17
บทที2 การกําหนดปญหาและวัตถุประสงคของการวิจัย ในการวิจัยไมวาจะเปนสาขาใดก็ตามจุดเริ่มตนของการวิจัยคือการกําหนดปญหาเพราะ ปญหาวิจัยจะเปนประเด็นหรือขอสงสัยหรือคําถามที่ผูวิจัยตองการเพื่อหาคําตอบให ถูกตอง และจะแตกตางไปตามสาขาวิชานั้น ซึ่งจะมีลักษณะที่แตกตางกันไปจากปญหาทั่ว ไปคือ ปญหาวิจัยควรจะเขียนในรูปของคําถามที่แสดงถึงความสัมพันธระหวางปรากฏการณหรือตัว แปรตั้งแตสองตัวขึ้นไป ดังนั้นปญหาวิจัยตองแสดงใหเห็นชัดวาสามารถหาคําตอบไดโดยวิธี เชิงประจักษ (นงลักษณ วิรัชชัย, 2537) ที่ผูวิจัยสามารถแสวงหาขอมูลหรือหลักฐานตาง ได เพื่อใหขอสรุปที่เปนคําตอบที่เชื่อถือได ซึ่งในบทนี้จะเปนการกลาวถึงการกําหนดปญหา วัตถุประสงคของการวิจัย และการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวของ ดังตอไปนี1. แหลงที่มาของปญหาวิจัย ในการวิจัยผูวิจัยจะมีปญหาอยางมากวาจะหาปญหาวิจัยไดจากสถานที่ใด อยางไร ดังนั้นถาเรารูแหลงที่มาของปญหาจะทําใหผูวิจัยสามารถกําหนดปญหาวิจัยไดรวดเร็วขึ้น ซึ่งก็มี อยูหลายวิธีดังนี1.1 จากประสบการณของผูวิจัยที่เกิดจากการสังเกตสภาพการทํางาน เชน ความพึง พอใจ ความไมพอใจในผลผลิตและผลิตภัณฑ หรือการดํารงชีวิตประจําวัน สิ่งแวดลอมตาง ที่อยูรอบ ตัวเรา ที่ทําใหเกิดการขัดแยงหรือขอสงสัย ก็สามารถนํามา สรางปญหาการวิจัย ได 1.2 จากทฤษฎีหรือแนวคิดที่สนใจทฤษฎี หรือแนวคิดจะชวยใหรูวาจะตองทําอะไร เพิ่ม หรือเมื่อผูวิจัยมีขอสงสัยในทฤษฎีนั้นก็จะทําใหเกิดปญหาวิจัยใหม ขึ้นมาได 1.3 จากการอานหนังสือ วารสารที่เกี่ยวของกับการวิจัย บทคัดยองานวิจัย ทําให ทราบขอคนพบของงานวิจัยและขอเสนอเเนะที่ผูวิจัยไดเสนอไว โดยการนําความคิดเห็น ขอเสนอแนะนั้นมาเปนปญหาวิจัยได e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam

หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

  • Upload
    -

  • View
    16

  • Download
    2

Embed Size (px)

Citation preview

Page 1: หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

บทที่ 2 การกําหนดปญหาและวัตถุประสงคของการวจิัย

ในการวิจัยไมวาจะเปนสาขาใดก็ตามจุดเริม่ตนของการวจิัยคือการกําหนดปญหาเพราะปญหาวิจยัจะเปนประเดน็หรือขอสงสัยหรือคําถามที่ผูวิจัยตองการเพือ่หาคําตอบให ถูกตอง และจะแตกตางไปตามสาขาวิชานั้น ซ่ึงจะมีลักษณะทีแ่ตกตางกันไปจากปญหาทั่ว ๆ ไปคือปญหาวิจยัควรจะเขียนในรปูของคําถามที่แสดงถึงความสัมพันธระหวางปรากฏการณหรือตวัแปรตั้งแตสองตัวขึ้นไป ดงันั้นปญหาวิจยัตองแสดงใหเห็นชัดวาสามารถหาคําตอบไดโดยวิธีเชิงประจักษ (นงลักษณ วิรัชชัย, 2537) ที่ผูวิจัยสามารถแสวงหาขอมูลหรือหลักฐานตาง ๆ ได เพื่อใหขอสรุปที่เปนคําตอบที่เชื่อถือได ซ่ึงในบทนี้จะเปนการกลาวถึงการกําหนดปญหาวัตถุประสงคของการวิจยั และการศึกษาเอกสารงานวิจยัที่เกีย่วของ ดงัตอไปนี ้

1. แหลงทีม่าของปญหาวิจัย

ในการวิจัยผูวจิัยจะมีปญหาอยางมากวาจะหาปญหาวจิัยไดจากสถานทีใ่ด อยางไร ดังนั้นถาเรารูแหลงที่มาของปญหาจะทําใหผูวิจยัสามารถกําหนดปญหาวิจยัไดรวดเร็วขึ้น ซ่ึงก็มีอยูหลายวิธีดังนี้ 1.1 จากประสบการณของผูวิจัยที่เกิดจากการสังเกตสภาพการทํางาน เชน ความพึงพอใจ ความไมพอใจในผลผลิตและผลิตภัณฑ หรือการดํารงชีวิตประจําวนั ส่ิงแวดลอมตาง ๆ ที่อยูรอบ ๆ ตัวเรา ที่ทําใหเกดิการขัดแยงหรือขอสงสัย ก็สามารถนํามา สรางปญหาการวิจยัได 1.2 จากทฤษฎีหรือแนวคดิที่สนใจทฤษฎี หรือแนวคิดจะชวยใหรูวาจะตองทําอะไรเพิ่ม หรือเมื่อผูวิจัยมีขอสงสัยในทฤษฎีนัน้ก็จะทําใหเกดิปญหาวจิัยใหม ๆ ขึ้นมาได 1.3 จากการอานหนังสือ วารสารที่เกี่ยวของกับการวิจัย บทคัดยองานวจิยั ทาํใหทราบขอคนพบของงานวิจยัและขอเสนอเเนะที่ผูวจิัยไดเสนอไว โดยการนําความคิดเห็น ขอเสนอแนะนั้นมาเปนปญหาวิจยัได

