Predetermined Time System Part1
1
การศกึษาเวลาแบบพรดีเีทอร์มนิ
1. ประโยชน์ของการศกึาเวลาแบบพรดีเีทอร์มนิ (PTS)
2
� Predetermined Time System คอื ระบบของการหาเวลาของการทาํงานจากตารางเวลาของ “Fundamental Motions”
� PTS สามารถหาเวลามาตรฐานของงานใดๆ โดยไม่จาํเป็นต้องอาศยัการจับเวลาโดยตรง
� PTS ไม่ต้องอาศยัการประเมนิอตัราเรว็การทาํงานของพนักงาน� PTS คอื ระบบเวลาประเมนิล่วงหน้า เป็นชุดข้อมูลที+รวบรวมมาจากเวลามาตรฐาน
ของงานย่อยพื,นฐาน เพื+อเป็นตวัแทนของการปฏบิตังิานมาตรฐาน� PTS ใช้กฎเกณฑท์ี+สร้างขึ,นเพื+อการคาํนวณและการวเิคราะห์เวลามาตรฐาน� PTS มอียู่ 2 วธิ ีคอื
� Methods-Time Measurement (MTM)� Master Standard Data (MSD)
ประโยชน์ของการใช ้Predetermined time system
3
� ในการประเมนิผลของการเคลื+อนไหว โดยใช้เพื+อ� ปรับปรงุวิธกีารทาํงานที+มีอยู่ให้ดขีึ,น
� ประเมินผลของวิธกีารทาํงานที+ทาํเสนอไว้ล่วงหน้า
� ประเมินผลของการออกแบบของเครื+องมือเครื+องใช้ในการทาํงานต่างๆ
� ช่วยในการออกแบบและปรับปรงุผลิตภัณฑ์
� ใช้ฝึกผู้ทาํการศึกษาเวลาให้คุ้นเคยกบัระบบของการศึกษาเวลา
ประโยชน์ของการใช ้Predetermined time system
4
� ในการศกึษาเวลา เพื+อ� หาเวลามาตรฐานโดยใช้ PTS
� รวมเอาข้อมูลมาตรฐานและสตูรสาํหรับกลุ่มงานต่างๆ เพื+อความรวดเรว็ในการหาเวลามาตรฐาน
� ตรวจสอบเวลาที+หาได้จากการจับเวลาด้วยนาฬิกาจับเวลา
� ประเมินต้นทุนค่าจ้างแรงงาน
� วางสายผลิตและสมดุลสายการผลิต
2. Methods – Time Measurement (MTM)
5
� ระบบ MTM ถูกพัฒนาครั,งแรกในปี 1948 โดย H.B. Maynard, J. L. Schwa และ G. J. Stegemerten ในสหรัฐอเมริกา
� ปัจจุบนัมรีะบบ MTM ในรหัสต่างๆ เพื+อใช้งานแต่ละประเภท ได้แก่1. MTM – 1 เป็นระบบที+คิดขึ,นครั,งแรก และเป็นพื,นฐานสาํหรับระบบ MTM อื+น
ระบบนี, เหมาะสาํหรับการวเิคราะห์งานที+มปีริมาณการผลิตสงู
2. MTM – 2 เป็น generation ที+สองที+พัฒนา โดยปรับปรงุให้ง่ายขึ,น
3. MTM – UAS นับเป็น generation ที+สองที+พัฒนา โดยผ่านการวิเคราะห์เชิงสถติิ วิธนีี, เหมาะกบังานในลักษณะที+ผลิตเป็น Batch
4. MTM – MEK นับเป็น generation ที+สามที+พัฒนามาจาก MTM-1 เหมาะสมกบัการใช้งานในลักษณะที+ผลิตน้อยชิ,น มีรอบเวลายาว หรืองานที+ไม่เกดิบ่อย
