° หรือ 150°นั่นคือ θ = 15° หรือ 75°
80
3.23 4cos
1 2sin− + θ
− θ=
23 4(1 sin )1 2sin
− + − θ− θ
=21 4sin
1 2sin− θ− θ
= (1 2sin )(1 2sin )1 2sin
− θ + θ− θ
= 1 + 2 sin θ
เนื่องจากโจทยกําหนดให 23 4cos
1 2sin− + θ
− θ = a + b sin θ
ดังนั้น a = 1 และ b = 2
4. sin 2x + cos 2x + sin x + cos x + 1 = 0 , 0 ≤ x ≤ 2π2 sin x cos x + 2 cos2x – 1 + sin x + cos x + 1 = 0 sin x (2 cos x + 1) + cos x (2 cos x + 1) = 0
(sin x + cos x)(2 cos x + 1) = 0ถา sin x + cos x =0sin x 1cos x
+ = 0
tan x = –1x = 3 7,
4 4π π
ถา 2 cos x + 1 = 0cos x = 1
2−
x = 2 4,3 3π π
ดังนั้น x = 2 4 3, ,3 3 4π π π หรือ 7
4π
5. เนื่องจาก 2 2x xy y+ + เปนดานที่ยาวที่สุด ดังนั้น มุมตรงขามดาน 2 2x xy y+ +
เปนมุมที่ใหญที่สุดโดยกฎของโคไซนจะได x2 + xy + y2 = x2 + y2 – 2xy cos θ
cos θ = 12
−
θ = 120°ดังนั้น มุมที่ใหญที่สุดมีขนาดเทากับ 120°
x yθ
2 2x xy y+ +
81
6. ใชกฎของโคไซน พิจารณารูป ∆ ABC และ ∆ ADC จาก ∆ ABC จะได x2 = 4 + 9 – 12 cos B ---------- (1)จาก ∆ ADC จะได x2 = 36 + 16 – 48 cos D ---------- (2)เนื่องจากรูปสี่เหล่ียม ABCD อยูภายในวงกลม จะไดวา D B
∧ ∧+ = 180°
ดังนั้น cos D = cos (180° – B)= – cos B
แทนคา cos D ลงในสมการ (2)จะได x2 = 36 + 16 + 48 cos B ---------- (3)(3) – (1) , 0 = 39 + 60 cos B
cos B = 3960
−
แทนคา cos B ลงใน (1)จะได x2 = 13 – (12) ( 39
60− )
= 1045
ดังนั้น x = 1045
7. cos10x – sin10x = 1 cos10x = 1 + sin10x ---------- (1)
เนื่องจาก 0 ≤ cos10x ≤ 1 และ 1 + sin10x ≥ 1คําตอบของสมการ (1) จะเปนไปไดเพียงกรณีเดียวเมื่อ cos10x = 1 และ sin10x = 0
cos10x = 1 จะได cos x = 1 หรือ cos x = –1ดังนั้น x = 0, π หรือ 2π
sin10x = 0 จะได sin x = 0ดังนั้น x = 0, π หรือ 2πนั่นคือ x = 0, π, 2π
8. เนื่องจาก sin 54° = cos 36°sin (3 × 18°) = cos (2 × 18°)
เพราะวา sin 3A = 3 sin A – 4 sin3Aและ cos 2A = 1 – 2 sin2A
82
ให x = sin A = sin 18°จะได 3x – 4x3 = 1 – 2x2
4x3 – 2x2 – 3x + 1 = 0(x – 1)(4x2 + 2x – 1) = 0 , x ≠ 1
4x2 + 2x – 1 = 0
x = 2 2 58
− ±
ดังนั้น sin 18° = 1 54
− +
9. มุมระหวางเข็มยาวและเข็มสั้นเมื่อนาฬิกาบอกเวลา 14.00 น. คือ 60°
จากกฎของโคไซน จะไดd2 = 62 + 42 – 2(6)(4) cos 60°
= 36 + 16 – 24= 28
d = 28 = 2 7
ดังนั้น ระยะทางจากจุดปลายของเข็มยาวไปยังจุดปลายของเข็มสั้น เมื่อนาฬิกาบอกเวลา 14.00 น. เทากับ 2 7 เซนติเมตร
10. จากรูป ให AC = BC = 1จากที่โจทยกําหนด AB
AC = r
จะได AB = rโดยกฎของโคไซน
cos A = cos B = 2r และ cos C =
2r12
−
ดังนั้น cos A + cos B + cos C = 2r r r(1 )
2 2 2+ + −
= 2r1 r2
+ −
12
6
3910
11 12
457
8
60°6
4
d
A D B
C
83
เฉลยแบบฝกหัด 2.2 ก
1. 1) 0, –1 2) 0, 13) 0, –1 4) 0, 15) –1, 0 6) 1, 07) –1, 0 8) 1, 09) 1, 0 10) –1, 011) 0, –1 12) 0, –113) 0, –1 14) 0, –115) –1, 0 16) 1, 0
2.θ sin θ cos θ
32π
43π
65π
67π
45π
34π
35π
47π
611π
23
22
21
21
−
22
−
23
−
23
−
22
−
21
−
21
−
22
−
23
−
23
−
22
−
21
−
21
22
23
84
3. 1) 0, π, 2π, 3π, –π ฯลฯ2) 5 9 3 7, , , ,
2 2 2 2 2π π π π π
− − ฯลฯ
3) 3 5 3, , , ,2 2 2 2 2π π π π − π
− − ฯลฯ
4) 0, 2π, 4π, 6π, –2π ฯลฯ5) 3 7 11 5, , , ,
2 2 2 2 2π π π π π
− − ฯลฯ
6) π, 3π, 5π, –π, –3π ฯลฯ7) 5 13 7 11, , , ,
6 6 6 6 6π π π π π
− − ฯลฯ
8) 3 5 11 3 5, , , ,4 4 4 4 4π π π π π
− − ฯลฯ
9) 4 5 10 2, , , ,3 3 3 3 3π π π π π
− − ฯลฯ
4. 1) 2 2,2 2
− 2) 2 2,2 2
3) 2 2,2 2
4) 2 2,2 2
−
5) 3 1,2 2
− 6) 1 3,2 2
−
7) 3 1,2 2
− 8) 3 1,2 2
9) 1 3,2 2
10) 3 1,2 2
−
5. ไมมี เพราะ –1 ≤ sin θ ≤ 1
เฉลยแบบฝกหัด 2.2 ข
1. ควอดรันตที่ 1 และ 22. ควอดรันตที่ 2 และ 33. cos2x – sin2x = 1
2
cos2x – (1 – cos2x) = 12
85
2cos2x – 1 = 12
cos2x = 34
cos x = 32
− , x2π≤ ≤ π
4. 1) sin 1312π = sin( )
12π
π+ = sin12π
−
cos 1312π = cos( )
12π
π+ = cos12π
−
2) 5sin3π = sin(2 )
3π
π− = sin3π
−
5cos3π = cos(2 )
3π
π− = cos3π
3) 7sin6π = sin( )
6π
π+ = sin6π
−
7cos6π = cos( )
6π
π+ = cos6π
−
4) 7sin10π = 3sin( )
10π
π− = 3sin10π
7cos10π = 3cos( )
10π
π− = 3cos10π
−
5) 9sin5π = sin(2 )
5π
π− = sin5π
−
9cos5π = cos(2 )
5π
π− = cos5π
6) 16sin( )7π
− = 16sin7π
− = 2sin(2 )7π
− π+ = 2sin7π
−
16cos( )7π
− = 16cos7π = 2cos(2 )
7π
π+ = 2cos7π
5. 1) จาก sin2θ + cos2θ = 1cos2θ = 1 – sin2θ
cos θ = 21 sin− θ
∴ cos θ = 21 (0.4848)−
= 0.8746
86
2) sin (π – θ) = sin θ= 0.4848
3) cos (π + θ) = –cos θ= –0.8746
4) sin (–θ) = –sin θ= –0.4848
5) cos (θ – 2π ) = cos θ= 0.8746
6) sin (3π – θ) = sin θ= 0.4848
6. sin( )θ− π = – sin( )π−θ
= –sin θ = 3
5−
7. 1) เท็จ2) จริง3) จริง
เฉลยแบบฝกหัด 2.3
1. 1) ควอดรันตที่ 12) ควอดรันตที่ 33) ควอดรันตที่ 24) ควอดรันตที่ 2
87
2. sin cos tan cosec sec cot
1) 0 0 1 0 – 1 – 2)
2π 1 0 – 1 – 0
3) 4π 2
2 2
2 1 2 2 1
4) 34π 2
2 2
2− –1 2 2− –1
5) 23π 3
2 1
2− 3− 2 3
3 –2 1
3−
6) π 0 –1 0 – –1 –
7) 74π 2
2− 2
2 –1 2− 2 –1
8) 43π 3
2− 1
2− 3 2 3
3− 2− 1
3
9) 72π –1 0 – –1 – 0
10) 52π 1 0 – 1 – 0
11) 2π 0 1 0 – 1 –
12) 34π
− 22
− 22
− 1 2− 2− 1
13) 54π
− 22
22
− –1 2 2− –1
14)3π
− 32
− 12
3− 2 33
− 2 13
−
15) –π 0 –1 0 – –1 – 16) 5
2π
− –1 0 – –1 – 0
17) 72π
− 1 0 – 1 – 0 18) –2π 0 1 0 – 1 –
3. cos θ = 21 sin− θ
= 21 0.48−
≈ 0.88
จํานวนจริงฟงกชัน
88
tan θ = sincos
θθ
= 0.480.88
≈ 0.55
cosec θ = 1sinθ
= 10.48
≈ 2.08
sec θ = 1cosθ
= 10.88
≈ 1.14
cot θ = cossin
θθ
= 0.880.48
≈ 1.83
4. วิธีที่ 1 sec θ + cosec θ = 5 53 4+ วิธีที่ 2 cosθ = 21 sin− θ
= 20 1512+ = 161
25−
= 3512
= 925
= 35
≈ 2.92 จะได sec θ = 53
ดังนั้น sec θ + cosec θ =
5 53 4+
= 20 1512+
≈ 2.92
5. วิธีที่ 1 2 cos θ + cot θ = 32 310
+
วิธีที่ 2
= 610
+ 3 sec2θ = 1 + tan2θ
= 3 10 35
+ = 119
+ = 109
= 10 535
+
sec θ = 103
ดังนั้น 2 cos θ + cot θ
= 32 310
+
= 3 10 35
+
= 10 535
+
4 5
θ3
110
θ3
89
6. 1) 4 3 13
+ = 4 3 33+
2) 1 3 62 3 4+ − = 6 4 3 3 6
12+ −
3) 1 32
− + = 2 3 12−
4) 2 32+
5) 2
7. 1) ไมจริง เพราะ cos2 3π π +
= 5cos
6π
= cos (π – 6π )
= cos6π
−
= 32
−
cos cos2 3π π+ = 10
2+ = 1
2
∴ cos( )2 3π π+ ≠ cos cos
2 3π π+
2) จริง
3) ไมจริง เพราะ sin sin6 3π π+ = 1 3
2 2+
sin2π = 1
∴ sin sin6 3π π+ ≠ sin
2π
4) ไมจริง เพราะ cos 2cos6 3π π+ = 3 1
2+
5cos6π = cos( )
6π
π−
= cos6π
−
= 32
−
∴ cos 2cos6 3π π+ ≠ 5cos
6π
90
5) ไมจริง เพราะ cos sin4 4π π+ = 2 2
2 2+
= 2
sin2π = 1
∴ cos sin4 4π π+ ≠ sin
2π
เฉลยแบบฝกหัด 2.4
1. 1) 120° 2) –150°3) 396° 4) 720°5) 171.89° หรือ 171° 53′
2. 1) 53π 2) 169
270π
−
3) 74π
− 4) 449π
5) 259π
−
3. 215π
4. sin cos tan cosec sec cot
1) 150° 12
32
− 33
− 2 2 33
− 3−
2) 120° 32
12
− 3− 2 33
–2 – 33
3) 315° 22
− 22
–1 2− 2 –1
4) –315° 22
22
1 2 2 1
5) 930° 12
− 32
− 33
–2 2 33
− 3
มุมฟงกชัน
91
5. 1)2 23tan 135 sec 3002sin 330
° − °°
=2 23( 1) (2)122
− − −
= 3 41−−
= 1
2) tan( 480 ) sin( 840 )cos( 390 )
− ° − − °− °
=33232
+
=2 3 32 232
+= 3 3 2
2 3× = 3
6. sin A = 122 61
= 661
cos A = 102 61
= 561
tan A = 1210
= 65
sin B = 102 61
= 561
cos B = 122 61
= 661
tan B = 1012
= 56
จาก sin A = CD10
ดังนั้น CD = 61061
× = 6061
หนวย ≈ 7.68 หนวย
cos B = DB12
ดังนั้น BD = 61261
× = 7261
หนวย ≈ 9.22 หนวย
7. กําหนด cos A = 47
