37
โครงการบูรณาการ แบบทดสอบ โครงการวัดและประเมินผล ตารางวิเคราะหแบบทดสอบ ชุดทีตารางวิเคราะหมาตรฐานตัวชี้วัด ตารางวิเคราะหระดับพฤติกรรมการคิด มาตรฐาน ตัวชี้วัด ขอของแบบทดสอบที่สัมพันธกับตัวชี้วัด ระดับ พฤติกรรม การคิด ขอของแบบทดสอบที่สัมพันธกับ ระดับพฤติกรรมการคิด รวม 1 ว 4.1 1 14 - 15 A ความรู ความจํา 1, 2, 14, 19, 25, 27 - 30, 33 - 34, 37 - 38 13 2 16 - 18 B ความเขาใจ 3 - 6, 9 - 10, 16 - 18, 20 - 21, 31 - 32, 44, 46 15 3 19 - 24 4 25 - 26 C การนําไปใช 12 - 13, 15, 22, 35 - 36, 39, 47 - 48 9 ว 4.2 1 1 - 8 D การวิเคราะห 7, 11, 23, 26, 45, 49 6 2 9 - 11 E การสังเคราะห 8, 24, 41 - 42 4 3 11 - 13 F การประเมินคา 40, 43, 50 3 ว 5.1 1 27 - 32 2 33 - 36 3 37 4 38 - 40 5 41 6 42 7 43 8 44 - 45 9 46 - 50 แบบทดสอบอิงมาตรฐาน เนนการคิด การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีจุดมุงหมายเพื่อใหผูเรียนอานออก เขียนได คิดคํานวณเปน มุงใหเกิดทักษะการเรียนรูตลอดชีวิต เตรียมตัวเปนพลเมืองที่มีคุณภาพ และมีความสามารถในการแขงขันไดในอนาคต การจัดการเรียนรูที่สอดคลองกับจุดมุงหมายดังกลาว จึงควรใหผูเรียนฝกฝนการนําความรูไปประยุกตใชในชีวิตจริง สามารถคิดวิเคราะหและแกปญหาได ดังนั้นเพื่อเปนการเตรียมความพรอม ของผูเรียน ทางโครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด จึงไดจัดทําแบบทดสอบอิงมาตรฐาน เนนการคิด โดยดําเนินการวิเคราะหสาระการเรียนรูที่สําคัญตามที่ระบุไวในมาตรฐานและตัวชี้วัดชั้นป แลวนํามากําหนดเปนระดับพฤติกรรมการคิด เพื่อสรางแบบทดสอบที่มีคุณสมบัติ ดังน�แบบทดสอบอิงมาตรฐาน เนนการคิด ที่จัดทําโดย โครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด ประกอบดวย แบบทดสอบ 3 ชุด แตละชุดมีทั้งแบบทดสอบปรนัย และแบบทดสอบอัตนัย โดยวิเคราะหมาตรฐานตัวชี้วัด และระดับพฤติกรรมการคิดทีสัมพันธกับแบบทดสอบไวอยางชัดเจน เพื่อใหผูสอนนําไปใชเปนเครื่องมือวัดและประเมินผลผูเรียนไดอยางมีประสิทธิภาพ สอดคลองกับมาตรฐาน ตัวชี้วัดชั้นปทุกขอ ตามระดับพฤติกรรมการคิด ที่ระบุไวในตัวชี้วัด วัดผลการเรียนร เนนใหผูเรียนเกิดการคิด 1 2 ผูสอนสามารถนําแบบทดสอบน�้ไปใชเปนเครื่องมือวัด และประเมินผล รวมทั้งเปนเครื่องบงชี้ความสําเร็จและรายงาน คุณภาพของผูเรียนแตละคน เพื่อเปนการเตรียมความพรอม ของนักเรียนใหมีความสามารถในดานการใชภาษา ดานการ คิดคํานวณ และดานเหตุผล สําหรับรองรับการประเมินผลผูเรียน ในระดับประเทศ (O-NET) และระดับนานาชาติ (PISA) ตอไป หมายเหตุ : มีเฉลยและคําอธิบายเชิงวิเคราะห อยูทายแบบทดสอบชุดที่ 3 (1)

แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

Embed Size (px)

Citation preview

Page 1: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอบ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

ตารางวิเคราะหแบบทดสอบ

ชุดที่

ตารางวิเคราะหมาตรฐานตัวชี้วัด ตารางวิเคราะหระดับพฤติกรรมการคิด

มาตรฐาน ตัวชี้วัด ขอของแบบทดสอบที่สัมพันธกับตัวชี้วัดระดับ

พฤติกรรมการคิด

ขอของแบบทดสอบที่สัมพันธกับระดับพฤติกรรมการคิด

รวม

1

ว 4.1

1 14 - 15 A ความรู ความจํา 1, 2, 14, 19, 25, 27 - 30, 33 - 34, 37 - 38 13

2 16 - 18 B ความเขาใจ 3 - 6, 9 - 10, 16 - 18, 20 - 21, 31 - 32, 44, 46

15

3 19 - 24

4 25 - 26 C การนําไปใช 12 - 13, 15, 22, 35 - 36, 39, 47 - 48 9

ว 4.2

1 1 - 8 D การวิเคราะห 7, 11, 23, 26, 45, 49 6

2 9 - 11 E การสังเคราะห 8, 24, 41 - 42 4

3 11 - 13 F การประเมินคา 40, 43, 50 3

ว 5.1

1 27 - 32

2 33 - 36

3 37

4 38 - 40

5 41

6 42

7 43

8 44 - 45

9 46 - 50

แบบทดสอบอิงมาตรฐาน

เนนการคิด การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีจุดมุงหมายเพื่อใหผูเรียนอานออก เขียนได คิดคํานวณเปน มุงใหเกิดทักษะการเรียนรูตลอดชีวิต

เตรียมตัวเปนพลเมืองที่มีคุณภาพ และมีความสามารถในการแขงขันไดในอนาคต การจัดการเรียนรูที่สอดคลองกับจุดมุงหมายดังกลาว

จึงควรใหผูเรียนฝกฝนการนําความรูไปประยุกตใชในชีวิตจริง สามารถคิดวิเคราะหและแกปญหาได ดังนั้นเพื่อเปนการเตรียมความพรอม

ของผูเรียน ทางโครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด จึงไดจัดทําแบบทดสอบอิงมาตรฐาน เนนการคิด

โดยดําเนินการวิเคราะหสาระการเรียนรูที่สําคัญตามที่ระบุไวในมาตรฐานและตัวชี้วัดชั้นป แลวนํามากําหนดเปนระดับพฤติกรรม การคิด

เพื่อสรางแบบทดสอบที่มีคุณสมบัติ ดังน�้

แบบทดสอบอิงมาตรฐาน เนนการคิด ที่จัดทําโดย โครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด ประกอบ ดวย

แบบทดสอบ 3 ชุด แตละชุดมีทั้งแบบทดสอบปรนัย และแบบทดสอบอัตนัย โดยวิเคราะหมาตรฐานตัวชี้วัด และระดับพฤติกรรม การคิดที่

สัมพันธกับแบบทดสอบไวอยางชัดเจน เพื่อใหผูสอนนําไปใชเปนเครื่องมือวัดและประเมินผลผูเรียนไดอยางมีประสิทธิภาพ

สอดคลองกับมาตรฐานตัวชี้วัดชั้นปทุกขอ

ตามระดับพฤติกรรมการคิดที่ระบุไวในตัวชี้วัด

วัดผลการเรียนรู เนนใหผูเรียนเกิดการคิด1 2 ผูสอนสามารถนําแบบทดสอบน�้ไปใชเปนเครื่องมือวัดและประเมินผล รวมทั้งเปนเครื่องบงชี้ความสําเร็จและรายงานคุณภาพของผูเรียนแตละคน เพื่อเปนการเตรียมความพรอมของนักเรียนใหมีความสามารถในดานการใชภาษา ดานการคดิคาํนวณ และดานเหตผุล สาํหรบัรองรบัการประเมนิผลผูเรียนในระดับประเทศ (O-NET) และระดับนานาชาติ (PISA) ตอไป

หมายเหตุ : มีเฉลยและคําอธิบายเชิงวิเคราะห อยูทายแบบทดสอบชุดที่ 3

(1)

Page 2: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

ชุดที่

ตารางวิเคราะหมาตรฐานตัวชี้วัด ตารางวิเคราะหระดับพฤติกรรมการคิด

มาตรฐาน ตัวชี้วัด ขอของแบบทดสอบที่สัมพันธกับตัวชี้วัดระดับ

พฤติกรรมการคิด

ขอของแบบทดสอบที่สัมพันธกับระดับพฤติกรรมการคิด

รวม

2

ว 4.1

1 14 - 16 A ความรู ความจํา 1, 9, 14, 17, 21, 26, 28 - 29, 33 9

2 17 - 20 B ความเขาใจ 2 - 4, 15, 18, 22, 23, 30 - 32, 34, 41, 44 - 47

16

3 21 - 25

4 26 - 27 C การนําไปใช 5 - 6, 12, 19, 24, 35, 48 7

ว 4.2

1 1 - 8 D การวิเคราะห 10 - 11, 13, 16, 25, 36, 38, 49 8

2 9 - 11 E การสังเคราะห 7 - 8, 20, 27, 39 - 40, 43, 50 8

3 12 - 13 F การประเมินคา 37, 42 2

ว 5.1

1 28 - 32

2 33 - 36

3 37

4 38 - 40

5 41

6 42

7 43

8 44 - 45

9 46 - 50

3

ว 4.1

1 15 - 16 A ความรู ความจํา 1, 9, 18 , 20 - 21, 28 - 29, 33, 38 - 39, 41, 42, 45 - 46

14

2 18 - 19

3 20 - 25 B ความเขาใจ 2 - 6, 10 - 11, 15 - 16, 22 - 23, 26, 30 - 31, 43, 47

16

4 26 - 27

ว 4.2

1 1- 8 C การนําไปใช 19, 24, 34 - 35, 48 5

2 9 - 12 D การวิเคราะห 7, 12, 17, 36 - 37, 40, 49 7

3 13 - 14 E การสังเคราะห 8, 13, 25, 27, 32, 44, 50 7

ว 5.1

1 28 - 32 F การประเมินคา 14 1

2 33 - 37

3 38

4 39 - 40

5 41 - 42

6 43

7 44

8 45

9 46 - 50

(2)

Page 3: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

4. การกระจัดจากบานไปยังโรงเรียนมีคาเทาไร

1. 30 เมตร 2. 50 เมตร

3. 70 เมตร 4. 90 เมตร

5. รถยนต A เริ่มเคลื่อนที่จากหยุดนิ่งโดยมีความเร็วเพิ่มขึ้น

2 เมตร/วินาที2 ทุกๆ 1 วินาที เมื่อสิ้นวินาทีที่ 5 รถยนต

จะมีความเร็วเทาไร

1. 5 เมตร/วินาที 2. 10 เมตร/วินาที

3. 15 เมตร/วินาที 4. 20 เมตร/วินาที

6. หากปลอยวตัถใุหตกลงมาในแนวด่ิง เมือ่เวลาผานไป 4 วินาที

วัตถุจะมีความเรงเทาใด

1. 9.8 เมตร/วินาที2 2. 19.6 เมตร/วินาที2

3. 29.4 เมตร/วินาที2 4. 39.2 เมตร/วินาที2

7.

จากภาพ ชวงเวลาใดที่วัตถุมีความเรงคงตัวเปนลบ

1. A 2. B

3. C 4. D

4. 4. การกระจัดจากบานไปยังโรงเรียนมีคาเทาไร

1. 30 เมตร 2. 50 เมตรB

5. 5. รถยนต A เริ่มเคลื่อนที่จากหยุดนิ่งโดยมีความเร็วเพิ่มขึ้น

2 เมตร/วินาทีB

6. 6. หากปลอยวตัถใุหตกลงมาในแนวด่ิง เมือ่เวลาผานไป 4 วินาที

วัตถุจะมีความเรงเทาใดB

7. 7.

D

1. ขอใดเปนปริมาณเวกเตอรทั้งหมด

1. แรง โมเมนต นํ้าหนัก

2. ระยะทาง การกระจัด เวลา

3. ความเร็ว ความเรง อุณหภูมิ

4. ความเขมแสง นํ้าหนัก ความเร็ว

2. ขอใดกลาวถูกตอง

1. อัตราเร็ว หมายถึง อัตราสวนของการกระจัดตอเวลา

2. ความเร็ว หมายถึง อัตราสวนของการกระจัดตอเวลา

3. อัตราเรง หมายถึง อัตราสวนของการกระจัดตอเวลา

4. ความเรง หมายถึง อัตราสวนของการกระจัดตอเวลา

พิจารณาภาพแลวตอบคําถามขอ 3. - 4.

1. 1. ขอใดเปนปริมาณเวกเตอรทั้งหมด

1. แรง โมเมนต นํ้าหนักA

2. 2. ขอใดกลาวถูกตอง

1. อัตราเร็ว หมายถึง อัตราสวนของการกระจัดตอเวลาA

¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ

¤Ðá¹¹àµçÁ 50

ตอนที่ 1 แบบปรนัย 4 ตัวเลือก แตละขอมีคําตอบที่ถูกตองที่สุดเพียงคําตอบเดียว จํานวน 50 ขอ ขอละ 1 คะแนน

ชื่อ … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … .. นามสกลุ … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … ..

เลขประจําตัวสอบ … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … . โรงเรียน … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … .

สอบวันที ่… … … … … … … … .. เดือน … … … … … … … … … … … … … … … … … … … พ.ศ. … … … … … … … … … … … … … … … ..

โครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด

¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ

¤Ðá¹¹ÃÇÁ60

แบบทดสอบว�ชา แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน

ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 - 6ชุดที ่1

โรงเรียน

บาน

25

3015 ความเร็ว

เวลา

D

CB

A

3. ระยะทางจากบานไปยังโรงเรียนมีคาเทาไร

1. 30 เมตร 2. 50 เมตร

3. 70 เมตร 4. 90 เมตร

3. 3. ระยะทางจากบานไปยังโรงเรียนมีคาเทาไร

1. 30 เมตร 2. 50 เมตรB

ความรู ความจํา ความเขาใจ การนําไปใช การวิเคราะห การสังเคราะห การประเมินคา

A B C D E F

(3)

Page 4: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอบ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

8. เพราะเหตใุดเมือ่ปลอยขนนกและกอนหนิจากท่ีสูงในระดับ

เดียวกัน วัตถุทั้งสองนั้นจึงตกถึงพื้นไมพรอมกัน

1. ขนนกมีพื้นที่ผิวมากกวา

2. ขนนกมีมวลนอยกวากอนหิน

3. ขนนกมีคุณสมบัติในการลอยตัวไดดี

4. มีแรงตานในอากาศกระทําและพยุงขนนกไว

9. หากผูกเชือกเขากบัจุกยางแลวเหว่ียงใหจุกยางเคลือ่นทีเ่ปน

วงกลมในระดบัเหนอืศีรษะดวยความเรว็คงตวั ขอใดถกูตอง

1. จุกยางมีความเร็วคงตัว

2. จุกยางมีความเรงเปนศูนย

3. แรงที่กระทําตอจุกยางมีทิศเขาสูศูนยกลางวงกลม

4. แรงที่กระทําตอจุกยางมีทิศเดียวกับความเร็วของ

จุกยาง

10. ขวางลูกบอล m จากตึกสูง 10 เมตร ไปในแนวระดับ

ดวยอัตราเร็ว 5 เมตรตอวินาที ลูกบอลจะตกสูพื้นดวย

ความเรงเทาไร

1. 5 เมตร/วินาที2

2. 10 เมตร/วินาที2

3. 15 เมตร/วินาที2

4. 20 เมตร/วินาที2

11. ขอใดเปนลักษณะของการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล

1. เตยปนจักรยานไปซื้อของ

2. ธีรรถนํ้าตนไมดวยสายยาง

3. วินนั่งบนบอลลูนที่ลอยขึ้นจากพื้นดิน

4. ตาขับรถยนตเลี้ยวโคงบริเวณทางโคง

12. เพราะเหตุใดนักกระโดดรมที่กระโดดลงมาจากเครื่องบิน

จึงคอยๆ ตกลงมาอยางชาๆ

1. รมมีขนาดใหญ ทําใหตกลงมาอยางชาๆ

2. ความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงมีคาลดลง

3. นักกระโดดรมถูกฝกใหลอยตัวไดเองในอากาศ

4. มแีรงตานในอากาศทีป่ะทะกบัรมทาํใหความเรงมคีาลดลง

13. ดอกยางรถยนตมีความสําคัญตอการเคลื่อนที่ในทางโคง

อยางไร

1. ชวยใหรถเขาโคงไดเร็วขึ้น

2. เพิ่มความถี่ในการเคลื่อนที่ของรถยนต

3. เพิ่มแรงเสียดทานซึ่งเปนแรงเขาสูศูนยกลาง

4. ลดแรงเสียดทานเพื่อใหวัตถุเขาโคงไดเร็วขึ้น

8. 8. เพราะเหตใุดเมือ่ปลอยขนนกและกอนหนิจากทีสู่งในระดับ

เดียวกัน วัตถุทั้งสองนั้นจึงตกถึงพื้นไมพรอมกันE

9. 9. หากผูกเชือกเขากบัจุกยางแลวเหว่ียงใหจุกยางเคลือ่นทีเ่ปน

วงกลมในระดบัเหนอืศีรษะดวยความเรว็คงตวั ขอใดถกูตองB

10. 10. ขวางลูกบอล m จากตึกสูง 10 เมตร ไปในแนวระดับ

ดวยอัตราเร็ว 5 เมตรตอวินาที ลูกบอลจะตกสูพื้นดวยB

11. 11. ขอใดเปนลักษณะของการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล

1. เตยปนจักรยานไปซื้อของD

12. 12. เพราะเหตุใดนักกระโดดรมที่กระโดดลงมาจากเครื่องบิน

จึงคอยๆ ตกลงมาอยางชาๆC

13. 13. ดอกยางรถยนตมีความสําคัญตอการเคลื่อนที่ในทางโคง

อยางไรC

14. สนามของแรงชนิดใดมีทิศตั้งฉากกับพื้นโลก

1. สนามไฟฟา 2. สนามแมเหล็ก

3. สนามโนมถวง 4. สนามแมเหล็กไฟฟา

15. ดาวเทียมโคจรรอบโลกไดอยางไร

1. มีตัวกลางอีเทอรอยูในอวกาศ

2. เปนผลเนื่องจากสนามโนมถวงของโลก

3. มีแรงขับจากเชื้อเพลิงภายในดาวเทียม

4. สมดลุระหวางแรงไฟฟาและแรงโนมถวงของดาวเทียม

16. การเคล่ือนทีข่องกระแสไฟฟาในลวดตัวนาํมลัีกษณะอยางไร

1. เปนการเคลื่อนที่ของโปรตอนในลวดตัวนํา

2. เปนการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในลวดตัวนํา

3. ทิศของกระแสไฟฟามีทิศเดียวกับการเคลื่อนที่ของ

โปรตอน

4. ทิศของกระแสไฟฟาสวนทางกับการเคลื่อนที่ของ

อิเล็กตรอน

17. ขอความใดตอไปนี้ไมถูกตอง

1. สนามไฟฟาเปนปริมาณเวกเตอร และมีทิศทางจาก

ประจุบวกไปประจุลบเสมอ

2. วตัถทุีเ่ปนฉนวนไฟฟาจะไมยอมใหประจไุฟฟาไหลผาน

แตสามารถเกิดสนามไฟฟาไดถาถูกกระตุน

3. ประจุไฟฟาชนิดเดียวกัน ถาอยู ใกลกันจะออกแรง

ผลกักนั และเคลือ่นทีห่างกนัไปเรือ่ยๆ เปนระยะอนนัต

4. ถานําวัตถุที่เปนกลางทางไฟฟาวางคั่นระหวางประจุ

บวกกบัประจลุบ วตัถนุัน้จะไมสงผลใดๆ ตอสนามไฟฟา

18. วางอนภุาคอเิลก็ตรอนลงในบรเิวณซึง่มเีฉพาะสนามไฟฟา

ที่มีทิศไปทางดานขวา ดังรูป อนุภาคอิเล็กตรอนจะมีการ

เคลื่อนที่เปนไปตามขอใด

1. เคลื่อนที่เปนเสนโคง เบนขึ้นขางบน

2. เคลื่อนที่เปนเสนโคง เบนลงขางลาง

3. เคลื่อนที่เปนเสนตรงขนานกับสนามไฟฟา

ไปทางดานขวา

4. เคลื่อนที่เปนเสนตรงขนานกับสนามไฟฟา

ไปทางดานซาย

14. 14. สนามของแรงชนิดใดมีทิศตั้งฉากกับพื้นโลก

1. สนามไฟฟา 2. สนามแมเหล็กA

15. 15. ดาวเทียมโคจรรอบโลกไดอยางไร

1. มีตัวกลางอีเทอรอยูในอวกาศC

16. 16. การเคล่ือนทีข่องกระแสไฟฟาในลวดตัวนาํมลัีกษณะอยางไร

1. เปนการเคลื่อนที่ของโปรตอนในลวดตัวนําB

17. 17. ขอความใดตอไปนี้ไมถูกตอง

1. สนามไฟฟาเปนปริมาณเวกเตอร และมีทิศทางจากB

18. 18. วางอนภุาคอเิลก็ตรอนลงในบรเิวณซึง่มเีฉพาะสนามไฟฟา

ที่มีทิศไปทางดานขวา ดังรูป อนุภาคอิเล็กตรอนจะมีการB

(4)

Page 5: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

19. ขอใดกลาวถึงสนามแมเหล็กไดถูกตอง

1. สนามแมเหล็กพัฒนาขึ้นมาจากสนามไฟฟา

2. สนามแมเหล็กพุงจากสารแมเหล็กชนิดตางๆ เขาสู

แมเหล็ก

3. สนามแมเหล็กพุงออกจากขั้วแมเหล็กใตไปยัง

ขั้วแมเหล็กเหนือ

4. สนามแมเหล็กพุงออกจากขั้วแมเหล็กเหนือไปยัง

ขั้วแมเหล็กใต

20. วัตถุชนิดใดไมถูกกระทําเมื่ออยูในสนามแมเหล็ก

1. ตะปู 2. ชอนสังกะสี

3. กระดาษสีเงิน 4. ลวดหนีบกระดาษ

21. เมื่อนําเข็มทิศมาวางใกลๆ กับกึ่งกลางแทงแมเหล็กที่

ตําแหนง ดังรูป เข็มทิศจะชี้ในลักษณะใด

1. 2.

3. 4.