e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam

Page 2: หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

24

1.4 จากการสอบถามจากผูรู ผูเชี่ยวชาญที่คลุกคลีกับงานวิจยัในสาขานั้น ๆ ทําใหทราบรายละเอยีด จดุออน ขอบกพรอง ในศาสตรของตน แลวนําความคิดเห็น ขอเสนอแนะของทานเหลานั้นมาเปนแนวทางในการตัง้ปญหาการวิจยั 1.5 จากความตองการขององคกร แหลงทุน หรือหนวยงานตาง ๆ ที่มีการวางกรอบของงานวิจยัไววาตองการศึกษาอะไร ตองการแกปญหาหรือตองการหาคําตอบ ซ่ึงอาจจะ ทําใหไดทนุวจิัยดวย 1.6 จากการเขารวมประชมุสัมมนาทางวิชาการที่องคกรหรือหนวยงานตาง ๆ จัดขึ้นเพราะในการประชุมทางวิชาการซึ่งอาจมีการเสนอทฤษฎีหรือองคความรูใหม ๆ ที่นาสนใจ และนํามาสูปญหาการวิจยัได 2. การเลือกปญหาในการวิจัย ในการตัดสินใจวาจะเลือกปญหาวิจยั ผูวจิัยควรพจิารณาหรือศึกษาใหรอบคอบกอนวาในการวิจัยในเรื่องนั้น ๆ มีความเปนไปได เหมาะสมกับความรูความสามารถของผูวิจัย และสามารถทําได มีคุณคา หรือมีประโยชนตอสังคม ดังนัน้ในเลือกปญหาการวจิัยจึงควรพิจารณาจากองคประกอบตอไปนี้ (ยทุธพงษ กัยวรรณ, 2543, หนา 40) ดังแสดงในภาพที่ 2.1

2.1 ปญหาที่เลือกมาจะตองมาจากความสนใจของผูวิจัย ถาเปนปญหาที่ผูอ่ืนกําหนดใหหรือไดมาจากผูอ่ืน ผูวิจยัจะตองสรางจิตสํานึก แรงจูงใจและทัศนคติทีด่ีในสิ่งที่จะทํานั้นใหได นอกจากผูวิจยัสนใจแลว ปญหาวิจยัที่จะเลือกมาศึกษาวจิัยนัน้ตอง 2.1.1 เปนประโยชนตอตนเองและสวนรวม

2.1.2 ทันตอเหตุการณและอยูในความสนใจของคนทัว่ไป 2.1.3 อยูในสาระหรอืผลงานวิจัยในเรื่องนั้น ๆ เพียงพอ 2.1.4 ตองทราบถึงส่ิงที่ตองการศึกษาได เชน ตวัแปรอิสระ ตวัแปรตาม 2.1.5 ไมมีผูใดทํามากอน ถามีผูทําวิจัยไว ทําไวในแงมุมใด และเหลือส่ิง

ใดที่ยังไมไดทาํ 2.2 เมื่อสนใจปญหานัน้แลว ตอไปก็ตองมาวางแนวคดิวา จะดําเนนิการศกึษา

อยางไร ในการวิจัยนั้น ผูวิจัยจะทําเรื่องอะไร ผูวิจัยจะตองมองเหน็แนวทางที่จะทําการวจิัยตั้งแตเร่ิมตนจนสิ้นสุดกระบวนการวิจยัของเรื่องนั้น ๆ ไวอยางมีระบบทั้งนี้เพราะงานวิจยัมีวิธีการศึกษาหลากหลายวิธีการซึ่งแตละวิธีก็มรีะเบียบวิธี (methodology) แตกตางกัน วิธีการจะ

e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam

Page 3: หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

25

ชวยใหผูวจิัยเขาใจมองเหน็วิธีการตั้งแตตนจนสิ้นสุดกระบวนการวจิัยนั้น ผูวิจยัจะตองอาน จะตองศึกษางานวิจยัในลักษณะคลาย ๆ กบัที่ตนเองกําลังจะทําใหมาก ๆ ตอบปญหาวิจยั

ผลการวิจัย

การเลือกปญหา เวลาที่ทํา

g

g

- มาจากความสนใจ - เปนประโยชน - ทันตอเหตกุารณ - อยูในความสนใจของคนทัว่ไป - อยูในสาขาที่ศกึษา - ไมซํ้าผูอ่ืน - เปนสิ่งใหม - ไมกวาง - ไมแคบเกินไป

g

g

ตองมองเห็นแนว ทางในการดําเนินการ

งบประมาณ ในการวิจัย

g

ดําเนินการวิจยั

ภาพที่ 2.1 แสดงการเลือกปญหาประกอบการตัดสินใจ ที่มา (ยุทธพงษ กัยวรรณ, 2543, หนา 40)

2.3 เมื่อไดปญหาและมั่นใจในกระบวนการในการศกึษาแลว ขั้นตอนพิจารณาดวูางบประมาณที่มอียูมากนอยเพยีงใด เพียงพอหรือไมและมีแหลงทสนับสนุน (subsidise)

e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam

มีเวลามาก – นอย

ทุนในการทําวจิัย เพียงพอหรือไม

จะทําอยางไร ใชระเบยีบวิจยัแบบใด

ตอไปก็จะตองนุทีใ่ดบางที่จะ

Page 4: หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

26

2.4 องคประกอบที่สําคัญตอนหนึ่ง คือ เวลาที่จะทํามาก – นอยเพยีงใด โดยเฉพาะอยางยิ่งงานวิจยัระดับบณัฑิตศึกษานัน้ เวลาทําวิจยัเหลืออยูกี่ภาคเรียน กี่ป จะเพยีงพอหรือไม ดังนั้นจึงพิจารณาสวนนี้ใหรอบคอบ หลังจากที่เขาใจวธีิการดําเนินการวิจัยแลวเวลาที่เหลืออยูจะนําไปเปนขอมูลในการวางแผนการวจิัยตอไป รวีวรรณ ชินะตระกูล (2538, หนา 17) ไดกลาวถึงการกําหนดประเด็นปญหาทีจ่ะศึกษาในการวจิัยจะตองชัดเจนจึงจะเปนตวับงชี้แนวทางในการวิจัยได โดยมีหลักการกําหนดปญหาในการวิจัยดังนี้