2. Methods – Time Measurement (MTM) ต่อ
6
5. MTM – B นับเป็น generation ที+สามจาก MTM – UAS เพื+อใช้เครื+องมือที+ต้องเน้นความเรว็ ไม่เหมาะจะใช้ในการวิเคราะห์การทาํงานของมือ
6. MTM – HC สาํหรับใช้ในงานโรงพยาบาล
7. MTM –V สาํหรับใช้ในงานที+มีรอบเวลายาว และทาํร่วมกบัเครื+องจักร
8. MTM – C สาํหรับใช้ในงานธรุการ
9. MTM – M สาํหรับใช้ในงานประกอบเลก็ๆ เช่น การพันลวด งานเชื+อม หรืองานที+ทาํภายใต้กล้องจุลทรรศน์
10. MOST (Maynard Operation Sequence Technique) เหมาะสาํหรับการวิเคราะห์งานซึ+งมีเวลาเฉลี+ยระหว่าง 1-5 นาที
MTM (Methods – Time Measurement)
7
� MTM เป็นวิธกีารในการวิเคราะห์การทาํงานต่างๆ ที+ใช้มือ ออกเป็นการเคลื+อนพื,นฐานที+ต้องใช้ในการทาํงานนั,น และกาํหนดค่าเวลามาตรฐานที+คิดไว้ล่วงหน้า
� แบ่งชนิดของการเคลื+อนไหวออกเป็นการเคลื+อนพื,นฐาน (Basic Element) คือ� Reach� Move� Grasp� Turn� Position� Disengage� Release
� โดยทาํการศึกษาแต่ละงานย่อย (Element) อย่างละเอยีดและหาตัวแปร (Variables) ซึ+งจะมีผลต่อเวลาของงานย่อย (Element) นั,นๆ
ตวัอย่างในการสร้างตาราง
8
� Reach (เอื,อม) คอื การเอื,อมหรือเคลื+อนมอืเปล่า ในการวเิคราะห์ มตีวัแปรต่างๆ ดงันี,� ระยะที+มือเคลื+อนไป (Distance moved)
� ชนิดของการเอื,อม (Motion class employed)
� มือที+ใช้ (Hand used-left, right of both)
� การเปลี+ยนทศิทางของมือ รวมทั,งการจัดเตรียม (Change direction and/or pre-position included)
� ระยะเวลาที+ใช้ (Elapse time)
� การประเมินอตัราความเรว็ (Skill and effort rating)
� คาํบรรยายการเคลื+อนไหว (Description of motion)
ตารางที# 18.1
9
หน่วยของเวลา (Time Unit)
10
� วดัเป็น 1/16 วนิาท ีหรือ = 0.000017 ชั+วโมง ตามช่วงห่างระหว่างเฟรมหรือภาพจาก ฟิล์มภาพยนตร์
� เพื+อความสะดวกปัดเป็นเลข = 0.00001 ชั+วโมง และเรียนหน่วยของเวลานี, ว่า 1 TMU (Time-Measurement Unit)
1 TMU = 0.00001 ชั+วโมง
= 0.0006 นาที
= 0.036 วินาที
รายละเอยีดของตาราง
2.1 Reach (เอ ื*อม)
11
� คอื งานย่อยพื,นฐาน ในการเคลื+อนมอืหรือนิ, วมอืไปยังที+ใดที+หนึ+ง (Therblig: TE) ซึ+งเวลาในการเอื,อมขึ,นกบัประเภทของการเอื,อมมอื, ระยะทาง และเงื+อนไขในการเอื,อม