22. หากตองการผลิตแมเหล็กชั่วคราวขึ้น สามารถทําไดดวย

วิธีใด

1. นําแทงเหล็กวางในบริเวณที่มีสนามไฟฟา

2. นําแทงเหล็กสองแทงมาถูกกันเพื่อใหเกิดสนามไฟฟา

3. นําแมเหล็กมาติดกับแทงเหล็กที่ตองการทําใหเกิด

อํานาจไฟฟา

4. นําลวดตัวนําพันรอบแทงโลหะแลวจายกระแสไฟฟา

ผานลวดตัวนํา

23. ขอใดไมใชปจจยัทีม่ผีลตอการผลติกระแสไฟฟาของไดนาโม

1. จํานวนรอบของขดลวด

2. ความเขมของสนามแมเหล็ก

3. ปริมาณไฟฟาที่จายแกไดนาโม

4. ความเร็วในการเคลื่อนที่ของแทงแมเหล็ก

19. 19. ขอใดกลาวถึงสนามแมเหล็กไดถูกตอง

1. สนามแมเหล็กพัฒนาขึ้นมาจากสนามไฟฟาA

20. 20. วัตถุชนิดใดไมถูกกระทําเมื่ออยูในสนามแมเหล็ก

1. ตะปู 2. ชอนสังกะสีB

21. 21. เมื่อนําเข็มทิศมาวางใกลๆ กับกึ่งกลางแทงแมเหล็กที่

ตําแหนง ดังรูป เข็มทิศจะชี้ในลักษณะใดB

22. 22. หากตองการผลิตแมเหล็กชั่วคราวขึ้น สามารถทําไดดวย

วิธีใดC

23. 23. ขอใดไมใชปจจยัทีม่ผีลตอการผลติกระแสไฟฟาของไดนาโม

1. จํานวนรอบของขดลวดD

24. ขอใดแสดงการเคล่ือนที่ของประจุไฟฟาในสนามแมเหล็ก

ไดถูกตอง

1. 2.

3. 4.

25. แรงระหวางอนุภาคซึ่งอยูภายในนิวเคลียสจะประกอบ ดวย

แรงอะไร

1. แรงนิวเคลียรเทานั้น

2. แรงนิวเคลียรและแรงไฟฟา

3. แรงนิวเคลียรและแรงดึงดูดระหวางมวล

4. แรงนิวเคลียร แรงไฟฟา และแรงดึงดูดระหวางมวล

26. เหตใุดโปรตอนซึง่เปนอนภุาคบวกจงึสามารถอยูรวมกนัได

ในนิวเคลียสของอะตอม

1. มีแรงผลักจากอิเล็กตรอนโดยรอบ

2. แรงทางไฟฟาระหวางโปรตอนหักลางกันพอดี

3. แรงนิวเคลียรภายในนิวเคลียสยึดเหนี่ยวอนุภาคไว

4. นิวตรอนในนิวเคลียสชวยลดแรงผลักระหวางโปรตอน

27. ขอใดตอไปนี้ถูกตองเกี่ยวกับคลื่นตามยาว

1. เปนคลื่นที่ไมตองอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่

2. เปนคลื่นที่เคลื่อนที่ไปตามแนวยาวของตัวกลาง

3. เปนคลื่นที่อนุภาคของตัวกลางมีการสั่นไดหลายแนว

4. เปนคล่ืนทีอ่นุภาคของตวักลางมีการส่ันในแนวเดยีวกบั

การเคลื่อนที่ของตัวกลาง

28. ปริมาณใดแปรผกผันกับความถี่คลื่น

1. อัตราเร็วคลื่น

2. คาบของคลื่น

3. การกระจัดของคลื่น

4. แอมพลิจูดของคลื่น

29. เมื่อโยนกอนหินลงไปในผิวนํ้านิ่งจะเกิดคล่ืนนํ้าแผเปน

วงกลม คลื่นดังกลาวจัดเปนคลื่นประเภทใด

1. คลื่นวงกลม 2. คลื่นตามยาว

3. คลื่นตามขวาง 4. ไมสามารถสรุปได

24. 24. ขอใดแสดงการเคล่ือนที่ของประจุไฟฟาในสนามแมเหล็ก

ไดถูกตองE

25. 25. แรงระหวางอนุภาคซึ่งอยูภายในนิวเคลียสจะประกอบ ดวย

แรงอะไรA

26. 26. เหตใุดโปรตอนซึง่เปนอนภุาคบวกจงึสามารถอยูรวมกนัได

ในนิวเคลียสของอะตอมD

27. 27. ขอใดตอไปนี้ถูกตองเกี่ยวกับคลื่นตามยาว

1. เปนคลื่นที่ไมตองอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่A

28. 28. ปริมาณใดแปรผกผันกับความถี่คลื่น

1. อัตราเร็วคลื่นA

29. 29. เมื่อโยนกอนหินลงไปในผิวนํ้านิ่งจะเกิดคล่ืนนํ้าแผเปน

วงกลม คลื่นดังกลาวจัดเปนคลื่นประเภทใดA

N S

N

S

NS

N

S

x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x

+q

+q

+q

x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x

+q

N S

เข็มทิศ

(5)

Page 6: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

30. ขอใดกลาวถึงสมบัติของคลื่นไมถูกตอง

1. การหกัเหของคลืน่เกิดข้ึนเม่ือคลืน่เคลือ่นทีผ่านรอยตอ

ระหวางตัวกลางที่มีสมบัติตางกัน

2. คลืน่ทีม่คีวามยาวคลืน่มากจะเกดิการเลีย้วเบนของคลืน่

ไดดีกวาคลื่นที่มีความยาวคลื่นนอย

3. การสะทอนของคลื่น มุมของคลื่นตกกระทบจะเทากับ

มุมของคลื่นสะทอนเสมอ

4. ถาอัตราเร็วของคลื่นเปลี่ยนแปลงไป จะทําใหความถี่

ของคลื่นเปลี่ยนแปลงตามไปดวย

31. จากภาพ ความยาวของคลื่นมีคาเทาไร

1. 10 m 2. 20 m

3. 30 m 4. 40 m

32. จุมปากกาลงบนผิวนํ้า 30 ครั้งในเวลา 1 นาที คลื่นนํ้าจาก

ปลายปากกาเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็ว 0.05 เมตรตอวินาที

จงหาคาบของคลื่นนํ้าดังกลาว

1. 2 วินาที

2. 5 วินาที

3. 10 วินาที

4. 15 วินาที

33. อัตราเร็วของคลื่นเสียงในอากาศขึ้นอยูกับปจจัยในขอใด

1. ความเขมเสียง

2. อุณหภูมิของอากาศ

3. ความถี่ของแหลงกําเนิด

4. ความเร็วของแหลงกําเนิด

34. สมบัติตามขอใดของคลื่นเสียงที่เกี่ยวของกับการเกิดบีตส

1. การหักเห

2. การสะทอน

3. การเลี้ยวเบน

4. การสอดแทรก

30. 30. ขอใดกลาวถึงสมบัติของคลื่นไมถูกตอง

1. การหกัเหของคลืน่เกิดข้ึนเม่ือคลืน่เคลือ่นทีผ่านรอยตอA

31. 31. จากภาพ ความยาวของคลื่นมีคาเทาไร

B

32. 32. จุมปากกาลงบนผิวนํ้า 30 ครั้งในเวลา 1 นาที คลื่นนํ้าจาก

ปลายปากกาเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็ว 0.05 เมตรตอวินาที B

33. 33. อัตราเร็วของคลื่นเสียงในอากาศขึ้นอยูกับปจจัยในขอใด

1. ความเขมเสียงA

34. 34. สมบัติตามขอใดของคลื่นเสียงที่เกี่ยวของกับการเกิดบีตส

1. การหักเหA

35. การเลนกีตารเมื่อตองการใหเกิดเสียงสูง เหตุใดจึงตอง

กดสายใหสั้นลง

1. เพื่อปรับคุณภาพเสียง

2. เพื่อเพิ่มความถี่ในการสั่น

3. เพื่อเพิ่มความเขมของเสียง

4. เพื่อเพิ่มความยาวคลื่นเสียง

36. ขอใดเปนการใชประโยชนจากการสะทอนของคลื่น

1. การสงสัญญาณวิทยุ

2. การเลนเครื่องดนตรี

3. การตรวจสอบชั้นหิน

4. การแยกสีแสงผานสเปกตรัม

37. องคการอนามัยโลก ไดกําหนดระดับของความเขมเสียงที่

ปลอดภัยตอหูและจิตใจของผูฟงไวไมเกินกี่เดซิเบล และ

ไดยินติดตอกันไมเกินกี่ชั่วโมง

1. ไมเกนิ 75 เดซเิบล และไดยนิตดิตอกนัไมเกนิ 8 ชัว่โมง

2. ไมเกนิ 85 เดซเิบล และไดยนิตดิตอกนัไมเกนิ 8 ชัว่โมง

3. ไมเกนิ 75 เดซเิบล และไดยนิตดิตอกนัไมเกนิ 9 ชัว่โมง

4. ไมเกนิ 85 เดซเิบล และไดยนิตดิตอกนัไมเกนิ 9 ชัว่โมง

38. คลื่นใดตอไปนี้ มีความยาวคลื่นสั้นที่สุด

1. คลื่นวิทยุ

2. คลื่นแสง

3. คลื่นไมโครเวฟ

4. คลื่นอินฟราเรด

39. เพราะเหตใุดเราจงึไมสามารถมองเหน็รังสจีากรีโมตโทรทศัน

1. ใชคลื่นเสียงในการควบคุม

2. ใชสัญญาณคลื่นวิทยุ ซึ่งไมสามารถมองเห็นไดดวย

ตาเปลา

3. ใชสัญญาณคล่ืนไมโครเวฟ ซึ่งไมสามารถมองเห็นได

ดวยตาเปลา

4. ใชสัญญาณคลื่นอินฟราเรด ซึ่งไมสามารถมองเห็นได

ดวยตาเปลา

40. คลื่นแมเหล็กไฟฟามีความสําคัญอยางไร

1. ชวยในการไดยิน

2. ชวยขับเคลื่อนไฟฟา

3. ชวยในการสื่อสารผานสุญญากาศ

4. เชื่อมโยงสนามไฟฟาและสนามแมเหล็กเขาดวยกัน

35. 35. การเลนกีตารเมื่อตองการใหเกิดเสียงสูง เหตุใดจึงตอง

กดสายใหสั้นลงC

36. 36. ขอใดเปนการใชประโยชนจากการสะทอนของคลื่น

1. การสงสัญญาณวิทยุC

37. 37. องคการอนามัยโลก ไดกําหนดระดับของความเขมเสียงที่

ปลอดภัยตอหูและจิตใจของผูฟงไวไมเกินกี่เดซิเบล และA

38. 38. คลื่นใดตอไปนี้ มีความยาวคลื่นสั้นที่สุด

1. คลื่นวิทยุ A

39. 39. เพราะเหตใุดเราจงึไมสามารถมองเหน็รังสจีากรีโมตโทรทศัน

1. ใชคลื่นเสียงในการควบคุมC

40. 40. คลื่นแมเหล็กไฟฟามีความสําคัญอยางไร

1. ชวยในการไดยินF

การกระจัด (m)

ระยะทาง (m) 0 10 20 30 40

-30

30

(6)

Page 7: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

41. จากการทดลองปลอยรังสีแอลฟาและรังสีบีตาผาน

สนามแมเหล็กสมํ่าเสมอ เมื่อรังสีทั้งสองเบี่ยงเบนใน

สนามแมเหล็กจะมีลักษณะตางกันหรือไม อยางไร

1. ไมแตกตางกัน เนื่องจากเบี่ยงเบนไปตามเสนทาง

เดียวกัน

2. แตกตางกัน คือ เบี่ยงเบนในทิศทางตรงกันขาม แตมี

รัศมีความโคงเทากัน

3. แตกตางกัน คือ เบี่ยงเบนในทิศทางเดียวกัน แตมีรัศมี

ความโคงแตกตางกัน

4. แตกตางกัน คือ เบี่ยงเบนในทิศทางตรงกันขาม และ

มีรัศมีความโคงแตกตางกัน

42. ขอใดกลาวไมถูกตอง

1. ปฏกิริยิานวิเคลยีรฟชชนัหรอืปฏกิริยิาลกูโซเหมาะทีจ่ะ

นํามาผลิตกระแสไฟฟา

2. โรงไฟฟานิวเคลียรสามารถผลิตพลังงานไฟฟาได

ปริมาณมาก

3. ตนทุนจากมาตรการควบคุมดานความปลอดภัยของ

การผลิตไฟฟาดวยพลังงานนิวเคลียรตํ่ากวาการผลิต

ไฟฟาดวยพลังงานอื่น

4. การทํางานของเครื่องปฏิกรณนิวเคลียรทําใหเกิด

ของเสียที่เรียกวา กากกัมมันตรังสี ซึ่งเปนอันตราย

ตอสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

43. นักเรียนคิดวาพลังงานนิวเคลียรมีความสําคัญตอมนุษย

หรือไม อยางไร

1. ไมมี เพราะเปนพลังงานที่อันตราย ไมสามารถ

ควบคุมได

2. ไมมี เพราะเปนพลังงานที่ไมเสถียร อาจมีมาก

เกินความจําเปน

3. มี เพราะเปนพลังงานทดแทนพลังงานธรรมชาติได

ในอนาคต

4. มี เพราะเปนแหลงพลังงานที่สามารถใชประโยชน

ไดในระยะยาว

44. รังสีชนิดใดสามารถทําใหอากาศแตกตัวไดดีที่สุด

1. รังสีบีตา

2. รังสีแอลฟา

3. รังสีแกมมา

4. รังสีอินฟราเรด

41. 41. จากการทดลองปลอยรังสีแอลฟาและรังสีบีตาผาน

สนามแมเหล็กสมํ่าเสมอ เมื่อรังสีทั้งสองเบี่ยงเบนในE

42. 42. ขอใดกลาวไมถูกตอง

1. ปฏกิริยิานวิเคลยีรฟชชนัหรอืปฏกิริยิาลกูโซเหมาะทีจ่ะE

43. 43. นักเรียนคิดวาพลังงานนิวเคลียรมีความสําคัญตอมนุษย

หรือไม อยางไรF

44. 44. รังสีชนิดใดสามารถทําใหอากาศแตกตัวไดดีที่สุด

1. รังสีบีตาB

45. รังสี A สามารถเคลื่อนที่ผานกระดาษบางๆ ไดดี แตไมเกิด

การเปล่ียนแปลงเมื่อเคล่ือนที่ต้ังฉากผานสนามแมเหล็ก

สมํ่าเสมอ รังสี A เปนรังสีชนิดใด

1. รังสีบีตา

2. รังสีแกมมา

3. รังสีแอลฟา

4. รังสีอินฟราเรด

46. การคนพบกมัมนัตภาพรังสี เบ็กเคอเรลทราบไดอยางไรวา

รอยดําจากฟลมไมไดเกิดจากรังสีเอกซ

1. ใชแผนฟลมที่ตางชนิดกัน

2. พบการเบี่ยงเบนในสนามแมเหล็กของรังสีดังกลาว

3. รอยดํามีความเขมมากกวารอยดําเนื่องจากรังสีเอกซ

4. เบ็กเคอเรลคนพบรังสีดังกลาวกอนมีการคนพบ

รังสีเอกซ

47. การหาอายุของซากฟอสซิลโบราณมีการนําหลักการทาง

กัมมันตภาพรังสีมาใชไดอยางไร

1. วัดสเปกตรัมของรังสีที่แผออกมา

2. ฉายรังสีไปยังฟอสซิลเพื่อวัดรองรอยอายุ

3. ใชเครื่องมือตรวจจับชนิดของรังสีที่แตกตางกัน

4. ใชหลักการสลายตัวครึ่งชีวิตของสารกัมมันตรังสี

48. สารกัมมันตรังสีชนิดใดนํามาใชในการรักษาโรคมะเร็ง

ตอมไทรอยด

1. โคบอลต - 60 2. ไอโอดีน -131

3. ไอโอดีน -132 4. แกลเลียม - 67

49. ไอโซโทปใดสามารถเกดิการสลายตัวแลวไดกมัมนัตภาพรงัสี

1. 42He 2. 13

6C

3. 12953 I 4. 60

27Co

50. นักเรียนคิดวาสารกัมมันตรังสีมีประโยชนในดานตางๆ

หรือไม อยางไร

1. มี เพราะสามารถใชประโยชนในการบําบัดรักษาโรคได

2. ม ีเพราะรงัสจีากสารกมัมนัตรงัสเีปนสารทีม่มีลูคาทาง

เศรษฐกิจ

3. ไมมี เพราะเปนสารอันตรายที่ควรหลีกเลี่ยง

4. ไมมี เพราะเปนสารที่ไมเสถียร และไมเปนประโยชน

ในทางวิทยาศาสตร

45. 45. รังสี A สามารถเคลื่อนที่ผานกระดาษบางๆ ไดดี แตไมเกิด

การเปล่ียนแปลงเมื่อเคล่ือนที่ต้ังฉากผานสนามแมเหล็กD

46. 46. การคนพบกมัมนัตภาพรังสี เบ็กเคอเรลทราบไดอยางไรวา

รอยดําจากฟลมไมไดเกิดจากรังสีเอกซB

47. 47. การหาอายุของซากฟอสซิลโบราณมีการนําหลักการทาง

กัมมันตภาพรังสีมาใชไดอยางไรC

48. 48. สารกัมมันตรังสีชนิดใดนํามาใชในการรักษาโรคมะเร็ง

ตอมไทรอยดC

49. 49. ไอโซโทปใดสามารถเกดิการสลายตัวแลวไดกมัมนัตภาพรงัสี

1. D

50. 50. นักเรียนคิดวาสารกัมมันตรังสีมีประโยชนในดานตางๆ

หรือไม อยางไรF

(7)

Page 8: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

1. จากการศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวเสนตรงโดยใชเครื่องเคาะสัญญาณเวลา ไดจุดบนแถบกระดาษ ดังรูป ซึ่งระยะหาง

ระหวางจุดมีชวงเวลาเทากัน จงเขียนกราฟแสดงความสัมพันธระหวางความเรงและเวลา

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

2. มอเตอรชนิดหนึ่งทําใหใบพัดหมุนเปนวงกลมดวยความถี่ 40 เฮิรตซ หากเปดใหใบพัดหมุนเปนเวลา 1 นาที ใบพัดจะหมุนได

กี่รอบ และหมุนดวยคาบเทาไร

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

3. เพราะเหตุใดภายในมอเตอรจึงมีขดลวดและแมเหล็กเปนสวนประกอบ

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

4. ใหนักเรียนวิเคราะหความหนาแนนของสนามแมเหล็กสําหรับแมเหล็กรูปเกือกมา พรอมแสดงเสนแรงแมเหล็ก

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

5. ไอโอดีน -128 มีคาครึ่งชีวิต 25 นาที ถาเริ่มตนมีไอโอดีน -128 อยู 400 มิลลิกรัม ไอโอดีน -128 จะลดลงเหลือ 50 มิลลิกรัม

เมื่อเวลาผานไปกี่นาที

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

1. 1. จากการศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวเสนตรงโดยใชเครื่องเคาะสัญญาณเวลา ไดจุดบนแถบกระดาษ ดังรูป ซึ่งระยะหาง

ระหวางจุดมีชวงเวลาเทากัน จงเขียนกราฟแสดงความสัมพันธระหวางความเรงและเวลาE

2. 2. มอเตอรชนิดหนึ่งทําใหใบพัดหมุนเปนวงกลมดวยความถี่ 40 เฮิรตซ หากเปดใหใบพัดหมุนเปนเวลา 1 นาที ใบพัดจะหมุนได

กี่รอบ และหมุนดวยคาบเทาไรE

3. เพราะเหตุใดภายในมอเตอรจึงมีขดลวดและแมเหล็กเปนสวนประกอบ

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................B

4. ใหนักเรียนวิเคราะหความหนาแนนของสนามแมเหล็กสําหรับแมเหล็กรูปเกือกมา พรอมแสดงเสนแรงแมเหล็ก

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................D

5. 5. ไอโอดีน -128 มีคาครึ่งชีวิต 25 นาที ถาเริ่มตนมีไอโอดีน -128 อยู 400 มิลลิกรัม ไอโอดีน -128 จะลดลงเหลือ 50 มิลลิกรัม

เมื่อเวลาผานไปกี่นาทีB

¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ

¤Ðá¹¹àµçÁ 10

ตอนที่ 2 แบบอัตนัย จํานวน 5 ขอ ขอละ 2 คะแนน

t = 0

. . . . . . .

(8)

Page 9: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

5. มาตรวดัความเรว็บนหนาปดรถยนตบอกคาความเร็วชนดิใด

1. ความเร็วตน 2. ความเร็วเฉลี่ย

3. ความเร็วปลาย 4. ความเร็วขณะหนึ่ง

6. หากตองการใหวัตถุเคลื่อนที่ขึ้นในแนวดิ่งใหไดสูงที่สุด

สามารถทําไดอยางไร (ไมคิดแรงตานในอากาศ)

1. เพิ่มขนาดของวัตถุ

2. ปรับรูปรางของวัตถุ

3. ลดปริมาณมวลของวัตถุ

4. เพิ่มความเร็วตนของวัตถุ

7. การทดลองเรื่องการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งควรระมัดระวัง

เรื่องใดเปนพิเศษ

1. มวลของวัตถุ

2. นํ้าหนักของวัตถุ

3. แรงตานในอากาศ

4. อุณหภูมิในหองทดลอง

8. หากปลอยวัตถุที่มีมวลเทากันใหตกจากความสูงระดับ

เดยีวกนับนผวิดวงจนัทร การเคลือ่นทีข่องวตัถนุีจ้ะมีความ

เหมือนหรือแตกตางจากการปลอยวัตถุบนพื้นโลกอยางไร

1. วัตถุบนดวงจันทรจะลอยขึ้นไปในอากาศ

2. ความเร็วของวัตถุที่ตกบนดวงจันทรมีคาคงตัว

3. ความเร็วของวัตถุที่ตกบนดวงจันทรมีคาไมคงตัว

4. วัตถุบนดวงจันทรตกลงดวยความเรงนอยกวาคา g

5. 5. มาตรวดัความเรว็บนหนาปดรถยนตบอกคาความเร็วชนดิใด

1. ความเร็วตน 2. ความเร็วเฉลี่ยC

6. 6. หากตองการใหวัตถุเคลื่อนที่ขึ้นในแนวดิ่งใหไดสูงที่สุด

สามารถทําไดอยางไร (ไมคิดแรงตานในอากาศ)C

7. 7. การทดลองเรื่องการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งควรระมัดระวัง

เรื่องใดเปนพิเศษE

8. 8. หากปลอยวัตถุที่มีมวลเทากันใหตกจากความสูงระดับ

เดยีวกนับนผวิดวงจนัทร การเคลือ่นทีข่องวตัถนุีจ้ะมีความE

1. ขอใดไมใชลักษณะของวัตถุที่ตกอยางอิสระ

1. วัตถุเคลื่อนที่ในแนวดิ่งดวยความเรงคงที่ 9.8 m/s2

2. วัตถุเคลื่อนที่ในแนวดิ่งดวยความเร็วลดลงอยางคงที่

3. วัตถุเคลื่อนที่ในแนวดิ่งดวยความเร็วเพิ่มขึ้นอยางคงที่

4. วัตถเุคลือ่นที่ในแนวดิง่ถกูกระทาํดวยแรงโนมถวงตลอด

การเคลื่อนที่

2. เมื่อปาวัตถุขึ้นไปในแนวดิ่ง วัตถุจะมีการเปลี่ยนแปลง

ความเร็วขณะเคลื่อนที่ขึ้นอยางไร

1. ความเร็วมีคาคงตัว

2. ความเร็วลดลงคงที่

3. ความเร็วเพิ่มขึ้นคงที่

4. ความเร็วมีคาเปนศูนย

3. เด็กคนหน่ึงวิ่งไปทางขวา 20 เมตร ใชเวลา 4 วินาที

จากนั้นหันกลับหลังแลววิ่งอีก 2 เมตร ในเวลา 1 วินาที

เด็กคนนี้มีความเร็วเฉลี่ยเทาใด

1. 3.6 m/s 2. 3.8 m/s

3. 6.0 m/s 4. 7.0 m/s

4. รถยนตคันหนึ่งเคลื่อนที่ไปดวยความเร็ว 10 เมตร/วินาที

แลวเรงเครือ่งดวยความเรง 5 เมตร/วนิาที2 ภายในเวลา 20

วินาที รถยนตคันนี้จะมีความเร็วสุดทายเปนกี่เมตร/วินาที

1. 100 เมตร/วินาที 2. 110 เมตร/วินาที

3. 120 เมตร/วินาที 4. 130 เมตร/วินาที

1. 1. ขอใดไมใชลักษณะของวัตถุที่ตกอยางอิสระ

1. วัตถุเคลื่อนที่ในแนวดิ่งดวยความเรงคงที่ 9.8 m/sA

2. 2. เมื่อปาวัตถุขึ้นไปในแนวดิ่ง วัตถุจะมีการเปลี่ยนแปลง

ความเร็วขณะเคลื่อนที่ขึ้นอยางไรB

3. 3. เด็กคนหน่ึงวิ่งไปทางขวา 20 เมตร ใชเวลา 4 วินาที

จากนั้นหันกลับหลังแลววิ่งอีก 2 เมตร ในเวลา 1 วินาที B

4. 4. รถยนตคันหน่ึงเคลื่อนที่ไปดวยความเร็ว 10 เมตร/วินาที

แลวเรงเครือ่งดวยความเรง 5 เมตร/วนิาทีB

ชื่อ … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … .. นามสกลุ … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … ..