ดังนั้น sin A = 337
tan A = 334
cosec A = 7 3333
sec A = 74
cot A = 4 3333
2 61
A
BC 12
10 D
A
7
4
33
92
8. เนื่องจาก –1 ≤ cos ≤ 1 หรือ 0 ≤ cos θ ≤ 1 0 ≤ 1
secθ ≤ 1
0 ≤ 1secθ
≤ 1
ดังนั้น sec θ ≥ 1จะไดวา ไมมีจํานวนจริง θ ใด ที่ทําให sec θ < 1
9. มี เพราะเรนจของฟงกชัน tangent เปนเซตของจํานวนจริง
10. เนื่องจาก tan2x = sec2x – 1จะไดsec2x + sec2x – 1 = 7
2
2sec2x = 92
sec x = 32
±
แต x2π< < π ดังนั้น sec x = 3
2−
จะได cos x = 23
−
11. วิธีท่ี 1 32 = a2 + 12
a2 = 9 – 1 = 8a = 2 2
เนื่องจาก θ อยูในควอดรันตที่ 2
จะได tan θ = 12 2
− = 24
−
วิธีท่ี 2 เพราะวา sec θ < 0 ดังนั้น cos θ < 0 ดวย
จาก sin θ = 13
จะทําให cos θ = 211 ( )3
− = 2 23
−
ดังนั้น tan θ = sincos
θθ
= 1 33 2 2×−
= 24
−
3
a
1θ
93
12. วิธีท่ี 1 a2 = 12 + 52
a = 26
เนื่องจาก θ อยูในควอดรันตที่ 3
จะได cos θ = 526
− = 5 2626
−
วิธีท่ี 2 เพราะวา sin θ < 0 ดังนั้น cosec θ < 0 ดวยจาก cot θ = 5 จะได cosec2θ = 1 + cot2θ
= 1 + 25cosec θ = 26−
sin θ = 126
−
จาก cot θ = cos θ5 = cos1
26
θ
−
cos θ = 5 2626
−
เฉลยแบบฝกหัด 2.5
1. 1) ควอดรันตที่ 1 หรือ ควอดรันตที่ 22) ควอดรันตที่ 2 หรือ ควอดรันตที่ 33) ควอดรันตที่ 2 หรือ ควอดรันตที่ 44) ควอดรันตที่ 1 หรือ ควอดรันตที่ 35) ควอดรันตที่ 1 หรือ ควอดรันตที่ 2
2. BCAB
= sin 20°
BC = 10 (0.342) = 3.42 เซนติเมตรACAB
= cos 20°
AC = 10 (0.9397) = 9.397 เซนติเมตร
3
a
1θ
20°
B
AC
10
94
3. BPAB
= sin 70°
BP = 5(0.9397)= 4.6985 เซนติเมตร
BC = BPsin50°
= 4.69850.7660
= 6.1338 เซนติเมตร
AP = AB cos 70° = 5(0.3420) = 1.71 เซนติเมตรPC = BC cos 50° = 6.1338 × 0.6428 = 3.9428 เซนติเมตรAC = AP + PC = 1.71 + 3.9428 = 5.6528 เซนติเมตร
4. BD = AB cos 40°= 6(0.7660)= 4.5960 เซนติเมตร
AD = AB sin 40°= 6(0.6428)= 3.8568 เซนติเมตร
DC = AD cot 30° = 3.8568 × 1.7321 = 6.680 เซนติเมตรCA = AD
sin30° = 2 × 6.680 = 13.360 เซนติเมตร
BC = BD + DC = 4.5960 + 6.680 = 11.276 เซนติเมตร
5. จากสมบัติของรูปสามเหลี่ยมหนาจั่วจะได BD = DC = 20″BDAB
= cos 70°
AB = BDcos70°
= 200.3420
= 58.4795 นิ้ว
∴ เสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมหนาจั่วยาว 58.4795 + 58.4795 + 40 = 156.959 นิ้ว
P50°70°
B
A C
5
40° 30°
110°6
DB C
A
A
CB40″D
70°70°
95
6. จาก DEBE
= tan 40°
DE = 60(0.8391) = 50.346∴ ตึกที่สูงกวา สูง 40 + 50.346 = 90.346 ฟุต
7. จากรูป BCAB
= sin 60°
AB = BCsin 60°
= 50 23× = 100 3
3
∴ ระยะทางที่นักวายน้ําวายขามฝง เทากับ 100 33
เมตร
8. จากรูป x = AD – ACและ AE = AD = AB
= 90 เซนติเมตรเนื่องจาก AC
AB = cos 15°
AC = 90 cos 15° = 86.931
นั่นคือ x = 90 – 86.931 = 3.069 เซนติเมตร
เฉลยแบบฝกหัด 2.6
1. 1) แอมพลิจูด เทากับ 12
คาบ คือ 21π = 2π
2) แอมพลิจูด เทากับ 3คาบ คือ 2
1π = 2π
3) แอมพลิจูด เทากับ 3คาบ คือ 2
12
π = 4π
A C
D
EB 40°40 ฟุต
60 ฟุต
CA
B
60°50 เมตร
D
E B
A15° 15°
C x เซนติเมตร
96
4) แอมพลิจูด เทากับ 4คาบ คือ 2
3π
5) แอมพลิจูด เทากับ 12
− = 12
คาบ คือ 24π =
2π
6) แอมพลิจูด เทากับ 2− = 2คาบ คือ 21
2
π = 4π
7) แอมพลิจูด เทากับ 1คาบ คือ 2π
8) แอมพลิจูด เทากับ 3คาบ คือ 2π
2. 1) y = 1 sin 22
θ
2) y = 1 cos2
θ
Y
θ
Y
θ
97
3) y = 1 sin( 2 )2
− θ
4) y = 1 sin( 2 )2
− − θ
5) y = 12sin 12
− θ−
Y
θ
θ
Y
θ
Y
98
6) y = 12cos 12
− θ+
7) y = 2sin 2 1θ+
8) y = 2cos 2 1θ−
Y
θ
θ
Y
θ
Y
99
3. 1) จ 2) ฉ3) ก 4) ฌ5) ซ 6) ข7) ค 8) ช9) ง
เฉลยแบบฝกหัด 2.7
1. 1) cos (60° + 45°) = cos 60° cos 45° – sin 60° sin 45°
= 1 2 3 22 2 2 2
−
= 2 64 4
−
= 2 64−
= 1 ( 2 6)4
−
2) cos 3( )2 3π π− = 3 3cos cos sin sin
2 3 2 3π π π π
+
= 30 ( 1)2
+ −
= 32
−
3) cos 165° = cos (120° + 45°)= cos 120° cos 45° – sin 120° sin 45°= 1 2 3 2
2 2 2 2 − −
= 2 64 4
− −
= 1 ( 2 6)4
− +
100
4) cos 225° = cos (180° + 45°)= cos 180° cos 45° – sin 180° sin 45°
= (–1) 22
– 0
= 22
−
5) sin 105° = sin (60° + 45°)= sin 60° cos 45° + cos 60° sin 45°
= 3 22 2
+ 1 22 2
= 6 24 4
+
= 1 ( 6 2)4
+
6) sin 135° = sin (90° + 45°)= sin 90° cos 45° + cos 90° sin 45°
= 2(1) 02
+
= 22
7) tan 75° = tan (30° + 45°)= tan 30 tan 45
1 tan30 tan 45° + °
− ° °
=3 1331 (1)3
+
−
= 3 3 33 3 3+
×−
= 3 33 3+−
8) tan 105° = tan (60° + 45°)= tan 60 tan 45
1 tan 60 tan 45° + °
− ° °
101
= 3 11 ( 3)(1)
+−
= 1 31 3+−
9) sin 1712π = 3sin
2 12π π −
= 3 3sin cos cos sin2 12 2 12π π π π
−
= ( 1)cos 03 4π π − − −
= cos cos sin sin3 4 3 4π π π π − +
= 1 2 3 22 2 2 2
− +
= 1 ( 2 6)4
− +
10) cos 712π = cos
2 12π π +
= cos cos sin sin2 12 2 12π π π π
−
= 0 (1)sin3 4π π − −
= sin cos cos sin3 4 3 4π π π π − −
= 3 2 1 22 2 2 2
− −
= 1 ( 2 6)4
−
11) 19tan12π = 7tan( )
12π
π+
=7tan tan1271 tan tan12
ππ+
π− π
=1 301 31 0
++
−−
= 1 31 3+−
102
12) 7tan12π = tan 105°
= 1 31 3+−
13) sin12π −
= sin
12π −
= sin3 4
π π − −
= sin cos cos sin3 4 3 4π π π π − −
= 3 2 1 22 2 2 2
− −
= 1 ( 2 6)4
−
14) sec12π −
= 1
cos12π −
= 1
cos12π
= 1
cos3 4π π −
= 1
cos cos sin sin3 4 3 4π π π π
+
= 11 2 3 22 2 2 2
+
= 42 6+
= 4 2 62 6 2 6
−⋅
+ −
= 4( 2 6)2 6−−
= 6 2−
103
15) 5cot12π −
= 1
5tan12π −
= 17tan12π − π
= 17tan tan1271 tan tan12
π − π
π + π
= 11 3 01 3+
−−
= 1 31 3−+
2. 5 5sin sin cos cos2 2 2 2π π π π − + −
= (–1)(1) + 0 = –1
3. sin sin cos cos3 4 4 3π π π π − + −
= 3 2 2 1
2 2 2 2 − +
= 6 24 4
− +
= 1 ( 2 6)4
−
4. 1) sin 20° cos 10° + cos 20° sin 10° = sin (20° + 10°)= sin 30°= 1
2
2) cos 70° cos 20° – sin 70° sin 20° = cos (70° + 20°)= cos 90°= 0
104
3) tan 20 tan 251 tan 20 tan 25
° + °− ° °
= tan (20° + 25°)= tan 45°= 1
4) 7 7sin cos cos sin12 12 12 12π π π π
− = 7sin( )12 12π π−
= sin( )2π
−
= –1
5) 5 5sin cos sin cos12 12 12 12π π π π
− = 5sin( )12 12π π−
= sin( )3π
−
= 32
−
5. 1)
sin (α + β) = sin α cos β + cos α sin β= 3 2
5 5
+ 4 1
5 5 −
= 6 45 5 5 5
−
= 25 5
= 2 525
cos (α + β) = cos α cos β – sin α sin β= 4 2 3 1
5 55 5 − −
= 8 35 5 5 5
+ = 115 5
= 11 525
53
4α
1
2
5
β
105
sin (α – β) = sin α cos β – cos α sin β= 3 2 4 1
5 55 5 − −
= 6 45 5 5 5
+ = 105 5
= 2 55
tan (α – β) = tan tan1 tan tan
α − β+ α β
=3 14 23 114 2
− −
+ −
=5458
= 5 84 5× = 2
2)
sin (α + β) = sin α cos β + cos α sin β
= 4 1 3 35 2 5 2
+ −
= 4 3 310 10
− = 1 (4 3 3)10
−
cos (α + β) = cos α cos β – sin α sin β
= 3 1 4 35 2 5 2
− −
= 3 4 310 10
− − = 1 (3 4 3)10
− +
54
3α
23
1β
106
sin (α – β) = sin α cos β – cos α sin β
= 4 1 3 35 2 5 2
− −
= 4 3 310 10
+ = 1 (4 3 3)10
+
tan (α – β) = tan tan1 tan tan
α − β+ α β
=4 3341 ( 3)3
− − + −
=4 3 33
3 4 33
− −
−
= 4 3 34 3 3+
−
= 48 25 339+
3)
sin (α + β) = sin α cos β + cos α sin β
= 5 1 12 313 2 13 2
− + −
= 5 12 326 26
− −
= 1 (5 12 3)26
− +
135
12α
2
1
3
β
107
cos (α + β) = cos α cos β – sin α sin β
= 12 1 5 313 2 13 2
− − −
= 12 5 326 26
−
= 1 (12 5 3)26
−
sin (α – β) = sin α cos β – cos α sin β= 5 1 12 3
13 2 13 2 − − −
= 5 12 326 26
− +
= 1 (12 3 5)26
−
tan (α – β) = tan tan1 tan tan
α − β+ α β
=5 ( 3)1251 ( 3)12
− − − + − −
=12 3 512
12 5 312
−
+
= 12 3 55 3 12
−+
