Upload
-
View
83
Download
2
Embed Size (px)
Citation preview
บทที่ 3ความนาจะเปน
(40 ชั่วโมง)
ตามประวัติศาสตร การหาความนาจะเปนเริ่มมาจากปญหาการไดเปรียบเสียเปรียบในการพนัน การศึกษาเรื่องนี้จะชวยใหผูเรียนสามารถคาดเหตุการณลวงหนาไดอยางมีหลักเกณฑ ซึ่งจะชวยในการตัดสินใจไดอยางมาก ซึ่งบทนี้จะกลาวถึงกฎเกณฑเบื้องตนเกี่ยวกับการนับ วิธีเรียงสับเปลี่ยน วิธีจัดหมู ทฤษฎีบททวินาม ความนาจะเปน และกฎที่สําคัญบางประการของความนาจะเปน
ผลการเรียนรูที่คาดหวัง1. แกโจทยปญหาโดยใชกฎเกณฑเบื้องตนเกี่ยวกับการนับ วิธีเรียงสับเปลี่ยน และวิธีจัดหมู2. นําความรูเรื่องทฤษฎีบททวินามไปใชได3. หาความนาจะเปนของเหตุการณที่กําหนดใหได
ผลการเรียนรูที่คาดหวังเปนผลการเรียนรูที่สอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูชวงชั้นทางดานความรู ดังนั้นในการจัดการเรียนรู ผูสอนตองคํานึงถึงมาตรฐานการเรียนรูดานทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตรที่จําเปน อันไดแก ความสามารถในการแกปญหา การใหเหตุผลการสื่อสาร การสื่อความหมายทางคณิตศาสตรและการนําเสนอ การเชื่อมโยงความรูตาง ๆ ทางคณิตศาสตรและเชื่อมโยงคณิตศาสตรกับศาสตรอ่ืน และการคิดริเริ่มสรางสรรค นอกจากนั้นกิจกรรมการเรียนรู ควรสงเสริมใหผูเรียนตระหนักในคุณคาและมีเจตคติที่ดีตอวิชาคณิตศาสตรตลอดจนฝกใหนักเรียนทํางานอยางเปนระบบ มีระเบียบวินัย รอบคอบ มีความรับผิดชอบมีวิจารณญาณ และมีความเชื่อมั่นในตนเอง
115
ขอเสนอแนะ1. ในการใชกฎเกณฑเบื้องตนเกี่ยวกับการนับหาคําตอบของโจทยปญหานั้น ควร
อานโจทยปญหาใหเขาใจวาในปญหานั้นกําหนดเงื่อนไขอะไรบาง การพิจารณาเงื่อนไขของปญหาจะชวยใหสามารถกําหนดขั้นตอนในการแกปญหา ซึ่งจะชวยใหสามารถหาคําตอบไดงายขึ้น ลองพิจารณาตัวอยางตอไปนี้
ปญหาที่ 1 จากตัวเลข 0, 1, 2, 3, 4 และ 5 จะเขียนจํานวนที่มีสามหลักโดยที่ตัวเลขในแตละหลักไมซ้ํากันไดทั้งสิ้นกี่จํานวน
วิธีคิด จากโจทยปญหาไดกําหนดเงื่อนไข 3 ขอ คือ1) ใหใชตัวเลขโดดได 6 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4 และ 52) จํานวนที่ตองการ เปนจํานวนที่มีสามหลัก3) ตัวเลขในแตละหลักของแตละจํานวนที่ตองการ ตองไมซ้ํากันจากเงื่อนไขทั้งสามขอนี้ตองนํามาพิจารณาประกอบการใชกฎเกณฑเบื้องตนเกี่ยวกับ
การนับ เพื่อหาวาจะเขียนจํานวนที่ตองการไดกี่จํานวน สําหรับปญหานี้ตองพิจารณาวิธีที่จะเขียนตัวเลขในหลักตาง ๆ คือ หลักหนวย หลักสิบ และหลักรอย เนื่องจากการเขียนจํานวนที่มีสามหลักนั้น หลักรอยตองไมใชตัวเลข 0 สวนหลักอื่น ๆ นั้นจะใชตัวเลขใดก็ไดใน 6 ตัวที่กําหนด การเริ่มแกปญหาจึงควรเริ่มดวยการหาจํานวนวิธีที่จะเขียนตัวเลขในหลักรอยเพราะมีขอจํากัดมากกวาหลักอื่น ๆ ดังนั้น วิธีหาคําตอบปญหาจึงอาจเปนดังนี้
วิธีท่ี 1 เขียนตัวเลขในหลักรอยไดตาง ๆ กัน 5 วิธีแตละวิธีที่เขียนตัวเลขในหลักรอย เขียนตัวเลขในหลักสิบได 5 วิธีแตละวิธีที่เขียนตัวเลขในหลักรอยและหลักสิบ เขียนตัวเลขในหลักหนวยได 4 วิธีดังนั้น จากกฎเกณฑเบื้องตนเกี่ยวกับการนับ จํานวนที่มีสามหลักที่เขียนโดยใชตัวเลข 0, 1, 2, 3, 4, 5 โดยที่ตัวเลขในแตละหลักไมซ้ํากันมีทั้งสิ้น 5 × 5 × 4 = 100จํานวน
วิธีหาคําตอบขางตนเปนเพียงวิธีหนึ่งเทานั้น อาจหาคําตอบโดยวิธีอ่ืน ๆ ก็ไดเชน การพิจารณาโดยเริ่มจากการเขียนหลักหนวยกอน แตเนื่องจากจะมีปญหาวาเหลือ 0 อยูหรือไม จึงแยกกรณีพิจารณาดังตอไปนี้
วิธีท่ี 2 ถาเริ่มเขียนตัวเลขในหลักหนวยกอน แยกกรณีพิจารณาไดดังนี้
116
(1) หาจํานวนที่มีสามหลักที่มี 0 อยูในหลักหนวย เขียนตัวเลขในหลักสิบได 5 วิธีแตละวิธีที่เขียนตัวเลขในหลักสิบ เขียนตัวเลขในหลักรอยได 4 วิธีดังนั้น จะเขียนจํานวนที่มีสามหลักที่มี 0 อยูในหลักหนวย และใชตัวเลข0, 1, 2, 3, 4, 5 โดยที่ตัวเลขในแตละหลักไมซ้ํากันได 5 × 4 = 20 จํานวน
(2) หาจํานวนสามหลักที่มี 0 อยูในหลักสิบในทํานองเดียวกับขอ (1) จะไดวาจํานวนสามหลักในขอนี้มีทั้งหมด 20 จํานวน
(3) หาจํานวนสามหลักที่ไมมี 0 ปรากฏอยูเลยจะไดทั้งหมด 5 × 4 × 3 = 60 จํานวน
จาก (1), (2) และ (3) จํานวนสามหลักที่ไดจากการใชตัวเลข 0, 1, 2, 3, 4 และ 5เขียนโดยตัวเลขในแตละหลักไมซ้ํากัน มีทั้งสิ้น 20 + 20 + 60 = 100 จํานวน
ปญหาที่ 2 จากตัวเลข 0, 1, 2, 3, 4 และ 5 จะเขียนจํานวนที่มีสามหลักที่เปนจํานวนคี่และตัวเลขในแตละหลักไมซ้ํากันไดกี่จํานวน
วิธีคิด เงื่อนไขของปญหานี้เหมือนของปญหาที่ 1 แตเพิ่มเงื่อนไขอีกหนึ่งขอ คือ จํานวนท่ีตองการตองเปนจํานวนคี่ เงื่อนไขนี้มีผลตอจํานวนวิธีเขียนตัวเลขในหลักหนวย
ถาเริ่มหาคําตอบโดยพิจารณาจํานวนวิธีที่จะเขียนตัวเลขในหลักรอยกอนเชนเดียวกับการพิจารณาการเขียนตัวเลขในหลักหนวยวาทําไดกี่วิธีจะมีปญหา เพราะใน 5 วิธีที่เขียนตัวเลขในหลักรอยนั้นมี 3 วิธี ที่ใช 1, 3 และ 5 ไปแลว ทําใหมีผลตอจํานวนวิธีเขียนตัวเลขในหลักหนวยซึ่งใชตัวเลขที่กําหนดใหไดเพียง 3 ตัว คือ 1, 3 และ 5เทานั้น ยิ่งถาพิจารณาจํานวนวิธีเขียนตัวเลขในหลักสิบตอจากการพิจารณาจํานวนวิธีเขียนตัวเลขในหลักรอยจะทําใหการพิจารณาจํานวนวิธีเขียนตัวเลขในหลักหนวยมีปญหามากขึ้น
วิธีหาคําตอบของปญหานี้จึงควรพิจารณาวิธีเขียนตัวเลขในหลักหนวยเสียกอนแลวพิจารณาจํานวนวิธีการเขียนตัวเลขในหลักรอย จากนั้นจึงไปพิจารณาจํานวนวิธีเขียนตัวเลขในหลักสิบเปนอันดับสุดทาย
วิธีทํา เขียนตัวเลขในหลักหนวยไดตาง ๆ กัน 3 วิธีแตละวิธีที่เขียนตัวเลขในหลักหนวย เขียนตัวเลขในหลักรอยได 4 วิธีแตละวิธีที่เขียนตัวเลขในหลักหนวยและหลักรอย เขียนตัวเลขในหลักสิบได 4 วิธี
117
ดังนั้น ใชตัวเลข 0, 1, 2, 3, 4 และ 5 เขียนจํานวนที่มีสามหลักที่เปนจํานวนคี่และตัวเลขในแตละหลักไมซ้ํากัน ได 4 × 4 × 3 = 48 จํานวน
ปญหาที่ 3 จากตัวเลข 0, 1, 2, 3, 4 และ 5 จะเขียนจํานวนที่มีสามหลักที่เปนจํานวนคูและตัวเลขในแตละหลักไมซ้ํากันไดกี่จํานวน
วิธีคิด ปญหาที่ 3 นี้ มีเงื่อนไขเพิ่มจากปญหาที่ 1 อีกหนึ่งขอคือ จํานวนที่ตองการเปนจํานวนคู ถาพิจารณาไมรอบคอบอาจจะสรุปวาใชวิธีการในทํานองเดียวกับที่ใชในการหาคําตอบปญหาที่ 2 คือ พิจารณาจํานวนวิธีเขียนตัวเลขในหลักหนวย หลักรอยและหลักสิบ ตามลําดับ แตวิธีดังกลาวมีปญหาเพราะตัวเลขที่อาจใชในหลักหนวยมี3 ตัว คือ 0, 2 และ 4 การที่ 0 อาจถูกใชหรือไมถูกใชในการเขียนตัวเลขหลักหนวยมีผลตอการพิจารณาจํานวนวิธีเขียนตัวเลขในหลักรอย การหาคําตอบจึงอาจทําไดโดยการแยกกรณีพิจารณา เมื่อใช 0 เปนหลักหนวย และเมื่อไมไดใช 0 เปนหลักหนวย ดังนี้
วิธีทํา แยกกรณีและพิจารณาดังนี้1. เมื่อใชตัวเลขในหลักหนวยเปน 0
เขยีนตัวเลขในหลักรอยได 5 วิธีแตละวิธีที่เขียนตัวเลขในหลักรอย เขียนตัวเลขในหลักสิบได 4 วิธีดังนั้น จํานวนสามที่มีหลักที่หลักหนวยเปน 0 ที่เขียนโดยใชตัวเลข 0, 1, 2, 3, 4และ 5 โดยตัวเลขในแตละหลักไมซ้ํากันมี 5 × 4 = 20 จํานวน
2. เมื่อตัวเลขในหลักหนวยไมใช 0เขียนตัวเลขในหลักหนวยได 2 วิธี (คือ 2 หรือ 4)แตละวิธีที่เขียนตัวเลขในหลักหนวย เขียนตัวเลขในหลักรอยได 4 วิธีแตละวิธีที่เขียนตัวเลขในหลักหนวยและในหลักรอย เขียนตัวเลขในหลักสิบได 4 วิธีดังนั้น จํานวนที่มีสามหลักที่เปนจํานวนคูที่หลักหนวยไมเปน 0 และเขียนโดยใชตัวเลข 0, 1, 2, 3, 4 และ 5 โดยตัวเลขในแตละหลักไมซ้ํากัน มี4 × 4 × 2 = 32 จํานวนดังนั้นการใชตัวเลข 0, 1, 2, 3, 4 และ 5 เขียนจํานวนที่มีสามหลักที่เปนจํานวนคูโดยตัวเลขในแตละหลักไมซ้ํากัน ได 20 + 32 = 52 จํานวน
118
หมายเหตุ 1. ถาปญหาที่ 1, 2 และ 3 เปนปญหาที่ถามตอเนื่องกันแลว การหาคําตอบปญหาที่ 3 อาจใชคําตอบปญหาที่ 1 และ 2 ชวย โดยใชคําตอบปญหาที่ 2 ลบออกจากคําตอบปญหาที่ 1 ก็ได
2. ในการแกโจทยปญหาเกี่ยวกับการนับจํานวนวิธี บางกรณีก็ใชเฉพาะการคูณบางกรณีก็ใชการบวก ซึ่งผูสอนควรอธิบายใหผูเรียนเขาใจถึงลักษณะของโจทยที่จะตองใชการคูณหรือการบวก การกระทําใด ๆ ที่ยังไมสิ้นสุดการคํานวณหาจํานวนวิธีสําหรับการกระทํานั้น ๆ เราใชการคูณ แตถาการกระทําใด ๆ สามารถแยกไดเปนหลายกรณีและแตละกรณีสิ้นสุดลงแลว ในการคํานวณหาจํานวนวิธีสําหรับการกระทํานั้นเราใชการบวกจํานวนวิธีในแตละกรณีเขาดวยกัน ดังจะเห็นไดจากตัวอยางขางตนที่ใหหาจํานวนที่มีสามหลักที่เปนจํานวนคู เราแยกเปนจํานวนคูที่ลงทายดวย 0 ซึ่งมี 20 จํานวน ซึ่งการคํานวณหาจํานวนวิธีในกรณีนี้สิ้นสุดลงแลวและจํานวนคูที่ไมลงทายดวย 0 ซึ่งมี 32 จํานวน การคํานวณหาจํานวนวิธีในกรณีนี้ก็สิ้นสุดลงแลวเชนกัน ดังนั้น เมื่อเราตองการทราบวาจํานวนที่มีสามหลักที่เปนจํานวนคูมีกี่จํานวนเราจึงนําจํานวนวิธีที่หาไดในแตละกรณีมาบวกกัน กลาวคือ มี 20 + 32 = 52 จํานวน และจะเห็นวา ในการคํานวณหาจํานวนคูดังกลาวในแตละกรณีนั้น แตละตอนเปนการกระทําที่ตอเนื่องกัน เราจึงใชวิธีคูณดังไดกลาวแลวในกฎเกณฑเบื้องตนเกี่ยวกับการนับ หลักการที่กลาวมานี้สามารถนําไปใชกับการคํานวณหาจํานวนวิธีทั้งหมดในวิธีเรียงสับเปลี่ยน และวิธีจัดหมูไดเชนเดียวกัน
3. ในการแกโจทยปญหา ผูเรียนมักจะพบปญหาวา โจทยขอนี้เปนเรื่องเกี่ยวกับวิธีเรียงสับเปลี่ยนหรือวิธีจัดหมูที่เปนดังนี้อาจเปนเพราะผูเรียนไมเขาใจวาวิธีเรียงสับเปลี่ยนและวิธีจัดหมูนั้นมีความหมายตางกันอยางไร ผูสอนควรอธิบายใหผูเรียนเขาใจวาวิธีเรียงสับเปลี่ยนนั้นจะเกี่ยวของกับตําแหนงที่หรืออันดับที่ สวนวิธีจัดหมูนั้นไมเกี่ยวกับตําแหนงที่หรืออันดับ เชน
1) มีจุด 4 จุด บนเสนรอบวงของวงกลมวงหนึ่งจะลากสวนของเสนตรงผานจุด 2 จุดไดทั้งหมดกี่เสน
จะเห็นวา สวนของเสนตรงที่ลากผานจุดที่ 1 ไปยังจุดที่ 2 และสวนของเสนตรงที่ลากผานจุดที่ 2 ไปยังจุดที่ 1 เปนสวนของเสนตรงเดียวกัน จึงไมตองคํานงึถึงอันดับใดกอนหลัง การทําโจทยประเภทนี้เปนวิธีจัดหมู
ดังนั้น จะมีสวนของเสนตรง 42⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 4!2!2!