2.4.1 ศึกษาเรื่องที่เกีย่วของกับปญหาที่จะศกึษา 2.4.2 เปนประเดน็ทีน่าสนใจ

2.4.3 พยายามเลือกปญหาใหมที่ไมซํ้ากบัปญหาที่มีผูวจิัยแลว แตถาจําเปนและสนใจเรื่องที่มีผูวิจัยทําไวแลว ก็อาจศกึษาซ้ําโดยเปลี่ยนระเบยีบวธีิวิจัยใหมกไ็ด

2.4.4 กําหนดขอบเขตของปญหาใหชัดเจน 2.4.5 ใชภาษาที่เปนราชการ ไมใชภาษาพูดมีความกระทัดรัด ใชคําถูกตอง 2.4.6 มีขอมูลอางอิงทําใหนาเชื่อถือ เพือ่ใหผูอานจะไดเขาใจวาเปนปญหาที่

มีพื้นฐานมาจากขอมูลเชิงประจักษ มิใชเกดิจากความรูสึกหรือจินตนาการของผูเขียน 2.2.7 ไมยืดยาวจนนาเบื่อหนาย 2.4.8 จัดลําดับประเดน็ของปญหาใหเปนขั้นตอนตอเนื่องกัน โดยมีวิธีการ

เขียน “การชักแมน้ําทั้งหา” วาการวจิัยเร่ืองนี้มีความสําคัญตอการนําผลการวิจัยไปใช การเขยีนสวนนี้ทัว่ไปจะเริ่มจากปญหาที่กวาง ๆ จากภูมิหลังทั่วไปของปญหาและจบดวยขอความที่กลาวถึงปญหาอยางรัดกุม

2.4.9 เปนประเด็นทีน่าจะเปนประโยชนเมื่อทําการวจิัยเสร็จแลว ผลการวิจัยสามารถนําไปใชประโยชนไดจริง ๆ

2.4.10 อยูในวิสัยที่ผูวิจยันาจะทําไดทั้งในแงของเวลา คาใชจายตามความสามารถของผูวิจัย 3. การกําหนดปญหาการวิจัย เมื่อกําหนดหวัขอปญหา (determination of research problems) ในการวจิัยไดตามความเหมาะสมแลว ขั้นตอไปจะตองกาํหนดประเด็นปญหาของการทําวิจัยใหชัดเจนหรือ ตี

e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam

Page 5: หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

27

กรอบปญหาใหอยูในวงจํากดั ซ่ึงการตีกรอบปญหาใหชัดเจนนีจ้ะชวยทําใหผูวิจัยกําหนดวัตถุประสงคของการวิจยั (determination of research objective) ออกมาไดเดนชัดเพื่อจะเปนแนวทางในการออกการแบบวิจยั (research design) และวางแผนงานของการวิจัยในขั้นอ่ืน ๆ ตอไป โดยทั่วไปแลวหัวขอวจิัยหนึง่ ๆ จะมีสภาพทั่ว ๆ ไปทีห่ลากหลาย อันอาจจะเปนตัวสงผลตอการเกิดปญหา บางครั้งจึงเรียกสภาพทั่ว ๆ ไปที่กอใหเปดปญหานี้วา สภาพปญหาหรือสภาพปจจุบันของปญหากับปญหาวจิยัเปนคนละอยางกันสภาพปญหาจะเกิดกอนปญหาวิจัย กลาวคือ ปญหาวิจัยจะเปนมโนภาพ (concept) ของสภาพปญหา สภาพปญหาอาจจะตองกลาวถึงหรือบรรยายเปนขอความยาวเปนเรื่องเปนราวอยางตอเนื่อง บอกถึงที่มาของปญหาวากอนเกิดปญหานั้น มีที่มาอยางไร แตปญหาวิจยัเปนการสรุปหรือสังเคราะหภาพรวมทั้งหมดของสภาพปญหาและปญหาวิจัยที่สังเคราะหไดมานี้ถือวาเปนมโนภาพของการวิจยัและกําหนดเปนหวัขอวิจยัหรือหัวเร่ืองวจิัยตอไป มโนภาพของปญหาวิจยันี้จะมีตัวแปรในปญหามาเกี่ยวกันที่จะนําไปสูการศึกษาวจิยัตอไป (ลวน สายยศ และองัคณา สายยศ, 2538, หนา 27 อางถึงใน ยุทธพงษ กัยวรรณ, 2543, หนา 41) ไดเสนอวา การกําหนดปญหาวิจยั คือการคนหาปญหาที่ตองการหาคําตอบ (discovery of a problem in need of solution) นอกจากนี้ ไอแซก (Isaac, 1974, pp. 2 อางถึงใน ยุทธพงษ กัยวรรณ, 2543, หนา 41) ยังไดกลาวสนับสนุนวาการกําหนดปญหาวิจยัก็คือการกําหนดประเด็นที่สามารถหาคําตอบไดดงันั้นในการกําหนดปญหาในการวิจยั ยุทธพงษ กัยวรรณ จึงไดสรุปวา การกําหนดปญหาในการวิจัยเปนการวเิคราะห สภาพปญหาตาง ๆ หรือสภาพตาง ๆ ที่เปนอยูในปจจบุันที่เปนปญหาแลวสังเคราะห (synthesis) เพือ่ใหไดประเดน็ (issue) ของปญหา ซ่ึงมีตัวแปร (variable) เขามาเกี่ยวพันและจะนําไปสูการกําหนดหัวขอวิจัยหรือหวัเร่ืองตอไป ดังภาพที่ 2.2