6. 1) sin2π + θ
= sin cos cos sin
2 2π π
θ+ θ
= cos θ
2) cos
θ+π2
= cos2π cos θ – sin
2π sin θ
= – sin θ
3) sin
θ−π2
= sin2π cos θ – cos
2π sin θ
= cos θ
108
4) sin( )π+ θ = sin π cos θ + cos π sin θ= – sin θ
5) cos
θ−π2
3 = cos2
3π cos θ + sin2
3π sin θ
= – sin θ6) 3sin
2π + θ
= 3 3sin cos cos sin
2 2π π
θ+ θ
= – cos θ7) tan (π – θ) = tan tan
1 tan tanπ− θ
+ π θ
= 0 tan1 0− θ+
= – tan θ8) sin (α + β) + sin (α – β) = sin α cos β + cos α sin β + sin α cosβ
– cos α sin β= 2 sin α cos β
9) sin( )sin cos
α +βα β
= sin cos cos sinsin cos
α β+ α βα β
= cos sin1sin cos
α β+
α β
= 1 cot tan+ α β
10) cos( )cos cos
α +βα β
= cos cos sin sincos cos
α β− α βα β
= sin sin1cos cos
α β−
α β
= 1 tan tan− α β
11) sin( )sin( )
α +βα −β
= sin cos cos sinsin cos cos sin
α β+ α βα β− α β
= sin cos cos sinsin cos cos sin sin cos cos sin
α β α β+
α β− α β α β− α β
= 1 11 cot tan tan cot 1
+− α β α β−
109
= 1 1tan tan1 1tan tan
+β α
− −α β
= tan tantan tan tan tan
α β+
α − β α − β
= tan tantan tan
α + βα − β
7. 1) tan (α – β) = sin( )cos( )
α −βα −β
= sin cos cos sincos cos sin sin
α β− α βα β+ α β
=sin cos cos sincos cos cos coscos cos sin sincos cos cos cos
α β α β−
α β α βα β α β
+α β α β
, cos 0, cos 0α ≠ β ≠
= tan tan1 tan tan
α − β+ α β
2) 2 cos α sin β = cos α sinβ + cos α sin β= sin (α + β) – sin α cos β – sin (α – β) + sin α cos β= sin (α + β) – sin (α – β)
3) 2 cos α cos β = cos α cosβ + cos α cos β = cos (α + β) + sin α sin β + cos (α – β) – sin α sin β = cos (α + β) + cos (α – β)
4) 2 sin α sin β = sin α sinβ + sin α sin β = cos (α – β) – cos α cos β + cos α cos β – cos (α + β) = cos (α – β) – cos (α + β)
5) เนื่องจาก sin (x + y) – sin (x – y) = 2 cos x sin yให α = x + y, β = x – y จะได x =
2α +β , y =
2α −β
∴ sin α – sin β = 2 cos 2
α +β
sin 2
α −β
110
6) เนื่องจาก cos (x + y) + cos (x – y) = 2 cos x cos yให α = x + y, β = x – yจะได x =
2α +β , y =
2α −β
∴ cos α + cos β = 2 cos 2
α +β
cos 2
α −β
7) เนื่องจาก cos (x + y) – cos (x – y) = –2 sin α sin βให α = x + y, β = x – yจะได x =
2α +β , y =
2α −β
∴ cos α – cos β = –2 sin2
α +β
sin 2
α −β
8) จาก 2 2sin cos2 2α α+ = 1
2sin2α = 21 cos
2α
−
sin2α = 21 cos
2α
± −
จาก 2cos2α
=cos 2 1
22
α + = cos 1
2α +
∴ sin2α = cos 11
2α +
± −
= 2 cos 12
− α −±
= 1 cos2
− α±
9) จาก 2 2sin cos2 2α α+ = 1
cos2α = 21 sin
2α
± −
จาก 2sin2α
=1 cos2
22
α − = 1 cos
2− α
111
∴ cos2α = 1 cos1
2− α
± −
= 2 1 cos2
− + α±
= 1 cos2
+ α±
10) tan2α =
sin2
cos2
α
α
=1 cos2
1 cos2
− α±
+ α±
= 1 cos1 cos− α
±+ α
8. 1) sin (90° – A) = sin 90° cos A – cos 90° sin A= cos A
2) tan (90° – A) = tan 90 tanA1 tan90 tanA
° −+ °
=1 1
cot 90 cot A11
cot 90 cot A
−°
+°
=cot A cot 90cot 90 cot Acot 90 cot A 1cot 90 cot A
− °°
° +°
= cot A 00 1
−+
= cot A
3) cot (90° – B) = 1tan(90 B)° −
= 1cot B
= tan B4) sec (90° – A) = 1
cos(90 A)° −
= 1cos90 cosA sin 90 sinA° + °
= 1sinA
= csc A
112
5) csc (90° – B) = 1sin(90 B)° −
= 1sin 90 cosB cos90 sin B° − °
= 1cosB
= sec B6) sin (90° + A) = sin 90° cos A + cos 90° sin A
= cos A7) cos (270° – A) = cos 270° cos A + sin 270° sin A
= – sin A8) tan (270° – A) = sin(270 A)
cos(270 A)° −° −
= sin 270 cosA cos270 sin Acos270 cosA sin 270 sinA
° − °° + °
= cosAsinA
−−
= cot A
9. 1) cos (x – 30°) – cos (x + 30°) = 2 sin x sin 30°= 2sin x
2= sin x
2) cos (x + 45°) + cos (x – 45°) = 2 cos x cos 45°= 2 2
2 cos x
= 2 cos x
3) sin (x – 30°) + sin (x + 30°) = 2 sin x cos 30°= 2 3
2 sin x
= 3 sin x0
4) sin (x + y) sin (x – y) = (sin x cos y + cos x sin y)(sin x cos y – cos x sin y) = sin2x cos2y – cos2xsin2y = sin2x (1 – sin2y) – (1 – sin2x) sin2y = sin2x – sin2x sin2y – sin2y + sin2x sin2y = sin2x – sin2y
113
10. cos 2x = 2 cos2x – 1
=232 1
7 −
= 92 149
−
= 3149
−
11. tan 2x = 22 tan x1 tan x−
= 2
122112
−
= 1114
−= 4
3
12. cos 32° = cos 642° 1 coscos
2 2 α + α
= ±
= 1 cos642
+ ° Q 32° อยูในควอดรันตที่ 1
= 1 0.442
+ = 0.72 = 0.849
13. sin 0.52 = 1.04sin2
= 1 cos1.042
−
= 1 0.52−
= 0.25 = 0.5
14. cos (x + y) = cos x cos y – sin x sin y= 3 12 4 5
5 13 5 13 − − − −
= 36 2065 65
+ = 5665
15. sin (x + y) = sin x cos y + cos x sin y513
− = 3 4cos y sin y5 5
+
114
1) เพราะวา 0 < x < 2π , sin x = 3
5
ดังนั้น cos x = 21 sin x− = 9125
− = 45
เพราะวา π < x + y < 32π , sin (x + y) = 5
13−
ดังนั้น cos (x + y) = 21 sin (x y)− − + = 1213
−
sin (x + y) = sin x cos y + cos x sin y 5
13− = 3 4cos y sin y
5 5+ ---------- (*)
cos (x + y) = cos x cos y – sin x sin y 12
13− = 4 3cos y sin y
5 5− ---------- (**)
(*) × 4 – (**) × 3 จะได 255
sin y = 20 3613
− +
ดังนั้น sin y = 1665
2) tan (x + y) = sin(x y)cos(x y)
++
=5131213
−
−
= 512
เฉลยแบบฝกหัด 2.8
1. 1) arcsin 0ให arcsin 0 = θ จะได sin θ = 0หาคา θ เมื่อ
2 2π π
− ≤ θ ≤ และ sin θ = 0
จะพบวา เมื่อ 2 2π π
− ≤ θ ≤ จะมี θ = 0 เพียงคาเดียวที่ sin θ = 0ดังนั้น arcsin 0 = 0
115
2) arccos 1ให arcsin 0 = θ จะได cos θ = 1หาคา θ เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π และ cos θ = 1จะพบวา เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π จะมี θ = 0 เพียงคาเดียวที่ cos θ = 1ดังนั้น arccos 1 = 0
3) arcsin (–1)ให arcsin (–1) = θ จะได sin θ = –1หาคา θ เมื่อ
2 2π π
− ≤ θ ≤ และ sin θ = –1
จะพบวา เมื่อ 2 2π π
− ≤ θ ≤ จะมี θ = 2π
− เพียงคาเดียวที่ sin θ = –1
ดังนั้น arcsin (–1) = 2π
−
4) arccos –1ให arccos (–1) = θ จะได cos θ = –1หาคา θ เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π และ cos θ = –1จะพบวา เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π จะมี θ = π เพียงคาเดียวที่ cos θ = –1ดังนั้น arccos (–1) = π
5) arctan 0ให arctan 0 = θ จะได tan θ = 0หาคา θ เมื่อ
2 2π π
− < θ < และ tan θ = 0
จะพบวา เมื่อ 2 2π π
− < θ < จะมี θ = 0 เพียงคาเดียวที่ tan θ = 0ดังนั้น arctan 0 = 0
6) arctan (–1)ให arctan (–1) = θ จะได tan θ = –1
116
หาคา θ เมื่อ 2 2π π
− < θ < และ tan θ = –1
จะพบวา เมื่อ 2 2π π
− < θ < จะมี θ = 4π
− เพียงคาเดียวที่ tan θ = –1
ดังนั้น arctan (–1) = 4π
−
7) arcsin 22
ให arcsin 22
= θ จะได sin θ = 22
หาคา θ เมื่อ 2 2π π
− ≤ θ ≤ และ sin θ = 22
จะพบวา เมื่อ 2 2π π
− ≤ θ ≤ จะมี θ = 4π เพียงคาเดียวที่ sin θ = 2
2
ดังนั้น arcsin 22
= 4π
8) arctan 33
ให arctan 33
= θ จะได tan θ = 33
หาคา θ เมื่อ 2 2π π
− < θ < และ tan θ = 33
จะพบวา เมื่อ 2 2π π
− < θ < จะมี θ = 6π เพียงคาเดียวที่ tan θ = 3
3
ดังนั้น arctan 33
= 6π
9) arctan 3
ให arctan 3 = θ จะได tan θ = 3
หาคา θ เมื่อ 2 2π π
− < θ < และ tan θ = 3
จะพบวา เมื่อ 2 2π π
− < θ < จะมี θ = 3π เพียงคาเดียวที่ tan θ = 3
ดังนั้น arctan 3 = 3π
117
10) arcsin 3( )2
−
ให arcsin 3( )2
− = θ จะได sin θ = 32
−
หาคา θ เมื่อ 2 2π π
− ≤ θ ≤ และ sin θ = 32
−
จะพบวา เมื่อ 2 2π π
− ≤ θ ≤ จะมี θ = 3π
− เพียงคาเดียวที่ sin θ = 32
−
ดังนั้น arcsin 3( )2