= 6 เสน
119
2) จากตัวอักษรในคําวา MONDAY ถาตองการนําอักษร 3 ตัวจากคํานี้มาเรียงเปนคําใหมโดยไมคํานึงถึงความหมายจะจัดไดทั้งหมดกี่คํา
จะเห็นวา ตําแหนงที่ตางกันของอักษรทั้ง 3 ตัวที่จัดนั้นทําใหเกิดคําใหมเสมอ จึงถือวาตําแหนงที่หรืออันดับที่ทําใหผลที่เกิดขึ้นตางกัน โจทยขอนี้จึงเปนวิธีเรียงสับเปลี่ยน
ดังนั้น จะจัดคําทั้งหมดได P6, 3 = 6 × 5 × 4 = 120 คําหรืออาจจะคิดไดอีกวิธีหนึ่งดังนี้มีอักษรทั้งหมด 6 ตัว เลือกมาทีละ 3 ตัว แลวนํา 3 ตัวนี้มาจัดเรียง
สับเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่ง จํานวนวิธีเลือกทั้งหมดมี C6, 3 วิธี ในแตละวิธีของการเลือกนํามาจัดเรียงสับเปลี่ยนได 3! วิธี
ดังนั้น จะจัดคําทั้งหมดได C6, 3 × 3! = 120 คําและในกรณีทั่วไปจะพบวา cn,r × r! = Pn, r
4. ในการพิจารณาปญหาเกี่ยวกับจํานวนวิธีในการจัดเรียงตัวอักษรหรือตัวเลขมักจะมีปญหาวาจะจัดตัวอักษรหรือตัวเลขเหลานั้นซ้ํากันไดหรือไมในกรณีที่โจทยปญหานั้นไมบงไวอยางแนชัด ปญหาดังกลาวเปนปญหาที่เกิดจากการตีความหมายซึ่งไมมีขอตกลงหรือขอกําหนดที่แนนอน ผูสอนควรหลีกเลี่ยงไมใหเกิดปญหาเหลานั้นโดยการกําหนดใหชัดเจน(ดังตัวอยางในหนังสือเรียน) วาจะใชตัวเลขหรือตัวอักษรซ้ําไดหรือไม
ตัวอยางโจทยปญหาที่กําหนดไวชัดเจนที่ควรจะตีความหมายไดตรงกัน(1) จะเขียนจํานวนเต็มบวกซึ่งมีสี่หลักไดทั้งหมดกี่จํานวน (ในกรณีนี้
ตัวเลขในแตละหลักใชซ้ํากันได ดังนั้น คําตอบคือ 9 × 10 × 10 × 10 จํานวน)(2) จะใชบัตร 4 ใบที่เขียนตัวเลข 1, 2, 3, 4 ไวตามลําดับเรียงใหไดจํานวน
ที่มีสามหลักไดทั้งหมดกี่จํานวน (ในกรณีนี้การจัดเรียงแตละแบบใชบัตรไดบัตรละ 1 ครั้งดังนั้น คําตอบคือ 4!)
(3) จะใชตัวเลข 1, 2, 3, 4, 5, 6 เขียนลงในบัตรโดยเขียนเปนจํานวนที่มีหกหลัก จะเขียนไดทั้งหมดกี่บัตร (ในกรณีนี้การจัดในแตละแบบใชตัวเลขซ้ํากันได เชนหมายเลข 666333 เปนตน ดังนั้น คําตอบคือ 66 บัตร
(4) จะมีวิธีจัดเรียงตัวอักษรในคําวา “HEAD” ไดกี่วิธีถาไมสนใจความหมายของคําที่เกิดขึ้น (ในกรณีนี้คลายกับกรณีในขอ (2) ซึ่งคลายกับวา ตัวอักษรแตละตัวเขียนอยูในบัตร นําบัตรมาจัดเรียงอันดับใหม คําตอบคือ 4!)
(5) จะมีวิธีจัดเรียงตัวเลขในเซต {0, 1, 2, 3, 4} ไดกี่วิธี (ในกรณีนี้คลาย
120
กับกรณีในขอ (4) คําตอบคือ 5!)(6) จะมีวิธีจัดเรียงตัวเลขในจํานวน “2435” ไดกี่วิธี ( คําตอบคือ 4!)(7) จะสรางจํานวนเต็มบวกที่มีสามหลักจากตัวเลข 1, 4, 6, 9 ไดกี่จํานวน
(ในกรณีนี้โดยทั่วไปจะหมายถึงวาใชตัวเลขซ้ําได แตเพื่อปองกันมิใหเกิดปญหา ควรเขียนใหชัดเจนลงไปวา ใชตัวเลขซ้ํากันได)
5. ในเรื่องวิธีเรียงสับเปลี่ยนเชิงวงกลม อาจมีปญหาเกี่ยวกับการหาจํานวนวิธี เชน การรอยลูกปดเปนวงกลม หรือการรอยพวงมาลัยเปนวงกลม เปนตน
การหาจํานวนวิธีรอยลูกปด 4 ลูก ซึ่งมีสีขาว สีแดง สีฟา และสีมวงเปนวงกลม มีไดกี่วิธี
ถาการจัดเรียงเปนวงกลมนี้ จะจัดได (4 – 1)! = 6 วิธี ดังรูป
(1) (2) ให ข แทนสีขาวส แทนสีแดงฟ แทนสีฟาม แทนสีมวง
(3) (4)
(5) (6)
แตถาเรารอยลูกปดของแตละวิธีที่จัดเรียงไวเขาดวยกันเปนวงกลม จะเห็นวาเรารอยไดเพียง 3 วิธี คือ (1), (3) และ (5) เพราะในการรอยแบบ (1) ทําใหเกิดแบบ (2) ดวย
ข
ส
ฟ
ม
ข
ม
ฟ
ส
ข
ฟ
ม
ส
ข
ส
ม
ฟ
ข
ม
ส
ฟ
ข
ฟ
ส
ม
121
กลาวคือ เมื่อพลิกอีกดานหนึ่งของ (1) ข้ึน ก็จะไดการจัดเรียงแบบ (2) นั่นเอง ทํานองเดียวกัน ถาพลิกอีกดานหนึ่งของ (3) จะไดการจัดเรียงแบบ (4) และพลิกแบบ (5) ก็ไดการจัดเรียงแบบ(6)
ดังนั้น ในการรอยลูกปด 4 ลูก รอยได 3 วิธีโดยทั่วไปจํานวนวิธีจัดเรียงสับเปลี่ยนเชิงวงกลมในลักษณะที่กลาวขางตน
กลาวคือมีการพลิกกลับอีกดานหนึ่งได จํานวนวิธีเรียงสับเปลี่ยนจะเปนครึ่งหนึ่งของจํานวนวิธีเรียงสับเปลี่ยนเชิงวงกลมที่กลาวไวในหนังสือเรียน
6. กรณีที่วา ถามีสิ่งของอยู n สิ่ง ในจํานวนนี้มี n1 สิ่งที่เหมือนกันเปนกลุมที่ 1 มี n2 สิ่งที่เหมือนกันเปนกลุมที่ 2 ... และมี nk สิ่งที่เหมือนกันเปนกลุมที่ k โดยที่n1 + n2 + ... + nk = n จํานวนวิธีเรียงสับเปลี่ยนของทั้ง n สิ่งเทากับ
1 2 k
n!n !n ! n !L
กฎนี้บางครั้งเรียกวา “กฎการแบงกลุม” (Partitioning Law) เพราะอาจใชคํานวณจํานวนวิธีที่จะแบงคนหรือสิ่งของ n สิ่ง ออกเปน k กลุม โดยใหกลุมที่ 1 มี n1 สิ่งกลุมที่ 2 มี n2 สิ่ง ... กลุมที่ k มี nk สิ่ง และ n1 + n2 + ... + nk = n การใชกฎนี้คํานวณหาจํานวนวิธีที่จะแบงสิ่งของดังกลาวขางตนมีขอควรระวังวา จํานวนสิ่งของในแตละกลุมจะตองไมเทากัน และสิ่งของที่นํามาแบงตองแตกตางกันทั้งหมด
สมมุติวามีของ 4 สิ่ง คือ A, B, C และ D ตองการแบงออกเปนสองกลุมกลุมหนึ่งมี 3 สิ่ง อีกกลุมหนึ่งมี 1 สิ่ง จะแบงไดดังนี้
A, B, C กับ DA, B, D กับ CA, C, D กับ BB, C, D กับ Aจะเห็นวา แบงไดทั้งหมด 4 วิธีวิธีการแบงก็คือเลือกของที่จะใหเปนกลุมแรกออกมากอน ของที่เหลือก็จะ
เปนอีกกลุมหนึ่งดังนั้น จํานวนวิธีที่จะแบงของดังกลาว จะเทากับจํานวนวิธีของการเลือก
ของ 3 สิ่งจากของ 4 สิ่ง ซึ่งเทากับC4, 3 = 4!
3!1! = 4 วิธี
122
หรือจะเทากับจํานวนวิธีของการเลือกของ 1 สิ่งจากของ 4 สิ่ง ซึ่งเทากับC4, 1 = 4!