เลขประจําตัวสอบ … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … . โรงเรียน … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … .

สอบวันที ่… … … … … … … … .. เดือน … … … … … … … … … … … … … … … … … … … พ.ศ. … … … … … … … … … … … … … … … ..

โครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด

¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ

¤Ðá¹¹ÃÇÁ60

แบบทดสอบว�ชา แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน

ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 - 6ชุดที ่2

¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ

¤Ðá¹¹àµçÁ 50

ตอนที่ 1 แบบปรนัย 4 ตัวเลือก แตละขอมีคําตอบที่ถูกตองที่สุดเพียงคําตอบเดียว จํานวน 50 ขอ ขอละ 1 คะแนน

ความรู ความจํา ความเขาใจ การนําไปใช การวิเคราะห การสังเคราะห การประเมินคา

A B C D E F

(9)

Page 10: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

9. ในการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล ปริมาณใดมีคาคงตัว

1. การกระจัดในแนวดิ่ง 2. ความเร็วในแนวดิ่ง

3. การกระจัดในแนวระดับ 4. ความเรว็ในแนวระดบั

10. ขอใดเปนการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย

1. เด็กไกวชิงชา 2. รถยนตเลี้ยวโคง

3. ลูกบอลกลิ้งตามพื้นเอียง 4. เรอืดาํนํา้ดิง่ลงในทะเล

11. ขอใดตอไปน้ีไมไดทําใหวัตถุมีการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิก

อยางงาย

1. แขวนลูกตุมดวยเชือกในแนวดิ่ง แลวผลักลูกตุมให

แกวงเปนวงกลมในแนวดิ่ง

2. แขวนลูกตุมดวยเชือกในแนวดิ่ง แลวดึงลูกตุมออกมา

จนเชือกทํามุมกับแนวดิ่งเล็กนอยจึงปลอยมือ

3. ผูกวัตถุกับปลายสปริงในแนวดิ่ง โดยตรึงอีกดานของ

สปริงไว จากน้ันดึงวัตถุใหสปริงยืดออกเล็กนอยแลว

ปลอยมือ

4. ผกูวตัถกัุบปลายสปรงิในแนวระดบั โดยตรงึอกีดานของ

สปริงไว จากน้ันดึงวัตถุใหสปริงยืดออกเล็กนอยแลว

ปลอยมือ

12. เพราะเหตุใดจึงตองใหลูกตุมนาฬกาแกวงดวยมุมเล็กๆ

1. เพื่อใหแกวงไดเร็วขึ้น

2. เพื่อเพิ่มความถี่ในการแกวงกวัด

3. เพื่อใหความถี่ในการแกวงกวัดมีคาคงตัว

4. เพื่อใหจํานวนคาบของการกวัดแกวงคอยๆ ลดลง

13. เพราะเหตุใดในการเล็งเปายิงธนูจึงตองเล็งใหสูงเหนอื

เปาเล็กนอย

1. เปายิงอาจมีการเปลี่ยนตําแหนง

2. เพื่อเพิ่มแรงยิงในการยิงธนูใหแรงขึ้น

3. ธนูไมมีอุปกรณในการเล็งเปาที่แนนอน

4. ลูกธนูมีการโคงลงเมื่อเคลื่อนที่ในระยะไกล

14. ขอใดกลาวถึงสนามโนมถวงไมถูกตอง

1. การตกของวัตถุในสนามโนมถวง วัตถุจะเคลื่อนที่ดวย

ความเรงคงที่

2. สนามโนมถวงของโลกทีร่ะดบัความสงูตางๆ จากผิวโลก

จะมีคาเทากัน

3. สนามโนมถวง ณ ตําแหนงตางๆ บนผิวโลก มีคา

ประมาณ 9.8 นิวตัน/กิโลกรัม

4. ไมวาจะปลอยวตัถ ุณ ตาํแหนงใดทีส่งูจากพืน้โลก วตัถุ

จะตกลงสูพื้นโลกเสมอ

9. 9. ในการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล ปริมาณใดมีคาคงตัว

1. การกระจัดในแนวดิ่ง 2. ความเร็วในแนวดิ่งA

10. 10. ขอใดเปนการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย

1. เด็กไกวชิงชา 2. รถยนตเลี้ยวโคงD

11. 11. ขอใดตอไปนี้ไมไดทําใหวัตถุมีการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิก

อยางงายD

12. 12. เพราะเหตุใดจึงตองใหลูกตุมนาฬกาแกวงดวยมุมเล็กๆ

1. เพื่อใหแกวงไดเร็วขึ้นC

13. 13. เพราะเหตุใดในการเล็งเปายิงธนูจึงตองเล็งใหสูงเหนอื

เปาเล็กนอยD

14. 14. ขอใดกลาวถึงสนามโนมถวงไมถูกตอง

1. การตกของวัตถุในสนามโนมถวง วัตถุจะเคลื่อนที่ดวยA

15. วัตถุมวล 10 กิโลกรัม เมื่ออยูบนดวงจันทรจะมีนํ้าหนัก

16 นิวตัน อยากทราบวาสนามโนมถวงของดวงจันทร

มีคาเทาใด

1. 1.6 m/s2 2. 3.2 m/s2

3. 6.4 m/s2 4. 9.6 m/s2

16. แรงในขอใดตอไปนี้เปนแรงชนิดเดียวกับแรงท่ีทําใหใบไม

รวงลงสูพื้น

1. แรงที่ทําใหอิเล็กตรอนอยูในอะตอมได

2. แรงที่ทําใหแผนแมเหล็กติดอยูบนตูเย็น

3. แรงที่ทําใหดาวเทียมอยูในวงโคจรรอบโลก

4. แรงทีย่กใหขดลวดตวันาํทีอ่ยูระหวางขัว้แมเหลก็ลอยขึน้

17. ขอใดคือสมบัติของเสนแรงไฟฟา

1. ตั้งฉากกับเสนแรงแมเหล็ก

2. เคลื่อนที่ผานตัวนํา แตไมผานฉนวน

3. มีทิศทางจากขั้วไฟฟาลบไปขั้วไฟฟาบวก

4. มีทิศทางจากขั้วไฟฟาบวกไปขั้วไฟฟาลบ

18. ลาํอนภุาค Q และ R เมือ่เคลือ่นทีผ่านสนามแมเหล็ก B ท่ีมี

ทศิพุงเขาต้ังฉากกบักระดาษจะมกีารเบ่ียงเบน ดงัรปู ถานาํ

อนภุาคทัง้สองไปวางไวในบริเวณทีม่สีนามไฟฟาสมํา่เสมอ

แนวการเคลื่อนที่จะเปนอยางไร

1. เคลือ่นที่ไปทางเดยีวกนัในทศิทางตามเสนสนามไฟฟา

2. เคลือ่นที่ไปทางเดยีวกนัในทศิทางตรงขามกบัเสนสนาม

ไฟฟา

3. เคลื่อนที่ไปทิศตรงขามกัน โดยอนุภาค R ไปทางเดียว

กับเสนสนามไฟฟา

4. เคลื่อนที่ไปทิศตรงขามกัน โดยอนุภาค Q ไปทางเดียว

กับเสนสนามไฟฟา

19. จากหลักการของกระแสไฟฟาเหนี่ยวนํา สามารถนําไปใช

สรางเครื่องมือชนิดใด

1. ไดนาโม 2. มอเตอร

3. ลําโพงไฟฟา 4. แกลวานอมิเตอร

15. 15. วัตถุมวล 10 กิโลกรัม เมื่ออยูบนดวงจันทรจะมีนํ้าหนัก

16 นิวตัน อยากทราบวาสนามโนมถวงของดวงจันทรB

16. 16. แรงในขอใดตอไปนี้เปนแรงชนิดเดียวกับแรงท่ีทําใหใบไม

รวงลงสูพื้นD

17. 17. ขอใดคือสมบัติของเสนแรงไฟฟา

1. ตั้งฉากกับเสนแรงแมเหล็กA

18. 18. ลาํอนภุาค Q และ R เมือ่เคลือ่นทีผ่านสนามแมเหล็ก B ท่ีมี

ทศิพุงเขาต้ังฉากกบักระดาษจะมกีารเบ่ียงเบน ดงัรปู ถานาํB

19. 19. จากหลักการของกระแสไฟฟาเหนี่ยวนํา สามารถนําไปใช

สรางเครื่องมือชนิดใดC

x x x x x x x x x x x

x x x x x x x x x x x

x x x x x x x x x x x

x x x x x x x x x x x

Q

R

(10)

Page 11: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

20. การทดลองหลอดรงัสแีคโทด เหตใุดจงึตองทาํใหความดนั-

อากาศภายในหลอดลดตํ่าลงเกือบเปนสุญญากาศ

1. เพื่อใหสังเกตรังสีแคโทดไดชัดเจน

2. เพ่ือลดอนัตรายจากแรงดนัอากาศทีเ่พิม่ขึน้ในหลอดแกว

3. เพ่ือลดการชนระหวางอนภุาคของรงัสแีคโทดกบัอากาศ

4. เพือ่ไมใหสนามไฟฟาหรอืสนามแมเหลก็ที่ใชไปรบกวน

การเคลื่อนที่ของรังสีแคโทด

21. สนามแมเหล็กไมมีผลตอสิ่งใด

1. ประจุไฟฟาที่หยุดนิ่ง

2. ประจุไฟฟาที่เคลื่อนที่

3. สารแมเหล็กที่หยุดนิ่ง

4. สารแมเหล็กที่เคลื่อนที่

22. วางลวดตวันาํไวในสนามแมเหลก็ดงัรปู เม่ือใหกระแสไฟฟา

ผานลวดตวันาํ จะเกดิแรงเนือ่งจากสนามแมเหล็กกระทาํตอ

ลวดนี้ในทิศทางใด

1. ทิศชี้ลง 2. ทิศชี้ขึ้น

3. ทิศไปทางขั้วเหนือ 4. ทิศไปทางขั้วใต

23. จากแผนภาพแสดงลกัษณะของเสนแรงแมเหลก็ที่เกดิจาก

แทงแมเหล็กสองแทงวางใกลกัน

ขอใดบอกถึงขั้วของแมเหล็กที่ตําแหนง A, B, C และ D

ไดอยางถูกตอง

1. A และ C เปนขั้วเหนือ สวน B และ D เปนขั้วใต

2. A และ D เปนขั้วเหนือ สวน B และ C เปนขั้วใต

3. B และ D เปนขั้วเหนือ สวน A และ C เปนขั้วใต

4. B และ C เปนขั้วเหนือ สวน A และ D เปนขั้วใต

20. 20. การทดลองหลอดรงัสแีคโทด เหตใุดจงึตองทาํใหความดนั-

อากาศภายในหลอดลดตํ่าลงเกือบเปนสุญญากาศE

21. 21. สนามแมเหล็กไมมีผลตอสิ่งใด

1. ประจุไฟฟาที่หยุดนิ่งA

22. 22. วางลวดตวันําไวในสนามแมเหลก็ดงัรปู เม่ือใหกระแสไฟฟา

ผานลวดตวันาํ จะเกดิแรงเนือ่งจากสนามแมเหล็กกระทาํตอB

23. 23. จากแผนภาพแสดงลกัษณะของเสนแรงแมเหลก็ที่เกดิจาก

แทงแมเหล็กสองแทงวางใกลกันB

24. เหตุใดภายในมอเตอรไฟฟาจึงตองมีแมเหล็กเปน

องคประกอบ

1. เพื่อสรางสนามไฟฟาจากขดลวดตัวนํา

2. เพื่อสรางสนามแมเหล็กจากขดลวดตัวนํา

3. เพื่อยึดโครงสรางมอเตอรที่เปนเหล็กใหติดกัน

4. เพื่อทําใหขดลวดตัวนําภายในมอเตอรเกิดการหมุน

เมื่อจายกระแสไฟฟาเขาไป

25. เพราะเหตุใดเมื่อตัดแทงแมเหล็กที่มีขั้วเหนอืใตออกเปน

ครึ่งหนึ่ง จึงยังคงไดแมเหล็กที่มีขั้วเหนอืใตเสมอ

1. ขั้วเหนือใตของแมเหล็กกระจายตัวอยูทั่วทั้ง

แทงแมเหล็ก

2. ขั้วเหนือใตของแมเหล็กเรียงตัวสลับกันตลอดทั้ง

แทงแมเหล็ก

3. แมเหล็กมีสมบัติคูขั้ว ทําใหแมเหล็กแตละแทงตองมี

สองขั้วเสมอ

4. แมเหล็กมีสนามแมเหล็กอยูรอบๆ สงผลใหแมเหล็กที่

ถูกตัดแบงจะมีอํานาจแมเหล็กเหมือนแทงเดิม

26. ขอใดกลาวถึงแรงนิวเคลียรไมถูกตอง

1. แรงนิวเคลียรตองเปนแรงดูดที่มีคานอยกวาแรงผลัก

ทางไฟฟา

2. แรงทีย่ดึโปรตอนทกุตวัและนวิตรอนทกุตวัไวดวยกนัใน

นิวเคลียส

3. แรงนิวเคลียรแบบเขม เปนแรงที่ดึงดูดอนุภาคมูลฐาน

ใหรวมกันอยูได

4. แรงนวิเคลยีรแบบออน เปนแรงทีเ่กีย่วของกบัปฏกิริยิา

นิวเคลียรฟวชัน

27. แรงนิวเคลียรมีความสําคัญตอชีวิตของมนุษยหรือไม

อยางไร

1. ไมสําคัญ เนื่องจากแรงนิวเคลียรกอใหเกิดอันตรายใน

วงกวาง

2. ไมสาํคญั เนือ่งจากแรงนวิเคลยีรมผีลตอการคงอยูของ

อะตอมเพียงอยางเดียว

3. สาํคญั เนือ่งจากแรงนวิเคลยีรมสีวนในกระบวนการผลติ

ของโรงงานอุตสาหกรรมหลายประเภท

4. สําคญั เน่ืองจากแรงนิวเคลียรนําไปสูการสรางพลงังาน

ในการนําไปใชประโยชนไดอยางมหาศาล

24. 24. เหตุใดภายในมอเตอรไฟฟาจึงตองมีแมเหล็กเปน

องคประกอบC

25. 25. เพราะเหตุใดเมื่อตัดแทงแมเหล็กที่มีขั้วเหนอืใตออกเปน

ครึ่งหนึ่ง จึงยังคงไดแมเหล็กที่มีขั้วเหนอืใตเสมอD

26. 26. ขอใดกลาวถึงแรงนิวเคลียรไมถูกตอง

1. แรงนิวเคลียรตองเปนแรงดูดที่มีคานอยกวาแรงผลักA

27. 27. แรงนิวเคลียรมีความสําคัญตอชีวิตของมนุษยหรือไม

อยางไรE

N S

BA

C D

I

(11)

Page 12: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

28. ปรากฏการณใดของคลื่นที่ทําใหคลื่นเกิดการเปลี่ยนแปลง

ความยาวคลื่น

1. การหักเห 2. การสะทอน

3. การเลี้ยวเบน 4. การแทรกสอด

29. คลื่นชนิดใดมีความยาวคลื่นมากที่สุด

1. รังสีเอกซ 2. ไมโครเวฟ

3. อินฟราเรด 4. อัลตราไวโอเลต

30. ขอใดตอไปนี้กลาวถูกตอง

1. คลื่นบางชนิดเคลื่อนที่ไดโดยไมตองอาศัยตัวกลาง

2. ความยาวคลื่นมีความสัมพันธแบบแปรผันตรงกับ

ความถี่คลื่น

3. คลืน่เปนพลงังานทีส่งผานพลงังานไปพรอมกบัตวักลาง

ที่เคลื่อนที่

4. การแทรกสอดของคลื่นและการเลี้ยวเบนของคลื่นเปน

ปรากฏการณที่เกิดขึ้นคูกัน

31. เพราะเหตุใดเมื่อสังเกตปลาที่วายอยูในนํ้า จะมองเห็นวา

ปลามีขนาดใหญกวาปกติ

1. เปนผลจากการหักเหของคลื่นแสง

2. เปนผลจากการสะทอนของคลื่นแสง

3. เปนผลจากการเลี้ยวเบนของคลื่นแสง

4. เปนผลจากการแทรกสอดของคลื่นแสง

32. ลูกบอลลูกหนึ่งตกนํ้าและสั่นขึ้นลงหลายรอบ ทําใหเกิด

คลืน่ผวินํา้แผออกเปนรปูวงกลม เมือ่เวลาผานไป 10 วนิาที

คลื่นแผออกไปไดรัศมีสูงสุด 20 เมตร โดยมีระยะระหวาง

สันคลื่นที่ติดกันเทากับ 2 เมตร จากขอมูลดังกลาวลูกบอล

สั่นขึ้นลงดวยความถี่เทาใด

1. 0.5 Hz 2. 1.0 Hz

3. 2.0 Hz 4. 4.0 Hz

33. ความเขมเสียง ใชบอกลักษณะใดของคลื่นเสียง

1. ระดับเสียง 2. คุณภาพเสียง

3. ความดังเสียง 4. บีตสของเสียง

34. เครื่องโซนารในเรือประมงไดรับสัญญาณสะทอนจาก

กนทะเล หลังจากสงสัญญาณไป 0.4 วินาที ถาอัตราเร็ว

ของเสียงในนํ้ามีคาประมาณ 1,500 เมตร/วินาที ทะเล

บริเวณนี้มีความลึกเทาใด

1. 100 เมตร 2. 200 เมตร

3. 300 เมตร 4. 400 เมตร

28. 28. ปรากฏการณใดของคลื่นที่ทําใหคลื่นเกิดการเปลี่ยนแปลง

ความยาวคลื่นA

29. 29. คลื่นชนิดใดมีความยาวคลื่นมากที่สุด

1. รังสีเอกซ 2. ไมโครเวฟA

30. 30. ขอใดตอไปนี้กลาวถูกตอง

1. คลื่นบางชนิดเคลื่อนที่ไดโดยไมตองอาศัยตัวกลางB

31. 31. เพราะเหตุใดเมื่อสังเกตปลาที่วายอยูในนํ้า จะมองเห็นวา

ปลามีขนาดใหญกวาปกติB

32. 32. ลูกบอลลูกหนึ่งตกนํ้าและสั่นขึ้นลงหลายรอบ ทําใหเกิด

คลืน่ผวินํา้แผออกเปนรปูวงกลม เมือ่เวลาผานไป 10 วนิาที B

33. 33. ความเขมเสียง ใชบอกลักษณะใดของคลื่นเสียง

1. ระดับเสียง 2. คุณภาพเสียงA

34. 34. เครื่องโซนารในเรือประมงไดรับสัญญาณสะทอนจาก

กนทะเล หลังจากสงสัญญาณไป 0.4 วินาที ถาอัตราเร็วB

35. เครื่องโซนารใชสมบัติใดของคลื่นในการทํางาน

1. การหักเห 2. การสะทอน

3. การเลี้ยวเบน 4. การแทรกสอด

36. การทีน่ายพรานแนบหเูพือ่ฟงเสยีงจากพืน้ วธิดีงักลาวชวย

ใหไดยินเสียงไดอยางไร

1. เสียงแทรกสอดผานชองวางใตดินมาได

2. เสียงผานตัวกลางคืออากาศที่อยูบริเวณผิวดิน

3. เสียงจะเคลื่อนที่ไดดีผานตัวกลางที่เปนของแข็ง

4. การแนบฟงเสียงบนพื้นดินไมสามารถใชไดจริง

37. นักเรียนคิดวาในโรงงานอุตสาหกรรมควรมีการควบคุม

ระดับความเขมของเสียงหรือไม เพราะเหตุใด

1. ควร เพราะเปนการสรางมาตรฐานโรงงานที่กระทรวง

อุตสาหกรรมยอมรับ

2. ควร เพราะเสียงที่มีความเขมมากเกินไปจะเกิดมลพิษ

ทางเสียงซึ่งเปนอันตรายตอการไดยิน

3. ควร เพราะเสียงทีมี่ความเขมมากเกนิไปจะมพีลงังานสงู

สงผลตอระบบทอนํ้าในโรงงาน

4. ไมควร เพราะการลดความเขมเสียง หมายถึง การลด

จาํนวนเครือ่งจกัรในโรงงาน ซึง่สงผลตอผลประกอบการ

38. เพราะเหตุใดจึงใชคลื่นไมโครเวฟในการสื่อสารระยะไกล

แทนการใชคลื่นวิทยุ

1. คลื่นวิทยุเคลื่อนที่ไดในระยะใกลเทานั้น

2. คลื่นวิทยุไมสะทอนในชั้นไอโอโนสเฟยร

3. คลื่นไมโครเวฟมีความถี่สูงกวาคลื่นวิทยุ

4. คลื่นไมโครเวฟไมสะทอนในชั้นบรรยากาศ

39. ขอใดตอไปนี้เรียงลําดับความยาวคลื่นจากมากไปนอย

ไดถูกตอง

1. แสง คลื่นวิทยุ รังสีเอกซ รังสีแกมมา

2. คลื่นวิทยุ อินฟราเรด แสง รังสีแกมมา

3. รังสีเอกซ อินฟราเรด อัลตราไวโอเลต คลื่นวิทยุ

4. อัลตราไวโอเลต อินฟราเรด ไมโครเวฟ รังสีแกมมา

40. คลืน่ A เปนคลืน่ทีม่คีวามยาวคลืน่ตํา่ สามารถทาํใหแผนฟลม

ที่หอกระดาษไวเปนรอยได สมมติฐานในขอใดถูกตอง

1. คลื่น A คือ คลื่นกล

2. คลื่น A คือ คลื่นแสง

3. คลื่น A คือ รังสีเอกซ

4. คลื่น A คือ อินฟราเรด

35. 35. เครื่องโซนารใชสมบัติใดของคลื่นในการทํางาน

1. การหักเห 2. การสะทอนC

36. 36. การทีน่ายพรานแนบหเูพือ่ฟงเสยีงจากพืน้ วธิดีงักลาวชวย

ใหไดยินเสียงไดอยางไรD

37. 37. นักเรียนคิดวาในโรงงานอุตสาหกรรมควรมีการควบคุม

ระดับความเขมของเสียงหรือไม เพราะเหตุใดF

38. 38. เพราะเหตุใดจึงใชคลื่นไมโครเวฟในการสื่อสารระยะไกล

แทนการใชคลื่นวิทยุD

39. 39. ขอใดตอไปนี้เรียงลําดับความยาวคลื่นจากมากไปนอย

ไดถูกตองE

40. 40. คลืน่ A เปนคลืน่ทีม่คีวามยาวคลืน่ตํา่ สามารถทาํใหแผนฟลม

ที่หอกระดาษไวเปนรอยได สมมติฐานในขอใดถูกตองE

(12)