− = 3π
−
11) arccos 3( )2
−
ให arccos 3( )2
− = θ จะได cos θ = 32
−
หาคา θ เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π และ cos θ = 32
−
จะพบวา เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π จะมี θ = 56π เพียงคาเดียวที่ cos θ = 3
2−
ดังนั้น arccos 3( )2
− = 56π
12) arcsin 2( )2
−
ให arcsin 2( )2
− = θ จะได sin θ = 22
−
หาคา θ เมื่อ 2 2π π
− ≤ θ ≤ และ sin θ = 22
−
จะพบวา เมื่อ 2 2π π
− ≤ θ ≤ จะมี θ = 4π
− เพียงคาเดียวที่ sin θ = 22
−
ดังนั้น arcsin 2( )2
− = 4π
−
2. 1) 81° 10′ 2) 54° 50′ 3) 55° 40′4) 26° 50′ 5) 20° 10′
3. 1) 3cos(arcsin( ))2
−
ให arcsin 32
−
= θ จะได sin θ = 32
−
118
หา θ ที่ sin θ = 32
− และ 2π
− ≤ θ ≤ 2π
แต sin3π −
= 3
2−
จะได arcsin 32
−
= 3π
−
ดังนั้น cos (arcsin 32
−
) = cos( )3π
−
= 12
2) 1sin(arcsin( ))2
−
ให arcsin 12
−
= θ จะได sin θ = 12
−
หา θ ที่ sin θ = 12
− และ 2π
− ≤ θ ≤ 2π
แต sin6π −
= 1
2−
จะได arcsin 12
−
= 6π
−
ดังนั้น 1sin(arcsin( ))2
− = sin( )6π
−
= 12
−
3) 3cos(arccos( ))2
−
ให arccos 32
−
= θ จะได cos θ = 32
−
หา θ ที่ cos θ = 32
− และ 0 ≤ θ ≤ π
แต 5cos6π = 3
2−
จะได arccos 32
−
= 56π
ดังนั้น 3cos(arccos( ))2
− = 5csc6π
= 32
−
119
4) 1tan(arcsin )3
ให arcsin 13
= θ จะได sin θ = 13
หา θ ที่ sin θ = 13
และ 2 2π π
− ≤ θ ≤
เนื่องจาก sin θ > 0 และ 2 2π π
− ≤ θ ≤
ใชรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก และทฤษฎีบทพีทาโกรัส หาคําตอบไดดังนี้จากรูป sin θ = 1
3
และ tan θ = 12 2
= 24
ดังนั้น 1tan(arcsin )3
= tan θ
= 24
5) 1tan(arccos )3
ให arccos 13
= θ จะได cos θ = 13
หา θ ที่ cos θ = 13
และ 0 ≤ θ ≤ πเนื่องจาก cos θ > 0 และ 0 ≤ θ ≤ πใชรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก และทฤษฎีบทพีทาโกรัส หาคําตอบไดดังนี้
จากรูป cos θ = 13
และ tan θ = 2 2
ดังนั้น 1tan(arccos )3
= tan θ = 2 2
6) 1tan(arctan )2
ให arctan 12
= θ จะได tan θ = 12
หา θ ที่ tan θ = 12
และ2π
− < θ < 2π
เนื่องจาก tan θ > 0 และ2π
− < θ < 2π
3 1
2 2
( 2 2 , 1)
θ
3
1
2 2
(1, 2 2 )
θ
120
ดังนั้น 1tan(arctan )2
= tan θ = 12
7) 2cos(arcsin )3
ให arcsin 23
= θ จะได sin θ = 23
หา θ ที่ sin θ = 23
และ2 2π π
− ≤ θ ≤
เนื่องจาก sin θ > 0 และ2 2π π
− ≤ θ ≤
ใชรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก และทฤษฎีบทพีทาโกรัส หาคําตอบไดดังนี้
จากรูป sin θ = 23
และ cos θ = 73
ดังนั้น 3cos(arcsin )3
= cos θ
= 73
8) 2cot(arcsin( ))3
−
ให arcsin 2( )3
− = θ จะได sin θ = 23
−
หา θ ที่ sin θ = 23
− และ2π
− ≤ θ ≤ 2π
เนื่องจาก sin θ < 0 และ2π
− ≤ θ ≤ 2π
ใชรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก และทฤษฎีบทพีทาโกรัส หาคําตอบไดดังนี้จากรูป sin θ = 2
3−
และ cot θ = 72
− = 142
−
ดังนั้น 2cot(arcsin( )3
− = cot θ
= 142
−
3θ
2
7
( 7, 2)
θ
23
( 7 , 2− )
7
121
9) csc (arctan 12
)
ให arctan 12
= θ จะได tan θ = 12
หา θ ที่ tan θ = 12
และ2π
− < θ < 2π
เนื่องจาก tan θ > 0 และ2π
− < θ < 2π
ใชรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก และทฤษฎีบทพีทาโกรัส หาคําตอบไดดังนี้จากรูป tan θ = 1
2และ csc θ = 5ดังนั้น csc (arctan 1
2) = csc θ
= 510) sin (arctan (–3))
ให arctan (–3) = θ จะได tan θ = –3หา θ ที่ tan θ = –3 และ
2π
− < θ < 2π
เนื่องจาก tan θ < 0 และ2π
− < θ < 2π
ใชรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก และทฤษฎีบทพีทาโกรัส หาคําตอบไดดังนี้จากรูป tan θ = –3และ sin θ = 3
10−
ดังนั้น sin (arctan (–3)) = sin θ = 3 10
10−
11) 3cot(arccos( ))3
−
ให arccos 33
−
= θ จะได cos = 33
−
หา θ ที่ cos θ = 33
− และ 0 ≤ θ ≤ πเนื่องจาก cos θ < 0 และ 0 ≤ θ ≤ πใชรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก และทฤษฎีบทพีทาโกรัส หาคําตอบไดดังนี้
θ
103
(1, –3)
1
(2, 1)
θ
5 1
2
122
จากรูป cos θ = 33
−
และ cot θ = 36
− = 22
−
ดังนั้น 3cot(arccos( ))3
− = cot θ
= 22
−
12) 2 5sec(arcsin )5
ให arcsin 2 55
= θ จะได sin θ = 2 55
หา θ ที่ sin θ = 2 55
และ2 2π π
− ≤ θ ≤
เนื่องจาก sin θ > 0 และ2 2π π
− ≤ θ ≤
ใชรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก และทฤษฎีบทพีทาโกรัส หาคําตอบไดดังนี้จากรูป sin θ = 2 5
5
และ sec θ = 55
= 5
ดังนั้น 2 5sec(arcsin )5
= sec θ = 5
13) 1csc(arccos )3
ให arccos 13
= θ จะได cos θ = 13
หา θ ที่ cos θ = 13
และ 0 ≤ θ ≤ πเนื่องจาก cos θ > 0 และ 0 ≤ θ ≤ πใชรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก และทฤษฎีบทพีทาโกรัส หาคําตอบไดดังนี้
จากรูป cos θ = 13
และ csc θ = 32 2
ดังนั้น 1csc(arccos )3
= csc θ
36
θ
( 3, 6)−
3
5θ
2 5
5
( 5, 2 5)
(1,2 2 )
θ
3
1
2 2
123
= 32 2
= 3 24
14) tan (arcsin 0.7030)ให arcsin 0.7030 = θ จะได sin θ = 0.7030หา θ ที่ sin x = 0.7030 และ
2 2π π
− ≤ θ ≤
เปดตารางได θ = 44° 40′ดังนั้น tan (arcsin 0.7030) = tan 44° 40′
= 0.9884
15) tan (arcsin (cos )6π ) = tan (arcsin 3
2)
ให arcsin 32
= θ จะได sin θ = 32
หา θ ที่ sin θ = 32
และ 2 2π π
− ≤ θ ≤
แต sin 3π = 3
2
จะได arcsin (cos 6π ) =
3π
ดังนั้น tan (arcsin (cos 6π ) = tan
3π = 3
16) cos (arctan 3.2709)ให arctan 3.2709 = θ จะได tan θ = 3.2709หา θ ที่ tan θ = 3.2709 และ
2 2π π
− < θ <
เปดตารางได tan 73° = 3.2709จะได arctan 3.2709 = 73°ดังนั้น cos (arctan 3.2709) = cos 73°
= 0.2924
17) cos2(arcsin 0.9261)ให arcsin 0.9261 = θ จะได sin θ = 0.9261
124
หา θ ที่ sin θ = 0.9261 และ2 2π π
− ≤ θ ≤
เปดตารางได sin 67° 50′ = 0.9261จะได arcsin 0.9261 = 67° 50′ดังนั้น cos2(arcsin 0.9261) = cos2 67° 50′
= (0.3773)2
= 0.1424
18) sin (arctan 2)ให arctan 2 = θ จะได tan θ = 2หา θ ที่ tan θ = 2 และ
2π
− < θ < 2π
เนื่องจาก tan θ > 0 และ 2π
− < θ < 2π
จากรูป tan θ = 2และ sin θ = 2
5 = 2 5
5
ดังนั้น sin (arctan 2) = sin θ = 2 5
5
19) sin (2 arccos a) , a > 0ให arccos a = θ , จะได cos θ = aหา θ ที่ cos θ = a และ 0 ≤ θ ≤ π เนื่องจาก cos θ > 0 และ 0 ≤ θ ≤ πใชรูปสามเหลี่ยมมุมฉากและทฤษฎีบทพีทาโกรัสหาคําตอบไดดังนี้
sin θ = 21 a−
cos θ = aดังนั้น sin (2 arccos a) = sin 2θ = 2 sin θ cos θ = 22 1 a a−
= 22a 1 a−
(1, 2)
θ
5
1
2
a
1θ
21 a−
125
20) 3 3sin(arccos arcsin( ))5 5+ −
ให arccos 35
= α จะได cos α = 35
หา α ที่ cos α = 35
และ 0 ≤ α ≤ π
เนื่องจาก cos α > 0 และ 0 ≤ α ≤ π
ใชรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก และทฤษฎีบทพีทาโกรัส หาคําตอบไดดังนี้จากรูป sin α = 4
5
cos β = 35
ให arcsin 3( )5
− = β จะได sin β = 35
−
หา β ที่ sin β = 35
− และ2 2π π
− ≤ β ≤
เนื่องจาก sin β < 0 และ2 2π π
− ≤ β ≤
ใชรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก และทฤษฎีบทพีทาโกรัส หาคําตอบไดดังนี้จากรูป sin β = 3
5−
cos β = 45
ดังนั้น sin (arccos 35
+ arcsin (– 35
) = sin (α + β) = sin α cos β + cos α sin β = 4 4 3 3( )( ) ( )( )
5 5 5 5+ −
= 16 925 25
− = 725
α3
45
β
5 3
4
126
4. 1) ให arcsin θ = xจะได sin x = θ และ x
2 2π π
− ≤ ≤
จาก cos 2x = 1 – 2 sin2x = 1 – 2θ2
ดังนั้น cos (2 arcsin θ) = cos 2x = 1 – 2θ2
2) ให arcsin 45
= x
ดังนั้น sin x = 45
และ x2 2π π
− ≤ ≤
จะได cos x = 16125
− = 35
ให arccos 1213
= y
ดังนั้น cos y = 1213
และ 0 y≤ ≤ π
จะได sin y = 1441169
− = 513
ให arcsin 1665
= z
ดังนั้น sin z = 1665
และ z2 2π π