1!3! = 4 วิธี
กลาวโดยทั่วไปไดวา ถามีสิ่งของ p + q สิ่ง ซึ่งแตกตางกันทั้งหมดตองการแบงออกเปนสองกลุม ๆ ละ p และ q สิ่ง โดยที่ p ≠ q จะไดจํานวนวิธีแบงเทากับCp+q, p หรือ Cp+q, q
โดยที่ Cp+q, p = (p q)!p!q!+
Cp+q, q = (p q)!p!q!+
ถาตองการแบงสิ่งของ p + q + r สิ่ง ซึ่งแตกตางกันทั้งหมดและแบงเปน3 กลุม ๆ ละ p, q และ r สิ่ง โดยที่ p ≠ q ≠ r ก็ทําไดโดยการแบงของ p + q + r สิ่งออกเปนสองกลุมกอน โดยใหกลุมที่หนึ่งมีของ p สิ่ง อีกกลุมหนึ่งจะมีของ q + r สิ่ง
จํานวนวิธีแบงของ p สิ่ง จาก p + q + r สิ่ง เทากับ Cp+q+r, p
Cp+q+r, p = (p q r)!p!(q r)!+ +
+
ในแตละวิธีของการแบงกลุมครั้งนี้จะแบงของ q + r สิ่ง ออกเปนสองกลุม ๆ ละ q และ r สิ่งจะไดจํานวนวิธีแบงเทากับ Cq+r, q หรือ Cq+r, r
ดังนั้น จํานวนวิธีทั้งหมดที่จะแบงของ p + q + r สิ่ง ซึ่งแตกตางกันออกเปนสามกลุม ๆ ละ p, q และ r สิ่ง โดยที่ p ≠ q ≠ r จะมีทั้งหมด
p q r q rp q
+ + +⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
= (p q r)! (q r)!p!(q r)! q!r!+ + +
×+
= (p q r)!p!q!r!+ +
ในทํานองเดียวกัน ถาตองการแบงของ n สิ่ง ซึ่งแตกตางกันทั้งหมดออกเปน k กลุม ๆ ละ n1, n2, ..., nk สิ่ง โดยที่ n1 ≠ n2 ≠ ... ≠ nk และ n1 + n2 + ... + nk = nจํานวนวิธีแบงทั้งหมดเทากับ
1 2 k
n!n !n ! n !L
ตัวอยาง จงหาจํานวนวิธีทั้งหมดที่จะจัดแบงนักเรียน 20 คน ใหข้ึนรถยนต 3 คัน โดยที่รถยนตแตละคันบรรทุกได 5, 7 และ 8 คน ตามลําดับ
วิธีคิด การจัดแบงนักเรียน 20 คน ใหข้ึนรถยนต 3 คันนี้ก็คือ การแบงนักเรียน 20 คนออกเปนสามกลุม ๆ ละ 5, 7 และ 8 คน เมื่อแบงแลวใหแตละกลุมขึ้นรถยนต
123
ตามขนาดบรรทุกที่กําหนด เชนกลุมที่มีนักเรียน 5 คน ก็ข้ึนรถยนตคันที่บรรทุกได 5 คน จึงไมตองมีการสลับกลุมเพื่อข้ึนรถยนต และในรถยนตแตละคันนักเรียนไมตองสลับที่กันนั่ง เพราะจะสลับกันอยางไรก็อยูในรถยนตคันเดียวกันนั่นเอง
วิธีทํา จํานวนวิธีทั้งหมดที่จะจัดแบงนักเรียนใหข้ึนรถยนตได 20!5!7!8!
= 99,768,240 วิธี
7. การนําเขาสูบทเรียนเรื่องปริภูมิตัวอยาง ควรใหผูเรียนเขียนผลลัพธที่เปนไปไดทั้งหมด ซึ่งอาจใชการเขียนแผนภาพตนไมชวย แลวจึงบอกใหผูเรียนทราบวา เซตของผลลัพธที่เปนไปไดทั้งหมดคือปริภูมิตัวอยาง
8. ในการหาความนาจะเปนของเหตุการณ E ที่เปนสับเซตของปริภูมิตัวอยางโดยใชบทนิยาม P(E) = n
N เมื่อ n เปนจํานวนสมาชิกของเหตุการณ และ N เปนจํานวน
สมาชิกของปริภูมิตัวอยาง S จะใชไดก็ตอเมื่อ S เปนเซตจํากัดและแตละสมาชิกในปริภูมิตัวอยาง S มีโอกาสเกิดขึ้นไดเทา ๆ กัน เชน
ก. ในถุงใบหนึ่งมีลูกบอลสีแดง 10 ลูก สีขาว 5 ลูก หยิบลูกบอลมา 1 ลูกสนใจสีของลูกบอลที่หยิบได ปริภูมิตัวอยาง คือ
S = {สีแดง, สีขาว}ถาสนใจเหตุการณ E ที่จะหยิบไดลูกบอลสีแดง
E = {สีแดง}ถาใชสูตรโดยไมพิจารณาเงื่อนไขจะได P(E) = 1
2 ซึ่งผิด เนื่องจากแตละสมาชิกในปริภูมิ
ตัวอยาง S มีโอกาสเกิดขึ้นไดไมเทากัน เพราะในถุงมีลูกบอลสีแดงมากกวาสีขาวดังนั้น โอกาสที่จะไดลูกบอลสีแดงจึงมีมากกวาโอกาสที่หยิบไดลูกบอลสีขาว แตถาเขียน Sและ E ใหมดังนี้
S = {x⏐x เปนลูกบอลในถุง}E = {x⏐x เปนลูกบอลสีแดงในถุง}
จะใชสูตร P(E) = nN
ได เพราะสมาชิกแตละตัวใน S มีโอกาสที่จะถูกหยิบไดเทา ๆ กัน
ดังนั้น จะได P(E) = 1015
124
ถา E เปนเหตุการณที่จะไดผลรวมของแตมเปน 3 จากการทอดลูกเตา 2 ลูก 1 ครั้งจะหา P(E) โดยใชปริภูมิตัวอยาง S = {2, 3, 4, ..., 12} ไมได เนื่องจากแตละ
สมาชิกในปริภูมิตัวอยาง S มีโอกาสเกิดขึ้นไดไมเทากัน เชน การที่จะไดผลรวมเปน 2 มีโอกาสเกิดขึ้นไดวิธีเดียวคือ ลูกแรกขึ้น 1 และลูกหลังขึ้น 1 ดวย แตการที่จะไดผลรวมเปน3 มีได 2 วิธี คือ
ลกูแรกขึ้น 1 และลูกหลังขึ้น 2ลูกแรกขึ้น 2 และลูกหลังขึ้น 1จะเห็นวา การที่จะไดผลรวมของแตมเปน 3 มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นไดมากกวาที่จะ
ไดผลรวมของแตมเปน 2 ดังนั้น ในการหาความนาจะเปนโดยใชสูตร P(E) = nN
ปริภูมิตัวอยาง S จะตองประกอบดวยสมาชิกที่มีโอกาสเกิดขึ้นไดเทา ๆ กันคือS = {(1, 1), (1, 2), ...., (1, 6), ...
(6, 1), (6, 2), ..., (6, 6)}E = {(1, 2), (2, 1)}
9. ผูสอนควรใหผูเรียนใชกฎที่สําคัญบางประการของความนาจะเปน และชี้ใหเห็นวาปญหาบางปญหาอาจทําไดทั้ง 2 วิธี แตบางครั้งการใชกฎทําใหหาคําตอบไดรวดเร็วกวา เชน
การทอดลูกเตา 3 ลูก ใหหาความนาจะเปนที่ผลรวมของแตมบนหนาลูกเตามากกวา 3 ให E1 เปนเหตุการณที่ผลบวกของแตมเปน 3
E2 เปนเหตุการณที่ผลบวกของแตมมากกวา 3 ( ){ }1E = 1,1,1
ในการทอดลูกเตา 3 ลูก 1 ครั้ง จํานวนวิธีที่จะเกิดผลลัพธมีได6 × 6 × 6 = 63 วิธี P(E1) = 3
16
แต E2 เปนคอมพลีเมนตของเหตุการณ E1
ดังนั้น P(E2) = 3
116
−
10. ในการใชสูตรP(E1 ∪ E2) = P(E1) + P(E2)
125
ผูสอนควรชี้ใหเห็นวา สูตรนี้ใชไดเมื่อ E1 และ E2 เปนเหตุการณที่ไมเกิดรวมกันเทานั้น ผูสอนควรใหผูเรียนยกตัวอยางเหตุการณ E1, E2 แลวหาวา E1 ∩ E2 เปนเซตวางหรือไม ถา E1 ∩ E2 = ∅ แสดงวา เหตุการณ E1 และ E2 เปนเหตุการณที่ไมเกิดรวมกัน บางครั้งเปนการยากที่จะแจกแจงเซต E1, E2 ซึ่งทําใหพิจารณาจาก E1 ∩ E2 ไมไดการพิจารณาวา E1 และ E2 เปนเหตุการณที่เกิดรวมกันหรือไม จึงตองพิจารณาสมบัติของสมาชิกใน E1 วาเปนสมาชิกใน E2 ไดหรือไม ถาไดแสดงวา E1 และ E2 เปนเหตุการณที่เกิดรวมกันจึงตองใชสูตร
P(E1 ∪ E2) = P(E1) + P(E2) – P(E1 ∩ E2)ผูสอนอาจยกตัวอยางของการพิจารณาวาเหตุการณ 2 เหตุการณเปนเหตุการณ
ที่ไมเกิดรวมกัน เชนดึงไพ 2 ใบ จากไพสํารับหนึ่งซึ่งมี 52 ใบ จงหาความนาจะเปนที่หยิบไดไพ
โพดํา 2 ใบ หรือโพแดงอยางนอย 1 ใบให E1 เปนเหตุการณซึ่งไดโพดํา 2 ใบE2 เปนเหตุการณซึ่งไดโพแดงอยางนอย 1 ใบจะหา P(E1 ∪ E2)เนื่องจากสมาชิกของเหตุการณใน E1 ไมมีสมบัติที่จะเปนสมาชิกในเหตุการณ
E2 เพราะในการหยิบไพ 2 ใบ เมื่อหยิบไดโพดํา 2 ใบ แลวจะหยิบไพโพแดงอยางนอยอีก1 ใบ ยอมเปนไปไมได ดังนั้น E1 และ E2 จึงเปนเหตุการณที่ไมเกิดรวมกัน
จะได P(E1 ∪ E2) = P(E1) + P(E2)วิธีที่จะหยิบไพ 2 ใบ จากไพ 52 ใบ มี 52
2⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
วิธี
วิธีที่จะหยิบไพ 2 ใบ และเปนโพดําทั้งคูมี 132
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
วิธี
ดังนั้น P(E1) =132522
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
วิธีที่จะหยิบไพ 2 ใบ ใหไดโพแดงอยางนอย 1 ใบ เทากับ จํานวนวิธีที่จะหยิบไพโพแดง 1 ใบ และไพอ่ืน ๆ 1 ใบ รวมกับจํานวนวิธีที่จะหยิบไพ 2 ใบ ไดโพแดงทั้ง 2 ใบ
ดังนั้น จํานวนวิธีที่จะไดโพแดงอยางนอย 1 ใบ เทากับ 131
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
391
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
+ 132
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
126
จะได P(E2) =13 39 131 1 2
522
⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞+⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎜ ⎟
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
ดังนั้น P(E1 ∪ E2) = P(E1) + P(E2)
=13 13 39 132 1 1 252 522 2
⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞+⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎜ ⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠+⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
กิจกรรมเสนอแนะกฎเกณฑเบื้องตนเกี่ยวกับการนับ
1. ในการสอนเรื่องนี้ ผูสอนอาจใหตัวอยางโจทยปญหาที่ใชกฎเกณฑเบื้องตนเกี่ยวกับการนับ โดยใหผูเรียนแสดงวิธีทําหลาย ๆ วิธีเชน
1.1 โดยอาศัยแผนภาพตนไม1.2 โดยอาศัยผลคูณคารทีเซียน1.3 โดยอาศัยกฎการบวก และกฎการคูณของกฎเกณฑเบื้องตนเกี่ยวกับการนับ
2. ผูสอนยกตัวอยางโจทยที่มีเงื่อนไขบางอยางในตัว เชน ใชตัวเลข 0, 1, 2, 3, 4และ 5 เขียนจํานวนที่มีสามหลักที่เปนจํานวนคูไดทั้งหมดกี่จํานวน ถา
1) ตัวเลขในแตละหลักซ้ํากันได2) ตัวเลขในแตละหลักไมซ้ํากันกอนที่ผูสอนจะใหผูเรียนหาจํานวนที่มีสามหลักที่เปนจํานวนคูซึ่งเขียนไดโดยใช