Page 13: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

41. เพราะเหตุใดจึงเรียกปฏิกิริยานิวเคลียรฟชชันวา ปฏิกิริยา

ลูกโซ

1. เปนปฏิกิริยาที่ใชความรอนสูง

2. เปนปฏิกิริยาที่เกิดจากธาตุโลหะ

3. เปนปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นไดเอง อยางตอเนื่อง

4. เปนปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นตอเนื่องเมื่อยิงนิวเคลียส

ดวยนิวตรอน

42. ปฏิกิริยานิวเคลียรชนิดใดเหมาะที่จะนํามาผลิตพลังงาน

ไฟฟา

1. ปฏิกิริยาฟวชัน

2. ปฏิกิริยาฟชชัน

3. ปฏิกิริยาเทอรโมเรดิเอชัน

4. ปฏิกิริยาเทอรโมไดนามิกส

43. เครื่องปฏิกรณนิวเคลียรอาศัยหลักการของปฏิกิริยาใด

ในการผลิตพลังงานนิวเคลียร

1. ปฏิกิริยาฟชชัน

2. ปฏิกิริยาฟวชัน

3. ปฏิกิริยาดิฟฟวชัน

4. ปฏิกิริยามอเดอรเรเตอร

44. รังสีชนิดใดไมเบี่ยงเบนในสนามแมเหล็ก

1. รังสีบีตา

2. รังสีแอลฟา

3. รังสีแกมมา

4. รังสีอิเล็กตรอน

45. ธาตชุนดิหน่ึงสลายตวัใหธาตใุหมทีม่เีลขมวลและเลขอะตอม

ลดลง แสดงวาธาตดุงักลาวมกีารปลดปลอยรงัสชีนดิใด

1. รังสีบีตา 2. รังสีเอกซ

3. รังสีแกมมา 4. รังสีแอลฟา

46. เพราะเหตใุดธาตกุมัมนัตรงัสจีงึมกีารปลดปลอยรังสีออกมา

ตลอดเวลา

1. มีพลังงานสะสมอยูมากเกินไป

2. เปนการสลายตัวที่เกิดขึ้นตามเวลา

3. เพื่อใหธาตุกัมมันตรังสีเกิดความเสถียร

4. ถูกกระตุนดวยอนุภาคบางชนิดจึงปลดปลอยพลังงาน

ออกมา

41. 41. เพราะเหตุใดจึงเรียกปฏิกิริยานิวเคลียรฟชชันวา ปฏิกิริยา

ลูกโซB

42. 42. ปฏิกิริยานิวเคลียรชนิดใดเหมาะที่จะนํามาผลิตพลังงาน

ไฟฟาF

43. 43. เครื่องปฏิกรณนิวเคลียรอาศัยหลักการของปฏิกิริยาใด

ในการผลิตพลังงานนิวเคลียรE

44. 44. รังสีชนิดใดไมเบี่ยงเบนในสนามแมเหล็ก

1. รังสีบีตาB

45. 45. ธาตชุนดิหน่ึงสลายตวัใหธาตใุหมทีม่เีลขมวลและเลขอะตอม

ลดลง แสดงวาธาตดุงักลาวมกีารปลดปลอยรงัสชีนดิใดB

46. 46. เพราะเหตใุดธาตกุมัมนัตรงัสจีงึมกีารปลดปลอยรังสีออกมา

ตลอดเวลาB

47. สมการการสลายตัวของธาตุชนิดหนึ่งเปนดังนี้

23892U

23490Th + x

x คืออะไร

1. รังสีแกมมา

2. อนุภาคแอลฟา

3. อนุภาคโพสิตรอน

4. อนุภาคอิเล็กตรอน

48. เพราะเหตุใดจึงใชแผนฟลมเปนอุปกรณในการตรวจวัด

ปริมาณรังสี

1. งายตอการพกพา

2. รังสีสามารถเกาะติดกับแผนฟลมไดดี

3. สามารถวัดปริมาณรังสีไดทันทีและแมนยํา

4. แผนฟลมทําปฏิกิริยากับรังสีเชนเดียวกับแสง

49. สัญลักษณนิวเคลียร 12753I แสดงวานิวเคลียสของไอโอดีนนี้

มีอนุภาคตามขอใด

1. โปรตอน 53 ตัว และนิวตรอน 74 ตัว

2. โปรตอน 53 ตัว และนิวตรอน 127 ตัว

3. โปรตอน 127 ตัว และนิวตรอน 53 ตัว

4. โปรตอน 53 ตัว และอิเล็กตรอน 74 ตัว

50. กราฟใดอธิบายลักษณะการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี

ไดถูกตอง

1. 2.

3. 4.

47.

47. สมการการสลายตัวของธาตุชนิดหนึ่งเปนดังนี้

238B

48. 48. เพราะเหตุใดจึงใชแผนฟลมเปนอุปกรณในการตรวจวัด

ปริมาณรังสีC

49. 49. สัญลักษณนิวเคลียร

มีอนุภาคตามขอใดD

50. 50. กราฟใดอธิบายลักษณะการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี

ไดถูกตองE

เวลา

ปริมาณสาร

เวลา

ปริมาณสาร

เวลา

ปริมาณสาร

เวลา

ปริมาณสาร

(13)

Page 14: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

1. วัตถุ 2 ชิ้นที่มีมวลเทากัน ถูกโยนขึ้นไปในแนวดิ่งดวยความเร็วตน 20 เมตรตอวินาที และ 50 เมตรตอวินาที วัตถุทั้งสอง

จะมีความเรงเหมือนกันหรือแตกตางกันอยางไร

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

2. ใหนักเรียนวิเคราะหและอธิบายการทํางานของเข็มทิศ

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

3. ใหนักเรียนเขียนภาพเสนแรงแมเหล็กที่เกิดขึ้นจากแทงแมเหล็กที่วางไว ดังภาพ

4. คลื่นดลบนเสนเชือกมีลักษณะดังภาพ ซึ่งเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็ว u จงเขียนกราฟแสดงความสัมพันธระหวางการกระจัด

ในแนว y ของจุด P (จุดๆ หนึ่งบนเสนเชือก) กับเวลา

5. ใหนักเรียนเขียนสมการแสดงการสลายตัวของเรเดียม - 226 เปนเรดอน - 222 โดยมีการปลดปลอยแกมมารวมดวย

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

1. 1. วัตถุ 2 ชิ้นที่มีมวลเทากัน ถูกโยนขึ้นไปในแนวดิ่งดวยความเร็วตน 20 เมตรตอวินาที และ 50 เมตรตอวินาที วัตถุทั้งสอง

จะมีความเรงเหมือนกันหรือแตกตางกันอยางไรD

2.

2. ใหนักเรียนวิเคราะหและอธิบายการทํางานของเข็มทิศ

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................E

3.

3. ใหนักเรียนเขียนภาพเสนแรงแมเหล็กที่เกิดขึ้นจากแทงแมเหล็กที่วางไว ดังภาพ

D

4. 4. คลื่นดลบนเสนเชือกมีลักษณะดังภาพ ซึ่งเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็ว u จงเขียนกราฟแสดงความสัมพันธระหวางการกระจัด

ในแนว y ของจุด P (จุดๆ หนึ่งบนเสนเชือก) กับเวลา E

5.

5. ใหนักเรียนเขียนสมการแสดงการสลายตัวของเรเดียม - 226 เปนเรดอน - 222 โดยมีการปลดปลอยแกมมารวมดวย

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................E

¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ

¤Ðá¹¹àµçÁ 10

ตอนที่ 2 แบบอัตนัย จํานวน 5 ขอ ขอละ 2 คะแนน

N S

S

N

u

P

(14)

Page 15: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

4. การเคลื่อนที่ในขอใดมีความเรงเปนศูนย

1. กอนหินกอนหนึ่งจมอยูที่กนบอ

2. เครื่องบินเคลื่อนที่ขึ้นจากรันเวย

3. นักกระโดดรมลอยตัวลงมาอยางชาๆ

4. รถยนตคันหนึ่งคอยๆ ลดความเร็วเพื่อหยุดรถ

5. สมคิดเริ่มขับจักรยานยนตจากจุดหยุดนิ่งโดยใชอัตราเร็ว

เพิ่มขึ้น 3 เมตร/วินาที ทุกๆ 1 วินาที ที่เวลา 10 วินาที

สมคิดเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วเทาไร

1. 10 เมตรตอวินาที

2. 20 เมตรตอวินาที

3. 30 เมตรตอวินาที

4. 40 เมตรตอวินาที

6. การเคลื่อนที่ในขอใดตอไปนี้ จัดวาเปนการเคลื่อนที่ดวย

ความเรง

1. รถยนตจอดนิ่งกลางถนน

2. มาลีเดินดวยความเร็วสมํ่าเสมอ

3. มานะหยุดรถที่แลนอยูอยางกะทันหัน

4. รถโดยสารประจําทางแลนดวยอัตราเร็ว

110 กิโลเมตรตอชั่วโมง

4. 4. การเคลื่อนที่ในขอใดมีความเรงเปนศูนย

1. กอนหินกอนหนึ่งจมอยูที่กนบอB

5. 5. สมคิดเริ่มขับจักรยานยนตจากจุดหยุดนิ่งโดยใชอัตราเร็ว

เพิ่มขึ้น 3 เมตร/วินาที ทุกๆ 1 วินาที ที่เวลา 10 วินาทีB

6. 6. การเคลื่อนที่ในขอใดตอไปนี้ จัดวาเปนการเคลื่อนที่ดวย

ความเรงB

1. ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับการกระจัด

1. ขนาดของการกระจดัเทากบัระยะทางของการเคล่ือนที่

2. ขนาดของการกระจดัจะเพิม่ขึน้ตามเสนทางการเคล่ือนที่

3. ทศิทางของการกระจดัคอืทศิทางเริม่ตนของการเคลือ่นที่

4. ทิศทางของการกระจัดจะลากจากจุดเริ่มตนไปยังจุด

สิ้นสุดของการเคลื่อนที่

2. ขอใดตอไปน้ีเปนการเคลื่อนที่ที่มีขนาดของการกระจัด

นอยที่สุด

1. เดินไปทางขวาดวยความเรว็คงที ่3 เมตรตอวนิาท ีเปน

เวลา 4 วินาที

2. เดนิไปทางซายดวยความเรว็คงที ่4 เมตรตอวนิาท ีเปน

เวลา 3 วินาที

3. เดินไปทางขวา 10 เมตร แลวเดนิยอนกลบัมาทางซาย

2 เมตร

4. ทั้งสามขอมีการกระจัดเทากัน

3. รถยนตคันหนึ่งแลนดวยความเร็วเฉลี่ย 20 เมตรตอวินาที

จงหาเวลาที่รถยนตคันนี้ใชขณะที่แลนไปได 1 กิโลเมตร

1. 50 วินาที 2. 100 วินาที

3. 150 วินาที 4. 200 วินาที

1. 1. ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับการกระจัด

1. ขนาดของการกระจดัเทากบัระยะทางของการเคล่ือนที่A

2. 2. ขอใดตอไปน้ีเปนการเคลื่อนที่ที่มีขนาดของการกระจัด

นอยที่สุดB

3. 3. รถยนตคันหนึ่งแลนดวยความเร็วเฉลี่ย 20 เมตรตอวินาที

จงหาเวลาที่รถยนตคันนี้ใชขณะที่แลนไปได 1 กิโลเมตร B

ชื่อ … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … .. นามสกลุ … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … ..

เลขประจําตัวสอบ … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … . โรงเรียน … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … … .

สอบวันที ่… … … … … … … … .. เดือน … … … … … … … … … … … … … … … … … … … พ.ศ. … … … … … … … … … … … … … … … ..

โครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด

¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ

¤Ðá¹¹ÃÇÁ60

แบบทดสอบว�ชา แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน

ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 - 6ชุดที ่3

¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ

¤Ðá¹¹àµçÁ 50

ตอนที่ 1 แบบปรนัย 4 ตัวเลือก แตละขอมีคําตอบที่ถูกตองที่สุดเพียงคําตอบเดียว จํานวน 50 ขอ ขอละ 1 คะแนน

ความรู ความจํา ความเขาใจ การนําไปใช การวิเคราะห การสังเคราะห การประเมินคา

A B C D E F

(15)

Page 16: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอบ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

7. กราฟแสดงความสัมพันธระหวางความเร็วกับเวลาของ

การเคลื่อนที่เปนดังรูป จงหาความเรงที่เวลา 3 วินาที

1. 3 m/s2 2. -3 m/s2

3. 5 m/s2 4. -5 m/s2

8. หากปลอยวัตถุตกอยางอิสระ ขอใดแสดงความสัมพันธ

ระหวางความเรงตอเวลาไดถูกตอง

1. 2.

3. 4.

9. ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับคาบของลูกตุม

1. ไมขึ้นกับความยาวเชือก

2. ไมขึ้นกับมวลของลูกตุม

3. ไมขึ้นกับแรงโนมถวงของโลก

4. มีคาเทาเดิมแมวาจะไปแกวงบนดวงจันทร

10. วัตถุที่มีการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล ขณะที่วัตถุอยูบน

จุดสูงสุด ขอใดตอไปนี้ถูกตอง

1. ความเร็วของวัตถุมีคาเปนศูนย

2. ความเรงของวัตถุมีคาเปนศูนย

3. ความเร็วของวัตถุในแนวดิ่งมีคาเปนศูนย

4. ความเร็วของวัตถุในแนวราบมีคาเปนศูนย

7. 7. กราฟแสดงความสัมพันธระหวางความเร็วกับเวลาของ

การเคลื่อนที่เปนดังรูป จงหาความเรงที่เวลา 3 วินาที D

8. 8. หากปลอยวัตถุตกอยางอิสระ ขอใดแสดงความสัมพันธ

ระหวางความเรงตอเวลาไดถูกตองE

9. 9. ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับคาบของลูกตุม

1. ไมขึ้นกับความยาวเชือกA

10. 10. วัตถุที่มีการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล ขณะที่วัตถุอยูบน

จุดสูงสุด ขอใดตอไปนี้ถูกตองB

11. ผกูวตัถดุวยเชือกแลวเหวีย่งใหเคล่ือนทีเ่ปนวงกลมในแนวดิง่

ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่มาถึงตําแหนงสูงสุดของวงกลม

แรงชนิดใดตอไปนี้ที่ทําหนาที่เปนแรงสูศูนยกลาง

1. แรงตึงเชือก

2. นํ้าหนักวัตถุ

3. แรงตึงเชือกกับนํ้าหนักวัตถุ

4. ตําแหนงนั้นแรงสูศูนยกลางเปนศูนย

12. การเคล่ือนที่แบบวงกลมและการเคล่ือนที่แบบฮารมอนิก

อยางงายมีสวนเหมือนกันอยางไร

1. เปนการเคลื่อนที่แบบคาบ

2. เปนการเคลื่อนที่แบบ 1 มิติ

3. เสนทางการเคลื่อนที่เปนวิถีโคง

4. มีการกระจัดสูงสุดที่เรียกวาแอมพลิจูด

13. หลักการใดใชอธิบายลักษณะการเคล่ือนที่โคงลงของวัตถุ

ที่ถูกปาไปดานหนาโดยทํามุมใดๆ กับแนวระดับ

1. เปนไปตามเสนทางการเคลื่อนที่

2. มีแรงโนมถวงกระทําตลอดการเคลื่อนที่

3. วัตถุเคลื่อนที่เปนวิถีวงกลมตามวงโคจรของโลก

4. แรงตานในอากาศตานไมใหวัตถุเคลื่อนที่ขึ้นไปเปน

เสนตรง

14. การศึกษาเรื่องการเคลื่อนที่ของวัตถุมีประโยชนทางดาน

วิศวกรรมอยางไร

1. ชวยออกแบบเสนทางการบิน

2. ชวยออกแบบพื้นถนนทางโคง

3. ชวยออกแบบเสนทางการเดินรถ

4. ชวยออกแบบเครื่องยนตกําลังสูง

15. ชายคนหนึ่งมีนํ้าหนัก 500 นิวตันที่ผิวโลก เขาจะมีมวล

เทาใดบนดวงจันทร ซึ่งมีคาความเรงโนมถวง เปน 16 เทา

ของโลก (กําหนดใหคาความโนมถวงของโลก = 10 m/s2)

1. 50 kg

2. 502 kg

3. 504 kg

4. 506 kg

11. 11. ผกูวตัถดุวยเชือกแลวเหวีย่งใหเคล่ือนทีเ่ปนวงกลมในแนวดิง่

ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่มาถึงตําแหนงสูงสุดของวงกลม B

12. 12. การเคล่ือนที่แบบวงกลมและการเคล่ือนที่แบบฮารมอนิก

อยางงายมีสวนเหมือนกันอยางไรD

13. 13. หลักการใดใชอธิบายลักษณะการเคล่ือนที่โคงลงของวัตถุ

ที่ถูกปาไปดานหนาโดยทํามุมใดๆ กับแนวระดับE

14. 14. การศึกษาเรื่องการเคลื่อนที่ของวัตถุมีประโยชนทางดาน

วิศวกรรมอยางไรF

15. 15. ชายคนหนึ่งมีนํ้าหนัก 500 นิวตันที่ผิวโลก เขาจะมีมวล

เทาใดบนดวงจันทร ซึ่งมีคาความเรงโนมถวง เปน B

0 1 2 3 4 5 6

252015105

เวลา (s)

ความเร็ว (m/s)

ความเรง (m/s2)

เวลา (s) เวลา (s)

ความเรง (m/s2)

เวลา (s)

ความเรง (m/s2)

เวลา (s)

ความเรง (m/s2)

(16)

Page 17: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

16. วัตถุ A มีมวล m กิโลกรัม วางอยูนิ่งบนพื้น สวนวัตถุ B

ซึ่งมีมวลเทากันกําลังตกลงสูพื้นโลก กําหนดใหทั้ง A และ

B อยูในบริเวณที่ขนาดสนามโนมถวงของโลกเทากับ g

นวิตนั/กโิลกรมั และไมมแีรงตานในอากาศ ขอใดไมถกูตอง

1. วัตถุทั้งสองมีนํ้าหนักเทากัน

2. วตัถทุัง้สองมอีตัราเรงในแนวดิง่เทากนั คอื g เมตร/วนิาที2

3. แรงโนมถวงของโลกที่กระทําตอวัตถุ A มีขนาดเทากับ

mg นิวตัน

4. แรงโนมถวงของโลกที่กระทําตอวัตถุ B มีขนาดเทากับ

mg นิวตัน

17. แรงในขอใดเปนแรงประเภทเดียวกันกับแรงที่ทําให

ลูกแอปเปลตกลงสูพื้นโลก

1. แรงที่ทําใหอิเล็กตรอนอยูในอะตอมได

2. แรงที่ทําใหแผนแมเหล็กติดอยูบนตูเย็น

3. แรงที่ทําใหดวงจันทรอยูในวงโคจรรอบโลก

4. แรงที่ทําใหโปรตอนหลายอนุภาคอยูรวมกัน

18. ขอใดกลาวถงึการเคลือ่นทีข่องประจใุนสนามไฟฟาไดถกูตอง

1. ประจุบวกเคลื่อนที่ในทิศเดียวกับทิศของสนามไฟฟา

2. ถามีประจุไฟฟาอยูระหวางสนามไฟฟาสมํ่าเสมอ

ประจุไฟฟาจะไมเคลื่อนที่

3. ถาใหลําอิเล็กตรอนเคลื่อนที่ในทิศตั้งฉากกับสนาม-

ไฟฟาสม่ําเสมอ แรงไฟฟาจะทําใหแนวการเคลื่อนที่

ของอิเล็กตรอนตรงไปเหมือนแนวการเคลื่อนที่เดิม

4. สนามไฟฟามีทิศทางตรงขามกับทิศของแรงที่กระทํา

ตอประจบุวก โดยสนามไฟฟามทีศิพุงออกจากประจลุบ

เขาหาประจุบวกเสมอ

19. ขอใดไมใชประโยชนของการใชสนามไฟฟา

1. เครื่องปนอาหาร

2. เครื่องออสซิลโลสโคป

3. จอภาพเครื่องอัลตราซาวด

4. การกําจัดฝุนควันในโรงงานอุตสาหกรรม

20. จากรปู บรเิวณใดทีส่นามแมเหล็ก

มีความหนาแนนมากที่สุด

1. A 2. B

3. C 4. D

16. 16. วัตถุ A มีมวล m กิโลกรัม วางอยูนิ่งบนพื้น สวนวัตถุ B 16. วัตถุ A มีมวล m กิโลกรัม วางอยูนิ่งบนพื้น สวนวัตถุ B 16.