− ≤ ≤
จะได cos z = 2161 ( )65
− = 6365
เพราะวา sin (x + y + z) = sin (x + (y + z)]
= sin x cos (y + z) + cos x sin (y + z)= sin x (cos y cos z – sin y sin z) + cos x (sin y cos z + cos y sin z)= 4 12 63 5 16 3 5 63 12 16( ) ( )5 13 65 13 65 5 13 65 13 65
⋅ − ⋅ + ⋅ + ⋅
นั่นคือ sin (x + y + z) = 1 จะได x + y + z = 2π
ดังนั้น 4 12 16arcsin arccos arcsin5 13 65+ + =
2π
127
3) arcsin 12
+ arcsin 32
=6 3π π+ =
2π
– arcsin (–1) = 2π
ดังนั้น arcsin 12
+ arcsin 32
= – arcsin (–1)
4) ให arctan x = θจะได tan θ = x และ
2 2π π
− < θ <
sec (arctan x) = sec θ (sec2θ = 1 + tan2θ)= 21 tan+ θ
= 21 x+
5) ให arctan 13
= θ
ดังนั้น tan θ = 13
และ2 2π π
− < θ <
เนื่องจาก tan θ > 0 จะได 0 < θ < 2π นั่นคือ 0 < 2θ < π
เพราะวา tan 2θ = 22 tan1 tan
θ− θ
=23119
−
= 34
เนื่องจาก 0 < 2θ < π และ tan 2θ > 0 จะได 0 < 2θ < 2π
จะได 2θ = arctan 34
นั่นคือ 2 arctan 13
= arctan 34
6) ให arcsin x = θจะได sin θ = x และ
2 2π π
− ≤ θ ≤
ดังนั้น cos θ = 21 x−
128
เพราะวา sin 2θ = 2 sin θ cos θ = 22x 1 x−
ดังนั้น sin (2 arcsin x) = 22x 1 x−
5. 1) ให arctan x = θจะได tan θ = x และ
2 2π π
− < θ <
ดังนั้น – tan θ = –x และ2 2π π
− < −θ <
tan(–θ) = –x และ2 2π π
− < −θ <
จะได arctan (–x) = –θนั่นคือ arctan x + arctan (–x) = θ + (–θ) = 0
อีกวิธีหนึ่งให arctan x = θ จะได tan θ = x และ
2 2π π
− < θ <
ให arctan (–x) = β จะได tan β = –x และ2 2π π
− < β <
เพราะวา tan (θ + β) = tan tan1 tan tan
θ+ β− θ β
= x ( x)1 x( x)+ −− −
= 0จาก
2 2π π
− < θ < และ2 2π π
− < β < จะได −π < θ+β < πดังนั้น θ+β = 0นั่นคือ arctan x + arctan (–x) = 0
2) ให arcsin x = y
sin y = x และ y2 2π π
− ≤ ≤
ให arccos x = z cos z = x และ 0 z≤ ≤ π
129
ดังนั้น sin y = cos z โดยที่ 0 y2π
≤ ≤ และ 0 z2π
≤ ≤
จะได y = z =4π
นั่นคือ arcsin x + arccos x = y + z = 4 4π π+ =
2π
3) ให arctan x = A จะได tan A = x และ A2 2π π
− < <
ให arctan y = B จะได tan B = y และ B2 2π π
− < <
เมื่อ A2 2π π
− < < และ B2 2π π
− < < จะได –π < A + B < π
แต arctan x + arctan y < 2π
− จะได A + B < 2π
−
นั่นคือ –π < A + B < 2π
−
0 < π + (A + B) < 2π
จาก tan (π + (A + B)) = tan (A + B)= tanA tan B
1 tanA tan B+
−
= x y1 xy+−
จะได π + (A + B) = arctan x y1 xy+−
A + B = –π + arctan x y1 xy+−
นั่นคือ arctan x + arctan y = –π + arctan x y1 xy+−
4) ให arctan x = A จะได tan A = x และ A2 2π π
− < <
ให arctan y = B จะได tan B = y และ B2 2π π
− < <
เมื่อ A2 2π π
− < < และ B2 2π π
− < < จะได –π < A + B < π
แต arctan x + arctan y > 2π จะได A + B >
2π
นั่นคือ A B2π< + < π
(A B) 02π
− < −π+ + <
130
จาก tan (–π + (A + B)) = tan (A + B)= tanA tan B
1 tanA tan B+
−
= x y1 xy+−
จะได –π + (A + B) = arctan x y1 xy+−
A + B = π + arctan x y1 xy+−
นั่นคือ arctan x + arctan y = π + arctan x y1 xy+−
เฉลยแบบฝกหัด 2.9 (1)
1. 1) csc θ ⋅ cos θ = 1sinθ
cos θ
= cossin
θθ
= cot θ
2) 1 + tan2(–θ) =2
2sin ( )1cos ( )
−θ+
−θ
=2 2
2cos ( ) sin ( )
cos−θ + −θ
θ
= 21
cos θ
= sec2θ
3) cos θ (tan θ + cot θ) = cos θ tan θ + cos θ cot θ= sin coscos ( ) cos ( )
cos sinθ θ
θ + θθ θ
=2 2sin cossinθ+ θ
θ
= 1sinθ
= csc θ
131
4) tan θ cot θ – cos2θ = sincos
θθ
2cos cossin
θ− θ
θ
= 1 – cos2θ
= sin2θ
5) (sec θ – 1)(sec θ + 1) = sec2θ – 1= tan2θ
6) (sec θ + tan θ)(sec θ – tan θ) = sec2θ – tan2θ
= 1
7) sin2θ (1 + cot2θ) = sin2θ + sin2θ 2
2cossin
θθ
= sin2θ + cos2θ
= 1
8) (sin θ + cos θ)2 + (sin θ – cos θ)2 = sin2θ + 2 sin θ cos θ + cos2θ + sin2θ – 2 sinθ cos θ + cos2θ
= 2 sin2θ + 2 cos2θ
= 2 (sin2θ + cos2θ)= 2
9) sec4θ – sec2θ = sec2θ (sec2θ – 1)= (tan2θ + 1)tan2θ
= tan4θ + tan2θ
10) sec θ – tan θ = 1cosθ
– sincos
θθ
= 1 sin (1 sin )cos (1 sin )− θ + θ
×θ + θ
=21 sin
cos (1 sin )− θθ + θ
=2cos
cos (1 sin )θ
θ + θ
= cos1 sin
θ+ θ
132
11) 3 sin2θ + 4 cos2θ = 3(1 – cos2θ) + 4 cos2θ
= 3 – 3 cos2θ + 4 cos2θ
= 3 + cos2θ
12)2cos1
1 sinθ
−+ θ
=21 sin 1 sin
1 sin 1 sin+ θ − θ
−+ θ + θ
=21 sin 1 sin
1 sin+ θ− + θ
+ θ
= sin (1 sin )1 sinθ + θ+ θ
= sin θ
13) 1 tan1 tan+ θ− θ
=sin1cossin1cos
θ+
θθ
−θ
=cos sincos
cos sincos
θ+ θθ
θ− θθ
= cos sincos sin
θ+ θθ− θ
=cos 1sincos 1sin
θ+
θθ−
θ
= cot 1cot 1
θ+θ−
14) sec sincsc cos
θ θ+
θ θ= sin sin
cos cosθ θ+
θ θ
= 2sincos
θθ
= 2 tan θ
15) 1 sin1 sin+ θ− θ
=1 sinsin sin1 sinsin sin
θ+
θ θθ
−θ θ
= csc 1csc 1
θ+θ−
133
16) 1 sin coscos 1 sin− θ
+θ − θ
=2 21 2sin sin cos
cos (1 sin )− θ+ θ+ θ
θ − θ
=2 21 2sin sin 1 sin
cos (1 sin )− θ+ θ+ − θ
θ − θ
= 2(1 sin )cos (1 sin )
− θθ − θ
= 2cosθ
= 2 sec θ 17) sin
sin cosθ
θ− θ= 1
sin cossinθ− θ
θ
= 11 cot− θ
18) 1 sin1 sin− θ+ θ
= 1 sin1 sin− θ+ θ
1 sin1 sin− θ− θ
=2
21 2sin sin
1 sin− θ+ θ
− θ
=2
21 2sin sin
cos− θ+ θ
θ
= 2 22
2sinsec tancos
θθ− + θ
θ
= sec2θ – 2 sec θ tan θ + tan2θ
= (sec θ – tan θ)2
19) cos sin1 tan 1 cot
θ θ+
− θ − θ= cos sin
sin cos1 1cos sin
θ θ+
θ θ− −
θ θ
=2 2cos sin
cos sin sin cosθ θ
+θ− θ θ− θ
=2 2cos sin
cos sinθ− θθ− θ
= (cos sin )(cos sin )cos sin
θ− θ θ+ θθ− θ
= sin θ + cos θ20) cot tan
1 tan 1 cotθ θ
+− θ − θ
=2cot tan
1 tan tan 1θ θ
+− θ θ−
=21 tan
tan1 tan
− θθ− θ
134
=31 tan
tan (1 tan )− θθ − θ
=2(1 tan )(1 tan tan )
tan (1 tan )− θ + θ+ θ
θ − θ
= 1 + tan θ + cot θ
2. 1) cos x sin xsec x csc x
+ = cos2x + sin2x= 1
2) cot θ cos θ + sin θ =2 2cos sin
sin sinθ θ+
θ θ
= 1sinθ
= csc θ
3) csc x – sin x = 21 sin x
sin x sin x−
=21 1 cos x
sin x− +
= cos x cot x
4) sin2α cot2α + tan2α cos2α =2
22
cossinsin
αα
α +
22
2sin coscos
αα
α
= 2 2cos sinα + α
= 15) sec θ – sec θ sin2θ = sec θ (1 – sin2θ)
=21 sin
cos− θ
θ
= cos θ
6) 2 sin2α – 1 = 2(1 – cos2α) – 1= 2 – 2 cos2α – 1= 1 – 2cos2α
7) tan2θ – cot2θ = (sec2θ – 1) – (csc2θ – 1)= sec2θ – csc2θ
135
8) tan2θ – sin2θ =2 2 2
2sin sin cos
cosθ− θ θ
θ
=2 2
2sin (1 cos )
cos− θ
θ
=2 2
2sin sincosθ θ
θ
= tan2θ sin2θ
3. 1) sin2θ tan θ + cos2θ cot θ + 2 sinθ cos θ = (1 – cos2θ) tan θ + (1 – sin2θ) cot θ+ 2 sin θ cos θ
= tan θ – cos2θ sincos
θθ
+ cot θ
– sin2θ cossin
θθ
+ 2 sinθ cosθ = tan θ + cot θ
2) 2 22sin cos cos
1 sin sin cosθ θ− θ
− θ+ θ− θ= 2 2
cos (2sin 1)1 sin sin 1 sin
θ θ−− θ+ θ− + θ
= 2cos (2sin 1)2sin sinθ θ−
θ− θ
= cos (2sin 1)sin (2sin 1)
θ θ−θ θ−
= cot θ
4. 1) cos (α + β) cos (α – β) = (cos α cos β – sin α sin β)(cos α cos β+ sin α cos β)
= cos2α cos2β – sin2α sin2β
= cos2α – cos2α sin2β – sin2β + sin2β cos2β
= cos2α – sin2β
2) cos (45° – θ) – sin (45° + θ) = cos 45° cos θ + sin 45° sin θ – sin 45°cos θ – cos 45° sin θ
= 22
(cos θ + sin θ – cos θ – sin θ)= 0
136
3) tan (45° – α) = t an 45 tan1 tan 45 tan
° − α+ ° α
= 1 tan1 tan− α+ α
4) cot 2θ + tan θ = cos 2sin 2
θθ
+ sincos
θθ
=2 2cos sin
2sin cosθ− θθ θ
+ sincos
θθ
= cos sin sin2sin 2cos cos
θ θ θ− +
θ θ θ
= cos sin2sin 2cos
θ θ+
θ θ
=2 22cos 2sin
4sin cosθ+ θθ θ
=2 22(cos sin )
2(2sin cos )θ+ θθ θ
= 1sin 2θ