สภาพปญหา

หัวขอปญหาวจิัยคราว ๆ หรือหัวขอที่สนใจ

ัวขอปญหา / หวัขอวิจยัที่แนนอน

ปญหาวิจยั

ภาพที่ 2.2 แสดงการกําหนดปญหาการวจิัย ที่มา (ยุทธพงษ กัยวรรณ, 2543, หนา 41)

e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam

Page 6: หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

28

เมื่อผูวิจัยไดศกึษาสภาพปญหาหรือสภาพในปจจุบนัของปญหาในทุกดานอยาง กวางขวางเพยีงพอ ปญหาวจิัยชัดเจน มหีลักการ ทฤษฎีหรืออุดมการณที่เปนตวับงชี้ และถาดําเนินการวิจยั จะดําเนินการในลักษณะใด หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ คําถามวิจัยนั่นเอง จากนั้นใหดําเนินการเขียนขอความเปนมาหรือภูมหิลังของการวจิัย ซ่ึงการเขียนภูมหิลังของการวิจยันั้นจะตองเขยีนประเด็นที่เปนปญหาจริง ๆ ตรงประเด็น มีขอมูลอางอิงที่นาเชื่อถือและสามารถตรวจสอบได จัดลําดับประเด็นเปนขั้นตอนตอเนื่องตลอด โดยการเขียนภูมหิลังของการวิจยั ผูวิจัยจะตองเขยีนจากกวางไปหาแคบอยางตอเนื่อง และควรมีสวนประกอบ ตาง ๆ ดังภาพที ่ 2.3

แคบ

กวาง สภาพปญหา

ปญหาการวิจัย

หลักการ / ทฤษฎี

คําถามวิจัย

ช่ือหัวขอวจิัยที่สนใจ

แนวทางการเขยีนความเปนมาของการวิจยั

ภาพที่ 2.3 แสดงกรอบการเขียนความเปนมาของการวจิัย ที่มา (ยุทธพงษ กัยวรรณ, 2543, หนา 42)

ขอเสนอแนะกอนที่จะไปเขยีนความเปนมาของการเขียนความเปนมาของการวิจยั

ผูวิจัยควรจะตอบตัวเองใหชัดเจนดวยคําตอบสั้น ๆ ในประเด็นปญหา คําถามการวิจัยและชื่อหัวขอที่จะศึกษา ดังตัวอยางในภาพที่ 2.4

e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam

Page 7: หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

29

กาบกลวยจากลําตนกลวย ทีต่ัดเอาเครือกลวย แลวตองตดั

พงษ วิจัยตอ

สภาพปญห

ตนทิ้งไป ซ่ึงมีจํานวนมาก

ภาชนะบรรจุภณัฑที่ใชโฟม พลาสติก ยอยสลายทําลายยาก า

ตกยัไป

ปญห

ถาจะนํากาบกลวยจากลําตนกลวย ที่ตดัทิ้งมาทําเปนภาชนะ ม

คําถา บรรจุภัณฑจะไดหรือไม

ศึกษาการบรรจุภณัฑจากกาบกลวย

ช่ือเร่ือง

ผูสูงอายุอาศัยในบานพกัคนชรา มีอัตราความเครียดเพิ่มขึ้น า

สภาพปญห

ผูสูงอายุที่อาศัยในบานพักชนชรามีความเครียด เหงา ไมมี า

ปญห ความสุข สงผลตอสุขภาพและอายุส้ันลงในที่สุด

จะนําเอาชวีะมาบําบัดปญหาของกลุมผูสูงอายุนี้อยางไร ม

คําถา

การวิเคราะหองคประกอบ เพื่อสรางหลักสูตรอาชีวะบําบัด

ช่ือเร่ือง สําหรับผูสูงอาย ุ

ภาพที่ 2.4 แสดงแนวการคดิหาคําตอบสั้น ๆ ในประเดน็ปญหา คําถามวิจัย และชื่อหัวขอที่จะศึกษา ที่มา (ยุทธพงษ กัยวรรณ, 2543, หนา 43)

อไปนี้เปนการนํากรอบการเขียนความเปนมาของการวจิัยมาขยายขอความ (ยุทธวรรณ, 2543, หนา 45-46) ดังตัวอยางการขยายกรอบการเขียนความเปนมาของการนี ้

e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam

Page 8: หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

30

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ ฉบับปจจุบนั (2540-2544) ไดกลาวถึง การเสริมสรางโอกาสใหกับประชาขนผูดอยโอกาสกลุมใหญ ๆ อยางทัว่ถึงกัน ในจํานวนกลุมผูดอยโอกาสนี้ กลุมผูสูงอายุที่ยากจน ไมมีญาติ ขาดคนดูแล เปนอีกกลุมหนึ่งที่ตองไดรับความชวยเหลือ คุมครองและไดรับบริการทุกดานอยางทั่วถึงและเปนธรรม สงเสริมใหเห็นความสําคัญและตองเอาใจใสดูแลผูสูงอายุอยางถูกตองในประเทศไทยมบีานพักคนชรา 6 แหง แตละแหงนี้มีผูสูงอายุรวมกนัประมาณ 1,800 คน และมีแนวโนมจะเพิ่มขึน้ทกุป

สภาพปจจุบนั

ผูสูงอายุซ่ึงเปนวันที่ผานการทํางานหนกัมาแลวเกือบตลอดชั่วอายุ ควรจะไดรับการเอาใจใสดแูลจากสังคมเปนอยางดี ใหมีความสุขทั้งทางดานรางกายและจิตใจ ผูสูงอายุที่อาศัยในบานพกัคนชราแตละวันไมมกีิจกรรมทําแตละวนัมแีตนั่ง ๆ นอน ๆ เพราะคนสวนใหญคิดวาผูสูงอายุวัยทํางาน คนเหลานั้นจึงไมไดทํากิจกรรมอะไรในแตละวนั ทําใหวางมาก คิดมาก เกิดความกลัดกลุม ขาดความอบอุน เกิดความเครยีด ซ่ึงเปนปญหาทางดานจิตใจ ซ่ึงจะสงผลตอสุขภาพดานรางกาย จะนําเอาชวีะมาบําบดัปญหาของกลุมวันสูงอายุ ใหมีความสุขคลายความเครียดและเพื่อเพิ่มผลผลิตไดอยางไร