ซึ่งมีมวลเทากันกําลังตกลงสูพื้นโลก กําหนดใหทั้ง A และ B

17. 17. แรงในขอใดเปนแรงประเภทเดียวกันกับแรงที่ทําให

ลูกแอปเปลตกลงสูพื้นโลกD

18. 18. ขอใดกลาวถงึการเคลือ่นทีข่องประจใุนสนามไฟฟาไดถกูตอง

1. ประจุบวกเคลื่อนที่ในทิศเดียวกับทิศของสนามไฟฟาA

19. 19. ขอใดไมใชประโยชนของการใชสนามไฟฟา

1. เครื่องปนอาหารC

20. 20. จากรปู บรเิวณใดทีส่นามแมเหล็ก

A

21. จุดสะเทินในสนามแมเหล็ก หมายถึงอะไร

1. ตําแหนงที่มีสนามแมเหล็กผาน

2. ตําแหนงที่มีความเขมของสนามแมเหล็กมาก

3. ตําแหนงที่สนามแมเหล็กรวมกันและหักลางกัน

จนเปนศูนย

4. ตําแหนงที่มีสนามไฟฟาอยางนอยที่สุดสองสนาม ซึ่ง

สนามไฟฟาทัง้สองมขีนาดตางกนั แตมทีศิทางเดยีวกนั

22. นิวตรอนที่เคลื่อนที่เขาไปในสนามแมเหล็กจะมีแนวโนม

ของการเคลื่อนที่อยางไร

1. ไมมีการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่

2. เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับสนามแมเหล็ก

3. เคล่ือนทีต่ัง้ฉากกบัสนามแมเหล็กในทศิตามกฎมอืขวา

4. เคล่ือนทีต่ัง้ฉากกบัสนามแมเหล็กในทศิตามกฎมอืซาย

23. ขั้วเหนอื - ใตของสนามแมเหล็กโลกมีลักษณะการวางตัว

อยางไร

1. ขั้วแมเหล็กเหนือของโลกอยูบริเวณทิศเหนือ

สวนขั้วแมเหล็กใตของโลกอยูบริเวณทิศใต

2. ขั้วแมเหล็กเหนือของโลกอยูบริเวณทิศใต

สวนขั้วแมเหล็กใตของโลกอยูบริเวณทิศเหนือ

3. ขั้วแมเหล็กเหนือของโลกจะเปล่ียนตําแหนงตามการ

โคจรรอบดวงอาทิตย สวนขั้วแมเหล็กใตจะอยูบริเวณ

ใกลดวงอาทิตย

4. ขัว้แมเหลก็ใตของโลกจะเปลีย่นตาํแหนงตามการโคจร

รอบดวงอาทติย สวนขัว้แมเหลก็เหนอืจะอยูบรเิวณใกล

ดวงอาทิตย

24. การแยกส่ิงทีเ่ปนโลหะออกจากกองขยะ สามารถทาํไดดวย

วิธีการใด

1. ใชไฟฟาแรงสูง

2. ใชแมเหล็กแรงสูง

3. การกรองผานตะแกรง

4. ยังไมมีวิธีการที่เหมาะสม

25. ในการทดลองเพื่อหาความเปนประจุของอนุภาค A พบวา

อนุภาคดังกลาวเบ่ียงเบนการเคลื่อนที่ในสนามแมเหล็ก

ขอใดตั้งสมมติฐานไดถูกตอง

1. อนุภาค A เปนสารแมเหล็ก

2. อนุภาค A เปนอนุภาคมีประจุ

3. อนุภาค A เปนอนุภาคที่มีความทะลุทะลวงสูง

4. อนุภาค A ถูกแรงโนมถวงกระทําใหเกิดการเบี่ยงเบน

21. 21. จุดสะเทินในสนามแมเหล็ก หมายถึงอะไร

1. ตําแหนงที่มีสนามแมเหล็กผานA

22. 22. นิวตรอนที่เคลื่อนที่เขาไปในสนามแมเหล็กจะมีแนวโนม

ของการเคลื่อนที่อยางไรB

23. 23. ขั้วเหนอื - ใตของสนามแมเหล็กโลกมีลักษณะการวางตัว

อยางไรB

24. 24. การแยกส่ิงทีเ่ปนโลหะออกจากกองขยะ สามารถทาํไดดวย

วิธีการใดC

25. 25. ในการทดลองเพื่อหาความเปนประจุของอนุภาค A พบวา 25. ในการทดลองเพื่อหาความเปนประจุของอนุภาค A พบวา 25.

อนุภาคดังกลาวเบ่ียงเบนการเคลื่อนที่ในสนามแมเหล็ก EB

A C D

(17)

Page 18: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

26. ขอใดตอไปนี้เปนผลเนือ่งจากแรงนิวเคลียร

1. อิเล็กตรอนถูกดึงดูดโดยนิวเคลียส

2. แรงที่ใชในการปลอยระเบิดนิวเคลียร

3. ทําใหโปรตอนและนิวตรอนอยูรวมกันในนิวเคลียส

4. กอใหเกิดสนามนิวเคลียรและสนามของแรงชนิดอื่นๆ

27. การศกึษาเรือ่งสนามของแรง มสีวนชวยในดานตางๆ ยกเวน

ขอใด

1. พัฒนาอุปกรณอิเล็กทรอนิกสที่ใชในชีวิตประจําวัน

2. การใชประโยชนจากสนามของแรงชนิดตางๆ อยาง

เหมาะสม

3. ระมัดระวังตนเองจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอันเนื่อง

มาจากสนามของแรง

4. เขาใจถึงแหลงพลังงานจากสนามของแรง เพื่อนําไป

พัฒนาเทคโนโลยีในการทําสงคราม

28. คลื่นกลตามยาวและคลื่นกลตามขวางถูกนิยามขึ้นโดย

พิจารณาจากปจจัยใดเปนหลัก

1. ความยาวคลื่น

2. ประเภทของแหลงกําเนิด

3. ทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น

4. ทิศทางการสั่นของอนุภาคตัวกลาง

29. จากภาพ แอมพลิจูดของคลื่นมีขนาดเทาไร

1. 10 m 2. 20 m

3. 30 m 4. 40 m

30. เมือ่คลืน่ตกกระทบกบัผวิตวักลางชนดิหนึง่แลว คลืน่ดงักลาว

จะเกิดการเปลี่ยนแปลงความเร็ว เหตุใดจึงเปนเชนนั้น

1. ผลจากการหักเห 2. ผลจากการสะทอน

3. ผลจากการเลี้ยวเบน 4. ผลจากการแทรกสอด

31. ลวดสปริงชนิดหน่ึงสั่นดวยคาบ 0.5 วินาที เคลื่อนที่ดวย

ความเร็ว 0.02 เมตรตอวินาที จงหาความยาวของคลื่นใน

ลวดสปริงนี้

1. 0.01 เซนติเมตร 2. 1 เซนติเมตร

3. 10 เซนติเมตร 4. 10.5 เซนติเมตร

26. 26. ขอใดตอไปนี้เปนผลเนือ่งจากแรงนิวเคลียร

1. อิเล็กตรอนถูกดึงดูดโดยนิวเคลียสB

27. 27. การศกึษาเรือ่งสนามของแรง มสีวนชวยในดานตางๆ ยกเวน

ขอใดE

28. 28. คลื่นกลตามยาวและคลื่นกลตามขวางถูกนิยามขึ้นโดย

พิจารณาจากปจจัยใดเปนหลักA

29. 29. จากภาพ แอมพลิจูดของคลื่นมีขนาดเทาไร

A

30. 30. เมือ่คล่ืนตกกระทบกบัผวิตวักลางชนดิหนึง่แลว คลืน่ดงักลาว

จะเกิดการเปลี่ยนแปลงความเร็ว เหตุใดจึงเปนเชนนั้นB

31. 31. ลวดสปริงชนิดหน่ึงสั่นดวยคาบ 0.5 วินาที เคลื่อนที่ดวย

ความเร็ว 0.02 เมตรตอวินาที จงหาความยาวของคลื่นในB

32. เมื่อทดลองเกี่ยวกับการหักเหของคลื่นนํ้าบนถาดคลื่นที่มี

ความลึกของนํ้าในสองบริเวณไมเทากัน พบวาหนาคลื่น

ทั้งสองมีระยะหางไมเทากัน ขอใดสรุปผลการทดลองได

ถูกตอง

1. คลื่นเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วคงที่เมื่อเกิดการหักเห

2. ความถี่คลื่นไมมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเกิดการหักเห

3. คลื่นเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วที่ลดลงเมื่อเกิดการหักเห

4. แอมพลิจูดของคลื่นเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเกิดการหักเห

33. ในการทดลองเพื่อสังเกตผลของสิ่งกีดขวางเมื่อคลื่น

เคลื่อนที่ผาน เปนการศึกษาสมบัติของคลื่นตามขอใด

1. การหักเห 2. การเลี้ยวเบน

3. การสะทอน 4. การแทรกสอด

34. วัสดุที่ใชในการบุผนังโรงภาพยนตรมีผลในการลด

ปรากฏการณใดของเสียง

1. การหักเห 2. ดอพเพลอร

3. การสั่นพอง 4. การสะทอน

35. นยิมใชคลืน่ชนดิใดในการตรวจอวยัวะภายในรางกายมนษุย

1. คลื่นแสง 2. รังสีเอกซ

3. คลื่นเหนือเสียง 4. คลื่นอินฟราเรด

36. เพราะเหตุใดสายกีตารจึงมีขนาดที่แตกตางกัน

1. ใหความยาวคลื่นไมเทากัน

2. สะดวกในการจับและใชงาน

3. ใหความถี่ในการสั่นไมเทากัน

4. เพื่อความสวยงามของเครื่องดนตรี

37. การลาเหยื่อของคางคาวใชสมบัติใดของคลื่น

1. การหักเห 2. การสะทอน

3. การเลี้ยวเบน 4. การแทรกสอด

38. ขอใดกลาวไมถูกตอง

1. หากระดับความเขมเสียงมากกวาหรือเทากับ 120

เดซิเบล หูของมนุษยจะไมสามารถทนฟงได

2. องคการอนามยัโลก ไดกาํหนดระดบัของความเขมเสยีง

ทีป่ลอดภยัตอหแูละจติใจของผูฟงไวไมเกนิ 70 เดซเิบล

3. บริเวณใดมีระดับความเขมเสียงที่ทําใหหูและสภาพ

จิตใจของผูฟงผิดปกติ ถือวาเสียงในบริเวณนั้นเปน

มลภาวะของเสียง

4. โรงงานอุตสาหกรรมควรมีการควบคุมระดับความเขม

ของเสียง เพราะเสียงที่มีความเขมมากเกินไปจะกอให

เกิดมลภาวะทางเสียง

32. 32. เมื่อทดลองเกี่ยวกับการหักเหของคลื่นนํ้าบนถาดคลื่นที่มี

ความลึกของนํ้าในสองบริเวณไมเทากัน พบวาหนาคลื่นE

33. 33. ในการทดลองเพื่อสังเกตผลของสิ่งกีดขวางเมื่อคลื่น

เคลื่อนที่ผาน เปนการศึกษาสมบัติของคลื่นตามขอใดA

34. 34. วัสดุที่ใชในการบุผนังโรงภาพยนตรมีผลในการลด

ปรากฏการณใดของเสียงC

35. 35. นยิมใชคลืน่ชนดิใดในการตรวจอวยัวะภายในรางกายมนษุย

1. คลื่นแสง 2. รังสีเอกซC

36. 36. เพราะเหตุใดสายกีตารจึงมีขนาดที่แตกตางกัน

1. ใหความยาวคลื่นไมเทากันD

37. 37. การลาเหยื่อของคางคาวใชสมบัติใดของคลื่น

1. การหักเห 2. การสะทอนD

38. 38. ขอใดกลาวไมถูกตอง

1. หากระดับความเขมเสียงมากกวาหรือเทากับ 120 A

การกระจัด (m)

ระยะทาง (m) 0 10 20 30 40

-30

30

(18)

Page 19: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

39. ขอใดไมใชคลื่นแมเหล็กไฟฟา

1. แสง 2. คลื่นวิทยุ

3. รังสีแกมมา 4. คลื่นแผนดินไหว

40. คลื่นกลและคลื่นแมเหล็กไฟฟาแตกตางกันอยางไร

1. องคประกอบของคลื่นแตกตางกัน

2. ตัวกลางในการเคลื่อนที่แตกตางกัน

3. ความหลากหลายของชนิดของคลื่น

4. การสั่นของอนุภาคตัวกลางแตกตางกัน

41. ขอใดไมใชปฏิกิริยานิวเคลียร

1. ปฏิกิริยาลูกโซ

2. ปฏิกิริยาฟชชัน

3. ปฏิกิริยาฟวชัน

4. ปฏิกิริยาเทอรโมไดนามิกส

42. ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับปฏิกิริยานิวเคลียรฟชชัน

1. เกิดขึ้นไดเองตามธรรมชาติ

2. เกิดการหลอมรวมกันของนิวเคลียส

3. ตองใชความรอนสูงมาก ซึ่งเรียกอีกอยางวา ปฏิกิริยา

เทอรโมนิวเคลียร

4. เกิดจากการที่นิวเคลียสของธาตุหนักแตกตัวออกเปน

ธาตุเบา

43. ปฏิกิริยานิวเคลียรใดถูกใชในการผลิตกระแสไฟฟาได

ในปจจุบัน

1. ปฏิกิริยาฟชชัน 2. ปฏิกิริยาฟวชัน

3. ปฏิกิริยามอเดอรเรเตอร 4. ปฏิกิริยาดิฟฟวชัน

44. พลังงานนิวเคลียรถูกนําไปใชประโยชนในชีวิตประจําวัน

หลายดาน ยกเวนขอใด

1. ใชในการผลิตกระแสไฟฟา

2. ใชในการขับเคลื่อนเรือเดินสมุทร

3. ใชผลิตอาวุธนิวเคลียรในการทําสงคราม

4. ชวยแกปญหาเชื้อเพลิงที่กําลังขาดแคลน

45. ขอใดกลาวถึงอนุภาคบีตาไดถูกตอง

1. เปนอิเล็กตรอนความเร็วสูง หรือเนกาตรอน

2. เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่สูงเชนเดียวกับ

รังสีเอกซ

3. เปนอนุภาคเล็กๆ ในนิวเคลียสที่ยึดเหนี่ยวโปรตอน

และนิวตรอน

4. เปนอนุภาคพลังงานสูงที่ปลดปลอยออกมา เนื่องจาก

การสลายตัวของสารกัมมันตรังสี

39. 39. ขอใดไมใชคลื่นแมเหล็กไฟฟา

1. แสง 2. คลื่นวิทยุA

40. 40. คลื่นกลและคลื่นแมเหล็กไฟฟาแตกตางกันอยางไร

1. องคประกอบของคลื่นแตกตางกันD

41. 41. ขอใดไมใชปฏิกิริยานิวเคลียร

1. ปฏิกิริยาลูกโซA

42. 42. ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับปฏิกิริยานิวเคลียรฟชชัน

1. เกิดขึ้นไดเองตามธรรมชาติA

43. 43. ปฏิกิริยานิวเคลียรใดถูกใชในการผลิตกระแสไฟฟาได

ในปจจุบันC

44. 44. พลังงานนิวเคลียรถูกนําไปใชประโยชนในชีวิตประจําวัน

หลายดาน ยกเวนขอใดE

45. 45. ขอใดกลาวถึงอนุภาคบีตาไดถูกตอง

1. เปนอิเล็กตรอนความเร็วสูง หรือเนกาตรอนA

46. ขอใดกลาวถึงไอโซโทปไดถูกตอง

1. ธาตุที่มีจํานวนอิเล็กตรอนไมเทากับโปรตอน

2. ธาตทุีม่จีาํนวนโปรตอนและนวิตรอนในนวิเคลยีสเทากนั

3. ธาตุที่มีจํานวนโปรตอนแตกตางกัน แตมีจํานวน

นิวตรอนเทากัน

4. ธาตุที่มีจํานวนโปรตอนเทากัน แตมีจํานวนนิวตรอน

แตกตางกัน

47. ธาตุสองชนิดที่มีเลขมวลเทากัน แตมีจํานวนโปรตอน

แตกตางกัน เรียกธาตุเหลานั้นวาอะไร

1. ไอโซโทป

2. ไอโซโทน

3. ไอโซบาร

4. ไอโซเมอร

48. ธาตุกัมมันตรังสี Co-60 ถูกนําไปใชประโยชนในดานใด

1. ผลิตรังสีแกมมา

2. ตรวจสอบการดูดซึมของปุย

3. ตรวจสอบอายุของวัตถุโบราณ

4. ตรวจสอบแหลงนํ้ามันและแกสธรรมชาติ

49. ธาตุไอโอดีนมีไอโซโทปตางๆ คือ 12753 I

12953 I และ

13153 I

ขอใดตอไปนี้ถูกตอง

1. แตละไอโซโทปมีจํานวนโปรตอนตางกัน

2. แตละไอโซโทปมีจํานวนนิวตรอนตางกัน

3. แตละไอโซโทปมีจํานวนอิเล็กตรอนตางกัน

4. แตละไอโซโทปมจีาํนวนโปรตอนเทากบัจาํนวนนวิตรอน

50. การศึกษาที่เปรียบเทียบการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี

กับการทอดลูกเตานั้น จํานวนลูกเตาที่มีอยูเทียบไดกับ

ปริมาณใด

1. เวลาครึ่งชีวิต

2. จํานวนนิวเคลียสตั้งตน

3. จํานวนนิวเคลียสที่สลาย

4. จํานวนนิวเคลียสที่เหลืออยู

46. 46. ขอใดกลาวถึงไอโซโทปไดถูกตอง

1. ธาตุที่มีจํานวนอิเล็กตรอนไมเทากับโปรตอนA

47. 47. ธาตุสองชนิดที่มีเลขมวลเทากัน แตมีจํานวนโปรตอน

แตกตางกัน เรียกธาตุเหลานั้นวาอะไรB

48. 48. ธาตุกัมมันตรังสี Co-60 ถูกนําไปใชประโยชนในดานใด

1. ผลิตรังสีแกมมาC

49. 49. ธาตุไอโอดีนมีไอโซโทปตางๆ คือ

ขอใดตอไปนี้ถูกตองD

50. 50. การศึกษาที่เปรียบเทียบการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี

กับการทอดลูกเตานั้น จํานวนลูกเตาที่มีอยูเทียบไดกับE

(19)

Page 20: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

1. การวิ่งรอบสนามครบ 1 รอบ ระยะทางและการกระจัดในการวิ่งมีคาอยางไร

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

2. จงอธิบายถึงความเร็วในแนวระดับของวัตถุที่มีการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

3. ใหนักเรยีนอธบิายลกัษณะของสนามแมเหลก็ทีท่าํใหประจ ุ-q ทีเ่คล่ือนไปทางทศิขวามอืบนระนาบกระดาษนัน้เคล่ือนที่โคงขึน้

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

4. ใหนักเรียนเขียนภาพแสดงองคประกอบของคลื่น พรอมระบุองคประกอบตางๆ

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

5. ใหนักเรียนเขียนกราฟแสดงความสัมพันธของสารกัมมันตรังสีที่เกิดการสลายตัวดวยครึ่งชีวิต เมื่อสมมติใหปริมาณสารตั้งตน

เปน N0 และครึ่งชีวิตคือ T

1/2

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................

1.

1. การวิ่งรอบสนามครบ 1

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................B

2. จงอธิบายถึงความเร็วในแนวระดับของวัตถุที่มีการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................B

3.

3. ใหนักเรยีนอธบิายลกัษณะของสนามแมเหลก็ทีท่าํใหประจ ุ

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................B

4.

4. ใหนักเรียนเขียนภาพแสดงองคประกอบของคลื่น พรอมระบุองคประกอบตางๆ 4. ใหนักเรียนเขียนภาพแสดงองคประกอบของคลื่น พรอมระบุองคประกอบตางๆ 4.

..................................................................................................................................................................................................................................................................................................A

5. ใหนักเรียนเขียนกราฟแสดงความสัมพันธของสารกัมมันตรังสีที่เกิดการสลายตัวดวยครึ่งชีวิต เมื่อสมมติใหปริมาณสารตั้งตน

เปน NE

¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ

¤Ðá¹¹àµçÁ

10

ตอนที่ 2 แบบอัตนัย จํานวน 5 ขอ ขอละ 2 คะแนน

(20)

Page 21: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

1. ตอบ ขอ 1. ปริมาณเวกเตอรเปนปริมาณที่ระบุทั้งขนาดและทิศทาง เชน การกระจัด ความเร็ว ความเรง แรง โมเมนต

นํ้าหนัก เปนตน

2. ตอบ ขอ 2. ความเร็วเปนอัตราสวนของการกระจัดตอเวลาในการเคล่ือนที่ ซึ่งเปนปริมาณเวกเตอรที่ระบุทั้งขนาดและ

ทิศทาง

3. ตอบ ขอ 3. ระยะทางของการเคลื่อนที่ คือ ขนาดของเสนทางในการเคลื่อนที่ทั้งหมดจากบานไปยังโรงเรียน (15 + 30 +

25 เมตร) ดังนั้น ระยะทางจากบานไปยังโรงเรียน คือ 70 เมตร

4. ตอบ ขอ 2. เมื่อลากเสนตรงแทนการกระจัดจากบานไปยังโรงเรียน ดังรูป สามารถสมมติรูปสามเหล่ียมขนาดใหญได

ตามภาพ จากนั้นจึงคํานวณโดยใชทฤษฎีพีทาโกรัส คือ

การกระจัด s = A2 + B2

s = 402 + 302 เมตร

s = 50 เมตร

5. ตอบ ขอ 2. ความเร็วตน u = 0 เมตร/วินาที ความเรง a = 2 เมตร/วินาที2

เวลา t = 5 วินาที ความเร็วปลาย v = ?