= csc 2θ5) tan( ) tan
1 tan( ) tanα −β + β
− α −β β= tan (α – β + β)
= tan α
5. 1) sin 21 cos 2
θ+ θ
= 22sin cos1 2cos 1
θ θ+ θ−
= sincos
θθ
= tan θ
2) cot α – tan α = cos sinsin cos
α α−
α α
=2 2cos sinsin cosα − αα α
= 2cos 2sin 2
αα
= 2 cot 2α
3) 2(sin cos )2 2θ θ− = 2 2sin 2sin cos cos
2 2 2 2θ θ θ θ− +
= 1 – sin 2( )2θ
= 1 – sin θ
137
4) sin 2 sincos 2 cos 1
θ+ θθ+ θ+
= 22sin cos sin2cos 1 cos 1
θ θ+ θθ− + θ+
= sin (2cos 1)cos (2cos 1)
θ θ+θ θ+
= tan θ
6. 1) cos 3θ = cos (2θ + θ)= cos 2θ cos θ – sin 2θ sin θ= (cos2θ – sin2θ) cos θ – 2 sinθ2 cos θ= cos3θ – (1 – cos2θ) cos θ – 2 cosθ (1 – cos2θ)= cos3θ – cos θ + cos3θ – 2 cos θ + 2 cos3θ
= 4 cos3θ – 3cos θ
2) cos 4θ = cos (2θ + 2θ)= cos 2θ cos 2θ – sin 2θ sin 2θ= (2 cos2θ – 1)2 – 4 sin2θ cos2 θ= 4 cos4θ – 4 cos2θ + 1 – 4 cos2θ (1 – cos2θ)= 4 cos4θ – 4 cos2θ + 1 – 4 cos2θ + 4 cos4θ
= 8 cos4θ – 8 cos2θ + 1
3) tan 3θ = tan (2θ + θ)= tan 2 tan
1 tan 2 tanθ+ θ
− θ θ
= 2
2
2
2 tan tan1 tan
2 tan11 tan
θ+ θ
− θθ
−− θ
=2
2 22 tan tan (1 tan )1 tan 2 tanθ+ θ − θ− θ− θ
=3
23 tan tan1 3tan
θ− θ− θ
7. 1) sin A = sin (180° – (B + C))= sin (B + C)
138
2) cos A = cos (180° – (B + C))= – cos (B + C)
3) sin A + sin B + sin C = A B A B2sin cos sinC2 2+ −
+
= A B A B2sin cos sin[180 (A B)]2 2+ −
+ °− +
= A B A B2sin cos sin(A B)2 2+ −
+ +
= A B A B A B A B2sin cos 2sin cos2 2 2 2+ − + +
+
= A B A B A B2sin (cos cos )2 2 2+ − +
+
=A B A B A B A B( ) ( )180 C 2 2 2 22sin( )2cos cos
2 2 2
− + − ++ −°−
= C A B4sin(90 )cos cos2 2 2
° −
= C C A B4(sin 90 cos cos90 sin )cos cos2 2 2 2
° − °
= A B C4cos cos cos2 2 2
4) cos A + cos B + cos C = A B A B2cos cos cosC2 2+ −
+
= 2180 C A B C2cos( ) cos (1 2sin )2 2 2° − −
+ −
= 2C A B C1 2sin cos 2sin2 2 2
−+ −
= C A B 180 (A B)1 2sin (cos sin )2 2 2
− °− ++ −
= C A B A B1 2sin (cos sin(90 )2 2 2
− ++ − °−
= C A B A B1 2sin (cos cos )2 2 2
− ++ −
=A B A B A B A B
C 2 2 2 21 2sin [ 2sin sin ]2 2 2
− + − + + − + −
= C A B1 2sin [ 2sin sin( )]2 2 2
+ − −
= C A B1 2sin [ 2sin ( sin )]2 2 2
+ − −
= A B C1 4sin sin sin2 2 2
+
139
8. 1) sin8 sin 2cos8 cos 2
θ+ θθ+ θ
= sin(5 3 ) sin(5 3 )cos(5 3 ) cos(5 3 )
θ+ θ + θ− θθ+ θ + θ− θ
= 2sin 5 cos32cos5 cos3
θ θθ θ
= tan 5θ
2) sin θ + sin 3θ + sin 5θ + sin 7θ= sin (2θ + θ) + sin (2θ – θ) + sin (6θ + θ) + sin (6θ – θ)= 2 sin 2θ cos θ + 2 sin 6θ cosθ= 2 cos θ (sin 2θ + sin 6θ)= 2 cos θ [sin(4θ + 2θ ) + sin (4θ – 2θ)]= 2 cos θ 2 sin 4θ cos 2θ= 4 cos θ sin 4θ cos 2θ
3) sin sin 3 sin 5cos cos3 cos5
θ+ θ+ θθ+ θ+ θ
= sin 3 [sin(3 2 ) sin(3 2 )]cos3 [cos(3 2 ) cos(3 2 )]
θ+ θ+ θ + θ− θθ+ θ+ θ + θ− θ
= sin 3 2sin 3 cos 2cos3 2cos3 cos 2
θ+ θ θθ+ θ θ
= sin 3 [1 2cos 2 ]cos3 [1 2cos 2 ]
θ + θθ + θ
= tan 3θ
4) cos2A + cos2(60° + A) + cos2(60° – A)= cos2A + cos (60° + A) cos (60° + A) + cos (60 – A) cos (60 – A)= cos2A + [cos 60° cos A – sin 60° sin A]2 + [cos 60° cos A + sin 60° sin A]2
=2 2
2 1 3 1 3cos A cosA sinA cosA sinA2 2 2 2
+ − + +
= cos2A + 14
cos2A – 32
cos A sin A + 34
sin2A + 14
cos2A + 32
cos A sin A
+ 34
sin2A
= 2 23 3cos A sin A2 2
+
= 2 23 (cos A sin A)2
+
= 32
140
5) cos 20° cos 40° cos 80° = 1 cos 20 [2cos80 cos 40 ]2
° ° °
= 1 cos 20 [cos120 cos 40 ]2
° ° + °
= 1 1cos 20 [2cos 20 cos 40 ]4 4
− °+ ° °
= 1 1cos 20 [cos60 cos 20 ]4 4
− °+ °+ °
= 1 1 1cos 20 cos60 cos 204 4 4
− °+ °+ °
= 1 14 2×
= 18
เฉลยแบบฝกหัด 2.9 (2)
1. 1) 2 cos2θ + cos θ = 0cos θ (2 cos θ + 1) = 0cos θ = 0 และ 2 cos θ + 1 = 0 θ = 3,
2 2π π cos θ = 1
2−
θ = 2 4,3 3π π
ดังนั้น θ = 2 4 3, , ,2 3 3 2π π π π
2) 2 sin2θ – sin θ – 1 = 0(2 sin θ + 1)(sin θ – 1) = 02 sin θ + 1 = 0 และ sin θ – 1 = 0 sin θ = 1
2− sin θ = 1
θ = 7 11,6 6π π θ =
2π
ดังนั้น θ = 2π , 7 11,6 6π π
141
3) tan θ = 2 sin θsin 2sincos
θ− θ
θ= 0
1sin 2cos
θ − θ = 0
sin θ = 0 และ 1 2cos
−θ
= 0
θ = 0, π 1cosθ
= 2
cos θ = 12
θ = 5,3 3π π
ดังนั้น θ = 0, 3π , π, 5
3π
2. 1) 4 sin2x – 3 = 0 จะได sin x = 32
±
ดังนั้น x = 2 4 5, , ,3 3 3 3π π π π
2) tan x ( sin x + 1) = 0ถา tan x = 0 จะได x = 0, πถา sin x + 1 = 0 นั่นคือ sin x = –1แต 3tan
2π หาคาไมได
ดังนั้น x = 0, π
3) cos x (2 cos x – 3 ) = 0ถา cos x = 0 จะได x = 3,
2 2π π
ถา 2 cos x – 3 = 0 นั่นคือ cos x = 32
จะได x = 11,6 6π π
ดังนั้น x = 3 11, , ,6 2 2 6π π π π
4) sin x ( 4 sin2x – 1) = 0ถา sin x = 0 จะได x = 0, πถา 4 sin2x – 1 = 0
142
sin x = 12
± จะได x = 5 7 11, , ,6 6 6 6π π π π
ดังนั้น x = 0, 5 7 11, , , ,6 6 6 6π π π π
π
5) sin2x – cos x + 5 = 01 – cos2x – cos x + 5 = 0cos2x + cos x – 6 = 0 จะได (cos x + 3)(cos x – 2) = 0ถา cos x + 3 = 0 จะได cos x = –3ถา cos x – 2 = 0 จะได cos x = 2แต cos 1θ ≤ เสมอ ดังนั้น จึงไมมีคา x ใดที่สอดคลองกับสมการ
6) 3 sec x – cos x + 2 = 03 cos x 2cos x
− + = 0 , cos x ≠ 03 – cos2x + 2 cos x = 0 นั่นคือ (cos x – 3)(cos x + 1) = 0ถา cos x – 3 = 0 ไมมีคา x ใดที่สอคคลองกับสมการนี้ถา cos x + 1 = 0 นั่นคือ cos x = –1 จะได x = πดังนั้น x = π
7) 23 csc x 2csc x+ = 0
23 2
sin xsin x+ = 0, sin x ≠ 0
3 2sin x+ = 0, sin x ≠ 0 sin x = 3
2− จะได x = 4 5,
3 3π π
ดังนั้น x = 4 5,3 3π π
8) cos 2x + 2cos2 x2
= 1
2 cos2x – 1 + (2 cos2 x2
– 1) = 02 cos2x – 1 + cos x = 0(2 cos x – 1)(cos x + 1) = 0
143
ถา 2 cos x – 1 = 0 นั่นคือ cos x = 12
จะได x = 3π , 5
3π
ถา cos x + 1 = 0 นั่นคือ cos x = –1 จะได x = πดังนั้น x = 5, ,
3 3π ππ
9) 2sin2x – 3 cos x – 3 = 02(1 – cos2x) – 3 cos x – 3 = 02 cos2x + 3 cos x + 1 = 0(2 cos x + 1)(cos x + 1) = 0ถา 2 cos x + 1 = 0 นั่นคือ cos x = 1
2− จะได x = 2 4,
3 3π π
ถา cos x + 1 = 0 นั่นคือ cos x = –1 จะได x = πดังนั้น x = 2 4, ,
3 3π ππ
10) cot x + 2 sin x = csc xcos x + 2 sin2x = 1 , sin x ≠ 02cos2x – cos x – 1 = 0(2 cos x + 1)(cos x – 1 ) = 0ถา 2 cos x + 1 = 0 นั่นคือ cos x = 1
2− จะได x = 2 4,
3 3π π
ถา cos x – 1 = 0 นั่นคือ cos x = 1 จะได x = 0แต x = 0 ทําให sin x = 0ดังนั้น x = 2 4,
3 3π π
3. 1) 2 sin θ – 1 = 0 นั่นคือ sin θ = 12
จะได θ = 30°, 150°ดังนั้น เซตคําตอบ คือ {30°, 150°}
2) 3 tan2θ – 1 = 0 นั่นคือ 1tan3
θ = ± จะได θ = 30°, 150°, 210°, 330°
ดังนั้น เซตคําตอบ คือ {30°, 150°, 210°, 330°}3) 3 csc2θ + 2 csc θ = 0 จะได csc θ ( 3 csc θ + 2) = 0
ถา csc θ = 0 ไมมีคา θ ที่ทําให csc θ = 0
144
ถา 3 csc θ + 2 = 0 นั่นคือ csc θ = 23
−
หรือ sin θ = 32
− จะได θ = 240° , 300°ดังนั้น เซตคําตอบ คือ {240° , 300°}
4) 4 tan2θ – 3 sec2θ = 04 tan2θ – 3 (1 + tan2θ) = 0 จะได tan2θ = 3นั่นคือ tan θ = 3± จะได θ = 60°, 120°, 240°, 300°ดังนั้น เซตคําตอบ คือ {60°, 120°, 240°, 300°}
5) 2 cos2θ + 2 cos 2θ = 1 หรือ 2 cos2θ + 2(2 cos2θ – 1) = 1นั่นคือ 6 cos2θ – 3 = 0 หรือ cos2θ = 1
2
นั่นคือ cos θ = 12
± จะได θ = 45°, 135°, 225°, 315°
ดังนั้น เซตคําตอบ คือ {45°, 135°, 225°, 315°}