� ลักษณะของการเคลื+อนที+ต่อเนื+องอธบิายได้ดงัรปูที+ 18.1
ประเภทของการเอื*อมมอื แบ่งเป็น 5 กลุม่
12
� Case A เอื,อมมอืไปยังวตัถุในตาํแหน่งแน่นอนหรืออยู่ในอกีมอืหนึ+ง หรือที+อกีมอืสมัผสัอยู่
� Case B เอื,อมมอืไปยังวตัถุเดี+ยวๆ ในตาํแหน่งที+แปรเปลี+ยนเลก็น้อยในแต่ละรอย
� Case C เอื,อมมอืไปยังวตัถุที+ปนอยู่กบัวตัถุอื+นๆ ทาํให้ต้องค้นหาและเลือก
� Case D เอื,อมมอืไปยังวตัถุชิ,นเลก็มากหรือ ในกรณทีี+ต้องมคีวามแม่นยาํในการจับ
� Case E เอื,อมมอืไปยังตาํแหน่งที+ไม่แน่นอนเพื+อการทรงตวั หรือเพื+อเริ+มการเคลื+อนไหวต่อไป หรือเพื+อเอามอืออกให้พ้นทาง
ระยะทางในการเอื*อม
13
� ให้วดัระยะทางจริง ตั,งแต่จุดเริ+มต้น ซึ+งกค็อืระยะทางที+มอืเคลื+อนจริง ไม่ใช่ระยะเส้นตรงระหวางจุดที+มอืเคลื+อน
� ถ้ามกีารเคลื+อนบางส่วนของร่างกายด้วยระยะที+เคลื+อนจริง จะคาํนวณจาก
Length of Reach = Distance moved by Hand + Distance moved by Body
2.2 Move เคล ื#อน
14
� คอื งานย่อยพื,นฐาน ซึ+งใช้ในการเคลื+อนวตัถุจากที+หนึ+งไปยังอกีที+หนึ+ง (Therblig: TL)
� ตวัแปรซึ+งมผีลต่อการเคลื+อน (Move) คอื เงื+อนไขในการเคลื+อน (Condition of Move) ระยะทาง ประเภทของการเคลื+อน (Classes of Move) และนํ,าหนักของของที+ถอื
� ประเภทของการเคลื+อน (Classes of Move) แบ่งเป็น 3 กลุ่ม� Case A เคลื+อนวัตถุไปยังอกีมือหนึ+ง หรือเคลื+อนไปจนหยุด
� Case B เคลื+อนวัตถุไปยังตาํแหน่งโดยประมาณ หรือตาํแหน่งที+ไม่แน่นอน
� Case C เคลื+อนวัตถุไปตรงตาํแหน่งพอดี
นํ*าหนกัที#เก ี#ยวขอ้งกบัการเคล ื#อน
15
� เมื+อต้องเคลื+อนของหนักกว่า 2.5 ปอนด์ มือจะเคลื+อนช้ากว่าธรรมดาและจะมีการลักเลเลก็น้อยก่อนเริ+มเคลื+อนที+ ดังนั,น จึงต้องมีค่าเผื+อสาํหรับนํ,าหนักที+ต้องเคลื+อน
� ค่าเผื+อนํ,าหนักนี,แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ1) ค่าเผื+อส่วนแปรผนั Weight Allowance Factory (Dynamic
Factor) เป็นค่าดชันีที+เอาไปคูณค่าพื,นฐาน
2) ค่าเผื+อส่วนคงที+ Weight Allowance Constant (Static Constant) เป็นค่าคงที+ที+นาํไปบวกค่าที+คูณตวัแปรแล้ว
ตวัอย่าง
16
� พนักงานยกวตัถุหนกั 20 ปอนด ์ระยะทาง 5 นิ, ว ไปวางบนโตะ๊� เวลาพื,นฐานในการเคลื+อน = Move 5 inch Case B (Wt. = 20 lbs.)