ดังนั้น แทนคาลงในสูตรหาความเรง

จากสูตร a = v - u t

v = u + at

= 0 + (2 × 5)

= 10 เมตร/วินาที

6. ตอบ ขอ 1. หากปลอยวัตถุใหตกลงมาในแนวดิ่ง วัตถุจะมีความเรงเทากับความเรงโนมถวง ซึ่งความเรงโนมถวงนั้น

เปนคาคงที่ คือ 9.8 m/s2 และไมเปลี่ยนแปลงตามเวลา แตจะเปลี่ยนตามระดับความสูงจากพื้นโลก

7. ตอบ ขอ 2. การเคลือ่นทีข่องวตัถุจะเกิดความเรงเมือ่วตัถมุกีารเปลีย่นแปลงความเรว็ ซึง่หากมกีารเปลีย่นแปลงความเรว็

อยางสมํ่าเสมอ ความเรงจะมีคาคงตัว ที่บริเวณ B ความเร็วมีการเปลี่ยนแปลงอยางสมํ่าเสมอ โดยความ

เร็วคอยๆ ลดลง ความเรงจึงมีคาคงตัวเปนลบ ขณะที่บริเวณ A ความเร็วไมมีการเปลี่ยนแปลง ความเรงจะ

มีคาเปนศูนย สวนบริเวณ C และ D มีการเปลี่ยนแปลงความเร็วแบบไมคงที่ ความเรงจึงมีคาไมคงตัว

8. ตอบ ขอ 4. วัตถุที่ตกอยางอิสระภายใตแรงโนมถวงของโลกจะเคล่ือนที่ลงดวยความเรงเทากัน จึงตกถึงพื้นพรอมกัน

แตในความเปนจริงอาจมีแรงตานในอากาศทําหนาที่เปนแรงพยุง ทําใหวัตถุที่มีมวลนอยหรือมีพื้นที่ปะทะ

กับลมมาก เคลื่อนที่ดวยความเรงที่ลดลงกวาปกติ

ตอนที่ 1

40 เมตร

30 เมตร

s

ชุดที ่1เฉลยแบบทดสอบ

(21)

Page 22: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

9. ตอบ ขอ 3. เมือ่เกดิการเคลือ่นทีแ่บบวงกลมดงัที่โจทยกาํหนด แรงทีก่ระทาํกบัจกุยางขณะเหวีย่งจะเปนแรงสูศูนยกลาง

ซึ่งแรงสูศูนยกลางจะมีทิศเขาหาจุดศูนยกลางวงกลมเสมอ

10. ตอบ ขอ 2. ลูกบอลที่ถูกขวางจากตึกสูงในแนวระดับจะเคลื่อนที่ตกสูพื้น เนื่องจากมีแรงโนมถวงมากระทําตอลูกบอล

ในขณะเดียวกันก็มีความเร็วตนในแนวระดับหรือแนวขนานกับพื้นโลกดวย ทําใหลูกบอลโคงตกลงสูพื้น

แบบโพรเจกไทล ซึ่งอัตราเร็วของลูกบอลในแนวระดับจะมีคาคงที่เทากับอัตราเร็วเริ่มตน แตอัตราเร็ว

ในแนวดิ่งจะคอยๆ เพิ่มขึ้นดวยความเรง (g) ประมาณ 10 เมตร/วินาที2

11. ตอบ ขอ 2. การเคลือ่นท่ีแบบโพรเจกไทลเปนการเคลือ่นที่ในวถิโีคง เนือ่งมาจากมกีารเคลือ่นทีท่ัง้ในแนวราบและแนวดิง่

ซึง่มผีลมาจากแรงโนมถวงของโลกกระทาํตลอดการเคลือ่นที ่ทาํใหวตัถเุคลือ่นที่โคง เชน การปาบอลไปขาง

หนาจนกระทั่งบอลโคงตกถึงพื้น นํ้าที่ออกจากสายยางเปนแนวโคง เปนตน

12. ตอบ ขอ 4. การเคลือ่นทีข่องนกักระโดดรมจะมแีรงตานในอากาศกระทาํตอรม ทาํใหความเรงลดลง นกักระโดดรมจึงตก

สูพื้นอยางชาๆ ดวยความเร็วที่คอยๆ ลดลงอยางชาๆ

13. ตอบ ขอ 3. ดอกยางชวยเพิ่มแรงเสียดทานซึ่งเปนแรงเขาสูศูนยกลาง ทําใหรถยนตเคลื่อนที่ในทางโคงของวงกลมได

14. ตอบ ขอ 3. สนามของแรงทีม่ทีศิตัง้ฉากกบัพืน้โลก คอื สนามโนมถวง ซึง่มทีศิเขาสูพืน้โลก ทาํใหเกดิแรงโนมถวงดงึดดู

วตัถตุางๆ ใหอยูบนพืน้โลก และเปนแรงดงึดดูระหวางมวลทีท่าํใหดวงดาวตางๆ รักษาระยะหางของการโคจร

ภายในระบบสุริยะ

15. ตอบ ขอ 2. สนามโนมถวงจะกอใหเกิดแรงดึงดูดระหวางมวลของโลกกับดาวเทียม ดังนั้น ในระดับความสูงหนึ่งที่

ดาวเทียมเคลื่อนที่ดวยความเร็วที่เหมาะสม ดาวเทียมนั้นจะสามารถอยูในวงโคจรของโลกได

16. ตอบ ขอ 4. อนุภาคที่มีการเคลื่อนที่อยูภายในลวดตัวนํา คือ อิเล็กตรอน ซึ่งมีประจุลบ โดยมีทิศทางสวนทางกับทิศของ

กระแสไฟฟา เนือ่งจากนยิมพจิารณากระแสไฟฟาวาเปรียบเสมอืนเปนประจบุวกทีเ่คลือ่นที่ในลวดตวันาํโดยที่

ความเปนจริงแลว อนุภาคประจุบวกหรือโปรตอนจะไมเคลื่อนที่

17. ตอบ ขอ 3. ประจุไฟฟาชนดิเดยีวกนัจะออกแรงผลกักนัทาํใหประจหุางกนัเปนระยะหนึง่เทานัน้ แลวจะหยดุนิง่เนือ่งจาก

แรงไฟฟาจะมีคานอยลงเรื่อยๆ เมื่อประจุมีระยะหางกันมากขึ้น

18. ตอบ ขอ 4. อิเล็กตรอนเปนอนุภาคที่มีประจุลบ ซึ่งจากที่ไดศึกษามาเกี่ยวกับการเบนของอนุภาคในสนามไฟฟา ประจุ

บวกจะเคลื่อนที่ตามแนวสนามไฟฟา แตถาเปนประจุลบจะมีทิศทางการเคล่ือนที่ตรงกันขามกับประจุบวก

คือ เคลื่อนที่สวนกับสนามไฟฟา

19. ตอบ ขอ 4. สนามแมเหล็กเกิดขึ้นรอบๆ แทงแมเหล็ก โดยมีทิศทางพุงออกจากขั้วแมเหล็กเหนือไปยังขั้วแมเหล็กใต

ซึ่งบริเวณขั้วแมเหล็กทั้งสองจะมีความหนาแนนของสนามแมเหล็กมากกวาบริเวณอื่นๆ

20. ตอบ ขอ 3. วตัถทุีจ่ะถกูกระทาํเมือ่อยูในสนามแมเหลก็จะเปนวตัถทุีม่คีณุสมบตัขิองสารแมเหลก็ ซึง่แรงทีก่ระทําตอวตัถุ

เนื่องจากสนามแมเหล็ก เรียกวา แรงแมเหล็ก โดยวัตถุที่เปนสารแมเหล็ก เชน เหล็ก นิกเกิล อะลูมิเนียม

เปนตน ในที่นี้กระดาษสีเงินไมใชสารแมเหล็กจึงไมถูกสนามแมเหล็กกระทํา

21. ตอบ ขอ 3. สนามแมเหล็กรอบๆ แมเหล็กจะมีทิศทางพุงออกจากขั้วเหนือ (N) ไปยังขั้วใต (S) เมื่อวางเข็มทิศบริเวณ

กึ่งกลางตามภาพ แมเหล็กตางขั้วกันจะมีอํานาจดึงดูดกัน คือ ขั้วใตของเข็มทิศจะชี้ไปทางขั้วเหนือของ

แทงแมเหล็ก และขั้วเหนือของเข็มทิศจะชี้ไปทางขั้วใตของแทงแมเหล็ก

(22)

Page 23: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

22. ตอบ ขอ 4. แมเหล็กชั่วคราว หมายถึง แทงแมเหล็กที่แสดงสมบัติเปนแมเหล็กในชวงระยะเวลาที่ตองการจะใหเปน

แมเหล็กเทานั้น เชน แมเหล็กที่เกิดจากการเหนี่ยวนํากระแสไฟฟา แมเหล็กที่เกิดจากเหล็กท่ีถูก

เหนี่ยวนําดวยแทงแมเหล็ก เปนตน

23. ตอบ ขอ 3. ปจจยัทีม่ผีลตอการเกดิกระแสไฟฟาเหนีย่วนาํ ไดแก ความเขมของสนามแมเหล็ก ความเร็วในการเคลือ่นที่

ของขดลวดและแทงแมเหลก็ จาํนวนรอบของขดลวด และพืน้ทีข่องขดลวด ซึง่ปรมิาณการจายไฟไมใชปจจยั

ในการผลิตกระแสไฟฟา

24. ตอบ ขอ 3. อนุภาคที่มีประจุไฟฟาบวกหรือลบเมื่อเคลื่อนที่ตั้งฉากผานสนามแมเหล็กจะเกิดแรงแมเหล็กกระทําตอ

อนุภาค โดยแรงกระทําตออนุภาคบวกจะมีทิศตามกฎมือขวา และมีทิศตรงขามกับกฎมือขวาเมื่อเปน

อนุภาคลบ จากภาพ การเคล่ือนที่ที่เปนไปตามกฎมือขวา คือ ภาพที่ 3 ซึ่งอนุภาคบวกเคลื่อนที่จาก

ขวาไปซายตั้งฉากกับสนามแมเหล็กที่พุงออกจากระนาบของแผนกระดาษ โดยนิ้วทั้งสี่ของมือขวาแทน

ทศิทางการเคลือ่นทีข่องอนภุาคเมือ่กวาดนิว้ทัง้สี่ไปในทศิทางพุงออกของสนามแมเหลก็แลว นิว้โปงจะชีข้ึน้

ซึ่งแทนทิศของแรงแมเหล็กที่กระทํา ทําใหอนุภาคเคลื่อนที่โคงขึ้น

25. ตอบ ขอ 1. นิวเคลียสของอะตอมจะประกอบไปดวยโปรตอนที่มีประจุบวก และนิวตรอนที่เปนกลางทางไฟฟา จึงทําให

แรงไฟฟามีอิทธิพลนอยมากภายในนิวเคลียส และดวยมวลของโปรตอนและนิวตรอนที่มีนอยมาก ทําให

แรงดึงดูดระหวางมวลไมมีผล เพราะฉะน้ันแรงที่ทําหนาที่ยึดโปรตอนกับนิวตรอนไวภายในนิวเคลียสก็คือ

แรงนิวเคลียรเพียงอยางเดียว

26. ตอบ ขอ 3. โปรตอนเปนอนุภาคที่มีประจุทางไฟฟาเปนบวก ซึ่งอยูรวมกันกับนิวตรอนซึ่งเปนกลางทางไฟฟา โปรตอน

สามารถอยูรวมกันภายในนิวเคลียสได เนื่องจากมีแรงนิวเคลียรดึงดูดใหอนุภาคอยูรวมกันโดยไมผลักกัน

ทั้งที่มีประจุเดียวกัน อะตอมจึงคงความเปนอะตอมอยูได

27. ตอบ ขอ 4. คลื่นตามยาว คือ คลื่นที่อนุภาคของตัวกลางมีการสั่นในทิศทางเดียวกันหรือขนานกับทิศการเคลื่อนที่ของ

ตัวกลาง

28. ตอบ ขอ 2. ความถี่ คือ จํานวนลูกคลื่นที่เคลื่อนที่ผานจุดจุดหนึ่งในหนึ่งหนวยเวลา หรือจํานวนรอบของการสั่นตอเวลา

โดยแปรผกผันกับคาบ ซึ่งเปนชวงเวลาที่คลื่นเคลื่อนที่ผานไปได 1 ลูกคลื่น หรือสั่นครบ 1 รอบ

29. ตอบ ขอ 3. คลื่นที่มีอากาศเปนตัวกลางในการเคลื่อนที่ เรียกวา คลื่นกล เชน คลื่นผิวนํ้า คลื่นในเสนเชือก เปนตน

โดยสามารถแบงเปน 2 ประเภท ตามลักษณะการสั่นของอนุภาคตัวกลาง ไดแก คลื่นตามขวาง

ซึง่อนภุาคของตวักลางสัน่ในแนวตัง้ฉากกบัทศิการเคล่ือนทีข่องคล่ืน เชน คล่ืนในเสนเชอืก คล่ืนนํา้ เปนตน

และคลื่นตามยาว ซึ่งเปนคลื่นที่อนุภาคของตัวกลางสั่นในแนวขนานกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น เชน

คลื่นเสียง คลื่นจากการอัดสปริง เปนตน

30. ตอบ ขอ 4. จากสมบัติการหักเหของคลื่น อัตราเร็วของคลื่นที่เปลี่ยนแปลงไป จะทําใหความยาวของคลื่นเปลี่ยนแปลง

ตามไปดวย แตความถี่ของคลื่นไมมีการเปลี่ยนแปลง ไมวาคลื่นจะเคลื่อนที่ผานจากบริเวณนํ้าตื้นไปยัง

บริเวณนํ้าลึก หรือจากบริเวณนํ้าลึกไปยังบริเวณนํ้าตื้น

31. ตอบ ขอ 2. ความยาวคลื่นเปนระยะทางเมื่อคล่ืนเคล่ือนที่ครบ 1 รอบ ซึ่งวัดไดจากสันคล่ืนหนึ่งไปยังอีกสันคลื่นหนึ่ง

หรือทองคลื่นหนึ่งไปยังอีกทองคลื่นหนึ่ง

(23)

Page 24: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

32. ตอบ ขอ 1. คาบของคลื่น มีความสัมพันธเปนสวนกลับกันกับความถี่ของคลื่น จากที่กําหนดใหความถี่คลื่นมีคา

30 ครั้ง/1 นาที หรือ 0.5 Hz (30 ครั้ง/60 วินาที) สามารถหาคาบไดดังนี้

T = 1/f

= 1/0.5

= 2 วินาที

33. ตอบ ขอ 2. อัตราเร็วของคลื่นเสียงในอากาศขึ้นอยูกับอุณหภูมิของอากาศ โดยจะแปรผันตามอุณหภูมิของอากาศ

ซึ่งเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น เสียงจะเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วที่เพิ่มขึ้น

34. ตอบ ขอ 4. การสอดแทรกทําใหเกิดการเสริมและหักลางของคลื่นเสียงเปนชวงๆ จึงเกิดเสียงดังและเบาสลับกัน

เรียกวา บีตสของเสียง

35. ตอบ ขอ 2. เมื่อกดสายกีตารใหสั้นลง ความยาวคลื่นจะสั้นลง ทําใหความถี่เพิ่มขึ้น จึงเกิดเสียงแหลมสูง

36. ตอบ ขอ 3. การสะทอนของคลื่นถูกนําไปใชประโยชนหลายดาน ซึ่งดานธรณีวิทยาใชในการตรวจสอบชั้นหิน โดย

ปลอยคลื่นไปเพื่อรับสัญญาณที่สะทอนกลับมา ซึ่งสามารถทําใหทราบลักษณะของชั้นหินตางๆ ได

37. ตอบ ขอ 2. องคการอนามัยโลก กําหนดระดับความเขมเสียงที่ปลอดภัยตอหูและจิตใจของผูฟงไวไมเกิน 85 เดซิเบล

และไดยินติดตอกันไมเกิน 8 ชั่วโมง ซึ่งถาระดับความเขมเสียงเกินกวาที่กําหนด จะเปนเสียงที่กอใหเกิด

อันตรายตอหูและจิตใจของผูฟงได จึงถือวาเปนมลภาวะทางเสียง

38. ตอบ ขอ 2. เรียงลําดับคลื่นเหล็กไฟฟาตามความยาวคลื่นจากมากไปนอยได ดังนี้

คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสง อัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ รังสีแกมมา

จากตัวเลือกทั้ง 4 คลื่นที่มีความยาวคลื่นสั้นที่สุด คือ คลื่นแสง

39. ตอบ ขอ 4. รังสีอินฟราเรดหรือรังสีความรอน เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่นมากกวาชวงที่ตามองเห็น

นิยมใชในระบบควบคุมเครื่องใชไฟฟา เชน โทรทัศน เครื่องเลนดีวีดี เปนตน

40. ตอบ ขอ 3. คลื่นแมเหล็กไฟฟามีความสําคัญมากในปจจุบันทั้งดานการสื่อสารและเทคโนโลยีดานตางๆ อีกมากมาย

ดวยจุดเดนที่สามารถใชประโยชนไดแตกตางกันตามยานความถี่และสามารถทํางานไดในระบบสุญญากาศ

41. ตอบ ขอ 4. รังสีแอลฟาและรังสีบีตามีประจุตางกัน ทําใหรังสีทั้งสองเบนในสนามแมเหล็กดวยทิศทางที่ตรงขามกัน

และจะเบนเปนแนวโคงดวยรัศมีความโคงที่แตกตางกัน เนื่องมาจากมวลของอนุภาคทั้งสองไมเทากัน

42. ตอบ ขอ 3. ตนทุนที่เกิดจากมาตรการควบคุมดานความปลอดภัยของการผลิตไฟฟาดวยพลังงานนิวเคลียรนั้นสูงกวา

การผลิตไฟฟาดวยแหลงพลังงานอ่ืน เพราะอันตรายที่จะเกิดขึ้นสงผลกระทบตอส่ิงมีชีวิตทุกชนิดเปน

อยางมาก จึงมีการลงทุนในเรื่องมาตรการการควบคุมความปลอดภัยสูงที่สุด

43. ตอบ ขอ 3. พลังงานนิวเคลียรเปนพลังงานที่ไมตองอาศัยแหลงพลังงานธรรมชาติ ทั้งยังสามารถใหพลังงานไดอยาง

มหาศาล ซึ่งปจจุบันมีโรงไฟฟาพลังงานนิวเคลียรซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟาทดแทนการใชเชื้อเพลิง

ในการผลิตไดเปนอยางดี แตทั้งนี้ตองอยูในการควบคุมดูแลที่รัดกุมและปลอดภัย

44. ตอบ ขอ 2. เมื่อรังสีเคลื่อนที่ผานอากาศจะมีการถายโอนพลังงาน ซึ่งทําใหอากาศเกิดการแตกตัวเปนไอออน โดยรังสี

แอลฟาทําใหอากาศแตกตัวไดดีที่สุด จึงสูญเสียพลังงานไดรวดเร็วกวารังสีบีตา และรังสีแกมมา ตามลําดับ

(24)

Page 25: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

45. ตอบ ขอ 2. รังสีเนื่องจากสารกัมมันตรังสี ไดแก แอลฟา บีตา และแกมมา มีคุณสมบัติการทะลุทะลวงและสมบัติทาง

ไฟฟาทีแ่ตกตางกนั โดยแอลฟาจะมีอํานาจการทะลุทะลวงตํา่สุด คอื ไมสามารถเคล่ือนทีผ่านแผนกระดาษได

และแอลฟายังมีประจุทางไฟฟาเปนบวก ในขณะที่บีตามีประจุทางไฟฟาเปนลบเชนเดียวกับอิเล็กตรอน

สวนแกมมาเปนกลางทางไฟฟา ดวยสมบัติทางไฟฟาน้ีเม่ือแอลฟาและบีตาเคล่ือนที่ผานสนามไฟฟาหรือ

สนามแมเหล็ก แนวการเคลื่อนที่จะเบี่ยงเบนไป สวนการเคลื่อนที่ของแกมมานั้นจะไมเกิดการเบี่ยงเบน

46. ตอบ ขอ 2. จากการคนพบของเบ็กเคอเรลทราบวารอยดํานั้นไมไดเกิดจากรังสีเอกซ เนื่องจากรังสีนั้นสามารถทําให

อากาศแตกตัวไดดีกวารังสีเอกซ และเม่ือทําการทดสอบในสนามแมเหล็กพบการเบี่ยงเบน จึงทราบไดวา

รังสีดังกลาวมีมวลและประจุ

47. ตอบ ขอ 4. การคํานวณอายุของสิ่งตางๆ ทําไดโดยอาศัยสมบัติการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี โดยวัดการสลายตัวที่

เกิดขึ้นเพื่อหาปริมาณสารที่หลงเหลือเทียบกับครึ่งชีวิตของสารนั้นๆ

48. ตอบ ขอ 2. ในการรักษามะเร็งตอมไทรอยดจะใชไอโซโทปของไอโอดีน -131 สวนไอโซโทปของไอโอดีน -132 ถูกใช

เพื่อตรวจสอบการทํางานของตอมไทรอยด

49. ตอบ ขอ 4. จากตัวเลือกตางๆ ฮีเลียม คารบอน และไอโอดีน เปนไอโซโทปที่มีความเสถียรแลว ขณะที่โคบอลตที่มี

เลขมวล 60 ไมมีความเสถียร จึงเกิดการสลายตัวแลวไดกัมมันตภาพรังสี

50. ตอบ ขอ 1. สารกัมมันตรังสีมีทั้งประโยชนและโทษควบคูกัน ซึ่งประโยชนของสารกัมมันตรังสีมีอยูหลายดาน เชน

ดานการแพทย การเกษตร การถนอมอาหาร อุตสาหกรรม เปนตน

(25)

Page 26: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

1. แนวตอบ จากแถบกระดาษ สังเกตไดวาวัตถุมีความเร็วเพิ่มขึ้นแบบคงที่ ความเรงจึงมีคาคงที่และมีคาเปนบวก

ซึ่งสามารถเขียนกราฟได ดังนี้

2. แนวตอบ ความถี่ 40 เฮิรต หมายถึง ใบพัดสามารถหมุนได 40 รอบ ในเวลา 1 วินาที ดังนั้นในเวลา 1 นาที หรือ

60 วินาที ใบพัดจะสามารถหมุนได 2,400 รอบ และคาบการหมุนซึ่งเปนสวนกลับของความถี่ หาไดจาก

T = 1 f = 1

40 = 0.025 วินาที

ดังนั้น ใบพัดจะหมุนได 2,400 รอบ ดวยคาบ 0.025 วินาที

3. แนวตอบ การทํางานของมอเตอรอาศัยหลักการของแรงอันเนื่องมาจากสนามแมเหล็กที่กระทําตอประจุที่ไหลผาน

ลวดตัวนํา ซ่ึงสามารถพิจารณาไดจากกฎมือขวา โดยทิศทางการไหลของกระแสไฟฟาเปรียบไดกับการ

เคลื่อนที่ของประจุบวก (ในความเปนจริงคือประจุลบเคลื่อนที่ภายในลวดตัวนํา) ที่ตัดผานสนามแมเหล็ก

จึงเกิดแรงกระทําตอประจุภายในลวดตัวนํา ทําใหขดลวดหมุน ซึ่งสงผลใหมอเตอรทํางาน

4. แนวตอบ สนามแมเหล็กจะมีความหนาแนนมากบริเวณขั้วแมเหล็ก และมีความหนาแนนนอยที่สุดบริเวณกึ่งกลาง

เนื่องจากไมมีอํานาจแมเหล็กหรือมีนอย และสนามแมเหล็กจะมีทิศพุงออกจากปลายขั้วแมเหล็กเหนือไป

ยังขั้วแมเหล็กใต ดังรูป

5. แนวตอบ จากการสลายตัวครึ่งชีวิตของกัมมันตรังสี

สลายตัวครั้งที่ 1 เวลา T1 2

สารคงเหลือ 200 มิลลิกรัม

สลายตัวครั้งที่ 2 เวลา 2 T1 2

สารคงเหลือ 100 มิลลิกรัม

สลายตัวครั้งที่ 3 เวลา 3 T1 2

สารคงเหลือ 50 มิลลิกรัม

ดังนั้น ใชเวลาไปทั้งสิ้น 3 T1 2

หรือ 3 × 25 นาที = 75 นาที ไอโอดีน -128 จึงจะลดลงเหลือ 50 มิลลิกรัม

ตอนที่ 2

a

0 t

N S

(26)

Page 27: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

1. ตอบ ขอ 2. การตกอยางอิสระเปนการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งที่วัตถุเคลื่อนที่ลงดวยความเร็วตนเปนศูนย และมีความเรง

g ซึ่งมีคาประมาณ 9.8 หรือ 10 m/s2 กลาวคือ วัตถุจะเคลื่อนที่ดวยความเร็วเพิ่มขึ้นวินาทีละ 10 m/s

อันเนื่องจากถูกแรงโนมถวงกระทําตลอดการเคลื่อนที่

2. ตอบ ขอ 2. เมื่อปาวัตถุขึ้นไปในแนวดิ่ง แรงโนมถวงของโลกจะกระทําใหวัตถุเคลื่อนที่ดวยความเรงคงตัว คือ ความเรง

เนื่องจากแรงโนมถวงของโลก ซึ่งมีคาประมาณ 9.8 m/s2 ดังนั้นวัตถุที่ถูกปาขึ้นไปจะคอยๆ ลดความเร็วลง

อยางคงที่ คือ ลดลง 9.8 m/s2 ทุก 1 วินาที

3. ตอบ ขอ 1. การกระจัดทั้งหมด s = 20 - 2 = 18 เมตร

เวลาที่ใชทั้งหมด t = 5 นาที

ดังนั้น ความเร็วเฉลี่ย v = s t

= 18 15

= 3.6 m/s

4. ตอบ ขอ 2. ความเร็วตน u = 10 เมตร/วินาที ความเรง a = 5 เมตร/วินาที2

เวลา t = 20 นาที ความเร็วปลาย v = ?