ตัวเลข 0, 1, 2, 3, 4 และ 5 และตัวเลขในแตละหลักซ้ํากันได ผูสอนอาจใชคําถามเพื่อชวยใหผูเรียนหาคําตอบไดงายขึ้น ดังนี้
2.1 ผูสอนใหผูเรียนอธิบายความหมายของจํานวนที่มีสามหลักซึ่งผูเรียนอาจอธิบายไดวา หมายถึงจํานวนที่ประกอบดวยเลขโดด 3 ตัว โดยที่ตัวเลขในหลกัรอยตองไมเปน 0
2.2 ผูสอนถามผูเรียนวาคําวาตัวเลขในแตละหลักซ้ํากันได หมายความวาอยางไรพรอมทั้งใหผูเรียนยกตัวอยาง ซึ่งผูเรียนควรตอบไดวาตัวเลขในหลักหนวยหลักสิบหรือหลักรอยอาจเหมือนกันได เชน 221, 303, 444 เปนตน
127
2.3 ผูสอนถามผูเรียนวาจํานวนคูหมายความวาอยางไร พรอมทั้งใหยกตัวอยางจํานวนที่มีสามหลักที่เปนจํานวนคู ผูเรียนควรตอบไดวา หมายถึงจํานวนที่ 2 หารลงตัว
2.4 ผูสอนถามวา สําหรับปญหาขางตนผูเรียนคิดวาตัวเลขในหลักหนวยควรเปนตัวเลขอะไรไดบาง ซึ่งผูเรียนควรตอบไดวา 0, 2 และ 4 พรอมทั้งยกตัวอยางจํานวนคูที่มีสามหลัก เชน 344, 430, 552
ผูสอนถามผูเรียนตอไปวา จากตําแหนงของตัวเลขในสามหลักนี้ จะเขียนตัวเลขในหลักหนวยไดกี่วิธี นักเรียนควรตอบไดวามี 3 วิธี (คือ 0, 2 หรือ 4) ผูสอนถามตอไปวาในแตละวิธีที่เขียนตัวเลขในหลักหนวยจะเขียนตัวเลขในหลักสิบไดกี่วิธี ผูเรียนควรตอบไดวา 6 วิธี (คือตัวเลขทุกตัว) ผูสอนถามตอวา ในทํานองเดียวกันจะเขียนตัวเลขในหลักรอยไดกี่วิธี ผูเรียนควรตอบไดวา 5 วิธี (คือ 1, 2, 3, 4 หรือ 5)
ผูสอนใหผูเรียนหาจํานวนวิธีเขียนตัวเลขดังกลาว โดยเริ่มจากวิธีเขียนตัวเลขในหลักรอยหรือหลักสิบกอน ซึ่งผูเรียนจะเห็นวาไดคําตอบเทากัน
ผูสอนและผูเรียนชวยกันสรุปวา เนื่องจากตัวเลขในแตละหลักซ้ํากันไดดังนั้น การหาหลักใดกอนหลังก็ได
การหาจํานวนคูที่มีสามหลักที่แตละหลักซ้ํากันได จึงควรเปนดังนี้เขียนตัวเลขในหลักหนวยได 3 วิธี (คือ 0, 2, 4)แตละวิธีที่เขียนตัวเลขในหลักหนวยเขียนตัวเลขในหลักสิบได 6 วิธี (คือ 0, 1,
2, 3, 4, 5) แตละวิธีที่เขียนตัวเลขในหลักหนวยและหลักสิบ เขียนตัวเลขในหลักรอยได 5 วิธี(คือ 1, 2, 3, 4, 5)
ดังนั้น จํานวนที่มีสามหลักที่เปนจํานวนคูและตัวเลขในแตละหลักซ้ํากันได จึงมีทั้งหมด 5 × 6 × 3= 90 จํานวน
ผูสอนถามผูเรียนวาการหาจํานวนวิธีที่จะเขียนจํานวนที่มีสามหลักที่เปนจํานวนคูควรเริ่มที่หลักใด เพราะเหตุใด
ผูสอนและผูเรียนลองทําโจทย โดยเริ่มจากหลักหนวยกอนซึ่งจะพบปญหาวาถาหลักหนวยเปน 2 หรือ 4 ที่ไมใช 0 แลวจะทําใหเกิดความยุงยากเมื่อหาจํานวนที่เขียนตัวเลขในหลักรอย เพราะการที่หลักหนวยเปน 0 หรือหลักหนวยเปน 2 หรือ 4 ทําใหจํานวนวิธีเขียนตัวเลขในหลักรอยไมเทากัน การพิจารณาจึงตองแยกออกเปน 2 กรณี คือ กรณีที่ 1เมื่อหลักหนวยเปน 0 แลวหาจํานวนวิธีหลักอื่น ๆ ที่เหลือ โดยจะหาหลักใดกอนก็ไดกรณีที่ 2 เมื่อหลักหนวยเปน 2 หรือ 4 ตองหาจํานวนวิธีเขียนตัวเลขในหลักรอยกอน (เพื่อ
128
ไมให 0 อยูในหลักนี้) แลวจึงหาวิธีเขียนหลักสิบดังนั้น ในการหาจํานวนดังกลาวควรทําดังนี้
กรณีท่ี 1 เมื่อหลักหนวยเปน 0ตัวเลขในหลักหนวยเขียนได 1 วิธีแตละวิธีที่ตัวเลขในหลักหนวยเปน 0 เขียนตัวเลขในหลักสิบได 5 วิธี(คือ 1, 2, 3, 4, 5)แตละวิธีที่เขียนตัวเลขในหลักหนวยและหลักสิบ เขียนตัวเลขในหลักรอยได 4 วิธีดังนั้น จํานวนที่มีสามหลักที่เปนจํานวนคู ซึ่งหลักหนวยเปน 0 และตัวเลขในแตละหลักไมซ้ํากันได มีทั้งหมด 4 × 5 × 1 = 20 จํานวน
กรณีท่ี 2 เมื่อหลักหนวยเปน 2 หรือ 4ตัวเลขในหลักหนวยเขียนได 2 วิธี (คือ 2 หรือ 4)แตละวิธีที่เขียนตัวเลขในหลักหนวย จะเขียนตัวเลขในหลักรอยได 4 วิธี(คือ 1, 2, 3, 5 หรือ 1, 3, 4, 5)แตละวิธีที่เขียนตัวเลขในหลักหนวยและหลักรอย เขียนตัวเลขในหลักสิบได 4 วิธี (คือตัวเลขที่เหลือ)นั่นคือ จํานวนที่มีสามหลักที่เปนจํานวนคูซึ่งหลักหนวยเปน 2 หรือ 4 และตัวเลขในแตละหลักไมซ้ํากันได มีทั้งหมด 4 × 4 × 2 = 32 จํานวนดังนั้น จํานวนที่มีสามหลักที่เปนจํานวนคูและตัวเลขในแตละหลักไมซ้ํากันมีทั้งหมด 20 + 32 = 52 จํานวน
แฟกทอเรียล n1. ผูสอนใหความหมายของสัญลักษณ n! วา หมายถึง ผลคูณของจํานวนเต็มบวก
ตั้งแต 1 ถึง n จากนั้นผูสอนใหผูเรียนฝกหาจํานวนตาง ๆ ที่อยูในรูปแฟกทอเรียล เชน 9! = 1 ⋅ 2 ⋅ 3 ... 8 ⋅ 9
(n + 1)! = 1 ⋅ 2 ⋅ 3 ... n(n + 1) (n – 1)! = 1 ⋅ 2 ⋅ 3 ... (n – 2)(n – 1)
2. ผูสอนฝกใหผูเรียนเขียนจํานวนที่อยูในรูปแฟกทอเรียลใหอยูในรูปที่ไมมีแฟกทอเรียลปรากฏอยู เชน กําหนดจํานวน 7!3!
5!, (n 1)!
n!− ใหผูเรียนเขียนจํานวนเหลานี้
129
ในรูปที่ไมมีแฟกทอเรียลปรากฎอยู
3. ผูสอนใหผูเรียนฝกแกสมการที่มีรูปแฟกทอเรียลปรากฏอยู พรอมทั้งอาจชี้ใหเห็นดวยวา ผูเรียนอาจทําไดโดยใชอีกวิธีหนึ่งดังนี้
ถา (n 3)!(n 1)!++
= 30 จงหา n(n 3)(n 2)(n 1)!
(n 1)!+ + +
+ = 30
(n + 3)(n + 2) = 30 ---------- (1)เนื่องจากจํานวนทางซายของเครื่องหมาย “เทากับ” ในสมการ (1) เปนผลคูณ
ของจํานวนเต็มบวก 2 จํานวนที่ตางกันอยู 1 ดังนั้น เราจึงพยายามเขียนจํานวนที่อยูทางขวาของเครื่องหมาย “เทากับ” ใหอยูในรูปผลคูณของจํานวนเต็มบวก 2 จํานวน ที่ตางกันอยู 1เหมือนทางซาย
นั่นคือ จะเขียนสมการ (1) ใหมเปน (n + 3)(n + 2) = 6 × 5 จะได n + 3 = 6 และ n + 2 = 5
ดังนั้น n = 3
วิธีเรียงสับเปลี่ยนและวิธีจัดหมูมีธงสีตาง ๆ อยู 5 สี ธงละหนึ่งสี จงหาจํานวนวิธีที่จะสงสัญญาณธงโดย
อาศัยการสลับที่ธง 3 ธง เรียงตามแนวดิ่ง1. ในการสอนตามโจทยตัวอยางขางตน ผูสอนอาจเตรียมอุปกรณเปนธงกระดาษสี
ตาง ๆ 5 สี เพื่อใชประกอบคําอธิบายความหมายของสัญลักษณธงตามโจทย เมื่อผูเรียนเขาใจวิธีทําแลวอาจใหทํากิจกรรมตอเนื่องจากตัวอยางตามลําดบัขั้นตอนตอไปนี้
1.1 แบงกลุมผูเรียนออกเปน 5 กลุม เรียกชื่อกลุมวา กลุมที่ 1, 2, 3, 4 และ 5ตามลําดับ แลวใหแตละกลุมตอบคําถามตอไปนี้
ก. ถาให ส1, ส2, ส3, ส4 และ ส5 แทนสีของธงแตละผืน แลวจะมีวิธีใหสัญญาณธงกี่วิธี ถากําหนดวาตองใชสีที่กํากับดวยตัวเลขเดียวกันกับชื่อของกลุมในตําแหนงที่หนึ่งของสัญญาณ
ข. ถาตองการใหแสดงสัญญาณธงที่เปนไปไดทั้งหมด จากโจทยตัวอยางขางตน ซึ่งมี 60 วิธี โดยการตัดกระดาษสี 5 สี เปนรูปสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ขนาดเทา ๆ กัน ติดลง
130
บนกระดาษขาว จะตองตัดกระดาษแตละสีเปนจํานวนเทาไร ค. ถาจะแบงกระดาษสีในขอ ข ใหแตละกลุมที่แบงไวเพื่อใชแสดงสัญญาณ
ธงของแตละกลุมตามคําถามขอ ก จะตองแบงกระดาษสีใหแตละกลุมอยางไร ง. ถาใหใชกระดาษสีตามที่แบงในขอ ค ติดลงบนกระดาษขาว เพื่อแสดง
สัญญาณธงทั้งหมดที่กลุมคํานวณไดในคําถามขอ ก วิธีหนึ่งที่ทําไดคือติดกระดาษสีลงไปโดยแผนแรกเปนสีที่ตัวเลขแสดงลําดับตรงกับลําดับของกลุม แผนที่สองและสามเลือกใชกระดาษสีไมซ้ํากัน เนื่องจากจํานวนกระดาษสีที่แบงตามขอ ค พอดีกับจํานวนวิธีอยูแลวจะสามารถติดกระดาษสีแสดงสัญญาณไดครบพอดี แตถาจะติดกระดาษสีใหสอดคลองกับกฎเกณฑเบื้องตนของการนับควรจะทําอยางไร
ใหแตละกลุมรายงานผลการพิจารณาหาคําตอบปญหา ก ถึง ง เมื่อเห็นวาคําตอบถูกตองดีแลว และตองการใหผูเรียนฝกปฏิบัติ ผูสอนอาจเตรียมอุปกรณที่ตองใชเพื่อใหผูเรียนปฏิบัติจริงตามคําตอบขอ ง ก็ได ในกรณีที่จําเปนอาจใหใชวิธีระบายสีแทนการติดกระดาษลงบนกระดาษขาวก็ได
1.2 การเสนอปญหาอภิปรายรวมในหอง ก. ถาผูสอนตองการใหผูเรียนแบงกลุมกันติดกระดาษสี เพื่อแสดงสัญญาณธง
ที่เปนไปไดทั้งหมดในโจทยตัวอยางขางตน ซึ่งมีทั้งหมด 60 วิธี โดยใหเริ่มตั้งแตการตัดกระดาษสีจากแผนใหญเปนชิ้นเล็ก ๆ วิธีที่งายที่สุดคือ แจกกระดาษสีใหแตละกลุม ๆ ละ 3 แผนใหญแผนละสี กระดาษสีของแตละกลุมจะเหมือนกันทั้งหมดไมได จากกระดาษสีที่มีสีเปน ส1, ส2,ส3, ส4 และ ส5 ผูสอนถามผูเรียนวาจะจัดแบงกลุมไดทั้งหมดกี่กลุม และแตละกลุมไดกระดาษสีใดบาง
ข. ถาแบงกลุมตามขอ ก แตละกลุมจะติดกระดาษสีแสดงสัญญาณธงไดกี่สัญญาณ
หลังการอภิปรายในขอ 1.2 ผูสอนอาจนําอภิปรายเพื่อสรุปวาการเรียงสับเปลี่ยนและการจัดหมูมีความสัมพันธกันอยางไร โดยบอกวาในปญหาขอ ก นั้น เปนการจัดหมูของ3 สิ่ง จาก 5 สิ่ง ซึ่งจํานวนวิธีเขียนดวยสัญลักษณเปน C5, 3 สวนปญหาในขอ ข นั้นเปนการนําสิ่งที่จัดหมูแลวมาจัดเรียงลําดับซึ่งแตละหมูจะจัดได 3! วิธี ทําใหไดวา
3! C5, 3 = P5, 3
และในกรณีทั่วไปจะไดวาr! Cn, r = Pn, r
131
หรือ Cn, r = n,rPr!