= (8.0 x Dynamic Factor) + Static Constant
= (8.0 x 1.22) + 7.4
= 17.2 TMU
ในการเคลื+อนทั,งสามกรณนีี,มเีพียง Case B ซึ+งมอืเคลื+อนต่อเนื+อง (Hand-in-Motion) มผีลต่อเวลาในการเคลื+อน
2.3 Turn หมุน
17
� คือ การเคลื+อนไหวที+ต้องใช้การหมุนของมือ โดยอาจจะถือวัตถุ หรือไม่ถอืวัตถุอยู่กต็าม การหมุนนี, เป็นการหมุนโดยนิ, วมือ ข้อมือ หรือข้อศอก ตามแกนของมือ
� ตัวแปรที+เกี+ยวข้อง ได้แก่� มุมของการหมุน
� นํ,าหนักของวตัถุที+ถอื
� ตัวอย่าง การใช้ไขควงขันนอตเข้าไปในรู ซึ+งต้องใช้การหมุนของข้อมือรอบแกนของแขน ถอืว่าเป็นการหมุนในตาราง MTM แต่การหมุนพวงมาลัยรถยนต์ไม่เป็นการหมุน แต่เป็นการเคลื+อนหลายๆ ครั,ง (Series of Move)
2.3 Turn หมุน (ต่อ)
18
� ตารางการหมุนนี,มี 2 ส่วนได้แก่� ตาราง 3A –Turn และ� ตาราง 3B – Apply Pressure
� การออกแรงกด หรือ Apply Pressure นี, คือ งานย่อยพื,นฐานที+ใช้ในการเอาชนิแรงต้านทาน หรือแรงเสยีดทาน ต้องอาศัยการหยุดชะงกั เพื+อกระทาํการออกแรง มักเกดิขึ,นพร้อมๆ กบัอากปักริิยาของการหมุน แต่ต้องแยกวิเคราะห์ให้ถูกต้อง
� Apply Pressure จะประกอบด้วยหน่วยย่อยของงาน 3 หน่วย คือ� การออกแรง (Apply Force – AF)� หยุดชะงัก (Dwell Minimum – DM)� การปล่อยแรง (Release Force – RF)
� การออกแรงกด (Apply Pressure) จะมี 2 กรณคีือ� Case A เป็นการออกแรงกดธรรมดา� Case B มีการเปลี+ยนลักษณะการจัด (Re-grasp) เพื+อให้จับวัตถุได้มั+นคงยิ+งขึ,น
2.4 Grasp หยบัจบั
19
� คอื งานย่อยพื,นฐาน ในการหยิบหรือจบัวตัถุหนึ+งชิ,นหรือมากกว่าหนึ+งชิ,นด้วยมอืหรือนิ, วมอื เพื+อการทาํงานขั,นต่อไป
� เทยีบเท่ากบั Therblig ของ Sh + St + G
� การหยับจบัหรือ Grasp แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม1. การหยิบขึ,น (Pick-up Grasp)
2. การขยับมือ (Regrasp)
3. การเปลี+ยนมือจับ (Transfer Grasp)
4. การเลือกหยิบ (Select Grasp)
5. การสมัผสัหรือนิ,วเกี+ยว (Contact)
2.4 Grasp หยบัจบั (ต่อ)
20
� การหยิบจบัเกี+ยวข้องกบันํ,าหนักของวตัถุ ซึ+งมผีลต่อเนื+องถงึการเคลื+อน (Move) ที+จะตามมา
� ท้ายตารางการหยิบจับจะมตีารางของนํ,าหนัก (Effective Net Weight) เพื+อช่วยในการวเิคราะห์นํ,าหนักที+จะนาํไปใช้เปิดตาราง Move ต่อไป
� การใช้ตารางนํ,าหนกั (ENW) คดิจากนํ,าหนักที+มผีลต่อการเคลื+อน คอื ถ้ามอืจับวตัถุเพื+อหยิบขึ,น นํ,าหนักที+คดิ คอื นํ,าหนักของวตัถุนั+นเอง