แทนคาลงในสูตรหาความเรง

จากสูตร a = v - u t

v = u + at

= 10 + (5 × 20)

= 110 เมตร/วินาที

5. ตอบ ขอ 4. ความเร็วที่แสดงบนมาตรวัดความเร็วของรถยนตจะบอกความเร็วขณะหนึ่งที่เวลาตางๆ ตามการเคลื่อนที่

ของรถ ณ ขณะนั้น

6. ตอบ ขอ 4. วัตถุที่เคลื่อนที่ในแนวดิ่งจะเคลื่อนที่ดวยความเรง g หากตองการใหวัตถุเคลื่อนที่ขึ้นไดสูงมากที่สุดสามารถ

ทําโดยการเพิ่มความเร็วตนในการเคลื่อนที่ เพราะเมื่อเคลื่อนที่ขึ้นไปเรื่อยวัตถุจะมีความเร็วลดลงจนเปน

ศูนย แลวจึงตกกลับลงมา

7. ตอบ ขอ 3. การเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง วัตถุจะเคลื่อนที่ลงอยางอิสระดวยความเรง g เสมอ ไมวาวัตถุนั้นจะมีมวลหรือขนาด

แตกตางกันอยางไร ทั้งนี้ตองไมมีแรงภายนอกอื่นๆ ที่นอกเหนือจากแรงโนมถวงมากระทํา ในการทดลอง

จึงตองระมัดระวังแรงตานในอากาศที่จะมีผลตอการเคลื่อนที่

8. ตอบ ขอ 4. บนพื้นผิวของดวงจันทรจะมีคาแรงโนมถวงที่นอยกวาบนโลก ความเรงของวัตถุที่ตกอยางอิสระในแนวดิ่ง

จึงมีคานอยกวาคา g เมื่อเทียบกับโลก

ตอนที่ 1

ชุดที ่2เฉลยแบบทดสอบ

(27)

Page 28: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

9. ตอบ ขอ 3. การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลเปนการเคลื่อนที่แบบ 2 มิติ ซึ่งมีปริมาณการเคลื่อนที่ทั้งในแนวระดับ

(แนวราบ) และแนวดิ่ง โดยในแนวดิ่งจะมีแรงโนมถวงของโลกกระทําตอวัตถุ ทําใหวัตถุเคลื่อนที่ดวย

ความเรง g ตลอดการเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง ขณะที่ในแนวราบไมมีแรงภายนอกอ่ืนๆ มากระทํา ทําใหวัตถุ

มีความเรงเปนศูนยหรือความเร็วมีคาคงที่ ทั้งนี้ตลอดการเคลื่อนที่นั้น การกระจัดของวัตถุทั้งแนวระดับและ

แนวดิ่งจะเปลี่ยนแปลงตามเวลาเสมอ

10. ตอบ ขอ 1. การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงายเปนการเคลื่อนที่แบบแกวงกวัดซํ้ารอยเดิม เชน การแกวงของลูกตุม

การแกวงของชิงชา เปนตน

11. ตอบ ขอ 1. การเคลือ่นทีแ่บบฮารมอนกิอยางงาย วตัถจุะสัน่ดวยการกระจดัเลก็ๆ สมํา่เสมอ ขอที่ไมใชการเคลือ่นท่ีแบบ

ฮารมอนิกอยางงาย คือ ขอ 1. ซึ่งเปนการเคลื่อนที่แบบวงกลม

12. ตอบ ขอ 3. การเคลื่อนที่ของลูกตุมนาฬกาเปนการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย คือ เคลื่อนที่กลับไปกลับมาอยาง

สมํ่าเสมอดวยคาบและความถี่ที่คงที่ ซึ่งการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงายจะเกิดขึ้นเมื่อมีการแกวงกวัด

ดวยการกระจัดเล็กๆ

13. ตอบ ขอ 4. ลกูธนทูีเ่คลือ่นทีอ่อกไปจะโคงลงแบบโพรเจกไทลเมือ่เคลือ่นที่ในระยะไกล เนือ่งจากมแีรงโนมถวงกระทําตอ

ลูกธนูตลอดการเคลื่อนที่ การยิงธนูจึงอาจเล็งใหตําแหนงที่ยิงเหนือเปาเล็กนอย ซึ่งเมื่อลูกธนูโคงลงก็จะตก

ที่ตําแหนงเปาพอดี

14. ตอบ ขอ 2. สนามโนมถวงของโลกที่ระดับความสูงตางๆ จากผิวโลก จะมีคาแตกตางกัน ซึ่งยิ่งความสูงจากผิวโลกมาก

สนามโนมถวงก็จะมีคานอยลง

15. ตอบ ขอ 1. จากสมการ w = mg ตองการหาสนามโนมถวง (g) โดยมวลของวัตถุจะมีคาคงที่ทุกสภาพโนมถวง

g = w m = 16 10 = 1.6 m/s2

16. ตอบ ขอ 3. แรงที่กระทําใหใบไมรวงสูพื้น คือ แรงโนมถวงของโลก ซึ่งเปนแรงเดียวกับที่ทําใหดวงจันทรหรือดาวเทียม

โคจรอยูรอบโลก เนื่องจากมีแรงดึงดูดระหวางกัน ขณะที่แรงจากแผนแมเหล็กเปนแรงแมเหล็ก แรงภายใน

อะตอมทีก่ระทาํตออเิลก็ตรอนเปนแรงไฟฟาและแรงนวิเคลียร สวนแรงเนือ่งจากสนามแมเหล็กทีก่ระทาํตอ

ขดลวดเปนแรงแมเหล็ก

17. ตอบ ขอ 4. เสนแรงไฟฟาแสดงถึงสนามไฟฟาจากประจุไฟฟา โดยจะพุงออกจากขั้วไฟฟาบวกไปขั้วไฟฟาลบเสมอ

ซึ่งชวยบอกทิศทางของสนามไฟฟา สําหรับประจุที่เคลื่อนที่ภายในลวดตัวนํา จะมีสนามไฟฟาออกมาจาก

ลวดตัวนําในทิศตั้งฉากกับผิวของตัวนํา

18. ตอบ ขอ 4. ในสนามแมเหล็กทิศพุงเขา เมื่อพิจารณาอนุภาค Q และ R ดวยกฎมือขวา พบวาอนุภาค Q เปนประจุบวก

และอนุภาค R เปนประจุลบ เมื่อใหอนุภาคทั้งสองอยูในสนามไฟฟาจะเคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันขาม

โดยอนุภาคที่มีประจุบวก (Q) จะเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันกับเสนสนามไฟฟา

19. ตอบ ขอ 1. กระแสไฟฟาเหนี่ยวนําเกิดขึ้นเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของสนามไฟฟาผานขดลวดตัวนํา ทําใหเกิด

กระแสไฟฟาขึ้นในขดลวดตัวนํา จึงนําหลักการดังกลาวมาใชสรางเคร่ืองกําเนิดไฟฟาจากพลังงานกล

ในการหมุน ที่เรียกวา ไดนาโม

(28)

Page 29: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

20. ตอบ ขอ 3. หลอดรังสีแคโทดเปนการสรางลําอิเล็กตรอนหรือรังสีแคโทดภายในหลอดแกว ซึ่งหากภายในหลอดแกวมี

อากาศอยูมาก จะเกิดการชนกันของอนุภาคอิเล็กตรอนในอากาศ ทําใหไมสามารถวิเคราะหลําอิเล็กตรอน

ไดอยางถูกตอง

21. ตอบ ขอ 1. สนามแมเหล็กมีอํานาจดึงดูดสารแมเหล็กและสงผลใหเกิดแรงแมเหล็กตอประจุไฟฟาที่กําลังเคลื่อนที่

แตหากเปนประจุไฟฟาที่อยูนิ่งจะไมเกิดแรงกระทําใดๆ ตอประจุ

22. ตอบ ขอ 1. เม่ือกระแสไฟฟาผานลวดตวันาํในทศิทาง I หากพจิารณาดวยกฎมอืขวาสาํหรบัประจบุวกผานสนามแมเหลก็

จาก N ไป S แรงที่กระทําจะมีทิศชี้ลง

23. ตอบ ขอ 4. เสนแรงแมเหล็กจะพุงจากขั้วเหนือไปขั้วใตเสมอ จากภาพในโจทยจะเห็นวาเสนแรงแมเหล็กจะพุงจาก

B ไป A และ C ไป D ทําใหทราบไดวา B และ C เปนขั้วเหนือ สวน A และ D เปนขั้วใต

24. ตอบ ขอ 4. แมเหล็กในมอเตอรจะทําใหเกิดสนามแมเหล็กขึ้น เมื่อจายกระแสไฟฟาเขาไปผานขดลวดตัวนํา ซึ่งเมื่อ

ขดลวดตัวนําที่มีกระแสไฟฟาอยูในสนามแมเหล็ก จะเกิดแรงแมเหล็กที่ทําใหขดลวดตัวนําหมุน

25. ตอบ ขอ 3. แมเหล็กมีสมบัติความเปนคูขั้ว เมื่อแบงแทงแมเหล็กออกเปนสองสวน หนวยที่เรียกวา ไดโพล ซึ่งแสดง

ความเปนขั้วจะมีการจัดเรียงตัว ทําใหเกิดขั้วแมเหล็กเปนสองขั้วเสมอ ดังภาพ

26. ตอบ ขอ 1. แรงนิวเคลียรตองเปนแรงดูดที่มีคามาก กวาแรงผลักทางไฟฟา จึงทําใหนิวคลีออนรวมกันอยูได และเปน

แรงที่เกิดภายในระยะทางที่สั้นมาก คือ ระหวางนิวคลีออนดวยกัน ซึ่งมีระยะทางประมาณ 10 - 15 เมตร

หรือนอยกวา

27. ตอบ ขอ 4. แรงนิวเคลียรมีความสําคัญในการสรางพลังงานนิวเคลียร ซึ่งถือเปนแหลงพลังงานสําคัญที่มนุษยสามารถ

นํามาใชประโยชนได เชน พลังงานไฟฟา เปนตน แตทั้งนี้หากนําพลังงานไปใชในทางที่ไมสรางสรรคก็อาจ

เกิดโทษได

28. ตอบ ขอ 1. การหักเหเปนการที่คลื่นเคลื่อนที่ผานตัวกลาง ทําใหคลื่นเปลี่ยนความเร็วและความยาวคลื่น การสะทอน

เปนการที่คลื่นกระทบพื้นผิวแลวเกิดการเปลี่ยนทิศทางกลับเขาสูทิศทางเดิม การเลี้ยวเบนเกิดขึ้นเมื่อคลื่น

เคลื่อนที่ออมสิ่งกีดขวาง และการแทรกสอดเปนการรวมกันของคลื่นสองขบวนขึ้นไป

29. ตอบ ขอ 2. เมื่อเรียงลําดับคลื่นแมเหล็กไฟฟาจากความยาวคลื่นมากไปนอยไดดังนี้ คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด

แสงอัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ และรังสีแกมมา

30. ตอบ ขอ 1. คลืน่เปนการแผของพลงังาน ทีอ่าจมตีวักลางหรอืไมก็ได ซึง่คลืน่ทีเ่คลือ่นทีผ่านตวักลางจะเรยีกวา คลืน่กล

และคลื่นที่เคลื่อนที่โดยไมอาศัยตัวกลาง เรียกวา คลื่นแมเหล็กไฟฟา

31. ตอบ ขอ 1. การสังเกตปลาในนํ้า คลื่นแสงที่สะทอนเขาสูตาเราจะเคล่ือนที่ผานตัวกลางที่ตางชนิดกัน ทําใหคลื่นเกิด

การหักเห เราจึงมองเห็นปลามีขนาดตางไปจากปกติ

N S N S N S

(29)

Page 30: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

32. ตอบ ขอ 2. ระยะทาง (s) = 20 เมตร ความยาวคลื่น (λ) = 2 เมตร เวลา (t) = 10 วินาที

หาความถี่จากสูตร v = fλ

จะได f = vλ

หาอัตราเร็วคลื่นจาก v = st

= 2010

= 2 m/s

หาความถี่ f = vλ

= 22

= 1 Hz

ดังนั้น ลูกบอลจะสั่นขึ้นลงดวยความถี่ 1 Hz

33. ตอบ ขอ 3. ความเขมเสียงเปนระดับพลังงานเสียงที่ตกกระทบตั้งฉากตอพื้นที่ในหนึ่งหนวยเวลา ซึ่งใชบอกความดังเบา

ของเสียงที่ไดยิน โดยความเขมเสียงที่มนุษยไดยินจะอยูในชวง 1 - 10-12 วัตตตอตารางเมตร

34. ตอบ ขอ 3. เวลา 0.4 วินาที หมายถึง เวลาที่เสียงเดินทางไปถึงกนทะเลแลวสะทอนกลับขึ้นมายังเรือ ดังนั้นเวลา

0.4 วินาที จะไดเปนระยะทาง 2 เทาของกนทะเล

จาก s = vt

ถาเวลา = 0.4 วินาที จะไดระยะทางที่เสียงเดินทาง = 2s เมตร

ดังนั้น 2s = 1500 m/s × 0.4 s

s = 600 m2 = 300 m

ดังนั้น ทะเลบริเวณนี้ลึก 300 เมตร

35. ตอบ ขอ 2. เครื่องโซนารเปนอุปกรณหาปลาในทะเล โดยจะปลอยคล่ืนเสียงลงไปในทะเลเพื่อรับคล่ืนที่สะทอนกลับมา

ซึ่งจะบอกตําแหนงหรือจํานวนของปลาใตนํ้าได

36. ตอบ ขอ 3. คลืน่สามารถเคลือ่นที่ไดเมือ่ผานตวักลางทีม่คีวามหนาแนนมากขึน้ ดงันัน้เมือ่คล่ืนเสียงเคล่ือนทีผ่านพืน้ดนิ

จะสามารถฟงเสียงได เนื่องจากคลื่นเสียงเคลื่อนที่มาไดเร็วกวาตัวกลางที่เปนอากาศ

37. ตอบ ขอ 2. ความเขมเสยีงหรอืระดบัความดงัของเสยีงทีม่ากเกนิไปจะสงผลตอการไดยนิของมนษุย ซึง่ทาํใหประสทิธภิาพ

การไดยินลดลงได จึงควรควบคุม ปองกัน และแกไข

38. ตอบ ขอ 4. โดยทั่วไปคลื่นวิทยุซึ่งมีความถี่ตํ่าจะสะทอนกับไอออนในชั้นไอโอโนสเฟยร จึงทําใหไมสามารถทะลุผาน

ชั้นบรรยากาศของโลกออกไปได ในการสงสัญญาณระยะไกลผานดาวเทียมจึงใชคล่ืนไมโครเวฟที่สามารถ

ทะลุผานชั้นบรรยากาศตางๆ โดยไมสะทอนกลับ เพื่อสงสัญญาณไปยังดาวเทียมได

39. ตอบ ขอ 2. ความยาวคลืน่แปรผกผนักนักบัความถีข่องคลืน่ กลาวคอื ยิง่มคีาความถีม่าก ความยาวคลืน่กจ็ะยิง่มคีานอย

เมื่อเรียงลําดับคลื่นที่มีความยาวคลื่นจากมากไปนอยได ดังนี้ คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด

แสง อัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ และรังสีแกมมา

(30)

Page 31: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

40. ตอบ ขอ 3. คลื่นที่สามารถทะลุแผนกระดาษไดตองเปนคล่ืนแมเหล็กไฟฟาที่มีพลังงานสูง ไดแก รังสีแกมมา และ

รังสีเอกซ ซึ่งมีความถี่สูง และความยาวคลื่นสั้น

41. ตอบ ขอ 4. ปฏิกิริยาฟชชันเปนปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นตอเนื่องเมื่อนิวเคลียสถูกยิงดวยนิวตรอน ผลของการถูกแบงจะมี

นิวตรอนหลุดออกมาจากธาตุใหมไปกระทบธาตุอื่นๆ ปฏิกิริยาจึงเกิดอยางตอเนื่อง

42. ตอบ ขอ 2. ปฏิกิริยานิวเคลียรที่สามารถเกิดขึ้นบนโลกและควบคุมไดในปจจุบัน คือ ปฏิกิริยานิวเคลียรฟชชัน หรือ

ปฏิกิริยาลูกโซ ซึ่งถูกนํามาใชในการสรางพลังงานไฟฟาในโรงงานไฟฟานิวเคลียร

43. ตอบ ขอ 1. ในการผลิตพลังงานนิวเคลียรของเครื่องปฏิกรณ อาศัยหลักการของปฏิกิริยาฟชชัน โดยการปลอยอนุภาค

นิวตรอนออกจากตนกําเนิดนิวตรอน ซึ่งอนุภาคเหลานี้จะวิ่งไปชนกับอะตอมของเชื้อเพลิงนิวเคลียร

(ปกติจะเปนยูเรเนียมที่มีความเขมขนสูง) เมื่อนิวตรอนชนกับอะตอมของยูเรเนียมจะทําใหอะตอม

เหลานั้นแตกตัวออกจากกัน เกิดการปลดปลอยอนุภาคนิวตรอนออกมาอีก และนิวตรอนที่เกิดขึ้นก็จะ

วิ่งไปชนกับอะตอมบริเวณใกลเคียง ทําใหเกิดการแตกตัวตอเนื่องกันไปเปนปฏิกิริยาลูกโซ ซึ่งจากปฏิกิริยา

ดังกลาว ทําใหเกิดพลังงานนิวเคลียรขึ้นมา

44. ตอบ ขอ 3. รังสีแกมมาเปนอนุภาคที่ไมมีประจุ คือ มีความเปนกลางทางไฟฟา จึงไมเบี่ยงเบนเมื่อเคลื่อนที่ผาน

สนามไฟฟาหรือสนามแมเหล็ก

45. ตอบ ขอ 4. เมื่อธาตุกัมมันตรังสีชนิดหนึ่งเกิดการสลายตัว จะปลดปลอยรังสีตางๆ ไดแก แอลฟา (42He) บีตา (

0-1e)

และแกมมา หากธาตุที่เกิดขึ้นหลังการสลายตัวมีเลขมวลและเลขอะตอมลดลง รังสีที่ปลดปลอยออกมานั้น

จะตองมีเลขมวลและเลขอะตอมที่ทําใหสมการฝงขวาเทากับฝงซาย (กอนสลายตัวเทากับหลังสลายตัว)

46. ตอบ ขอ 3. ธาตุกัมมันตรังสีเปนธาตุที่แผรังสีออกมาไดเอง เนื่องจากนิวเคลียสของธาตุดังกลาวไมเสถียร จึงเกิด

การสลายตัวเพ่ือปลดปลอยพลังงานออกมาในรูปของรังสี ซึ่งการสลายตัวจะเกิดขึ้นตลอดเวลาจนกวา

ธาตุกัมมันตรังสีจะเปลี่ยนแปลงเปนธาตุที่มีความเสถียร

47. ตอบ ขอ 2. จากสมการการสลายตัว 23892U

23490Th + X นั้น X จะตองมีเลขมวลและเลขอะตอมที่เมื่อรวมกับ

ธาตุใหมที่ได คือ 23490Th แลวทําใหผลรวมเทากันกับกอนเกิดการสลายตัว นั่นคือ X ตองมีเลขมวลเปน 4

และเลขอะตอมเปน 2 (จากเลขมวล 238 = 234 + 4 และ 92 = 90 + 2) ซึ่งอนุภาคที่มีเลขมวลเปน 4

และเลขอะตอมเปน 2 คือ นิวเคลียสของฮีเลียม หรืออนุภาคแอลฟา (42He)

48. ตอบ ขอ 4. แผนฟลมที่ใชในการวัดปริมาณรังสี เปนแผนฟลมลักษณะเดียวกับฟลมถายภาพ ซึ่งจะทําปฏิกิริยากับ

แสงหรืออนุภาคที่มีพลังงาน โดยอุปกรณจะใชแผนฟลมบรรจุไวในกลองที่หอหุมไวไมใหโดนแสง เพื่อ

หลีกเลี่ยงปฏิกิริยาที่จะเกิดกับแสง และใหไดรับผลจากกัมมันตภาพรังสีเทานั้น

49. ตอบ ขอ 4. จากสัญลักษณนิวเคลียร เลขดานลางจะระบุถึงเลขอะตอม ซึ่งหมายถึงจํานวนโปรตอนของธาตุนั้น

สวนเลขดานบนจะระบุเลขมวล ซึ่งเปนผลรวมระหวางโปรตอนและนิวตรอน จึงทําใหทราบไดวา 12753 I

มีโปรตอน 53 ตัว และนิวตรอน 74 ตัว (127 - 53)

50. ตอบ ขอ 2. สารกัมมันตรังสีจะมีการสลายตัวตามคาครึ่งชีวิต คือ ลดลงครึ่งหนึ่งจากที่มีอยูเมื่อเวลาผานไปเทากับคา

ครึ่งชีวิต ซึ่งลักษณะการสลายตัวจะลดลงแบบไฮเพอรโบลา

(31)

Page 32: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอบ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

1. แนวตอบ วตัถทุีเ่คลือ่นที่ในแนวดิง่โดยไมมแีรงอืน่ๆ มากระทาํ จะเคลือ่นทีด่วยความเรงเนือ่งจากแรงโนมถวงของโลก

เทากันเสมอ ซึ่งความเรงจะไมขึ้นกับมวลหรือความเร็วตนของวัตถุ วัตถุทั้งสองที่เคลื่อนที่ดวยความเร็วตน

ตางกันจะมีความเรงเทากัน คือ -g ขณะที่เคลื่อนที่ขึ้น และมีความเรงเปน g ขณะที่เคลื่อนที่ลง

2. แนวตอบ เข็มทิศเปนอุปกรณในการหาทิศทางที่อาศัยหลักการทํางานของแมเหล็กอันเนื่องมาจากสนามแมเหล็ก