วิธีดังกลาวเปนการเชื่อมโยงการสอนเรื่องเดิมไปสูการสอนเรื่องใหมซึ่งเปนวิธีการเริ่มตนสอนเนื้อหาใหมวิธีหนึ่งหมายเหตุ 1. แนวตอบคําถามในกิจกรรม 1.1 และ 1.2 มีดังนี้
1.1 ก. แตละกลุมควรไดคําตอบเทากับ 1 × 4 × 3 = 12 วิธี ข. เนื่องจากตองแสดงสัญญาณทั้งสิ้น 60 สัญญาณ แตละสัญญาณใช
กระดาษ 3 ชิ้นเล็ก จึงเปนกระดาษชิ้นเล็กทั้งหมด 180 ชิ้น ดังนั้น แตละสีจึงตองตัดไว 36 ชิ้น
ค. แตละกลุมจะไดรับแบงกระดาษสีดังนี้ สีที่ตัวเลขแสดงลําดับตรงกับลําดับของกลุมจะไดรับ 12 ชิ้น สวนสี อ่ืนที่เหลือไดรับสีละ 6 ชิ้น
ง. ใชแผนภาพตนไมชวย เชน แผนภาพตนไมของกลุมที่ 1 และ 2 จะเปนไดดังนี้
ตําแหนงที่ 1 2 3
ส3 ส1 ส2 ส3
ส2 ส4 ส1 ส2 ส4
ส5 ส1 ส2 ส5
ส4 ส1 ส3 ส4
ส3 ส5 ส1 ส3 ส5
ส2 ส1 ส3 ส2
ส1
ส5 ส1 ส4 ส5
ส4 ส2 ส1 ส4 ส2
ส3 ส1 ส4 ส3
ส2 ส1 ส5 ส2
ส5 ส3 ส1 ส5 ส3
ส4 ส1 ส5 ส4
132
ตําแหนงที่ 1 2 3
ส4 ส2 ส3 ส4
ส3 ส5 ส2 ส3 ส5
ส1 ส2 ส3 ส1
ส5 ส2 ส4 ส5
ส4 ส1 ส2 ส4 ส1
ส3 ส2 ส4 ส3
ส2
ส1 ส2 ส5 ส1
ส5 ส3 ส2 ส5 ส3
ส4 ส2 ส5 ส4
ส3 ส2 ส1 ส3
ส1 ส4 ส2 ส1 ส4
ส5 ส2 ส1 ส5
จากแผนภาพตนไมจะไดวิธีติดกระดาษสีใหสอดคลองกับกฎเกณฑเบื้องตนของการนับโดยเริ่มติดกระดาษสีดังนี้
1. ติดกระดาษสีที่ตัวเลขแสดงลําดับตรงกับลําดับของกลุมในตําแหนงที่หนึ่งของสัญญาณทั้ง 12 สัญญาณ
2. ติดกระดาษสีอีกสี่สีที่เหลือในตําแหนงที่สองของสัญญาณโดยติดสีละ 3สัญญาณ (ดูแผนภาพตนไมประกอบ)
3. ติดกระดาษสีอีกสามสีที่เหลือในตําแหนงที่สามของสัญญาณโดยเลือกสีที่ไมซ้ํากับสองสีแรก
1.2 ก. 10 กลุม เชน กลุมที่ 1 ไดรับกระดาษ 3 สี คือ ส1 ส2 ส3
กลุมที่ 2 ไดรับกระดาษ 3 สี คือ ส1 ส2 ส4
กลุมที่ 3 ไดรับกระดาษ 3 สี คือ ส1 ส2 ส5
กลุมที่ 4 ไดรับกระดาษ 3 สี คือ ส2 ส3 ส4
133
กลุมที่ 5 ไดรับกระดาษ 3 สี คือ ส2 ส3 ส5
กลุมที่ 6 ไดรับกระดาษ 3 สี คือ ส3 ส4 ส5
กลุมที่ 7 ไดรับกระดาษ 3 สี คือ ส1 ส3 ส4
กลุมที่ 8 ไดรับกระดาษ 3 สี คือ ส1 ส3 ส5
กลุมที่ 9 ไดรับกระดาษ 3 สี คือ ส1 ส4 ส5
กลุมที่ 10 ไดรับกระดาษ 3 สี คือ ส2 ส4 ส5
จากคําตอบขอนี้จะไดวา ถาตองการเตรียมกระดาษสีแผนใหญใหทํากิจกรรมตองเตรียมไวสีละ 6 แผน
ข. 6 สัญญาณ
ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
1. ญาดาทอดลูกเตาสองลูก 1 ครั้ง จงหาความนาจะเปนที่จะไดแตมบนหนาลูกเตาทั้งสองดังนี้(1) แตมบนหนาลูกเตาทั้งสองเทากัน(2) ผลบวกของแตมบนหนาลูกเตาทั้งสองเปนจํานวนคู
2. ภากรสุมหยิบไพ 1 ใบ จากไพสํารับหนึ่ง ซึ่งมี 52 ใบ จงหาความนาจะเปนของเหตุการณที่ภากรจะหยิบไดไพหนาหัวใจหรือไพหนา King
3. บัตรหมายเลข 1 – 50 มีบัตรที่ใหรางวัลอยู 6 ใบ ถาสุมหยิบบัตรขึ้นมา 6 ใบจงหาความนาจะเปนที่จะไดบัตรที่ไดรับรางวัลทั้งหมด
4. เอกสะสมเหรียญสิบบาทไวในกระปุกออมสินดังนี้ เปนเหรียญสิบบาท พ.ศ. 2539 จํานวน 10 อัน และเหรียญสิบบาท พ.ศ. 2545 จํานวน 20 อัน ถาสุมหยิบเหรียญสิบบาทข้ึนมา 2 เหรียญ จงหาความนาจะเปนที่เอกจะหยิบไดเหรียญสิบบาท พ.ศ. 2539ทั้งสองเหรียญ
5. ถุงใบหนึ่งบรรจุลูกแกวสีแดง 8 ลูก ลูกแกวสีฟา 3 ลูก ลูกแกวสีเขียว 6 ลูก และลูกแกวสีเหลือง 3 ลูก ถาอภิรดีสุมหยิบลูกแกวครั้งละ 1 ลูก โดยไมใสคืนจํานวนสองครั้งจงหาความนาจะเปนที่อภิรดีจะหยิบไดลูกแกวสีแดงทั้งสองลูก
1346. สมาคมแหงหนึ่ง ตองการจะหาเงินชวยสถานสงเคราะหผูปวยโรคหัวใจ จึงออกสลาก
การกุศลจํานวน 500 ใบ เพื่อขายใหกับสมาชิกของสมาคมโดยขายในราคาใบละ 100 บาทและมีรางวัลพิเศษใหกับสมาชิกที่ซื้อสลาก 1 รางวัล เปนจักรยาน 1 คัน ถานวพลซื้อสลากการกุศลครั้งนี้ 10 ใบ จงหาความนาจะเปนที่นวพลจะไดรับรางวัลเปนรถจักรยาน 1 คัน
7. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5/2 ของโรงเรียนแหงหนึ่ง เปนนักเรียนชาย 19 คน และนักเรียนหญิง 21 คน ถาตองการเลือกตัวแทนของนักเรียนในหองนี้โดยการสุมครั้งละ1 คน จงหาความนาจะเปนที่จะไดตัวแทนนักเรียนชาย 1 คน และนักเรียนหญิง 1 คน
8. ตารางตอไปนี้แสดงจํานวนนักเรียนที่เดินทางมาโรงเรียนโดยการขี่จักรยานและนั่งรถประจําทางมา และมีบางขอมูลขาดหายไป
พาหนะจํานวนนักเรียน จักรยาน รถประจําทาง
นักเรียนชายนักเรียนหญิง
.......38
3246
รวม 122 .........
จงหาความนาจะเปนที่จะสุมนักเรียนมา 1 คน และเปนนักเรียนชายหรือนักเรียนที่นั่งรถประจําทางมาโรงเรียน
9. จงหาความนาจะเปนที่ณัฐจะโยนเหรียญ 1 เหรียญ และตกลงบนพื้นที่สวนที่แรเงา
10. การแขงขันเตะตะกรอของทีมสองทีมที่มีความสามารถเทาเทียมกัน 5 ครั้ง ทีมชนะเลิศจะตองเปนทีมแรกที่ชนะคูแขง 3 ครั้ง ถาทีม A ชนะการแขงขันครั้งแรก จงหาความนาจะเปนที่ทีม A จะเปนทีมที่ชนะเลิศ
135
เฉลยตัวอยางแบบทดสอบ
1. ให S เปนปริภูมิตัวอยางS = {(1, 1), (1, 2), (1, 3), (1, 4), (1, 5), (1, 6),
(2, 1), (2, 2), (2, 3), (2, 4), (2, 5), (2, 6), (3, 1), (3, 2), (3, 3), (3, 4), (3, 5), (3, 6), (4, 1), (4, 2), (4, 3), (4, 4), (4, 5), (4, 6), (5, 1), (5, 2), (5, 3), (5, 4), (5, 5), (5, 6), (6, 1), (6, 2), (6, 3), (6, 4), (6, 5), (6, 6)}
n(S) = 36ให E1 แทนเหตุการณที่ไดแตมบนหนาลูกเตาทั้งสองเทากันE1 = {(1, 1), (2, 2), (3, 3), (4, 4), (5, 5), (6, 6)}n(E1) = 6ให E2 แทนเหตุการณที่ผลบวกของแตมบนหนาลูกเตาทั้งสองเปนจํานวนคูE2 = {(1, 1), (1, 3), (1, 5), (2, 2), (2, 4), (2, 6),
(3, 1), (3, 3), (3, 5), (4, 2), (4, 4), (4, 6), (5, 1), (5, 3), (5, 5), (6, 2), (6, 4), (6, 6)}
n(E2) = 18P(E1) = 6
36 = 1
6 และ P(E2) = 18
36= 1
2
ดังนั้น ความนาจะเปนของเหตุการณที่จะไดแตมบนหนาลูกเตาทั้งสองเทากัน เทากับ 16
และความนาจะเปนของเหตุการณที่ผลบวกของแตมบนหนาลูกเตาทั้งสองเปนจํานวนคูเทากับ 1
2
2. ไพสํารับหนึ่ง มีไพหนาหัวใจจํานวน 13 ใบ และไพหนา King 4 ใบแตในไพหนาหัวใจจะมีไพหนา King รวมอยูดวย 1 ใบดังนั้น ไพหนาหัวใจหรือไพหนา King มีจํานวน 13 + 4 – 1 = 16 ใบให S เปนปริภูมิตัวอยาง
ดังนั้น n(S) = 521
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 52
136ให E แทนเหตุการณที่ไดไพหนาหัวใจหรือไพหนา King
n(E) = 161
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 16
P(E) = 1652
= 413
ดังนั้น ความนาจะเปนของเหตุการณที่ภากรจะหยิบไดไพหนาหัวใจหรือไพหนา Kingเทากับ 4
13
3. บัตรหมายเลข 1 – 50 มีจํานวนทั้งหมด 50 ใบให S เปนปริภูมิตัวอยางดังนั้น n(S) = 50
6⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 50!6!44!
= 15,890,700
ให E แทนเหตุการณที่หยิบไดบัตรที่ไดรับรางวัลทั้งหกใบn(E) = 6
6⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 6!6!0!