� ถ้าเลื+อนหรือไถวตัถุไปกบัพื,น นํ,าหนักที+คดิ จะเท่ากบั นํ,าหนักของวตัถุ คูณด้วยค่าสมัประสทิธิJของแรงเสยีดทานระหว่างผวิวตัถุกบัผวิของพื,นที+ไถไป
� ถ้าวตัถุถูกยกด้วยมอืทั,งสอง นํ,าหนักกค็ดิ (ENW) เท่ากบันํ,าหนักรวมหารด้วยสอง
2.5 Position เลง็ตาํแหน่ง
21
� งานย่อยพื,นฐาน ซึ+งใช้ในการจัด วาง เรียง หรือประกอบวตัถุอนัหนึ+งให้เข้ากบัอกีอนัหนึ+ง และมกีารเคลื+อนไม่เกนิ 1 นิ, ว (เทยีบเท่ากบั Therblig ของ P+ PP + A)
� ตวัแปรที+เกี+ยวข้องมี� Class of Fit ชนิดของการประกอบ
� Symmetry ความสมมาตรของการประกอบ
� Ease of Handling ความยากง่ายในการประกอบ
1. Class of Fit คอืลักษณะของความพอดใีนการประกอบแบ่งออกเป็น 3 ระดบั1. Class 1 Loose หลวม มี Clearance ประมาณ 1/16” – ¼”
2. Class 2 Close พอดี มีการลังเลเลก็น้อย Clearance ประมาณ 1/32” – 1/16”
3. Class 3 Exact แน่น ต้องใช้แรงกดมี Clearance ต่อกว่า 1/32”
2.5 Position เลง็ตาํแหน่ง (ต่อ)
22
2. Symmetry of Components คอืความได้สมมาตรของการประกอบ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทดงันี,
1. Symmetrical (S) สมมาตรสมบูรณ ์ชิ,นส่วนสามารถประกอบกนัได้ทุกทศิทาง
2. Semi-Symmetrical (SS) กึ+งสมมาตร ชิ,นส่วนซึ+งสามารถประกอบกนัได้บางมุม
3. Non-Symmetrical (NS) อสมมาตร ชิ,นส่วนซึ+งสามารถประกอบกนัได้เพียงตาํแหน่งเดียว
3. Ease of Handling คอื ความยากง่ายในการประกอบ แบ่งเป็น1. Easy ง่ายในการประกอบ ไม่จาํเป็นต้องเปลี+ยนท่าจับในระหว่างการจัดตาํแหน่ง
2. Difficult ยากในการประกอบ ต้องเปลี+ยนท่าจับในระหว่างการจัดตาํแหน่ง
2.5 Position เลง็ตาํแหน่ง (ต่อ)
23
2.6 Release ปลอ่ย
24
� เป็นงานย่อยพื,นฐาน ซึ+งใช้ในการคลายมือปล่อยวัตถุออกจากนิ,วหรือมือ มีอยู่ 2 กรณ ีคือ� Normal Release กรณปีกตเิป็นการปล่อยแบบธรรมดา
� Contact Release กรณสีมัผสัเป็นการปล่อยแบบสมัผสั ซึ+งมักจะตามมาด้วยการเอื,อม (Reach) จึงไม่จาํเป็นต้องใช้เวลา (TMU = 0)
� เป็นงานย่อยพื,นฐาน ที+ใช้ในการแยกวัตถุชิ,นหนึ+งออกจากอกีชิ,นหนึ+ง ซึ+งรวมถงึการเคลื+อนไหวอนัเกดิจากการแยกจากกนัอย่างกระทนัหันของวัตถุ 2 ชิ,น (การสิ,นสดุของแรงต้าน)
� ตัวแปรที+เกี+ยวข้องมีดังนี,� Class of Fit ชนิดของกรประกอบ