6) sin 2θ – cos2θ + 3 sin2θ = 02 sin θ cos θ – cos2θ + 3 sin2θ = 0(3 sin θ – cos θ)(sin θ + cos θ) = 0ถา 3 sin θ – cos θ = 0 จะได tan θ = 1
3 ≈ 0.3333
จากตาราง tan 18° 30′ = 0.3346 และ tan 18° 20′ = 0.3314คาของฟงกชันเพิ่มขึ้น 0.0032 คาของมุมเพิ่มขึ้น 10 ลิปดาคาของฟงกชันเพิ่มขึ้น 0.0019 คาของมุมเพิ่มขึ้น 10 0.0019
0.0032× = 5.94 ลิปดา
จะได tan 18° 25.9′ = 0.3333ดังนั้น ถา tan θ = 1
3 จะได θ ≈ 18° 26′, 198° 26′
ถา sin θ + cos θ = 0 นั่นคือ tan θ = –1 จะได θ = 135°, 315°ดังนั้น เซตคําตอบ คือ {18° 26′, 135° , 198° 26′, 315°}
7) 4 csc θ – 4 sin θ = 2 2 cot θ
นํา sin θ คูณตลอดจะได 4 – 4sin2θ = 2 2 cosθ
145
2 – 2 + 2 cos2θ = 2 cosθ
2 cos2θ – 2 cosθ = 0 นั่นคือ cos θ (2 cos θ – 2 ) = 0ถา cos θ = 0 จะได θ = 90° , 270°ถา 2 cos θ – 2 = 0 นั่นคือ cos θ = 2
2 จะได θ = 45°, 315°
ดังนั้น เซตคําตอบ คือ {45°, 90°, 270°, 315°}
8) cos θ + 4 sin θ – sin 2θ = 2cos θ + 4 sin θ – 2 sin θ cos θ – 2 = 0cos θ – 2 – 2 sin θ (cos θ – 2) = 0(cos θ – 2)(1 – 2 sin θ) = 0ถา cos θ – 2 = 0 นั่นคือ cos θ = 2 ซึ่งไมมีคา θ ที่สอดคลองกับสมการนี้ถา 1 – 2 sin θ = 0 นั่นคือ sin θ = 1
2 จะได θ = 30°, 150°
ดังนั้น เซตคําตอบ คือ {30°, 150°}
9) 4 cos4θ = (sin 2θ)2 หรือ 4 cos4θ – (2 sin θ cos θ)2 = 0นั่นคือ 4 cos4θ – 4 sin2θ cos2θ = 0ดังนั้น 4 cos2θ (cos2θ – sin2θ) = 0ถา 4 cos2θ = 0 นั่นคือ cos θ = 0 จะได θ = 90°, 270°ถา cos2θ – sin2θ = 0 นั่นคือ 1 – 2 sin2θ = 0ดังนั้น sin2θ = 1
2 นั่นคือ sin θ = 1
2±
จะได θ = 45°, 135°, 225°, 315°ดังนั้น เซตคําตอบ คือ {45°, 90°, 135°, 225°, 270°, 315°}
10) sin 5θ + sin 3θ = 0(5 3 ) (5 3 )2sin cos2 2
θ+ θ θ− θ = 0 นั่นคือ 2 sin 4θ cos θ = 0ถา cos θ = 0 จะได θ = 90°, 270°ถา sin 4θ = 0 จะได 4θ = 0°, 180°, 360°, 540°, 720°, ..., 1260°
θ = 0°, 45°, 90°, 135°, 180°, 225°, 270°, 315°ดังนั้น เซตคําตอบ คือ {0°, 45°, 90°, 135°, 180°, 225°, 270°, 315°}
146
11) sin 3θ cos θ – cos 3θ sin θ = cos θsin (3θ – θ) = cos θ2 sin θ cos θ = cos θ
(2 sin θ – 1) cos θ = 0ถา cos θ = 0 จะได θ = 90°, 270°ถา 2 sin θ – 1 = 0 นั่นคือ sin θ = 1
2 จะได θ = 30°, 150°
ดังนั้น เซตคําตอบ คือ {30°, 90°, 150°, 270°}
4. 1) 4 sin2θ = 1 จะได sin θ = 12
±
นั่นคือ θ = 5 7 11, , ,6 6 6 6π π π π
คาทั่วไปของ θ ที่จะทําใหสมการเปนจริง คือ 5 7 112n ,2n ,2n ,2n
6 6 6 6π π π π
π+ π+ π+ π+ เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม
หรืออาจเขียนคําตอบรวมกันเปน n6π
π± เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม
2) tan2x – 3 = 0 จะได tan x = 3±
x = 2 4 5, , ,3 3 3 3π π π π
คาทั่วไปของ x ที่ทําใหสมการนี้เปนจริง คือ2 4 52n ,2n , 2n ,2n
3 3 3 3π π π π
π+ π+ π+ π+ เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม
หรืออาจเขียนคําตอบรวมกันเปน n3π
π± เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม
3) tan θ sin θ + tanθ = 0 นั่นคือ tan θ (sin θ + 1) = 0ถา tan θ = 0 จะได θ = 0, πถา sin θ + 1 = 0 นั่นคือ sin θ = –1 จะได θ = 3
2π
แตถา θ = 32π , tan θ ไมอาจจะหาคาได
ดังนั้น คาทั่วไปของ θ ที่ทําใหสมการนี้เปนจริงคือ 2nπ + 0°, 2nπ + π เมื่อ n ∈ Iหรือ θ = nπ เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม
147
4) sec2θ – 2 tan θ = 0 นั่นคือ 1 + tan2θ – 2 tan θ = 0จะได (tan θ – 1)2 = 0tan θ – 1 = 0 นั่นคือ tan θ = 1 จะได θ =
4π , 5
4π
ดังนั้น คาทั่วไปของ θ ที่ทําใหสมการนี้เปนจริงคือ 2nπ + 4π , 52n
4π
π+
เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม หรือ θ = n4π
π+ เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม
5) cos 2θ = sin θ1 – 2 sin2θ = sin θ นั่นคือ (2 sin θ – 1) (sin θ + 1) = 0ถา 2 sin θ – 1 = 0 นั่นคือ sin θ = 1
2 จะได θ = 5,
6 6π π
ถา sin θ + 1 = 0 นั่นคือ sin θ = –1 จะได θ = 32π
คาทั่วไปของ θ คือ 2nπ + 6π , 2nπ + 5
6π , 2nπ + 3
2π เมื่อ n ∈ I
เฉลยแบบฝกหัด 2.10
1. 1) จากกฎของโคไซน a2 = b2 + c2 – 2bc cos A= (40)2 + (60)2 – 2 × 40 × 60 cos 60°= 2800
ดังนั้น a = 20 7
2) 2 19
3) 254.344) จากกฎของโคไซน cos B = 2 2 2a c b
2ac+ −
= 2 2 212 8 72 12 8+ −× ×
= 0.8281
จากตาราง cos 34° = 0.8290 และ cos 34° 10′ = 0.8274คาของโคไซนเพิ่มขึ้น 0.0016 คาของมุมลดลง 10 ลิปดาคาของโคไซนเพิ่มขึ้น 0.0007 คาของมุมลดลง 10 0.0007
0.0016× = 4.4 ลิปดา
148
cos (34° 10′ – 4.4′) = 0.8274 + 0.0007 cos 34° 5.6′ = 0.8281
ดังนั้น B = 34° 5.6′
5) จากกฎของโคไซน cos A = 2 2 2b c a2bc+ −
= 2 2 2(3.7) (5.2) (8.4)2 3.7 5.2+ −× ×
= –0.7752
จากตาราง cos 39° 10 ′ = 0.7753 และ cos 39° 20′ = 0.7735คาของโคไซนเพิ่มขึ้น 0.0018 คาของมุมลดลง 10 ลิปดาคาของโคไซนเพิ่มขึ้น 0.0001 คาของมุมลดลง 10 0.0001
0.0018× = 0.56 ลิปดา
ดังนั้น cos 39° 10.56′ = 0.7752cos (180° - 39° 10.56′) = –cos 39° 10.56′ = –0.7752cos 140° 49.44′ = –0.7752
ดังนั้น A = 140° 49.44′
2. 1) A = 45°, C = 60°, b = 20 จงหา cเนื่องจาก A + B + C = 180°ดังนั้น B = 180° – A – C = 180° – 45° – 60° = 75°จากกฎของไซน sinB
b = sinC
csin 7520
° = sin 60c
°
ดังนั้น c = 20sin60sin75
°°
= 20 0.86600.9659× = 17.93
2) 16.063) 14.93, 13.39
3. 1) a = 15, b = 20 และ C = 65°พ้ืนที่รูปสามเหลี่ยม ABC = 1
2ab sin C = 1
2 × 15 × 20 sin 65°
= 150 × 0.9063 = 135.9450 ตารางหนวย
149
2) 213.9280 ตารางหนวย3) 179.107 ตารางหนวย
4. 1)∧
A = 25° , ∧
B = 30.74 , c = 20.362)
∧
C = 37° , a = 85.82 , b = 57.563)
∧
B = 60° , ∧
C = 90° , c = 2 หรือ ∧
B = 120° , ∧
C = 30° , c = 14)
∧
A = 45° , ∧
C = 75° , a = 2 3 หรือ ∧
A = 15° , ∧
C = 105° , a = 3 – 3
5)∧
A = 75° , ∧
C = 60° , a = 3.86 หรือ ∧
A = 15° , ∧
C = 120° , a = 1.035
5. ให ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน ABC∧ = 135°AB = 10 ซม. AD = 5 ซม.DAB
∧ = 180° – 135° = 45°
ใน ∆ ABD, BD2 = AD2 + AB2 – 2AD⋅AB cos 45°= 25 + 100 – 2 × 5 × 10 × 0.707 = 54.3
BD = 7.36
6. ให ABC เปนรูปสามเหลี่ยมหนาจั่ว มีฐาน BC ยาว 60 หนวยBAC
∧ = 30°ดังนั้น ABC∧ = 180 30
2° − ° = 75°
sinBACBC
∧
= sinABCAC
∧
AC = sin 75 60sin30
° ×°
= 0.9659 × 60 × 2 = 115.908ดังนั้น AB + AC + BC = (2 × 115.908) + 60 = 291.816 หนวย
7. ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผา AB = 32 เซนติเมตร , BC = 24 เซนติเมตร ใน ∆ ABC, AC2 = AB2 + BC2 = 1024 + 576
D C
BA135°
A
CB 60
30°
D C
BA 32
O 24
150
AC = 40แต ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผา ดังนั้น AC = BD = 40จะได AO = OD = 40
2 = 20
ใน ∆ AOD , cos AOD∧ = 2 2 2AO OD AD2 AO OD+ −⋅ ⋅
= 400 400 5762 20 20+ −× ×
= 0.28
จากตาราง AOD∧ = 73° 45′
8. ABCD เปนที่ดินรูปสี่เหลี่ยมของกลา ซึ่งมีAD = DC , ABC∧ = 30° , BC = 20 , AB = 40
พ้ืนที่ของ ABCD = พ้ืนที่ของ ∆ ADC + พ้ืนที่ของ ∆ ABCCE = BC sin 30° = 20 × 1
2 = 10
จะได พ้ืนที่ ∆ ABC = 12
× AB × CE = 12
× 40 × 10 = 200 ม.2
AC2 = BC2 + AB2 - 2AB⋅BC cos 30° = 2000-800 3
พ้ืนที่ ∆ ADC = 12
× AD × DC = 12
AD2
แต AC2 = AD2 + DC2 = 2 AD2
จะได AD2 = 12
AC2
ดังนั้น พ้ืนที่ ∆ ADC = 12
AD2 = 14
AC2
= 14
(2000-800 3 ) = 500 – 200 3
พ้ืนที่ ABCD = 500 – 200 3 +200 = 700 – 200 × 1.732ดังนั้น กลามีที่ดิน เทากับ 353.6 ตารางเมตร
9. ก ข ค และ จ เปนตําแหนงที่บานของแกว ขวัญ คนึงและจิต ตั้งอยูตามลําดับ
ขค = 50 เมตร, ∧