อาจตั้งไดหลายชื่อ เชน 1. การวิเคราะหองคประกอบ เพื่อสรางหลักสูตรอาชีวบําบัด

สําหรับคนชราที่อาศัยอยูในบานพักคนชรา หรือ 2. การสรางหลักสูตรอาชีวบําบัดที่เหมาะสม สําหรับคนชราที่

อาศัยอยูในบานพันคนชรา หรือ

คําถามวิจัย

หัวขอวจิัย หรือหัวขอปญหา

ปญหาวิจยั / กําหนดปญหาวิจัย

อุดมการณ / หลักการ

3. การสรางหลักสูตรอาชีวบําบัด สําหรับผูสูงอายุ เพื่อใหเพิ่มผลผลิตเฉพาะผูที่อาศัยอยูในบานพักคนชรา เปนตน

4. ลักษณะของปญหาการวิจัยท่ีดี

e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam

Page 9: หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

31

ในการวิจัยในดานตาง ๆ ที่ผูวิจัยจะทําการวิจัยนั้นผูวจิัยจะตองคํานึงถึงวาปญหาที่เลือกนั้นเปนปญหาวิจัยที่มีลักษณะอยางไร ดังนั้นในผูวิจัยควรจะทราบวาปญหาวิจยัที่ดีควร มีลักษณะที่สําคัญอยางไร ซ่ึงในที่นี้จะขอกลาวถึงวาปญหาวิจัยทีด่ีควรมลัีกษณะที่สําคัญ อยางไรดังนี ้ 4.1 เปนปญหาที่สามารถทําการวิจัยได (researchable problem) ดวยกระบวนการวจิัย ขอบเขตของปญหาการวิจัยมีความเปนไปไดสําหรับผูวิจัยที่จะหาคําตอบไดโดยวิธีการเชิงประจักษ ในขอบเขตของความรูความสามารถของผูวิจัย และทรัพยากรที่มีอยู 4.2 เปนทรพัยากรที่มีผลกระทบตอคนหรือสังคมสวนใหญ ลักษณะของปญหาจะสั่งสมเปนเวลานาน หรือมีการขยายในวงกวางมากขึ้นเรื่อย ๆ ไมสามารถแกไข หรือขจัดใหหมดไปไดงาย ๆ เชน ปญหายาเสพติด ปญหาการทุจริต หรือคอรัปชั่น ปญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ปญหาสิ่งแวดลอมเปนพิษ ปญหาความยากจนของประชาชน ปญหาคุณภาพการศึกษา เปนตน 4.3 เปนปญหาที่มีความสําคัญ (significance) เปนปญหาตอสังคมและชวยเสริมสราง หรือขยายพรมแดนขององคความรู ที่ทําใหศาสตรสาขาตาง ๆ มีความกาวหนาทางวิชาการและมคีวามเขมแข็งมากยิ่งขึ้น 4.4 เปนปญหาที่ไมเหมือนหรือซํ้าซอนกับผูอ่ืน (uniqueness) เปนเรื่องที่ริเร่ิมใหม ที่ผูวิจัยตองแสดงไดวาการตอบปญหาวิจยันั้น มีสวนที่ยังไมเคยมีผูใดทํามากอน ในกรณีที่ปญหาวิจยัที่มผูีทําวิจัยไวแลว ผูวิจัยตองมีเหตุผลที่มีความจําเปนที่ตองทําวิจัยในปญหานั้นอีก เชน ยังมีคําตอบที่เปนขอขัดแยง หรือยังไมไดขอสรุปสุดทายที่ชัดเจน 4.5 เปนปญหาที่วิธีการไดมาซึ่งคําตอบของปญหาวิจัยนั้นจะตองเปนไปตามหลัก จริยธรรม (ethics) หรือจรรยาบรรณนักวิจัย ไมกระทบกระเทือนหรือเกิดผลเสียหายตอผูอ่ืน 4.6 เปนปญหาที่แสดงถึงความสัมพันธระหวางตวัแปรตั้งแตสองตัวขึ้นไป ซ่ึงจะทําใหเกดิแนวทางที่ชัดเจนในการดําเนินงานวจิัย 4.7 เปนปญหาที่มีความชดัเจนในประเด็นและขอบเขตที่ศึกษา ประเด็นปญหาวจิยัที่มีความชัดเจนจะทําใหผูวิจยัทราบขอบเขตของการวิจยัทีชั่ดเจนวาจะศกึษาปญหาเรื่องใดและไมศึกษาเรื่องใดบาง ปญหาวจิัยนัน้มีขอบเขตกวาง หรือแคบมากนอยเพยีงใด ซ่ึงจะชวยใหการวิจัยมุงคนหาคาํตอบไดครอบคลุมและตรงประเด็นปญหาที่ศึกษามากยิ่งขึ้น การเรียนรูลักษณะปญหาวจิยัที่ดีดังกลาวขางตนจะชวยใหผูวิจยัเลือกปญหาที่จะวิจยัไดอยางรอบคอบ สามารถดําเนินการวจิัยใหเกิดประโยชนไดอยางคุมคา