� Ease of Handling ความยากง่ายในการถอด
2.7 Disengage การถอด
2.7 Disengage การถอด (ต่อ)
25
� Class of Fit คอื ลักษณะของความพอดขีองการประกอบของชิ,นส่วนที+กาํลังจะถอดและมผีลต่อการถอด แบ่งออกเป็น 3 ระดบั1. Class 1 Loose หลวม ถอดได้ง่ายไม่ต้องออกแรงดึง
2. Class 2 Close พอดี มีการลังเลเลก็น้อย
3. Class 3 Exact แน่น ต้องออกแรงดึงมากอย่างเหน็ได้ชัด
• Ease of Handling คอื ความยากง่ายในการถอด แบ่งเป็น• Easy ง่ายในการถอด ไม่จาํเป็นต้องเปลี+ยนท่าจับในระหว่างถอด
• Difficult ยากในการถอด
2.8 Eye Times การใชส้ายตา
26
� คอื เวลาที+ต้องใช้สายตาในการมองกวาดก่อนลงมอืทาํ หรือการอ่านหรือเพ่งเพื+อให้เหน็ชัดเจน ในที+นี,หมายถงึการใช้สายตาที+แยกต่างหากจากการเคลื+อนอื+นๆ ของมอื
� มกีารใช้สายตาอยู่ 2 ประเภท คอื1. Eye Focus Time คือ เวลาที+ใช้นในการเพ่งดูวัตถุ ซึ+งต้องนานพอที+จะบอกถงึ
ลักษณะที+ต้องการได้ภายในพื,นที+ขอบเขตจาํกดั
2. Eye Travel Time คือ เวลาที+ใช้ในการกวาดสายตาจากจุดหนึ+งไปยังอกีจุดหนึ+ง ซึ+งแปรผนัโดยตรงกบัระยะทางระหว่างจุดทั,งสอง และผกผนักบัระยะตั,งฉากจากตาถงึเส้นตรงเชื+อมจุดทั,งสอง
2.9 Body Leg and Foot Motions
27
� เป็นตารางที+ให้เวลาส่วนที+เกี+ยวข้องกบัการใช้อวยัวะส่วนอื+นๆ ของร่างกายนอกจากมอื ได้แก่ เท้า ขา ต้นขา การเดนิ การก้าวเท้า การก้มตวัและการคุกเข่า แบ่งเป็น� กลุ่ม Leg Foot Motion การใช้ขาและเท้า
� กลุ่ม Horizontal Motion การเคลื+อนในแนวระนาบ
� กลุ่ม Vertical Motion การเคลื+อนในแนวดิ+ง
� รายละเอยีดของการเคลื+อนในตารางนี, มดีงันี,1. Foot Motion คือ การเคลื+อนไหวทตี้องใช้เท้าหรือข้อเท้าทั,งมีแรงกดและไม่มีแรง
กด
2. Leg or Foreleg Motion คือ การเคลื+อนของขา หรือต้นขา โดยมีจุดหมุนอยู่ที+หัวเข่า (กรณนีั+งอยู่) หรือที+สะโพก (กรณยีืน)
2.9 Body Leg and Foot Motions (ต่อ)
28
� รายละเอยีดของการเคลื+อนในตารางนี, มดีงันี,3. Side Step คือ การขยับขาไปข้างๆ บางครั,งคนงานทาํงานบนเครื+องจักรอาจต้อง
ก้าวขาข้างหนึ+งหรือสองข้างเพื+อเอื,อมไปหยิบของ หรือเอื,อมกดปุ่มบังคับที+อยู่ไกล แบ่งออกเป็น 2 กรณี
� Case 1 ขยับขาเพียงข้างเดียว ระยะก้าวถ้ามากกว่า 12” ให้อ่านค่าจากตาราง แต่ถ้าระยะทางตํ+ากว่า 12” โดย motion ถัดไปเริ+มทนัททีี+เท้าหน้าแตะพื,น ให้ดูค่าจากตาราง Reach หรือ Move