= 1
ดังนั้น ความนาจะเปนที่จะหยิบไดบัตรที่ไดรับรางวัลทั้งหมดเทากับ 115,890,700
4. เหรียญสิบบาทมีทั้งหมด 10 + 20 = 30 อันให S เปนปริภูมิตัวอยางดังนั้น n(S) = 30
2⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 435
ให E แทนเหตุการณที่เอกหยิบไดเหรียญสิบบาท พ.ศ. 2539 ทั้งสองเหรียญn(E) = 10
2⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 45
P(E) = n(E)n(S)
= 45435
= 987
ดังนั้น ความนาจะเปนที่เอกจะหยิบไดเหรียญสิบบาท พ.ศ. 2539 ทั้งสองเหรียญเทากับ 987
5. ลูกแกวทั้งหมดมี 8 + 3 + 6 + 3 = 20 ลูกให S เปนปริภูมิตัวอยาง
n(S) = 20 191 1
⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
= 380
ให E แทนเหตุการณที่อภิรดีหยิบไดลูกแกวสีแดงทั้งสองลูกn(E) = 8 7
1 1⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
= 56
137
P(E) = n(E)n(S)
= 56380
= 1495
ดังนั้น ความนาจะเปนที่อภิรดีจะหยิบไดลูกแกวสีแดงทั้งสองลูกเทากับ 1495
6. สลากการกุศลจํานวน 500 ใบให S เปนปริภูมิตัวอยาง
n(S) = 5001
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 500
ให E แทนเหตุการณที่นวพลจะไดรับรางวัลพิเศษn(E) = 10
1⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 10
P(E) = 10500
= 150
= 0.02ดังนั้น ความนาจะเปนที่นวพลจะไดรับรางวัลพิเศษเปนรถจักรยานเทากับ 0.02
7. จํานวนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5/2 มีทั้งหมด 19 + 21 = 40 คนให S เปนปริภูมิตัวอยาง
n(S) = 401
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
391
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 1,560
ให E แทนเหตุการณที่สุมไดนักเรียนชาย 1 คน และนักเรียนหญิง 1 คนn(E) = 19
1⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
201
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 380
P(E) = 3801,560
= 1978
ดังนั้น ความนาจะเปนที่จะไดตัวแทนนักเรียนชาย 1 คน และนักเรียนหญิง 1 คนเทากับ 19
78
8. จากตารางในโจทย จํานวนนักเรียนชายมี 122 – 38 = 84 คนและจํานวนนักเรียนที่นั่งรถประจําทางมี 32 + 46 = 78 คนดังนั้น จํานวนนักเรียนทั้งหมด 84 + 38 + 32 + 46 = 200 คนให S เปนปริภูมิตัวอยาง
n(S) = 2001
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 200
จํานวนนักเรียนชายหรือนักเรียนที่นั่งรถประจําทางมาโรงเรียน 84 + 32 + 46 = 162 คน
138ให E เปนเหตุการณที่สุมไดนักเรียนชายหรือนักเรียนที่นั่งรถประจําทางมาโรงเรียน
n(E) = 1621
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 162
P(E) = 162200
= 81100
= 0.81ดังนั้น ความนาจะเปนที่จะสุมนักเรียน 1 คน ที่เปนนักเรียนชายหรือนักเรียนที่นั่งรถประจําทางมาโรงเรียนเทากับ 0.81
9. รูปสี่เหลี่ยมผืนผามีดานยาว 12 หนวย และมีดานกวาง 10 หนวยพ้ืนที่ทั้งหมดเทากับ 12 × 10 = 120 ตารางหนวยพ้ืนที่สวนที่แรเงาเทากับ 1 18 3 8 5
2 2⎛ ⎞ ⎛ ⎞× × + × ×⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 12 + 20 = 32 ตารางหนวย
ดังนั้น ความนาจะเปนที่ณัฐจะโยนเหรียญ 1 เหรียญ ตกบนพื้นที่สวนที่แรเงาเทากับ32
120 = 4
15
10. ความนาจะเปนที่ทีมแตละทีมจะชนะเทากับ 12
ความนาจะเปนที่ทีม A ชนะจากการแขงขัน 3 ครั้ง เทากับ 3
12
= 18
ดังนั้น ในการแขงขัน 5 ครั้ง เมื่อทีม A เปนทีมที่ชนะในการแขงขันครั้งแรกความนาจะเปนของเหตุการณที่เกิดขึ้นมีดังนี้
AA 14
ABA 18
ABBA 116
BAA 18
BABA 116
BBAA 116
ดังนั้น ความนาจะเปนที่ทีม A จะเปนทีมที่ชนะเลิศเทากับ 1 1 1 1 1 14 8 8 16 16 16+ + + + +
= 4 2 2 1 1 116
+ + + + + = 1116
139
เฉลยแบบฝกหัด 3.1
1. เสนทางจาก X ไปยัง Y โดยผาน A มีเสนทางได 3 เสนทางเสนทางจาก X ไปยัง Y โดยผาน B มีเสนทางได 4 เสนทางเสนทางจาก X ไปยัง Y โดยผาน C มีเสนทางได 3 เสนทางดังนั้น มีจํานวนเสนทางจาก X ไปยัง Y ทั้งหมด 10 เสนทาง
D YA E Y
F YD YE Y
X B F YG YE Y
C F YG Y
2. จํานวนเสนทางจาก N ไปยัง S มีทั้งหมด 5 + 3 + 5 = 13 เสนทางโดยมีรายละเอียดดังแผนภาพ
S
N
1
A B C
I
D E
J
2 3
F G H
K
140จากแผนภาพขางตนสามารถเขียนเปนแผนภาพตนไมไดดังนี้
A I SA I S
1 B I SC I S
C I SD J S
N 2 E J SE J SF K S
G K S3 G K S
H K S G K S
3. (1) จํานวนเสนทางการเดินทางจาก A ไป B มี 3 เสนทาง(2) จํานวนเสนทางการเดินทางจาก B ไป C มี 1 เสนทาง(3) จํานวนเสนทางการเดินทางจาก C ไป D มี 5 เสนทาง(4) จํานวนเสนทางการเดินทางจาก D ไป E มี 6 เสนทาง(5) จํานวนเสนทางการเดินทางจาก A ไป E มี 90 เสนทาง
4. (1) จุดยอด X อยูที่จุด E หรือ F จํานวนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก 2 × 3 = 6 รูปจุดยอด Y อยูที่จุด E หรือ F จํานวนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก 2 × 3 = 6 รูปดังนั้น จํานวนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก XCY มี 12 รูป
(2) จํานวนรูปสามเหลี่ยมโดยมีจุดยอด 3 จุด จาก A, B, C, D, E, F มี 15 รูป
5. จากรูป ชวงที่ 1 มีจํานวนวิธีวางไดตางกัน 3 วิธี ชวงที่ 2 มีจํานวนวิธีวางไดตางกัน 2 วิธี ชวงที่ 3 มีจํานวนวิธีวางไดตางกัน 5 วิธี
ดังนั้น จํานวนวิธีทั้งหมด 3 × 2 × 5 = 30 วิธี
ชวงที่ 1
ชวงที่ 2
ชวงที่ 3
1416. มีจุดยอดอยูบนดาน 3 ดาน เกิดรูปสามเหลี่ยมได 3 × 2 × 3 = 18 รูป
มีฐานเปน 2 จุดใด ๆ บนดาน AC เกิดรูปสามเหลี่ยมได 3 × 5 = 15 รูปมีฐานเปน 2 จุดใด ๆ บนดาน BC เกิดรูปสามเหลี่ยมได 1 × 6 = 6 รูปมีฐานเปน 2 จุดใด ๆ บนดาน AB เกิดรูปสามเหลี่ยมได 3 × 5 = 15 รูปดังนั้น มีรูปสามเหลี่ยมทั้งหมด 18 + 15 + 6 + 15 = 54 รูป
7. เมื่อไมมีอักษร 2 ตัวติดกันซ้ํากันอักษรตัวที่หนึ่งเลือกได 26 วิธีอักษรตัวที่สองเลือกได 25 วิธีอักษรตัวที่สามเลือกได 25 วิธีอักษรตัวที่สี่เลือกได 25 วิธีอักษรตัวที่หาเลือกได 25 วิธีดังนั้น จะสรางคําไดทั้งหมด 26 × 254 คํา
8. จํานวนสับเซตที่มีสมาชิก 2 ตัว {a, b} โดยที่ a = 1, 2, 3, ... 93 เทากับ 93 × 7 = 651จํานวนสับเซตที่มีสมาชิก 2 ตัว โดยที่ a = 94, 95, 96, ... 99 เทากับ6 + 5 + 4 + 3 + 2 + 1 = 21 สับเซตดังนั้น จํานวนสับเซตทั้งหมด 651 + 21 = 672 สับเซต
9. ในการสรางจํานวน 3 หลัก ที่มีคามากกวา 300หลักรอย เลือกตัวเลขได 3 วิธี คือ 3 หรือ 4 หรือ 5หลักสิบ เลือกตัวเลขได 5 วิธีหลักหนวย เลือกตัวเลขได 4 วิธีดังนั้น จํานวนวิธีสรางจํานวน 3 หลัก ที่มีคามากกวา 300 จากเลขโดด 0, 1, 2, 3, 4และ 5 มี 3 × 5 × 4 = 60 วิธี
10. ขอสอบขอที่ 1 มีวิธีเลือกตอบได 2 วิธีขอสอบขอที่ 2 มีวิธีเลือกตอบได 2 วิธีขอสอบขอที่ 3 มีวิธีเลือกตอบได 2 วิธี
M
142ขอสอบขอที่ 10 มีวิธีเลือกตอบได 2 วิธีดังนั้น จํานวนวิธีตอบขอสอบทั้ง 10 ขอ 210 วิธี
11. ตัวเลขที่แสดงตอนที่นั่งมี 20 วิธีอักษรที่แสดงแถวที่นั่งมี 52 วิธีตัวเลขแสดงตําแหนงที่นั่งมี 30 วิธีดังนั้น จํานวนที่นั่งทั้งหมดมี 31,200 ที่นั่ง
12. ตัวอักษรตัวแรกเปนไปได 26 วิธีตัวอักษรตัวที่สองเปนไปได 26 วิธีตัวเลข 3 ตัว เปนไปได 10 × 10 × 10 วิธีตัวอักษรอีก 1 ตัว เปนไปได 26 วิธีตัวเลขอีก 2 ตัว เปนไปได 10 × 10 วิธีดังนั้น จํานวนหนังสือทั้งหมดในระบบนี้มี 263 × 105 เลมถาตัวอักษร 2 ตัวแรก แสดงหนังสือที่จัดไวเปนตอนดังนั้น หนังสือในแตละตอนมี 1 × 10 × 10 × 10 × 26 × 10 × 10 = 2,600,000 เลม
แบบฝกหัด 3.2 ก
1. (1) 210 (2) 1680 (3) 3802. n = 63. พิสูจน Pn, 1 + Pm, 1 = Pn+m, 1
Pn, 1 + Pm, 1 = n! m!(n 1)! (m 1)!
+− −
= n + m= (n m)!
((n m) 1)!+
+ −
= Pn+m, 1
4. สรางจํานวนที่มี 4 หลัก จากเลขโดด 5 ตัวดังนั้น จะสรางได P5, 4 = 5!
(5 4)!− = 5 × 4 × 3 × 2 × 1 = 120 จํานวน
1435. มีตําแหนงวางที่เปนชาย 3 ตําแหนง มีผูสมัครเปนชาย 6 คน
ดังนั้น มีจํานวนวิธีจัดชายเทากับ P6, 3 = 6!3!
= 6 × 5 × 4 = 120 วิธีมีตําแหนงวางที่เปนหญิง 2 ตําแหนง มีผูสมัครเปนหญิง 5 คนดังนั้น มีจํานวนวิธีจัดหญิงเทากับ P5, 2 = 5!
3! = 5 × 4 = 20 วิธี
จะได วิธีจัดคนที่มาสมัครเขาทํางาน 120 × 20 = 2400 วิธี
6. จัดชาย 6 คน ยืนเรียงแถวหนากระดานได 6! = 720 วิธี
ช1 ช2 ช3 ช4 ช5 ช6
จัดชาย 6 คน ยืนหนากระดานจะมีที่ใหผูหญิงแทรกได 7 ที่ผูหญิง 3 คน จะเลือกที่แทรกได 7 × 6 × 5 = 210 วิธีดังนั้น จํานวนวิธีจัดทั้งหมด 720 × 210 = 151200 วิธี
7. แยกเปน 2 กรณีกรณีที่ 1 หลักรอย เปนเลขคี่ คือ 3, 5 และ 7
หลักรอย เลือกตัวเลขได 3 วิธีหลักหนวย เลือกตัวเลขได 4 วิธี หลักหนวยเปนเลขคี่และตัวเลขใน
แตละหลักไมซ้ํากันหลักสิบ เลือกตัวเลขได 8 วิธี
มีวิธีสรางจํานวนได 3 × 4 × 8 = 96 วิธีกรณีที่ 2 หลักรอย เปนเลขคู คือ 4, 6, 8
หลักรอย เลือกตัวเลขได 3 วิธีหลักหนวย เลือกตัวเลขได 5 วิธี หลักหนวยเปนเลขคี่และตัวเลขใน
แตละหลักไมซ้ํากันหลักสิบ เลือกตัวเลขได 8 วิธี
มีวิธีสรางจํานวนได 3 × 5 × 8 = 120 วิธีดังนั้น จํานวนคี่ที่มีคามากกวา 300 แตนอยกวา 900 โดยที่ตัวเลขในแตละหลักไมซ้ํากันมี 96 + 120 = 216 จํานวน
1448. มีหนังสือที่แตกตางกัน 8 เลม เปนคณิตศาสตร 3 เลม
ดังนั้น เปนหนังสืออ่ืน ๆ จํานวน 5 เลม จัดเปนแถวยาวแถวเดียวได 5! วิธีจะได ที่ที่จะวางหนังสือคณิตศาสตรแทรกได จํานวน 6 ที่ดังนั้น จัดหนังสือคณิตศาสตรแทรกได 6 × 5 × 4 = 120 วิธีนั่นคือ จํานวนวิธีจัดหนังสือทั้ง 8 เลม เทากับ 5! × 120 = 14400 วิธี
9. เมื่อถายรูปทีละคน จะได 5 วิธีเมื่อถายรูปทีละสองคน จะได P5, 2 = 5!
3! = 20 วิธี
เมื่อถายรูปทีละสามคน จะได P5, 3 = 5!2!
= 60 วิธี
เมื่อถายรูปทีละสี่คน จะได P5, 4 = 5!1!
= 120 วิธีเมื่อถายรูปทีละหาคน จะได P5, 5 = 5! = 120 วิธีดังนั้น จะมีภาพที่แตกตางกันทั้งหมด 5 + 20 + 60 + 120 + 120 = 325 ภาพ
10. มีหนังสือทั้งหมด 3 + 2 + 4 = 9 เลม(1) มีวิธีจัดหนังสือ 9 เลม วางบนชั้นหนังสือได 9! วิธี(2) มีวิธีจัดหนังสือคณิตศาสตรในตําแหนงหัวแถวและหางแถวได 2 วิธี
หนังสืออีก 7 เลม จัดวางสลับกันได 7! วิธีดังนั้น มีวิธีจัดไดทั้งหมด 2(7!) วิธี
(3) จัดหนังสือแตละวิชามัดรวมกัน แลวนํามาจัดวางสลับกันได 3! วิธีหนังสือเคมี 3 เลม ที่มัดไว สลับที่กันเองไดอีก 3! วิธี หนังสือคณิตศาสตร 2 เลม ที่มัดไว สลับที่กันเองไดอีก 2! วิธีหนังสือภาษาอังกฤษ 4 เลม ที่มัดไว สลับที่กันเองไดอีก 4! วิธีดังนั้น มีวิธีจัดไดทั้งหมด 3! 3! 2! 4! = 1728 วิธี
11. มีเกาอี้วาง 6 ที่ มีคน 3 คน จัดที่นั่งโดยไมมีใครนั่งติดกัน มีได 4 รูปแบบดังนี้แบบที่ 1 คนที่ 1 _____ คนที่ 2 _____ คนที่ 3 ______แบบที่ 2 คนที่ 1 _____ คนที่ 2 _____ ______ คนที่ 3 แบบที่ 3 คนที่ 1 _____ _____ คนที่ 2 ______ คนที่ 3 แบบที่ 4 _____ คนที่ 1 _____ คนที่ 2 ______ คนที่ 3
145ในแตละแบบ สลับที่คนนั่งไดอีก 3!ดังนั้น จํานวนวิธีทั้งหมด 4(3!) = 24 วิธี
แบบฝกหัด 3.2 ข
1. วิธีจัดเรียงหนังสือทั้งหมดบนชั้นวางหนังสือคือ 9!3!2!4!