e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam

Page 10: หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

32

5. ขอบกพรองในการเลอืกปญหาการวิจัย ในการเลือกปญหาการวิจยั แมวาผูวิจยัไดใชเกณฑในการคัดเลือกปญหาวิจยัแลวก็ตามก็ยังพบวามีขอบกพรองเกิดขึน้ ซ่ึงมักจะเกดิขึ้นจากผูวิจยั ดังนี ้ 5.1 เลือกปญหาวิจยัตามผูอ่ืน หรือตามความสําคัญตามสถานการณ โดยขาดการพิจารณาไตรตรองดวยความรอบครอบวา ปญหาวิจยันั้นสอดคลองกับความสนใจ และความสามารถของตนเองหรอืไม 5.2 กําหนดปญหาวจิยักวางเกินไป ทําใหขาดความชัดเจนในประเดน็ปญหาที่ตองการคนหาคําตอบ และแนวทางดําเนินการวิจยั 5.3 ผูวิจยัไมไดวิเคราะหปญหาใหถูกตองชัดเจน ทําใหไดปญหาวิจัยในประเดน็ปญหาที่ตองการคนหาคําตอบ และแนวทางดําเนินการวิจยัผิดพลาด 5.4 ผูวิจัยไมไดศึกษาเอกสาร และงานวิจัยทีเ่กีย่วของอยางเพยีงพอที่จะกําหนดประเด็นปญหาวิจัยและกรอบแนวคดิในการดําเนินการวจิัยไดอยางชัดเจน 5.5 ผูวิจัยไมมีความรูความสามารถในเรื่องที่จะทําการวจิัย ทั้งนี้เพราะไมได ประเมินศักยภาพของตนเองใหสอดคลองเหมาะสมกับระดับปญหาวิจัย ทําใหเกิดปญหาและอุปสรรคในการดําเนินการวิจยั 5.6 ผูวิจัยเลือกปญหาวจิัย โดยขาดการวางแผนและการดําเนินการวจิัยที่ด ี 6. หลักในการเขียนปญหาการวิจัย การเขียนปญหาการวิจยัเปนการแสดงใหเหน็ถึงประเด็นปญหาที่ตองการคนหาคําตอบจึงตองใหมีความครอบคลุมและชัดเจน ซ่ึงอาจเขียนได 4 รูปแบบ ดังนี้ 6.1 การเขียนในรูปประโยคคําถาม การเขียนตามแบบนี้เปนการเขยีนปญหาวิจยัเปนประโยคคําถามที่ใหชัดเจนและเขาใจงาย เขียนได 3 ลักษณะคือ 6.1.1 การเขียนเปนประโยคคําถามเดียว 6.1.2 การเขียนเปนประโยคคําถามหลายประโยค โดยการเขียนเปนประโยคคําถามยอยหลาย ๆ ประโยค 6.1.3 การเขียนเปนประโยคคําถามหลักแลวตามดวยประโยคคําถามยอย

e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam

Page 11: หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

33

6.2 การเขยีนในรูปประโยคบอกเลา การเขียนตามรูปแบบนี้เปนการเขียนปญหาวิจัยเปนประโยคบอกเลา ซ่ึงอาจเขียนเปนประโยคเดยีว หรือประโยคยอยหลายประโยคก็ไดเขียนได 4 ลักษณะ 6.2.1 การเขียนเปนประโยคบอกเลาเดียว 6.2.2 การเขียนประโยคบอกเลาเดียวแตมีหลายตอน 6.2.3 การเขียนประโยคบอกเลาหลาย ๆ ประโยค 6.2.4 การเขียนเปนประโยคบอกเลาหลักแลวตามดวยประโยคบอกเลายอย 6.3 การเขียนในรูปประโยคบอกเลาแลวตามดวยประโยคคําถาม การเขียนตามรูปแบบนี้เปนการเขียนปญหาวจิัยเปนประโยคบอกเลาแลวตามดวยประโยคคําถาม 6.4 การเขียนในรูปสมมติฐานที่เปนกลาง (null hypothesis) การเขียนตามรูปแบบนี้ เปนการเขยีนปญหาวิจยัในลักษณะสมมติฐานที่เปนกลาง ซ่ึงอาจเขียนเปนสมมติฐานเดียวหรือหลายสมมติฐานก็ได 7. การกําหนดวัตถุประสงคของการวิจัย ในการวิจัยการกําหนดวัตถุประสงคของการวิจัยเปนขั้นตอนที่มีความสําคัญขั้นตอนหนึ่ง เพราะจะเปนการบอกวาในการวิจยัในเรื่องนั้นเราตองการศึกษาเรื่องใด ดังนั้นในการกําหนดวัตถุประสงคจะตองสอดคลองกับเรื่องที่เราจะศึกษา โดยจะตองกําหนดใหชัดเจนและตองสัมพันธกับขอบเขตของปญหาที่จะศกึษาดวย เพื่อเปนแนวทางในดําเนินการวิจยัตอไป ในการกําหนดวัตถุประสงคของงานวิจยัส่ิงที่ควรคํานึงมีดังนี ้ 7.1 วัตถุประสงคของการวิจัยตองสอดคลองกับปญหาวิจัยหรือคําถามวิจัย 7.2 การเขียนวตัถุประสงคของการวิจยั จะตองกําหนดในลกัษณะของสิ่งที่จะกระทําเพื่อใหไดมาในสิ่งที่อยากรูอยากเหน็ หรือตอบคําถามมากกวาจะไดผลลัพธของสิ่งที่อยากรูอยากเหน็มาตั้งเปนวัตถุประสงค 7.3 การเขียนวัตถุประสงคของการวิจัยตองสอดคลองกับรูปแบบของการวิจยั 7.4 การเขียนวัตถุประสงคของการวิจัยตองระบุใหชัดเจน ครอบคลุมปญหาการวิจัยหรือคําถามการวิจยัครบทุกขอในรูปของประโยคบอกเลา