� Case 2 ขยับขาสองข้าง พิจารณาจากการขยับเท้า ให้เท้าหลังต้องหยุดเคลื+อน (แตะพื,น) ก่อน Motion ต่อไปจะเริ+มขึ,น มักตามด้วยการก้มโก้งโค้ง หรือคุกเข่า
4. Turn Body การหมุนตัวหรือ เอี,ยวตัว
5. Walk การเดิน มี 2 กรณ ีถ้าเป็นระยะสั,นให้นับจาํนวนก้าว ถ้าเป็นระยะยาว ให้วัดจากระยะทางเป็นฟุต ก้าวปกติ โดยประมาณ 27 นิ,ว
6. Vertical Motion คือ การเปลี+ยนอริิยาบถต่างๆ ในแนวดิ+ง
2.10 Simultaneous Motions
29
� การเคลื+อนที+สามารถทาํพร้อมกนัได้ งานบางอย่างที+อาจทาํพร้อมกนัสองมอืได้ ให้พิจารณาตาราง Simultaneous Motions
� การอ่านตารางให้วเิคราะห์การทาํงานของมอืทั,งสองข้างก่อน แล้วอ่านสญัลักษณใ์ห้มอืหนึ+งอยู่ในแนวนอน อกีมอืหนึ+งอยู่แนวตั,งให้ตดักนัในตาราง โดยสญัลักษณะของช่องตดักนัดงันี,
อกัษรย่อ ในระบบ MTM
30
การนาํ MTM ไปใช้
ตวัอย่างท ี# 18.1 การวเิคราะห์ข ั*นตอนในการเปิดล ิ*นชกัเพ ื#อหยบิดนิสอโดยใชว้ธิ ีMTM
31
ตวัอย่างที# 18.2 การเปล ี#ยนใส้ปากกา
32
ตวัอย่างที# 18.2 การเปล ี#ยนใส้ปากกา (ต่อ)
33
ขอ้ได้เปรยีบของการศกึษาเวลาแบบ MTM
34
� มคีวามรวดเรว็กว่าการศกึษาโดยใช้นาฬิกาจบัเวลา
� ไม่จาํเป็นต้องมกีารปรับค่าปรับอตัราความเรว็ของพนักงาน ซึ+งมกัเป็นส่วนที+มีปัญหายุ่งยากที+สดุ
� เป็นวธิกีารแสดงให้เหน็โดยชัดเจนถงึความสมัพันธข์องเวลากบัวธิกีารทาํงาน
� ใช้ศกึางานที+ยังไม่เกดิเพื+อช่วยในการวเิคราะห์การลงทุน
� เปรียบเทยีบความได้เปรียบเสยีเปรียบของวธิกีารทาํงานแบบต่างๆ และผลของการปรับปรงุงานที+เสนอ
ขอ้จาํกดัการใชร้ะบบ MTM
35
� การใช้ MTM มีความยุ่งยากตรงที+ผู้วิเคราะห์มกัจะมองไม่เหน็ Motion ในมโนภาพได้หมด และจะให้เวลาน้อยไปเสมอ
� ไม่ครอบคลุมงานในส่วนของเครื+องจักร� ไม่ครอบคลุมการเคลื+อนที+มีข้อจาํกดั เช่น การเคลื+อนในที+คับแคบ ความวิตกกงัวล เป็นต้น� ไม่สามารถประมาณการเวลาการเคลื+อนที+ทุกปรเภทที+ใช้ในโรงงานอตุสาหกรรม� MTM ที+กาํหนดไว้เป็นเวลาปกต ิNormal Pace แตกต่างกนัตั,งแต่คนวิเคราะห์
หน่วยงาน หรือประเภทที+ใช้� ค่า MTM ต้องบวกด้วย Allowances ต่างๆ ซึ+งอาจมีความคลาดเคลื+อนจากที+กาํหนด
ในเวลาที+นาํไปใช้จริง� ตารางพื,นฐาน MTM ยังไม่สามารถครอบคลุมการเคลื+อนไหวทั,งหมดในการปฏบิัติงาน� ผู้วิเคราะห์ที+ได้รับการฝึกมาอย่างถูกต้องเท่านั,น จึงจะสามารถประยุกต์ใช้ตารางของ
MTM ได้อย่างแม่นยาํ