= 9 8 7 6 53 2 2
× × × ×× ×
= 1260 วิธี2. วิธีจัดเรียงหลอดไฟประดับตามรั้วในแนวเสนตรงคือ 15!
4!5!6! วิธี
3. คําวา ENTRANCE มี E 2 ตัว N 2 ตัวT 1 ตัว R 1 ตัวA 1 ตัว C 1 ตัว
จัดโดยไมมีเงื่อนไข มีวิธีจัดได 8!2!2!
= 10080 วิธี
ถาจัดให E อยูติดกันเสมอ มีวิธีจัดได 7!2!
= 2520 วิธีดังนั้น จํานวนวิธีจัดเรียงโดยที่ E ไมอยูติดเทากับ 7560 วิธี
4. นําเลขโดด 0, 2, 2, 3, 3, 3, 4 มาจัดเรียงอยางไมมีเงื่อนไข จะได 7!2!3!
= 420 วิธี
ถาเลขโดด 0 อยูหลักลาน เลขโดดที่เหลือนํามาจัดได 6!2!3!
= 60 วิธีดังนั้น จํานวนที่มีคามากกวาหนึ่งลานมี 420 – 60 = 360 จํานวน
5. เลือกลูกบอล 4 ลูก แยกกรณีไดดังนี้กรณีที่ 1 สีแดง 1 ลูก สีขาว 1 ลูก สีเหลือง 1 ลูก สีดํา 1 ลูก
จัดเรียงเปนแถวตรงได 4! = 24 วิธีกรณีที่ 2 สีดํา 2 ลูก สีอ่ืนอีก 2 ลูก
จัดเรียงเปนแถวตรงได 4!(3)2!
= 36 วิธี ดังนั้น มีวิธีจัดทั้งหมด 24 + 12 + 36 = 72 วิธี
กรณีที่ 3 สีดํา 3 ลูก สีอ่ืนอีก 1 ลูกจัดเรียงเปนแถวตรงได 4!(3)
3! = 12 วิธี
1466. (1) จํานวนที่สรางมีคาอยูระหวาง 400,000 ถึง 500,000
ดังนั้น หลักแสนจะตองเปนตัวเลข 4 จะสรางจํานวนทั้งหมดได 5!
3!= 20 จํานวน
(2) จํานวนที่สรางมีคามากกวา 500,000ดังนั้น หลักแสนจะตองเปนตัวเลข 5
จะสรางจํานวนทั้งหมดได 5!2!2!
= 30 จํานวน(3) จํานวนที่สรางมีคามากกวา 400,000 และเปนจํานวนคู
ดังนั้น หลักแสนจะตองเปนตัวเลข 4 หรือ 5 หลักหนวยเปนตัวเลข 0 หรือ 4หลักแสนเปน 4 หลักหนวยเปน 0 จะได 4!
3! = 4 จํานวน
หลักแสนเปน 4 หลักหนวยเปน 4 จะได 4!3!
= 4 จํานวน
หลักแสนเปน 5 หลักหนวยเปน 0 จะได 4!2!2!
= 6 จํานวน
หลักแสนเปน 5 หลักหนวยเปน 4 จะได 4!2!
= 12 จํานวนจะสรางจํานวนทั้งหมดได 4 + 4 + 6 + 12 = 26 จํานวน
7. (1) จํานวนเสนทางจาก Oไปยัง P มีทั้งหมด 15!7!8!
= 6435 เสนทาง
(2) จํานวนเสนทางจาก O ไปยัง P ที่ผาน A มี 8! 7!4!4! 3!4!
⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
= 2450 เสนทาง
(3) จํานวนเสนทาง O ไป P โดยไมผาน A มี 6435 – 2450 = 3985 เสนทาง
แบบฝกหัด 3.2 ค
1. นักเรียนชาย 3 คน ติดกัน นักเรียนหญิง 3 คน ติดกัน นั่งรอบโตะกลมจัดได 1 วิธีแตนักเรียนชาย 3 คน ติดกัน สลับที่กันได 3! วิธีนักเรียนหญิง 3 คน ติดกัน สลับที่กันได 3! วิธีจะไดวิธีจัดทั้งหมด 3!3! = 36 วิธี
2. (1) จัดคน 6 คน นั่งโตะกลมได 5! = 120 วิธี(2) ถาพอและแมนั่งติดกัน คิดพอแมรวมกันเปน 1 กลุม
147จัด 4 คน กับอีก 1 กลุม นั่งโตะกลมได 4! วิธีแตพอแมสลับที่กันได 2 วิธีวิธีทั้งหมดจัดได 2(4!) = 48 วิธี
(3) พอและแมนั่งตรงขามกันเสมอใหพอหรือแมนั่งคงที่ ลูก 4 คน สลับที่กันได 4! วิธีวิธีทั้งหมดจัดได 4! = 24 วิธี
(4) จัดลูก 4 คน นั่งโตะกลมกอน จัดได 3! วิธีมีที่ใหพอและแมนั่งแทรกได 4 ที่ดังนั้น จัดใหพอแมตองแยกกันได 4 × 3 = 12 วิธีวิธีทั้งหมดจัดได (3!)(12) = 72 วิธี
3. จัดเด็กชาย 4 คน นั่งโตะกลมกอน จะจัดได 3! วิธีมีที่ใหเด็กหญิง 3 คน แทรกได 4 ที่ดังนั้น จัดเด็กหญิงนั่งแยกกันได 4 × 3 × 2 = 24 วิธีวิธีทั้งหมดที่จัดได (3!)(24) = 144 วิธี
4. จัดธงของชาติตาง ๆ 5 ผืน ประดับรอบวงเวียนกอน จะจัดได 4! วิธีมีที่ใหธงไทยผืนแรกแทรกได 5 วิธีมีที่ใหธงไทยผืนที่สองแทรกได 4 วิธีดังนั้น จัดธงไทย 2 ผืน แยกกันได 5 × 4 = 20 วิธีวิธีทั้งหมดที่จัดได (4!)(20) = 480 วิธี
แบบฝกหัด 3.3
1. จํานวนวิธีที่เลือกนักเรียนชาย 2 คน จาก 20 คน เทากับ 202
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
วิธี
จํานวนวิธีที่เลือกนักเรียนหญิง 2 คน จาก 25 คน เทากับ 252
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
วิธี
จํานวนวิธีที่เลือกครู 1 คน จากครู 7 คน เทากับ 71⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
วิธี
ดังนั้น จํานวนวิธีทั้งหมด 202
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
252
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
71⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 399000 วิธี
1482. (1) สมชายไดรับเลือกเปนกรรมการ
ดังนั้น จะเลือกกรรมการไดอีก 2 คน จากสมาชิก 19 คนที่เหลือเทากับ 19
2⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 171 วิธี
(2) ถาสามีเปนกรรมการจะเลือกกรรมการอีก 2 คน จากสมาชิก 18 คน ไดเทากับ182
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
วิธี
ถาภรรยาเปนกรรมการจะเลือกกรรมการอีก 2 คน จากสมาชิก 18 คน ไดเทากับ182
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
วิธี
ถาภรรยาและสามีไมไดเปนกรรมการทั้งคู จะเลือก 3 คน จาก 18 คน ไดเทากับ183
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
วิธี
ดังนั้น เลือกกรรมการไดทั้งหมด 18 182
2 3⎛ ⎞ ⎛ ⎞
+⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 1122 วิธี
3. เลือกจุด 2 จุด เพื่อลากเสนตรงจากจุดทั้งหมด 10 จุด ไดเทากับ 102
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 45 เสน
4. (1) หยิบสีแดง 1 ลูก จากสีแดง 5 ลูก ได 51⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
วิธี
หยิบสีขาว 1 ลูก จากสีขาว 3 ลูก ได 31⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
วิธี
หยิบสีน้ําเงิน 1 ลูก จากสีน้ําเงิน 3 ลูก ได 31⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
วิธี
วิธีหยิบไดครบทุกสี (5)(3)(3) = 45 วิธี
(2) หยิบสีแดง 1 ลูก สีอ่ืน 2 ลูก ได 51⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
62⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 75 วิธี
หยิบสีแดง 2 ลูก จากสีอ่ืน 1 ลูก ได 5 62 1⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
= 60 วิธี
หยิบสีแดง 3 ลูก ได 53⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 10 วิธี
วิธีหยิบไดสีแดงอยางนอย 1 ลูก 75 + 60 + 10 = 145 วิธี
(3) หยิบสีน้ําเงิน 1 ลูก สีอ่ืนที่ไมใชสีขาวอีก 2 ลูก ได 3 51 2⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
= 30 วิธี
149
หยิบสีน้ําเงิน 2 ลูก สีอ่ืนที่ไมใชสีขาวอีก 1 ลูก ได 3 52 1⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
= 15 วิธี
หยิบสีน้ําเงิน 3 ลูก ได 33⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 1 วิธี
วิธีหยิบไดสีน้ําเงินอยางนอย 1 ลูก แตไมไดสีขาว 30 + 15 + 1 = 46 วิธี
5. เลือกชาย 1 คน เลือกหญิง 2 คน ได 4 51 2⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
= 40 วิธี
เลือกชาย 2 คน เลือกหญิง 1 คน ได 4 52 1⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
= 30 วิธี
เลือกชาย 3 คน ได 43⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 4 วิธี
วิธีเลือกผูแทนโดยมีชายอยางนอย 1 คน มี 40 + 30 + 4 = 74 วิธี
6. ผูสมัคร 2 คน อุดมพร และเกศราภรณ ไมถูกเลือกทั้งคูดังนั้น เลือกกรรมการ 5 คน จาก 9 คนได 9
5⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 126 วิธี
ผูสมัคร 2 คน อุดมพร และเกศราภรณ จะไมถูกเลือกพรอมกันเลือกกรรมการ 4 คน จาก 9 คน ได 9
4⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 126 วิธี
และเลือกกรรมการอีก 1 คน จาก 2 คน ที่กําหนดได 21⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 2 วิธี
ดังนั้น เลือกกรรมการ 5 คน ได 2(126) = 252 วิธีจะได จํานวนวิธีเลือกกรรมการทั้งหมด 126 + 252 = 378 วิธี
7. กรณีที่ 1 เลือกมังคุดกับละมุดดังนั้น ผลไมอีก 1 ชนิด จะเลือกจากผลไม 4 ชนิดที่เหลือ จะได 4
1⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 4 วิธี
กรณีที่ 2 ไมเลือกมังคุดกับละมุดดังนั้น เลือกผลไม 3 ชนิด จากผลไม 4 ชนิดที่เหลือ จะได 4
3⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 4 วิธี
จํานวนวิธีเลือกทั้งหมด 4 + 4 = 8 วิธี
1508. กรณีที่ 1 สรางรูปสามเหลี่ยม
จะเลือกจุด 3 จุด จากจุด 6 จุด ได 63⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 20 วิธี
กรณีที่ 2 สรางรูปสี่เหลี่ยมจะเลือกจุด 4 จุด จากจุด 6 จุด ได 6
4⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 15 วิธี
กรณีที่ 3 สรางรูปหาเหลี่ยมจะเลือกจุด 5 จุด จากจุด 6 จุด ได 6
5⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 6 วิธี
กรณีที่ 4 สรางรูปหกเหลี่ยมจะเลือกจุด 6 จุด จากจุด 6 จุด ได 6
6⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 1 วิธี
ดังนั้น จะสรางรูปเหลี่ยมไดทั้งหมด 20 + 15 + 6 + 1 = 42 วิธี
แบบฝกหัด 3.4
1. (1) (2x2 – y)5 = (2x2 + (–y))5
= 50⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
(2x2)5 + 51⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
(2x2)4(–y) + 52⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
(2x2)3(–y)2 + 53⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
(2x2)2(–y)3
+ 54⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
(2x2)(–y)4+ 55⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
(–y)5
= 32x10 – 80x8y + 80x6y2 – 40x4y3 + 10x2y4 – y5
(2) 72(3x )y
− = 72(3x ( ))y
+ −
= 7 6 5 27 7 72 2(3x) (3x) ( ) (3x) ( )0 1 2y y⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞
+ − + −⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
4 3 3 4 2 57 7 72 2 2(3x) ( ) (3x) ( ) (3x) ( )3 4 5y y y⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞
+ − + − + −⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
6 77 72 2(3x)( ) ( )6 7y y⎛ ⎞ ⎛ ⎞
+ − + −⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
=6 5 4 3
72 3 4
x x x x2187x 10206 20412 22680 15120y y y y
− + − +
2
5 6 7
x x 1286048 1344y y y
− + −
151
(3) (2x + 3y)5 = 5 4 3 2 2 35 5 5 5(2x) (2x) (3y) (2x) (3y) (2x) (3y)
0 1 2 3⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞
+ + +⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
4 55 5(2x)(3y) (3y)
4 5⎛ ⎞ ⎛ ⎞
+ +⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 32x5 + 240x4y + 720x3y2 + 1080x2y3 + 810xy4 + 243y5
(4)4
x 32 y
⎛ ⎞+⎜ ⎟
⎝ ⎠= 4 3 2 24 4 4x x 3 x 3( ) ( ) ( ) ( ) ( )
0 1 22 2 y 2 y⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞
+ +⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
3 44 4x 3 3( )( ) ( )3 42 y y⎛ ⎞ ⎛ ⎞
+ +⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
=4 3 2
2 3 4
x 3x 27x 54x 8116 2y 2y y y
+ + + +
2. อาศัยทฤษฎีบททวินาม พจนที่มี x6y4 ของการกระจาย (2x + 3y)10 คือ 6 410(2x) (3y)
4⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 6 4210(64x )(81y )
= 1088640x6y4
ดังนั้น สัมประสิทธิ์ของ x6y4 คือ 1088640
3. อาศัยทฤษฎีบททวินาม พจนที่ x5y16 ของการกระจาย (x + 2y2)13 คือ 5 2 813(x) (2y )
8⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 1287 x5 (256y16)= 329472x5y16
ดังนั้น สัมประสิทธิ์ของ x5y16 คือ 329472
4. อาศัยทฤษฎีบททวินาม พจนที่มี x9y14 ของการกระจาย (x3 – 3y2)10 คือ 3 3 2 710(x ) ( 3y )
7⎛ ⎞
−⎜ ⎟⎝ ⎠
= 120x9 (–2187y14)= –26 2440 x9y14
ดังนั้น สัมประสิทธิ์ของ x9y14 คือ –262440
5. อาศัยทฤษฎีบททวินาม พจนที่มี x7 ของการกระจาย (2x – 3)10 คือ 7 310(2x) ( 3)
3⎛ ⎞
−⎜ ⎟⎝ ⎠
= 120(128x7)(–27)= –414720x7
ดังนั้น สัมประสิทธิ์ของ x7 คือ –414720
152
6. อาศัยทฤษฎีบททวินาม พจนที่ไมมี x ของการกระจาย 2
6x 3( )4 x− คือ
22 46 x 3( ) ( )
4 4 x⎛ ⎞
−⎜ ⎟⎝ ⎠
=4
4
x 8115( )( )16 x
= 121516
เฉลยแบบฝกหัด 3.5 ก
1. (1) ให S แทนปริภูมิตัวอยางลูกบอลสีแดงลูกที่หนึ่งแทนดวย ด1 ลูกบอลสีแดงลูกที่สองแทนดวย ด2
ลูกบอลสีขาวลูกที่หนึ่งแทนดวย ข1 ลูกบอลสีขาวลูกที่สองแทนดวย ข2
S = {(ด1,ด1), (ด1,ด2), (ด1,ข1), (ด1,ข2), (ด2,ด1),( ด2,ด2), (ด2,ข1), (ด2,ข2), (ข1,ด1),(ข1,ด2), (ข1,ข1), (ข1,ข2), (ข2,ด1), (ข2,ด2), (ข2,ข1), (ข2,ข2)}
(2) ให E แทนเหตุการณที่ไดลูกบอลทั้งสองลูกเปนสีขาวE = {(ข1,ข1), (ข1,ข2), (ข2,ข1), (ข2,ข2)}
2. (1) ให S แทนปริภูมิตัวอยางที่สนใจการขึ้นหนาของเหรียญS = {(H,H,H), (H,H,T), (H,T,H), (H,T,T), (T,H,H), (T,H,T), (T,T,H), (T,T,T)}
(2) ให E1 แทนเหตุการณที่ออกหัวอยางนอยหนึ่งครั้งE1 = {(H,H,H), (H,H,T), (H,T,H), (H,T,T), (T,H,H), (T,H,T), (T,T,H)}
(3) ให E2 แทนเหตุการณที่ออกหัวเพียงหนึ่งครั้งE2 = {(H,T,T), (T,H,T), (T,T,H)}
(4) ให E3 แทนเหตุการณที่ออกหัวสามครั้งE3 = {(H,H,H)}
(5) ให E4 แทนเหตุการณที่ไมออกหัวเลยE4 = {(T,T,T)}
3. (1) ให E1 แทนเหตุการณที่เหรียญออกกอยและลูกเตาขึ้นแตมเปนจํานวนคี่E1 = {(T, 1), (T, 3), (T, 5)}
(2) ให E2 แทนเหตุการณที่ลูกเตาขึ้นแตมเปนจํานวนที่หารดวย 3 ลงตัวE2 = {(H, 3), (H, 6), (T, 3), (T, 6)}
153 (3) ให E3 แทนเหตุการณที่เหรียญออกหัว และลูกเตาขึ้นแตมเปนจํานวนคู
E3 = {(H, 2), (H, 4), (H, 6)}
4. (1) ให S แทนปริภูมิตัวอยางS = {(H,H,H), (H,H,T), (H,T,H), (H,T,T), (T,H,H), (T,H,T), (T,T,H), (T,T,T)}
(2) E1 = {(H,H,H), (T,T,T)}(3) E2 = {(H,H,H), (H,H,T), (H,T,H), (T,H,H)}(4) E3 = {(H,T,T), (T,H,T), (T,T,H), (T,T,T)}(5) E1 ∪ E2 = {(H,H,H), (H,H,T), (H,T,H), (T,H,H), (T,T,T)}(6) E1 ∪ E3 = {(H,H,H), (H,T,T), (T,H,T), (T,T,H), (T,T,T)}(7) E2 ∪ E3 = {(H,H,H), (H,H,T), (H,T,H), (T,H,H), (H,T,T), (T,H,T), (T,T,H),
(T,T,T)}(8) E1 ∩ E2 = {(H,H,H)}(9) E1 ∩ E3 = {(T,T,T)}(10) E2 ∩ E3 = ∅(11) E′1 = {(H,H,T), (H,T,H), (H,T,T), (T,H,H), (T,H,T), (T,T,H)}(12) E′2 = {(H,T,T), (T,H,T), (T,T,H), (T,T,T)}(13) E′3 = {(H,H,H), (H,H,T), (H,T,H), (T,H,H)}
เฉลยแบบฝกหัด 3.5 ข
1. ให S แทนปริภูมิตัวอยางE แทนเหตุการณไดลูกบอลสีแดง 2 ลูก สีเหลือง 1 ลูก ตามลําดับn(S) = 30 29 28
1 1 1⎛ ⎞⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠
n(E) = 10 9 101 1 1
⎛ ⎞⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠
ดังนั้น P(E) = 10 9 1030 29 28
× ×× ×
= 15406
1542. ให S แทนปริภูมิตัวอยาง
E แทนเหตุการณที่ปารมี และภูผา นั่งติดกันn(S) = 9!n(E) = 2⋅8!
ดังนั้น P(E) = 2 8!9!⋅ = 2
9
3. ให S แทนปริภูมิตัวอยางE แทนเหตุการณที่ผลรวมของแตมบนบัตรมากกวา 10n(S) = 5
3⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 10
E = {245, 345}n(E) = 2
ดังนั้น P(E) = 210
= 15
4. ให S แทนปริภูมิตัวอยางE แทนเหตุการณที่นักเรียนชายและนักเรียนหญิงยืนสลับกันคนตอคนn(S) = 8! n(E) = 2⋅4! ⋅4!
ดังนั้น P(E) = 2 4! 4!8!⋅ ⋅ = 1
35
5. ให S แทนปริภูมิตัวอยาง E แทนเหตุการณที่ไดลูกแกวสีตางกันทั้ง 3 ลูก
n(S) = 133
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 2 × 11 × 13
n(E) = 6 4 31 1 1⎛ ⎞⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠
= 6 × 4 × 3
ดังนั้น P(E) = 6 4 313 22× ××
= 36143
6. (1) ให S แทนปริภูมิตัวอยาง E1 แทนเหตุการณที่สุมหยิบไดหนังสือคณิตศาสตร
155
n(S) = 6 6 6 6 6 61 2 3 4 5 6⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞
+ + + + +⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
หรือ 26 – 1
= 63n(E1) = 3 3 3
1 2 3⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞
+ +⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 7ดังนั้น P(E1) = 7
63 = 1
9
(2) E2 แทนเหตุการณที่สุมหยิบไดหนังสือเคมีn(E2) = 2 2
1 2⎛ ⎞ ⎛ ⎞
+⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 3ดังนั้น P(E2) = 3
63 = 1
21
(3) E3 แทนเหตุการณที่สุมหยิบไดหนังสือฟสิกสn(E3) = 1ดังนั้น P(E2) = 1
63
(4) E4 แทนเหตุการณที่สุมหยิบไดหนังสือครบทุกวิชาถาหยิบ 3 เลม ไดครบทุกวิชา จะได 3 2 1
1 1 1⎛ ⎞⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠
= 6 วิธี
ถาหยิบ 4 เลม ไดครบทุกวิชา จะได 3 2 1 3 2 12 1 1 1 2 1⎛ ⎞⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎛ ⎞⎛ ⎞
+⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠
= 9 วิธี
ถาหยิบ 5 เลม ไดครบทุกวิชา จะได 3 2 1 3 2 13 1 1 2 2 1⎛ ⎞⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎛ ⎞⎛ ⎞
+⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠
= 5 วิธี
ถาหยิบ 6 เลม ไดครบทุกวิชา จะได 3 2 13 2 1⎛ ⎞⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠
= 1 วิธี
n(E4) = 6 + 9 + 5 + 1 = 21 วิธีดังนั้น P(E4) = 21
63 = 1
3
7. ให S เปนปริภูมิตัวอยาง E แทนเหตุการณที่สวมเสื้อและกางเกงสีตางกัน
n(S) = 5 × 4 = 20
156
ถาสวมเสื้อสีขาวตองเลือกกางเกงสีเทา จะเลือกได 3 31 1⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
= 9
ถาสวมเสื้อสีฟา เลือกกางเกงสีขาวหรือสีเทาก็ได จะเลือกได 2 41 1⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
= 8
จะได n(E) = 9 + 8 = 17ดังนั้น P(E) = 17
20
8. มีจํานวนสมเปน 2 เทาของจํานวนมังคุด และมีมะมวง 1 ลูกจะไดจํานวนสมมี 6 ลูก จํานวนมังคุดมี 3 ลูก มะมวงมี 1 ลูกS เปนปริภูมิตัวอยาง จะได n(S) = 10
3⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 120
E แทนเหตุการณที่ไดผลไมชนิดละ 1 ลูกn(E) = 6 3 1
1 1 1⎛ ⎞⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠
= 18
ดังนั้น P(E) = 18120
= 320
9. P(A) เปนความนาจะเปนที่นายธงชัยสอบผานวิชาคณิตศาสตร เทากับ 0.6P(B) เปนความนาจะเปนที่นายธงชัยสอบผานวิชาภาษาอังกฤษ เทากับ 0.5P(A ∪ B) เปนความนาจะเปนที่ผานอยางนอย 1 วิชา เทากับ 0.8P(A ∩ B) เปนความนาจะเปนที่ผานทั้งสองวิชาจาก P(A ∪ B) = P(A) + P(B) – P(A ∩ B)ดังนั้น P(A ∩ B) = 0.6 + 0.5 – 0.8
= 0.3
10. P(A) เปนความนาจะเปนที่นักเรียนชอบวิชาคณิตศาสตร เทากับ 60120
= 12
P(B) เปนความนาจะเปนที่นักเรียนชอบวิชาภาษาอังกฤษ เทากับ 50120
= 512
P(A ∩ B) เปนความนาจะเปนที่นักเรียนชอบทั้งสองวิชา เทากับ 20120
= 16
(1) P(A ∪ B) เปนความนาจะเปนที่ชอบเรียนอยางนอย 1 วิชาจาก P(A ∪ B) = P(A) + P(B) – P(A ∩ B)
= 1 5 12 12 6+ −
= 34
157(2) P(A ∪ B)′ เปนความนาจะเปนที่ไมชอบทั้งสองวิชา
จาก P(A ∪ B)′ = 1 – P(A ∪ B)= 31
4−
= 14
(3) P(A – B) เปนความนาจะเปนที่ชอบคณิตศาสตรแตไมชอบภาษาอังกฤษจาก P(A – B) = P(A) - P(A ∩ B)
= 1 12 6−
= 13
(4) P(A ∩ B)′ เปนความนาจะเปนที่ชอบอยางมาก 1 วิชาจาก P(A ∩ B)′ = 1 – P(A ∩ B)
= 116
−
= 56
11. P(A) แทนความนาจะเปนที่มีอาชีพทนายความ เทากับ 160300
= 1630
P(B) แทนความนาจะเปนที่มีอาชีพขายประกัน เทากับ 90300
= 930
P(A ∩ B) แทนความนาจะเปนที่มีอาชีพทนายความและขายประกัน เทากับ 40300
= 430
P(A ∪ B)′ แทนความนาจะเปนที่ไมเปนทนายความและไมขายประกันจาก P(A ∪ B) = P(A) + P(B) – P(A ∩ B)
= 16 9 430 30 30
+ −
= 710
ดังนั้น P(A ∪ B)′ = 1 – P(A ∪ B)= 71
10−
= 310