e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam

Page 12: หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

34

8. การศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวของ ภายหลังจากการที่ผูวิจัยสามารถระบุปญหาการวิจยัแลวขั้นตอนที่มีความสําคัญอีกขั้นตอนหนึ่งกค็ือการศึกษาเอกสาร ทฤษฎีและงานวิจยัที่เกี่ยวของ เพราะในขั้นนี้จะทําใหผูวจิัยเห็นแนวทางในการดําเนนิการวิจัย โดยจะทราบวาเรื่องที่เราจะทําวิจยันั้นมใีครทําไว อยางไร มีตัวแปรเปนอยางไร ระเบยีบวิธีวจิัยทําอยางไร พบอะไรบาง และมีขอเสนอแนะอยางไร ดังนั้นการศกึษาเอกสารอางอิงและงานวิจยัที่เกีย่วของกค็ือการที่ผูวิจัยไดอานหรือศกึษาเก็บประเด็นตาง ๆ แนวคดิและทฤษฎี วิธีการ จากตาํรา งานวจิัย ตลอดจนเอกสารตาง ๆ ที่สามารถนํามาอางอิงได ซ่ึงในหัวขอนี้จะกลาวถึงพอสังเขปดังนี้ 8.1 ประโยชนของการศึกษาเอกสารและงานวิจยัที่เกีย่วของ ในการศึกษาเอกสารและงานวิจยัที่เกีย่วของ มีประโยชนดังนี้ (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2543, หนา 65) 8.1.1 สําหรับผูที่ไมไดหวัขอวิจยั เมือ่อานเอกสารและงานวิจยัทีเ่กี่ยวของแลว จะชวยใหสามารถเลือกปญหาและหวัของานวจิัยทีไ่มซํ้าซอนกับผูอ่ืน 8.1.2 สําหรับผูที่ไดหัวของานวิจยัแลว จะทําใหไมเกดิสภาพตายตอนจบ กลาวคือนักวจิัยบางทานไมสนใจอานเอกสารและงานวิจยัที่เกีย่วของ เมื่อดําเนินการวิจัยไปเเลวพบวางานวิจยัที่ทํานัน้มีคําตอบเปนที่รูจักกนัอยูแลว เนื่องจากมีผูวิจยัแลว ดังนัน้การศึกษาเอกสารและงานวจิัยที่เกีย่วของจึงมีความสําคัญและเปนประโยชนตอผูวิจยัพอสรุปได ดังนี้ 1) ชวยใหมองปญหาที่จะทําวิจัยใหเเจมชดัขึ้น 2) ชวยใหไดแนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิัยที่เกี่ยวของกับตัวแปรที่จะศึกษา 3) ชวยใหกําหนดวธีิการวิจัยไดเหมาะสมกับปญหาวิจยั 4) ชวยใหนยิามปญหา นิยามตวัแปร และกําหนดขอบเขตของงานวิจยัไดแจมชดัและเหมาะสมมากขึ้น 5) ชวยสรางกรอบความคิดในการวิจยั 6) ชวยใหตั้งสมมุติฐานไดสมเหตุสมผล 7) ชวยใหเลือกเทคนิคตัวอยางไดเหมาะสม

8) ชวยใหเลือกเครื่องมือเก็บรวบรวมขอมูลไดอยางเหมาะสม 9) ชวยใหใชสถิติวิเคราะหขอมูลไดอยางถูกตองเหมาะสม

10) ชวยใหไดแนวทางในการแปลผลและอภิปรายผล

e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam

Page 13: หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

35

11) ชวยใหไดแนวทางในการเขยีนรายงานการวิจัย 8.2 แหลงของเอกสารและงานวจิัยที่เกี่ยวของ แหลงที่ใชประโยชนมากทีสุ่ดสําหรับการศึกษาคนควาก็คือหองสมุดของทุกสถาบันการศึกษา ที่เปนทั้งเอกสารและบริการสืบคนขอมูลโดยผานทางเครอืขายคอมพิวเตอร สําหรับเอกสาร หนังสือที่มขีอมูลอยูในหองสมุดมีดังนี้ 8.2.1 บทคัดยองานวิจยั 8.2.2 รายงานการวิจยัหรือวิทยานิพนธ การใชวิทยานพินธ ผูใชจะตองเลือกใชอยางระมัดระวัง ทั้งนี้เพราะคณุภาพของวิทยานพินธแตกตางกัน เนื่องจากอาจารยแตละคณะ แตละสถาบัน มีนโยบายเกี่ยวกับการทําวิทยานิพนธไมเหมือนกัน คุณภาพของวิทยานพินธจงึแตกตางกนั หากผูวจิัยนําวทิยานิพนธที่มีคุณภาพต่ํามาเปนตัวอยาง มาศึกษาอาจพบกับอุปสรรคและปญหาตาง ๆ ในการทาํวิจัยได 8.2.3 วารสารที่เกี่ยวของกับสาขาที่ทําการวิจัย 8.2.4 หนังสือหรือตําราที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับระเบยีบวิธีวิจัย 8.2.5. พจนานุกรม ศัพทานุกรมและปทานุกรม ที่รวบรวมศัพทเพื่ออธิบายความหมายของศัพททางดานตาง ๆ ไว เชนทางการศึกษา ทางวิทยาศาสตร เปนตน 8.2.6 คูมือที่จัดทําขึ้นเปนครั้งคราว เพื่อเสนอหรือสังเคราะหงานวิจัยหรือบทความทางวชิาการในสาขาใดสาขาหนึ่งที่เขียนโดยผูทรงคุณวุฒิ 8.2.7 รายงานประจําป เปนเอกสารที่หนวยงานตาง ๆ ทั้งภาครัฐเเละเอกชนจัดทําขึ้นเพื่อรวบรวมขาวสาร เหตุการณตาง ๆ ที่เปนความกาวหนาของหนวยงานนัน้ในรอบปที่ผานมา 8.2.8 การสืบคนจากสื่ออิเล็กทรอนิกส เชน ซีดีรอม อินเทอรเนต เปนตน 8.3 หลักเกณฑในการเลือกเอกสารและงานวิจยัที่เกีย่วของ ในการเลือกเอกสารและงานวิจยัที่เกีย่วของมีขอที่ควรคํานึงถึงดังนี้ 8.3.1 พยายามเลือกเอกสารที่มีเนื้อหาสาระที่เกีย่วของกับปญหาวจิัย และ หัวขอในการวจิัย และประโยชนตองานวจิัยของตนเอง 8.3.2 พิจารณาเนื้อหาสาระของเอกสารในแงที่ทันสมัย ความถูกตอง ความชัดเจนและความเชื่อถือได 8.3.3 วางแผนการคัดเลือกเอกสาร โดยพยายามเริม่ศึกษาเอกสารที่เปนผลงานวิจัยที่ศกึษาตัวแปร หรือปญหาเดียวกันกอนทีละตวัแปร เพื่อจดัระบบเอกสารใหงายในการ คนควาเพิม่เติมและงายตอการอาน

e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam

Page 14: หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

36

8.3.4 การเลือกงานวิจยัที่เกี่ยวของควรวิเคราะหคณุภาพของงานวจิัย กอน แลวพยายามเลอืกงานวจิัยที่เกี่ยวของโดยตรงกอน หากมีงานวจิัยที่เกี่ยวของโดยตรงมากพอก็ไมจําเปนตองศึกษางานวิจยัที่เกี่ยวของทางออม 8.3.5 ศึกษาเอกสารและผลงานวิจยัแบบวิเคราะห ดูความสัมพันธระหวางเร่ืองที่ศึกษา ผูเขียนเขียนขอความขัดแยงกับตนเองหรือไม ขอมูลไดมาอยางไร ประชากรหรือกลุมตัวอยางมมีากนอยเพียงไร เพียงพอตอการตอบคําถามหรือไม ความนาเชื่อถือเปนอยางไร นาเชื่อถือหรือไม ขอสรุปผลอยางเปนเหตุเปนผลหรือไมอยางไร เปนตน 9. สรุป