โดยตัวเข็มทิศจะเปนแมเหล็กที่มีนํ้าหนักเบา สามารถหมุนไดอยางอิสระในแนวราบ และเนื่องจากโลก-

ทําหนาที่คลายแมเหล็กขนาดใหญที่มีขั้วแมเหล็กใตอยูที่ขั้วโลกเหนือ และขั้วแมเหล็กเหนือที่อยูท่ีขั้วโลก

ใต สนามแมเหล็กจะพุงออกจากทิศใตไปยังทิศเหนือและเหนี่ยวนําใหเข็มทิศวางตัวในแนวเหนือใต ดังภาพ

3. แนวตอบ

4. แนวตอบ กราฟแสดงความสัมพันธ ระหวางการกระจัดในแนว y ของจุด P กับเวลา

5. แนวตอบ จากสัญลักษณนิวเคลียรของเรเดียม 22688Ra และ เรดอน

22286Rn เขียนสมการการสลายตัวได ดังนี้

22688Ra 222

86Rn + 42He + ϒ

นั่นคือ นอกจากจะมีการปลดปลอยแกมมาแลว ยังมีการปลดปลอยรังสีแอลฟาออกมาดวย 1 อนุภาค

ตอนที่ 2

y

0 t

N

S

S

N

S

N

ขั้วเหน�อภูมิศาสตร

ขั้วเหน�อแมเหล็ก ขั้วใต

ภูมิศาสตร

ขั้วใตแมเหล็ก

12 ํ

12 ํ

(32)

Page 33: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอบ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

1. ตอบ ขอ 4. การกระจัดเปนปริมาณที่แสดงถึงตําแหนงที่เปลี่ยนไปของวัตถุ ซึ่งจะระบุทั้งขนาดและทิศทางของตําแหนง

โดยทิศทางการเคลื่อนที่จะลากจากจุดเริ่มตนไปยังจุดสิ้นสุดของการเคลื่อนที่

2. ตอบ ขอ 3. การกระจัด คือ ระยะที่วัดจากจุดเริ่มตนไปยังจุดสิ้นสุดของการเคลื่อนที่ จากโจทยมีการกระจัด ดังนี้

1. มีการกระจัด เทากับ 3 × 4 = 12 เมตร

2. มีการกระจัด เทากับ 4 × 3 = 12 เมตร

3. มีการกระจัด เทากับ 10 - 2 = 8 เมตร

3. ตอบ ขอ 1. รถยนตแลนไปไดระยะทาง s = 1 กิโลเมตร หรือ 1,000 เมตร

จากสมการ v = st หรือ t = s

v

จะได t = 1,000 เมตร20 เมตรตอวินาที

= 50 วินาที

ดังนั้น เมื่อรถยนตคันนี้แลนไปได 1 กิโลเมตร จะใชเวลา 50 วินาที

4. ตอบ ขอ 1. เมื่อกอนหินกอนหนึ่งจมอยูที่กนบอจะไมมีการเปล่ียนแปลงความเร็ว ความเรงจึงมีคาเปนศูนย ซึ่งการ

เคลื่อนที่อื่นๆ มีการเปลี่ยนแปลงของความเร็วตลอดเวลา จึงเกิดความเรง

5. ตอบ ขอ 3. คํานวณหาอัตราเร็วที่วินาทีที่ 10 จาก v = u + at

= 0 + (3 m/s2)(10 s) = 30 m/s

6. ตอบ ขอ 3. ความเรง เปนอัตราสวนของความเร็วที่เปลี่ยนแปลงไปในหนึ่งหนวยเวลา โดยวัตถุที่มีการเปลี่ยนแปลงของ

ความเร็วยอมเกิดความเรงขึ้น เมื่อมานะพยายามหยุดรถที่กําลังแลน กลาวคือ มีการลดความเร็วลงจน

หยุดนิ่งหรือความเร็วเปนศูนย การเคลื่อนที่ดังกลาวจึงเกิดความเรง

7. ตอบ ขอ 2. จากกราฟ การเคลื่อนที่ดังกลาวมีความเร็วลดลงอยางสมํ่าเสมอ แสดงวาวัตถุเคลื่อนที่ดวยความเรงเปนลบ

อยางคงที่ สามารถหาความเรงไดจากความเร็วที่เปลี่ยนไป ดังสมการ โดยกําหนดจุดที่ 1 ที่เวลา 0 วินาที

และจุดที่ 2 ที่เวลา 5 วินาที

a = v2 - v

1

t2 - t

1

= 5 m/s - 20 m/s5 - 0

= -155

m/s2

= -3 m/s2

8. ตอบ ขอ 1. วัตถุที่ตกอยางอิสระจะเคลื่อนที่ภายใตความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลกดวยความเรงคงตัว จึงได

กราฟเปนเสนตรงขนานกับแกน X

ชุดที ่3เฉลยแบบทดสอบ

ตอนที่ 1

(33)

Page 34: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

9. ตอบ ขอ 2. การเคลื่อนที่ของลูกตุม คาบของการแกวงจะขึ้นอยูกับความยาวเชือกและคาความเรงโนมถวงของโลก

แตจะไมเกี่ยวของกับมวลของวัตถุ

10. ตอบ ขอ 3. การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลเปนการเคล่ือนที่ภายใตแรงโนมถวง ซึ่งในแนวราบจะมีความเรงเปนศูนย

เนื่องจากมีความเรงคงที่ และที่จุดสูงสุดของการเคล่ือนที่ จะพิจารณาแนวเดียวกับการเคล่ือนที่ในแนวดิ่ง

คือ ความเร็วในแนวดิ่งจะมีคาเปนศูนยที่ตําแหนงสูงสุด

11. ตอบ ขอ 3. แรงที่กระทํากับวัตถุขณะหมุนในแนวดิ่งจะมีทั้งแรงตึงเชือกและนํ้าหนักของวัตถุ แรงสูศูนยกลางจึงเปน

ผลรวมของแรงตึงเชือกกับนํ้าหนักของวัตถุ

12. ตอบ ขอ 1. การเคลื่อนที่แบบวงกลมและการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงายเปนการเคลื่อนที่แบบคาบ คือ วัตถุจะมี

การเคลื่อนที่ครบรอบ

13. ตอบ ขอ 2. วัตถุที่ถูกปาขึ้นไปโดยทํามุมใดๆ กับแนวระดับจะคอยๆ เคลื่อนที่โคงลงแลวตกสูพื้นซึ่งเปนการเคลื่อนที่

แบบโพรเจกไทล โดยเกิดขึ้นเนื่องจากมีแรงโนมถวงกระทําตอวัตถุในแนวดิ่งตลอดการเคลื่อนที่

14. ตอบ ขอ 2. การศึกษาเรื่องการเคลื่อนที่ของวัตถุมีประโยชนในการออกแบบผิวทางเพื่อรองรับการเคลื่อนท่ีบนถนนได

เชน ความลาดเอียงหรือความเสียดทานของพื้นถนน เพื่อใหรถสามารถเขาโคงไดอยางปลอดภัย เปนตน

15. ตอบ ขอ 1. วิเคราะหคําตอบ ที่ผิวโลก w = mg

w = mg

500 = m(10)

m = 50 kg

และเนื่องจากมวลมีคาคงที่เสมอ ดังนั้น มวลของชายคนนี้บนโลกและบนดวงจันทรจึงมีคาเทากัน

16. ตอบ ขอ 2. ภายใตสนามโนมถวงที่มีขนาดเทากัน คือ g แรงที่กระทําตอวัตถุมวล m จะมีขนาด w = mg ดังนั้น แรงที่

กระทําตอวัตถุทั้งสองหรือนํ้าหนักของวัตถุจึงมีขนาดเทากัน โดยวัตถุ B ที่กําลังตกจะมีความเรง เนื่องจาก

แรงโนมถวง g ขณะที่วัตถุ A ที่วางนิ่งอยูจะมีความเรงเปนศูนย

17. ตอบ ขอ 3. แรงที่กระทําใหลูกแอปเปลตกลงสูพื้นโลก คือ แรงโนมถวงของโลก ซึ่งเปนแรงเดียวที่ทําใหดวงจันทรหรือ

ดาวเทียมโคจรอยูรอบโลก เนื่องจากมีแรงดึงดูดระหวางกัน

18. ตอบ ขอ 1. เมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟาอยูในสนามไฟฟา จะถูกแรงกระทําเนื่องจากสนามไฟฟานั้น โดยอนุภาคท่ีมี

ประจุบวก จะถกูแรงไฟฟากระทาํในทศิทางเดยีวกบัสนามไฟฟา สวนอนภุาคทีม่ปีระจลุบนัน้ จะถกูแรงไฟฟา

กระทําในทิศตรงขามกับสนามไฟฟา

19. ตอบ ขอ 1. เครื่องปนอาหารอาศัยหลักการทํางานของมอเตอรไฟฟาซึ่งเกิดการหมุนเมื่อมีการจายกระแสไฟฟาเขาไป

ในขดลวดที่อยูในสนามแมเหล็ก ทําใหขดลวดเกิดการหมุน ซึ่งไมเกี่ยวของกับสนามไฟฟา

20. ตอบ ขอ 3. ความหนาแนนของสนามแมเหลก็สงัเกตไดจากจาํนวนเสนแรงแมเหลก็

ตอพื้นที่หนึ่งๆ จากภาพบริเวณ C เปนบริเวณที่มีความหนาแนนของ

สนามแมเหล็กมากที่สุด เพราะมีจํานวนเสนแรงตอพื้นที่มากที่สุด

B

A C D

(34)

Page 35: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

21. ตอบ ขอ 3. จดุสะเทนิเปนบรเิวณหนึง่ในสนามแมเหลก็ทีเ่กดิการรวมกนัของสนามและหกัลางกนัจนเปนศนูย ทําใหไมมี

สนามแมเหล็กไหลผานบริเวณดังกลาว ซึ่งหากนําเข็มทิศไปวางในจุดสะเทินเข็มทิศจะวางตัวไดอิสระ

22. ตอบ ขอ 1. นิวตรอนเปนอนุภาคชนิดหนึ่งในนิวเคลียส ซึ่งมีสมบัติเปนกลางทางไฟฟา เมื่อเคลื่อนที่เขาไปในสนาม-

แมเหล็กโดยไมมีแรงกระทําอื่นๆ เขามารบกวน นิวตรอนจะไมมีการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนท่ี เพราะ

แรงเนื่องจากสนามไฟฟาจะออกแรงกระทําตออนุภาคที่มีประจุทางไฟฟาบวกหรือลบเทานั้น

23. ตอบ ขอ 2. การวางตัวของสนามแมเหล็กโลก ขั้วแมเหล็กเหนือของโลกจะอยูบริเวณทิศใตและขั้วแมเหล็กใตของโลก

จะอยูบริเวณทิศเหนือ

24. ตอบ ขอ 2. การแยกโลหะออกจากขยะที่มีปริมาณมาก นิยมใชแมเหล็กแรงสูงที่เปนแมเหล็กชั่วคราวดูดใหโลหะที่เปน

สารแมเหล็กออกมาจากกองขยะ ซึ่งชวยประหยัดเวลาและอํานวยความสะดวกไดอยางมาก

25. ตอบ ขอ 2. อนุภาคทางไฟฟาจะเบี่ยงเบนในสนามแมเหล็ก โดยการเคลื่อนที่ของอนุภาคที่มีประจุจะเปลี่ยนทิศทางตาม

กฎมือขวา ดังนั้นสามารถตั้งสมมติฐานไดวา อนุภาค A เปนอนุภาคที่มีประจุทางไฟฟา

26. ตอบ ขอ 3. แรงนิวเคลียร คือ แรงยึดเหนี่ยวระหวางโปรตอนกับนิวตรอนใหอยูดวยกันเปนนิวเคลียสในอะตอม

27. ตอบ ขอ 4. การศึกษาเรื่องสนามของแรงมีสวนชวยในดานตางๆ ยกเวนนําไปพัฒนาเทคโนโลยีดานสงคราม

28. ตอบ ขอ 4. คลื่นตามขวางและคลื่นตามยาวจะตางกันตรงที่ทิศทางการส่ันของคล่ืนกับทิศทางการเคล่ือนที่ของอนุภาค

ตัวกลาง โดยหากคลื่นสั่นในทิศตั้งฉากกับทิศการเคล่ือนที่ของอนุภาคตัวกลาง จะเรียกวา คลื่นตามขวาง

แตถาคลื่นสั่นในทิศเดียวกันหรือขนานกับทิศการเคลื่อนที่ของอนุภาคตัวกลาง จะเรียกวา คลื่นตามยาว

29. ตอบ ขอ 3. แอมพลิจูด หมายถึง การกระจัดสูงสุดของคลื่น จากภาพแอมพลิจูดมีขนาด 30 เมตร ซึ่งอาจมีคาไดทั้ง

30 เมตร และ -30 เมตร ตามทิศทางของการกระจัด

30. ตอบ ขอ 1. คลื่นที่เคลื่อนที่ผานตัวกลางที่แตกตางกัน จะเกิดการเปล่ียนแปลงความเร็วและความยาวคล่ืน ในขณะที่

ความถี่ของคลื่นยังมีคาคงที่ เรียกสมบัติดังกลาววา การหักเห

31. ตอบ ขอ 2. หาความยาวคลื่นจากความสัมพันธดังสมการ λ = vf = vT

จะไดวา ความยาวคลื่น = (0.5 s)(0.02 m/s) = 0.01 เมตร หรือ 1 เซนติเมตร

32. ตอบ ขอ 2. เมื่อคลื่นเคลื่อนที่ผานตัวกลางที่แตกตางกัน คลื่นจะเคลื่อนที่ดวยความเร็วที่แตกตางกัน แตความถี่ของ

คลื่นจะคงที่เสมอ จากความสัมพันธระหวางความถี่ ความยาวคลื่น และอัตราเร็ว เมื่อคลื่นหักเหจะพบวา

ความยาวคลื่นจะเปลี่ยนแปลงตามไปดวย ระยะหางระหวางหนาคลื่นของสองบริเวณจึงไมเทากัน

33. ตอบ ขอ 2. การเลี้ยวเบนเกิดขึ้นเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ปะทะสิ่งกีดขวางแลวเบนออมสิ่งกีดขวางนั้น

34. ตอบ ขอ 4. โรงภาพยนตรเปนหองโลงจงึเกดิเสยีงสะทอน ซึง่เสยีงสะทอนนีจ้ะกอปญหาในการรบัชมภาพยนตร จึงมกีาร

บุผนังและเกาอี้ของโรงภาพยนตรดวยวัสดุดูดซับเสียง เพื่อลดการสะทอนของเสียง

35. ตอบ ขอ 3. การตรวจอวัยวะภายในรางกายจะใชคลื่นที่มีความถี่เหนือเสียง เรียกวา คลื่นอัลตราซาวนด ซึ่งเมื่อ

คลื่นตกกระทบเนื้อเยื่อชั้นตางๆ ก็จะสะทอนกลับมา แลวเครื่องจะแปลงสัญญาณใหเห็นเปนภาพ

(35)

Page 36: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

36. ตอบ ขอ 3. ความหนาที่แตกตางกันของสายกีตารแตละเสนมีผลตอความสามารถในการส่ัน ทําใหส่ันดวยความถี่ที่

แตกตางกัน จึงสามารถสรางเสียงไดหลากหลายมากขึ้น

37. ตอบ ขอ 2. คางคาวเปนสัตวที่หากินในเวลากลางคืน โดยจะปลอยคลื่นเสียงในยานความถี่เหนือเสียง (มีความถี่สูงกวา

ทีห่ขูองเราจะสามารถไดยนิได) ออกมา ซึง่เมือ่คล่ืนกระทบส่ิงกดีขวางจะสะทอนกลับเขามายงัหขูองคางคาว

38. ตอบ ขอ 2. องคการอนามัยโลกไดกําหนดระดับความเขมเสียงที่ปลอดภัยตอหูและจิตใจของผูฟงไวไมเกิน 85 เดซิเบล

และไดยินติดตอกันไมเกิน 8 ชั่วโมง ถาระดับความเขมเสียงเกินกวาที่กําหนด ถือวาเปนมลภาวะของเสียง

39. ตอบ ขอ 4. คลื่นแมเหล็กไฟฟาเปนคลื่นที่ไมตองอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ ซึ่งในที่นี้คลื่นแผนดินไหวเปนคลื่นที่

สั่นสะเทือนผานตัวกลางคือพื้นโลก จึงไมจัดเปนคลื่นแมเหล็กไฟฟา

40. ตอบ ขอ 2. คลื่นกลเปนคลื่นที่ตองอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ ขณะที่คลื่นแมเหล็กไฟฟาไมจําเปนตองอาศัยตัวกลาง

ในการเคลื่อนที่

41. ตอบ ขอ 4. ปฏิกิริยานิวเคลียรเกิดจากการเปลี่ยนแปลงองคประกอบของนิวเคลียส แลวทําใหเกิดธาตุใหม โดยจะมีการ

ปลดปลอยพลังงานออกมา ซึ่งแบงไดเปน 2 ชนิด คือ ปฏิกิริยาฟชชัน และปฏิกิริยาฟวชัน

42. ตอบ ขอ 4. ปฏกิริยิานิวเคลยีรฟชชนั เปนปฏกิริิยาการแบงแยกนวิเคลียสโดยการยงิอนภุาคนวิตรอนไปยงันวิเคลยีสของ

ธาตหุนักจนเกิดการแยกออกเปน 2 นวิเคลยีสใหมทีม่มีวลใกลเคยีงกนั ซึง่ผลของปฏกิริยิาจะมกีารปลดปลอย

พลังงานออกมาก และปฏิกิริยาจะเกิดขึ้นอยางตอเนื่องเปนทอดๆ จึงเรียกวา ปฏิกิริยาลูกโซ

43. ตอบ ขอ 1. ปฏิกิริยานิวเคลียรแบงเปน 2 ชนิด คือ ปฏิกิริยาฟชชัน เกิดจากการยิงนิวเคลียสดวยอนุภาคนิวตรอน

จนเกิดพลังงานมหาศาล และปฏิกิริยาฟวชัน เกิดจากการรวมกันของอนุภาคและคายพลังงานออกมา

เปนปฏิกิริยาที่เกิดบนดวงอาทิตย ซึ่งยังไมสามารถทําใหเกิดขึ้นไดบนโลก ปฏิกิริยาฟชชันจึงถูกนํามาใช

ผลิตกระแสไฟฟา

44. ตอบ ขอ 4. พลงังานนิวเคลยีรถูกนําไปใชประโยชนในหลายๆ ดาน ยกเวนการนาํไปผลติอาวธุนวิเคลยีรในการทาํสงคราม

45. ตอบ ขอ 1. รงัสบีีตา หรอือนุภาคบีตา เปนอเิลก็ตรอนทีม่คีวามเรว็สงู มปีระจเุปนลบ มอีาํนาจทะลทุะลวงมากกวาแอลฟา

แตนอยกวาแกมมา บางครั้งอาจเรียกรังสีชนิดนี้วา เนกาตรอน

46. ตอบ ขอ 4. ไอโซโทป หมายถึง ธาตุที่มีจํานวนโปรตอนเทากัน แตมีจํานวนนิวตรอนแตกตางกัน

47. ตอบ ขอ 3. ไอโซโทป หมายถึง ธาตุที่มีจํานวนโปรตอนเทากัน แตมีจํานวนนิวตรอนแตกตางกัน ไอโซโทน หมายถึง

ธาตุที่มีจํานวนนิวตรอนเทากัน แตมีจํานวนโปรตอนแตกตางกัน และไอโซบาร หมายถึง ธาตุที่มีเลขมวล

เทากัน แตมีจํานวนโปรตอนแตกตางกัน

48. ตอบ ขอ 1. Co - 60 หรือ โคบอลต -60 เปนธาตุกัมมันตรังสีชนิดหนึ่งที่สลายตัวใหรังสีแกมมา ถูกนํามาใชผลิตรังสี

แกมมาเพื่อการรักษาทางการแพทย เชน การรักษาโรคมะเร็ง การทําลายเซลลมะเร็ง เปนตน

49. ตอบ ขอ 2. ไอโซโทปตางๆ ของธาตุจะมีจํานวนโปรตอนเทากัน แตมีจํานวนนิวตรอนแตกตางกัน

50. ตอบ ขอ 4. การศึกษาการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี จํานวนลูกเตาที่คัดออกจะแทนจํานวนนิวเคลียสที่สลายไป

ขณะที่จํานวนลูกเตาที่ยังคงเหลือจะแทนจํานวนนิวเคลียสที่เหลืออยู

(36)

Page 37: แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6

โครงการบูรณ

าการ

แบบทดสอบ

โครงการวัดและประเมินผลโครงการวัดและประเมินผล

1. แนวตอบ การวิง่รอบสนามครบหนึง่รอบ ระยะทางในการวิง่จะมีคาเทากบัขนาดความยาวของเสนทางในการวิง่ทัง้หมด

ขณะที่การกระจัดจะมีคาเปนศูนย เนื่องจากไมมีการเปลี่ยนตําแหนงของผูวิ่งเมื่อวิ่งครบรอบ

2. แนวตอบ การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลเปนการเคล่ือนที่ในแนวระดับและแนวดิ่งพรอมๆ กัน โดยในแนวดิ่งนั้นจะมี

แรงโนมถวงกระทําตลอดการเคลื่อนที่ ขณะที่ในแนวระดับวัตถุจะไมมีแรงใดๆ มากระทํา เมื่อวัตถุเคลื่อนที่

ดวยความเร็วตนคาหนึ่ง ความเร็วตนในแนวระดับจึงไมมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีคาคงที่

3. แนวตอบ การที่ประจุ -q ที่เคลื่อนที่ไปทางขวามือบนระนาบกระดาษนั้นมีการเคลื่อนที่โคงขึ้น แสดงวามีแรงเนื่องจาก

สนามแมเหลก็มากระทาํตลอดเวลาในทศิชีข้ึน้ เนือ่งจากเปนประจลุบจะใชกดมอืซายในการพจิารณาทิศทาง

ของแรงและสนามแมเหลก็ โดยใหนิว้ทัง้สีช่ี้ไปในทศิทางการเคลือ่นทีข่องประจ ุและนิว้โปงชีข้ึน้แทนทิศทาง

ที่แรงกระทําตอประจุ เมื่อกํามือหรือรวบมือ ทิศทางของสนามแมเหล็กจะพุงออกจากกระดาษ ดังนั้น

ลักษณะของสนามแมเหล็กจะมีทิศทางพุงออกจากระนาบกระดาษและตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่ของ

ประจุลบ

4. แนวตอบ ภาพแสดงองคประกอบของคลื่น

5. แนวตอบ กราฟแสดงความสัมพันธของสารกัมมันตรังสีที่เกิดการสลายตัวดวยครึ่งชีวิต

ตอนที่ 2

-q

F

ความยาวคลื่นสันคลื่น

ทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น

แอมพลิจูดทองคลื่น

ความยาวคลื่น

ปริมาณสาร

เวลา

T1/2 2T1/2 3T1/2 4T1/2

1/2N0

1/4N0

1/8N0

(37)