กค จ = 45° , ∧
ข จ ค = 30°∧
ค ขจ = 180° – 30° – 45° = 105°
D C
BEA30°
ก ข ค
จ30°
45°
151
ใน ∆ คขจ sin∧
ข จ คขค = sin
∧ค ข จจค
sin3050
° =
จค = 50sin 75sin 30
°°
= 50 × 2 × 0.9659 = 96.59
ใน ∆ กจค, กจ = จค sin 45° = 96.59 × 0.7071แมน้ํากวาง 68.3 เมตร
10. จงพิสูจน Hero’s Formula ที่กลาววาพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมใด ๆ = s (s a)(s b)(s c)− − − เมื่อ a, b หรือ c เปนดานทั้งสามของรูปสามเหลี่ยมและ s = a b c
2+ +
พ้ืนที่รูปสามเหลี่ยมใด ๆ = 12
bc sin Asin A = 21 cos A− และ cos A = 2 2 2b c a
2 bc+ −
ดังนั้น พ้ืนที่รูปสามเหลี่ยม = 12
bc 21 cos A− = 12
bc 2 2 22b c a1 ( )
2 bc+ −
−
= 12
bc 2 2 2 2 2
2
(2bc) (b c a )(2 bc)− + −
= 2 2 2 2 2 21 bc (2bc b c a )(2bc b c a )2 2 bc⋅ − − + + + −
= 2 2 2 2 2 21 a (b 2bc c (b 2bc c ) a4
− − + + + −
= 2 2 2 21 a (b c) (b c) a4
− − + −
= 1 (a b c)(a b c)(b c a)(b c a)4
− + + − + − + +
พ้ืนที่รูปสามเหลี่ยม = (a b c a b c a b c a b c( )( a)( b)( c)2 2 2 2+ + + + + + + +
− − −
กําหนดให s = a b c2
+ +
ดังนั้น พ้ืนที่รูปสามเหลี่ยมใด ๆ = s (s a)(s b)(s c)− − −
sin 105°จค
152
เฉลยแบบฝกหัด 2.11
1. BC เปนความสูงของตึก CD เปนความสูงของเสาอากาศA เปนจุดที่มองยอดตึกและยอดเสาอากาศมุมเงย BAC = 30° และมุมเงย BAD = 60°ใน ∆ ABD , BD = AB tan 60° = 18 3 เมตรใน ∆ ABC , BC = AB tan 30° = 18
3 = 6 3 เมตร
ดังนั้น DC = 18 3 – 6 3 = 12 3 เมตร
2. AB เปนประภาคารหลังหนึ่งC และ D เปนตําแหนงที่เรือสองลําจอดอยูหางกัน 60 เมตรมุมเงย ACB = 45° และมุมเงย ADB = 30°ใน ∆ ABC, BC = AB
tan 45° จะได BC = AB
ใน ∆ ABD, BD = ABtan30°
= 3 AB
เพราะวา BD – BC = CDนั่นคือ 3 AB – AB = 60 จะได AB ≈ 60
0.732
ดังนั้น เรือลําที่อยูใกลประภาคารอยูหางจากประภาคาร 81.96 เมตร
3. AB2 = AC2 + BC2 – 2 AC⋅BC cos 75° = (3.2)2 + (2.4)2 – 2 × 3.2 × 2.4 × 0.2588
= 10.24 + 5.76 – 3.98AB ≈ 3.47
ดังนั้น บึงกวาง 3.47 เมตร
4. ให EF เปนเสาอากาศของสถานีโทรทัศนแหงหนึ่งH และ G เปนจุดที่พิชัยยืนหางจากเสาอากาศ 100 และ200 เมตร ตามลําดับ
A
D
C
B 30°60°
DCB
A
30°45°
αθ
200 100F
E
GH
153
มุมเงย EHF = θ และมุมเงย EFG = αเพราะวา θ + α = 90° จะได α = 90° – θใน ∆ EHF, EF
FH = tan θ
EF = 100 tan θ …………… (1)ใน ∆ EGF, FF
FG = tan α = tan (90° – θ) = sin (90 )
cos(90 )°−θ°−θ
EF = 200 cossin
θθ
…………… (2)
(1) = (2) จะได 100 tan θ = 200tanθ
tan θ = 2
ดังนั้น เสาอากาศสูง 100 × 2 = 141.4 เมตร
5. CAB∧ = 47° – 32° = 15°
ACD∧ = 90° – 47° = 43°
BCE∧ = 90° – CBE∧ = 90° – 77° = 13°
ดังนั้น ACB∧ = ACD∧ – BCE∧ = 43° – 13° = 30°
และ ABC∧ = 180° – CAB∧ – ACB∧ = 180° – 15° – 30°
= 135°ใน ∆ ABC, sinB
AC = sinC
100
AC = 100sinBsinC
= 100sin135sin30
°°
= 100sin 45sin30
°°
ใน ∆ ACD, CD = ACsin 47sin90
°°
= 100sin 45 sin 47sin30 sin90
° °° °
= 1100 0.73121 12
× ×
× ≈ 103.36
ดังนั้น ความสูงของเนินดินจากพื้นราบ 103.36 เมตร
6. G เปนปอมยามซึ่งอยูทางทิศตะวันออกของตึกH เปนรถบรรทุกซึ่งจอดอยูทางทิศใตของปอมยามEF เปนตึกสูง 15 ชั้น EGF∧ = 60° , EHF∧ = 30°F G
E
H
60°
30°
47° 32°
10077°
A D
C
EB
154
ตึกหลังนี้สูง 15 × 4 = 60 เมตรใน ∆ EFG, GF = EF
tan60° = 20 3
ใน ∆ EFH, FH = EFtan30°
= 60 3
ใน ∆ FGH, GH2 = HF2 – FG2 = (60 3 )2 – (20 3 )2
รถบรรทุกอยูหางจากปอมยาม 40 6 เมตร
7. ให EF เปนภูเขาลูกหนึ่งG เปนจุดที่สุดายืนอยูทางทิศตะวันออกเฉียงใตของภูเขาGH เปนระยะที่สุดาเดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต 500 เมตรดังนั้น GF ตั้งฉากกับ GH
ใน ∆ EFH, FH = EFtan35°
= EF0.7002
ใน ∆ EFG, FG = EFtan65°
= EF2.1445
ใน ∆ FGH, GH2 = FH2 – FG2
5002 = 2EF( )0.7002
– 2EF( )2.1445
EF2 = 250000 × 0.5488 = 137200EF ≈ 370.4
ดังนั้น ภูเขาสูง 370.4 เมตร
8. ใน ∆ ABD, BD = htan (45 )°+α
ใน ∆ ABC, BC = htan (45 )°−α
CD = BC – BD= h 1 1
tan (45 ) tan (45 )
− °−α °+α
E
GH
F 65°35°
เหนือ
ตก ออก
ใต
A
B
h
DC45°+α45°–α
155
= h tan (45 ) tan (45 )tan (45 ) tan (45 )
°+ α − °−α °−α °+α
= h tan 45 tan tan 45 tan1 tan 45 tan 1 tan 45 tantan 45 tan tan 45 tan1 tan 45 tan 1 tan 45 tan
°+ α °− α − − ° α + ° α °− α °+ α × + ° α − ° α
= h (1 tan )(1 tan ) (1 tan )(1 tan )(1 tan )(1 tan )
+ α + α − − α − α + α − α
= h 2 2(1 tan ) (1 tan )(1 tan )(1 tan )
+ α − − α + α − α
= h (1 tan 1 tan )(1 tan 1 tan )(1 tan )(1 tan )
+ α+ − α + α− + α + α − α
= h 2
2 2 tan1 tan × α − α
= 2h tan 2αดังนั้น วัตถุทั้งสองหางกัน 2h tan 2α เมตร
9. A เปนจุดที่ชายคนนี้ยืนอยูBC แทนความสูงของภูเขาCD แทนหอคอยจากรูป จะได DAC∧ = 12°,BCA
∧ = 53° DCA∧ = 127° ,
CDA∧ = 41°
จากกฎของไซน sinDACDC
∧
= sinCDAAC
∧
จะได AC = 60sin 41sin12
°°
= 60(0.7156)0.2079
= 206.52จาก sin 37° = BC
ACBC = 206.52 (0.6018)
= 124.28ดังนั้น ชายคนนี้อยูหางจากฐานหอคอย 206.52 เมตร และ ภูเขาสูง 124.28 เมตร
60 เมตร
49° 37°
C
D
B A
156
10. จากรูป XY แทนความสูงของประภาคารเพราะวา ZXA∧ = XAB∧ = 30°
ZXB∧ = XBY∧ = 40°จะได AXB∧ = 10° , XBA∧ = 140°
จากกฎของไซน sin BXAAB
∧
= sinXABBX
∧
จะได sin10100
° = sin 30BX
°
BX = 100(0.5)0.1736
= 288.02
จากกฎของไซน sinXBAAX
∧
= sin BXAAB
∧
จะได sin140AX
° = sin10100
°
AX = 100(0.6428)0.1736
= 370.28
จากกฎของไซน sinXYBBX
∧
= sinXBYXY
∧
จะได sin 90288.02
° = sin 40XY
°
XY = 288.02 (0.6428)= 185.14
ดังนั้น ยอดประภาคารอยูหางจากจุด A เทากับ 370.28 เมตร ยอดประภาคารอยูหางจากจุด B เทากับ 288.02 เมตร ประภาคารสูงเทากับ 185.14 เมตร
11. จากกฎของโคไซน AB2 = OB2 + OA2 – 2(OB)(OA) cos BOA∧
จะได AB2 = 42 + 62 – 2(4)(6) cos 30° = 16 + 36 - 48 3( )
2 = 52 – 24(1.7321)
40° 30°X Z
Y AB 100 เมตร
A
B
O 6 กิโลเมตร
4 กิโลเมตร
30°
157
= 10.4296 AB = 3.23
ดังนั้น A และ B อยูหางกันประมาณ 3.23 กิโลเมตร
12. ∆ AOB, AB2 = OA2 + OB2 – 2(OA)(OB) cos AOB∧
จะได 82 = 7.52 + 7.52 – 2(7.5)(7.5) cos AOB∧
82 = 2(7.5)2(1 – cos AOB)cos AOB∧ =
2
281
2(7.5)−
= 0.4311จากการเปดตาราง cos 64° 20′ = 0.4331
cos 64° 30′ = 0.4305คาของฟงกชันโคไซนตางกัน 0.002 มุมตางกัน 10 0.002
0.0026× = 7.7′
จะได cos 64° 27.7′ = 0.4311นั่นคือ AOB
∧ = 64° 27.7′ ---------- *∆ AO′B , AB2 = O′A2 + O′B2 – 2(O′A)(O′B) cos AO E∧
′
จะได 82 = 62 + 62 – 2(6)(6) cos AO B∧′
cos AO E∧′ =
2
2812(6)
−
= 0.1111จากการเปดตาราง cos 83° 40′ = 0.1103
cos 83° 30′ = 0.1132คาของฟงกชันโคไซนตางกัน 0.0008 มุมตางกัน 10 0.0008
0.0029× = 2.8
จะได cos 83° 37.2′ = 0.1111นั่นคือ AO E
∧′ = 83° 37.2′ ---------- **
A7.5 6
O′
B
O 8
158
13. จาก AC2 = AB2 + BC2
จะได AC2 = 122 + 52
AC = 13จาก EC2 = AE2 + AC2
จะได EC2 = 62 + 132
= 205EC = 14.3
จากกฎของโคไซน AE2 = AC2 + EC2 – 2(AC)(EC) cos ACE∧
36 = 169 + 205 – 2(13)(14.3) cos ACE∧
cos ACE∧ = 0.9091จะได ACE
∧ = 24° 37.5′ ---------- *เพราะวา HF = EG = AC = DB = 13
DF = EC = 14.3จากกฎของโคไซน HF2 = HD2 + DF2 – 2(HD)(DF) cos HDF∧
169 = 36 + 205 – 2(36)(14.3) cos HDF∧
cos HDF∧ = 0.0699จะได HDF∧ = 86° ---------- **จาก ∆ HCG, HC2 = CG2 + HG2
จะได HC2 = 36 + 144= 180
HC = 13.4จากกฎของโคไซน EH2 = EC2 + HC2 – 2(EC)(HC) cos ECH∧
25 = 205 + 180 – 2(14.3)(13.4) cos ECH∧
cos ECH∧ = 0.5349จะได ECH∧ = 57° 40′ ---------- ***
A B
C
GH
E D F
56
12