งานวิจยัจะเริ่มตนไดหรือไมนั้นสิ่งที่สําคัญคือปญหาการวิจัยและการกาํหนดหัวขอวจิัย ซ่ึงในการที่จะไดมาของปญหานั้นผูวิจัยจะตองทราบที่มาของแหลงปญหาการวจิัย วธีิการเลือกปญหา ลักษณะของปญหาที่ดี แลวเลือกปญหาที่สนใจ และสามารถดําเนินการวิจัยใหเกิดประโยชนไดอยางคุมคา และจะตองกําหนดวัตถุประสงคของการวิจัยใหชัดเจน สอดคลองกับปญหาวิจยัหรือคําถามวิจัย ตองกําหนดในลักษณะของสิ่งที่จะกระทําเพื่อใหไดมาในสิ่งที่อยากรูอยากเหน็หรือตอบคําถามมากกวาจะไดผลลัพธของสิ่งที่อยากรูอยากเห็นตอง สอดคลองกับรูปแบบของการวิจยั ครอบคลุมปญหาการวิจยัหรือคําถามการวิจัยครบทุกขอในรูปของประโยคบอกเลา และสามารถตอบคําถามของปญหาได

การศึกษาจากเอกสารและงานวิจยัที่เกีย่วของ นั้นศึกษาไดจากสื่อตาง ๆ ที่อยูในหองสมุด ดังนี ้

9.1 บทคดัยองานวิจยั 9.2 รายงานการวิจยัหรือวทิยานิพนธ 9.3 วารสารที่เกี่ยวของกับสาขาที่ทําการวิจัย 9.4 หนังสือหรือตําราที่มีเนื้อหาเกีย่วกับระเบียบวิธีวิจยั 9.5 พจนานกุรม ศัพทานกุรมและปทานุกรม 9.6 คูมือ 9.7 รายงานประจําป 9.8 การสืบคนจากสื่ออิเล็กทรอนิกส

e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam

Page 15: หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

37

จากการศึกษาเอกสารและงานวิจยัที่เกีย่วของจะทําใหผูวจิัยมองเห็นปญหาที่จะทําวจิัยใหเเจมชัดขึ้น ทั้งในแงแนวคิด ทฤษฎี และงานวจิัยที่เกี่ยวของกับตัวแปรที่จะศกึษา ชวยใหกําหนดวิธีการวิจัยไดเหมาะสมกับปญหาวจิัย ชวยใหนยิามปญหา นิยามตวัแปร และกําหนดขอบเขตของงานวิจยั ชวยสรางกรอบความคิดในการวจิัย ชวยในการตั้งสมมุติฐานได ชวยใหเลือกเทคนิคตวัอยาง ชวยใหเลือกเครื่องมือเก็บรวบรวมขอมูล สามารถใชสถิติวิเคราะหขอมูล รวมทั้งไดแนวทางในการแปลผลและอภิปรายผล และการเขียนรายงานการวิจยัได

แบบฝกหัดทายบท 1. จงบอกถึงแหลงที่มาของการวิจัย 2. จงอธิบายถึงวธีิการเลือกปญหาการวจิัย

e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam

Page 16: หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

38

3. จงเขียนแผนภมูิในการกําหนดปญหาการวจิัย พรอมทั้งอธิบายมาพอสังเขป 4. ใหเขียนและอธิบายกรอบความเปนมาของการวิจยัในเรื่องที่สนใจหรือในสาขาวิชาที่กาํลัง

ศึกษาอยู โดยใหอางอิงที่มาของขอมูลใหชัดเจนและสามารถตรวจสอบได 5. จงบอกถึงหลักการของปญหาที่จะนําไปสูการวิจัยได 6. ในการกําหนดวัตถุประสงคของงานวิจยัควรคํานึงถึงอะไรบาง 7. การศึกษาเอกสารและงานวจิัยที่เกีย่วของมีผลตอการวิจยัอยางไรบาง 8. หลักเกณฑในการเลือกเอกสารและงานวจิยัที่เกีย่วของเปนอยางไร อธิบายมาพอสังเขป 9. จงเขียนตวัอยางการขยายกรอบการเขยีนความเปนมาของการวิจยัจากแนวคิด หรือปญหาที่

เห็นในชีวิตประจําวนัมาสัก 1 ตัวอยาง

e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam

Page 17: หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย

39

เอกสารอางอิง

นงลักษณ วิรัชชัย. (2537). ความสัมพนัธโครงสรางเชงิเสน (LISREL) สถิติวิเคราะหสําหรับการวิจัยทางสงัคมศาสรและพฤติกรรมศาสตร. กรุงเทพมหานคร : จฬุาลงกรณมหาวิทยาลัย.

พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2543). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร. กรุงเทพมหานคร : สถาบันราชภัฏพระนคร.

ยุทธพงษ กยัวรรณ. (2543). พื้นฐานการวิจัย. กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาสน. รวีวรรณ ชินะตระกูล (2538). วิธีวิจัยการศึกษา. กรุงเทพมหานคร : สถาบันเทคโนโลยีพระ

จอมเกลาเจาคณุทหาร ลาดกระบัง. Koul, L. (1983). Methodology of Education in Social Research. 3rd Newyork : Harper

& Row Publishers,Inc. Schuessler. Karl F. (1964). Social Research Method. Bangkok : Thammasart

University Thailand.

e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam