Upload
-
View
59
Download
4
Embed Size (px)
Citation preview
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
บทที่ 3เรขาคณิตวิเคราะห
( 42 ชั่วโมง )
สําหรับบทเรียนนี้จะกลาวถึง เรขาคณิตวิเคราะห โดยแบงเปนสองหัวขอใหญ ๆ คือ ความรูเบื้องตนเกี่ยวกับเรขาคณิตวิเคราะห และภาคตัดกรวย โดยจะเนนการนําความรูไปใชในการแกปญหา แตถึงอยางไรก็ตามผูสอนควรใหผูเรียนสามารถหาสูตรไดบาง เพราะถาผูเรียนรูที่มาอันแนนอนของสูตร ก็ยอมใชสูตรนั้นดวยความเขาใจดีขึ้น สําหรับหวัขอความรูเบื้องตนเกี่ยวกับเรขาคณิตวิเคราะหที่จะกลาวถึงเปนการแสดงถึงความเกี่ยวของระหวางเสนตรงและสมการกําลังหนึ่ง โดยมีสาระการเรียนรูดังตอไปนี้ ระยะระหวางจุดสองจุด จุดกึ่งกลางระหวางจุดสองจุด ความชันของเสนตรง เสนขนาน เสนตั้งฉาก ความสัมพันธซ่ึงมีกราฟเปนเสนตรง และระยะหางระหวางเสนตรงกับจุด สวนหัวขอภาคตัดกรวยจะกลาวถึงวงกลม พาราโบลา วงรี และไฮเพอรโบลา ตามลําดับ ในชีวิตจริงไดมีการนําสมบัติของภาคตัดกรวย ไปใชกันอยางกวางขวาง เชน ในการศึกษาเกี่ยวกับโครงสรางของอะตอม การประดิษฐเลนสที่ใชในกลองสองทางไกล เลนสกลองจุลทรรศน เลนสแวนสายตาการประดิษฐโคมไฟรถยนต เรดาร และจานดาวเทียม ซ่ึงพื้นผิวดานในเกิดจากการหมุนพาราโบลารอบแกนพาราโบลา
นอกจากนีใ้นการหาตนกาํเนดิเสยีง เชน ในการหาทีต่ัง้ปนใหญ อาจอาศยัสมบตัขิองไฮเพอร-โบลาโดยใชทหารสองคนยนือยูคนละแหงจดเวลาที่ไดยินเสียงปน จากผลตางของเวลาทั้งสองนี้ ทําใหสามารถหาผลตางของระยะทางจากที่ตั้งปนใหญไปยังจุดที่ทหารยืนอยูโดยที่ตั้งปนใหญจะอยูบนไฮเพอรโบลา ซ่ึงมีโฟกัสทั้งสองเปนจุดที่ทหารยืนอยู จุดฟงจุดที่สามจะชวยทําใหหาตําแหนงที่ตั้งของปนไดสําหรับ การหาตําแหนงของเครื่องบิน ก็ใชวิธีการทํานองเดียวกัน โดยสถานีจากภาคพื้นดินสามแหงคอยรับสัญญาณจากเครื่องบินแลวนําผลตางของเวลาที่ไดรับสัญญาณมาคํานวณหาตําแหนงของเครื่องบินดังนั้น ในบทเรียนนี้ผูเรียนจะไดเรียนรูการนําคณิตศาสตรไปประยุกตใชในชีวิต
ผลการเรียนรูท่ีคาดหวัง1. หาระยะทางระหวางจุดสองจุด จุดกึ่งกลาง ระยะหางระหวางเสนตรงกับจุดได2. หาความชันของเสนตรง สมการเสนตรง เสนขนาน เสนตั้งฉาก และนําไปใชได3. เขียนความสัมพันธที่มีกราฟเปนภาคตัดกรวย เมื่อกําหนดสวนตาง ๆ ของภาคตัดกรวยใหและเขียน
กราฟของความสัมพันธนั้นได4. นําความรูเร่ืองการเลื่อนแกนทางขนานไปใชในการเขียนกราฟได5. นําความรูเร่ืองเรขาคณิตวิเคราะหไปใชแกปญหาได
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
157
ผลการเรียนรูที่คาดหวังเปนผลการเรียนรูที่สอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูชวงชั้นทางดานความรู ดังนั้นในการจัดการเรียนรู ผูสอนตองคํานึงถึงมาตรฐานการเรียนรูดานทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตรดวยการสอดแทรกกิจกรรมหรือโจทยปญหาที่จะสงเสริมใหผูเรียนเกิดทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตรที่จําเปน อันไดแก ความสามารถในการแกปญหา การใหเหตุผล การสื่อสาร การสื่อความหมายทางคณิตศาสตรและการนําเสนอ การเชื่อมโยงความรูตาง ๆ ทางคณิตศาสตรและเชื่อมโยงคณิตศาสตรกับศาสตรอ่ืน และการคิดริเร่ิมสรางสรรค นอกจากนั้นกิจกรรมการเรียนรู ควรสงเสริม ใหผูเรียนตระหนักในคุณคาและมีเจตคติที่ดีตอวิชาคณิตศาสตร ตลอดจนฝกใหนักเรียนทํางานอยาง เปนระบบ มีระเบียบวินัย รอบคอบ มีความรับผิดชอบ มีวิจารณญาณ และมีความเชื่อมั่นในตนเอง
ในการเรียนการสอนแตละสาระการเรียนรูของวิชาคณิตศาสตรนั้น ผูสอนควรแสดงหรือยก ตัวอยางใหผูเรียนเห็นถึงประโยชนและการนําคณิตศาสตรไปใช ดังเชนสองหัวขอในบทเรียนนี้ เพื่อให ผูเรียนตระหนักถึงคุณคาอันเกิดจากการศึกษาวิชาคณิตศาสตร ซ่ึงจะโยงไปถึงเจตคติตอวิชาคณิตศาสตร
ในการจัดกิจกรรมการเรียนรูสําหรับบทเรียนนี้ ผูสอนควรใหผูเรียนไดทดลอง และคนควาหาขอสรุปดวยตนเอง
ขอเสนอแนะ1. ในการสอนเรื่องระยะทางระหวางจุด 2 จุด ผูสอนทบทวนความรูของผูเรียนเรื่องระยะ
ระหวางจุด 2 จุดบนเสนจํานวนที่แทนดวยจํานวนจริง a และ b วาเทากับ ⏐a – b⏐ ซ่ึงผูเรียนไดเคยศึกษามาแลวในเรื่องจํานวนจริง ถาผูเรียนจําไมได ใหผูสอนยกตัวอยางจุดบนเสนจํานวนที่แทนดวยจํานวนจริง ใหผูเรียนหาระยะหางระหวางจุดเหลานั้น เชน
ก. ระยะหางระหวางจุดที่แทน 2 และจุดที่แทน 10ข. ระยะหางระหวางจุดที่แทน –10 และจุดที่แทน 5ค. ระยะหางระหวางจุดที่แทน –15 และจุดที่แทน –5
ซ่ึงผูเรียนควรตอบไดวา เทากับ ⏐10 – 2⏐, ⏐5 – (–10)⏐ และ ⏐–5 – (–15)⏐ ตามลําดับ โดยผูสอนอาจใชเสนจํานวนแสดงประกอบดวย
2. สัญลักษณที่ใชแทนความยาวของสวนของเสนตรง AB จะเขียนแทนดวย AB หรือ ABซ่ึงผูเรียนไดเคยใชมาแลวในระดับมัธยมศึกษาตอนตน แตบางครั้งบางคนยังสับสนอยูบาง ใหผูสอนชี้แจงเร่ืองสัญลักษณอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเปนสัญลักษณที่นักเรียนจะใชตอไปอีกมาก
3. การนิยามความชันของเสนตรงในบทนี้นิยามโดยอาศัยโคอออรดิเนตของจุดสองจุดที่ เสนตรงผาน กลาวคือ ความชันของเสนตรงที่ผานจุด P1(x1, y1) และ P2(x2, y2) จะเทากับ
12
12
xxyy
−−
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
158
นอกจากนี้อาจนิยามความชันของเสนตรงโดยอาศัยฟงกชันตรีโกณมิติ กลาวคือความชันของเสนตรงที่ ทํามุม θ กับแกน X เทากับ tan θ (มุม θ เปนมุมที่วัดทวนเข็มนาฬิกา จากแกน X ดานที่เปนบวก ไปจนถึงเสนตรงมุม θ นี้เรียกวา “มุมเอียง” ของเสนตรง และ 0° ≤ θ < 180°)
4. ในหนังสือเรียนที่กลาววา “ความชันของเสนตรงเสนหนึ่ง (ที่ไมขนานกับแกน Y) มีเพียงคาเดียวเทานั้น” ซ่ึงในหนังสือเรียนไมไดแสดงวิธีพิสูจนไว ผูสอนอาจแสดงใหผูเรียนเห็นโดยวิธีการดังนี้
ให L เปนเสนตรงที่ไมขนานกับแกน Y และทํามุมแหลมกับแกน X จุด P1(x1, y1) และ P2(x2, y2) อยูบนเสนตรง L
จากนิยามของความชัน จะไดวา ความชันของเสนตรง L เทากับ 21
21
xxyy
−−
ถา P3(x3, y3) และ P4(x4, y4) เปนจุดอีกสองจุดบนเสนตรง Lดังนั้น ความชันของเสนตรง L เทากับ
43
43
xxyy
−−
จากรูป จะเห็นวา ∆ P1P2Q ∼ ∆ P3P4Rดังนั้น
RPQP
3
1 =RPQP
4
2
QPQP
2
1 =RPRP
4
3
21
21
xxyy
−− =
43
43
xxyy
−−
นั่นคือ ความชันของเสนตรงเดียวกันยอมเทากันสําหรับเสนตรงที่ทํามุมปานกับแกน X ผูสอนอาจใชวิธีการแสดงในทํานองเดียวกัน
•
•
•
•
0(x4, y4) x3 – x4
y3 – y4P4
P3
P2
P1
(x3, y3)
(x2, y2)
(x1, y1)
x1 – x2
y1 – y2
Q
R
LY
X
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
159
5. ในหนังสือเรียน ไดกลาววา เสนตรงสองเสนใด ๆ (ที่ไมขนานกับแกน Y) จะขนานกัน ก็ตอเมื่อ ความชันของเสนตรงทั้งสองเทากันและในหนังสือเรียนไดแสดงใหเห็นเฉพาะสวนที่กลาววา ถาเสนตรงสองเสนขนานกันแลวความชันยอมเทากัน แตไมไดแสดงวา ถาความชันของเสนตรงสองเสนใดเทากันแลว เสนตรงทั้งสองจะขนานกัน ซ่ึงอาจแสดงวาถาเสนตรงสองเสนมีความชันเทากันแลว เสนตรงทั้งสองจะขนานกัน ไดดังนี้
ให L1 และ L2 เปนเสนตรงที่มีความชัน m1 และ m2 ตามลําดับ และ m1 = m2 จะแสดงวา L1 และ L2 ขนานกัน
สมมุติวา L1 ไมขนานกับ L2 ให L1 ตัดกับ L2 ที่จุด P1(x1, y1)ให P2(x2, y3) และ P3(x2, y2) เปนจุดบน L1 และ L2 ตามลําดับ
จะได m1 =12
13
xxyy
−− และ m2 =
12
12
xxyy
−−
เนื่องจาก y3 ≠ y2 ดังนั้น 12
13
xxyy
−− ≠
12
12
xxyy
−−
จึงทําให m1 ≠ m2 ซ่ึงขัดแยงกับที่กําหนดใหดังนั้น ที่สมมุติวา L1 ไมขนานกับ L2 จึงเปนไปไมไดนั่นคือ L1 ขนานกับ L2
0
P3 (x2, y2)
P2 (x2, y3)
P1 (x1, y1)
L1
Y
X
y1
y2
y3
x1 x2
L2
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
160
6. ในหนังสือเรียนไมไดแสดงการพิสูจนวา ถาเสนตรงสองเสนมีผลคูณของความชันเทากับ –1 แลว เสนตรงทั้งสองจะตั้งฉากซึ่งกันและกัน ซ่ึงหากผูเรียนสนใจการพิสูจนผูสอนอาจแสดงไดดังนี้
ให L1 และ L2 เปนเสนตรงสองเสนที่ไมขนานกับแกน Y มีความชัน m1 และ m2 ตามลําดับและ m1m2 = –1 จะแสดงใหเห็นวา L1 ตั้งฉากกับ L2
เนื่องจาก m1m2 = –1 จะได m1 ≠ 0 และ m2 ≠ 0 และ m1 ≠ m2
(เพราะถา m1 = m2 จะได m12 = –1 ซ่ึงเปนไปไมได)
ดังนั้น L1 ไมขนานกับ L2 ให L1 และ L2 ตัดกันที่จุด R (a, b)เนื่องจาก L1 และ L2 มีความชันเปน m1 และ m2 ตามลําดับ
ดังนั้น สมการของเสนตรง L1 ซ่ึงผานจุด (a, b) และมีความชัน m1 คือ y = m1(x – a) + bดังนั้น เสนตรง L1 ตัดแกน Y ที่จุด P(0, b – am1)และ สมการของเสนตรง L2 ที่ผานจุด (a, b) และมีความชัน m2 คือ y = m2(x – a) + bดังนั้น เสนตรง L2 ตัดแกน Y ที่จุด Q(0, b – am2)จะแสดงวา ∆ PRQ เปนสามเหลี่ยมมุมฉากเนื่องจาก PQ2 = [(b – am2) – (b – am1)]2
= a2m12 – 2a2m1m2 + a2m2
2
= a2m12 + 2a2 + a2m2
2 (m1m2 = –1)PR2 = a2 + [b – (b – am1)]2
= a2 + a2m12
0(0, b – am1)
(0, b – am2) L1
Y
XP
QL2
(a, b)R•
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
161
และ QR2 = a2 + [b – (b – am2)]2
= a2 + a2m22
จะได PR2 + QR2 = a2m12 + 2a2 + a2m2
2
= PQ2
แสดงวา สามเหลี่ยม PRQ เปนสามเหลี่ยมที่มี PRQ เปนมุมฉากและเนือ่งจากสวนของเสนตรง PR และสวนของเสนตรง QR เปนสวนหนึง่ของเสนตรง L1 และ L2 ตามลาํดบันั่นคือ L1 ตั้งฉากกับ L2
7. ในการสอนเรื่องสมการเสนตรง ควรชี้ใหเห็นวา กําลังของตัวแปรแตละตัวในสมการ เสนตรงนั้นเปนหนึ่งเสมอ และเนื่องจากเสนตรงที่ผานจุดสองจุดที่กําหนดใหมีไดเพียงเสนเดียวเทานั้น ดังนั้น เพื่อความสะดวกในการเขียนกราฟเสนตรงใดก็ตามเราหาจุดที่เสนตรงนั้นผานเพียงสองจุดก็พอ แตเพื่อปองกันความผิดพลาดเรานิยมพิจารณาจุดที่เสนตรงผานสามจุด ถาพบวาจุดทั้งสามจุดไมอยูในแนว เสนตรงเดียวกันแสดงวามีความผิดพลาดเกิดขึ้นตองตรวจสอบใหมอีกครั้ง
8. ในการหาระยะระหวางเสนตรงกับจุด นอกจากจะใชวิธีการในหนังสือเรียนแลวยังมีวิธีอ่ืนอีก เชน วิธีหาสมการเสนตรงที่ผานจุดที่กําหนดใหและตั้งฉากกับเสนตรงที่กําหนดให เพื่อหาจุดตัดของเสนตรงทั้งสอง แลวจึงหาระยะระหวางจุดที่กําหนดใหกับจุดตัด
9. ถา L เปนเสนตรงที่ขนานกับแกน X และอยูหางจากแกน X เปนระยะ ⏐b⏐ หนวย ความสัมพันธที่มีกราฟเปนเสนตรง L คือ
{(x, y) ∈ R × R⏐y = b}หรือ {(x, y) ∈ R × R⏐y = –b}
ทํานองเดียวกัน ถา L เปนเสนตรงที่ขนานกับแกน Y และอยูหางแกน Y เปนระยะ ⏐a⏐หนวย ความสัมพันธที่มีกราฟเปนเสนตรง L คือ
{(x, y) ∈ R × R⏐x = a}หรือ {(x, y) ∈ R × R⏐x = –a}
10. ในการหาความสัมพันธที่มีกราฟเปนเสนตรง เมื่อทราบวา เสนตรงผานจุด (x1, y1) และ มีความชันเปน m แลว ถานักเรียนเขียนความสัมพันธที่ไดเปน
⎭⎬⎫
⎩⎨⎧ =
−−
mxxyy
)y,x(1
1 ใหผูสอนชี้แจง
ผูเรียนทราบวา ไมถูกตอง เนือ่งจากกราฟของความสมัพนัธดงักลาวไมรวมจดุ (x1, y1) ซ่ึงผูเรียนควรเขยีนใหถูกตองเปน {(x, y)⏐y – y1 = m(x – x1)} ซ่ึงกราฟของความสัมพันธนี้จะเปนเสนตรงที่ผานจุด (x1, y1)ดวย
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
162
11. พื้นฐานสําคัญในการศึกษาเรื่อง ภาคตัดกรวย คือ เร่ืองการจัดพหุนามตัวแปรเดียวดีกรีสอง ใหสวนที่มีตัวแปรอยูในรูปกําลังสองสมบูรณ ซ่ึงจะใชมากเมื่อกําหนดความสัมพันธที่มีกราฟเปน ภาคตัดกรวยมาให แลวใหหาสวนตาง ๆ ของภาคตัดกรวยนั้น ๆ เชน จุดยอด โฟกัส ความยาวแกนเอกแกนโท ฯลฯ ในกรณทีัว่ ๆไป การจดัพหนุามตวัแปรเดยีวดกีรีสอง ใหสวนทีม่ตีวัแปรอยูในรปูกาํลังสองสมบรูณผูสอนอาจเสนอทางเลือกใหผูเรียนไดสองทาง คือ
ก. การจัดโดยใชสูตรข. การจัดโดยใชขั้นตอนวิธี
การจัดพหุนามตัวแปรเดียวดีกรีสองใหสวนที่มีตัวแปรอยูในรูปกําลังสองสมบูรณโดยใชสูตร ผูสอนอาจดําเนินการพิสูจน ดังนี้
จากพหุนามตัวแปรเดียวดีกรีสองรูปทั่วไป ax2 + bx + cเมื่อ a, b และ c เปนคาคงตัวที่ a ≠ 0 ใหดําเนินการตามขั้นตอนวิธีดังนี้ax2 + bx + c = c)x
abx(a 2 ++
= c))a2
b()a2
b(xabx(a 222 +−++
= c)a4
b)a2
bx((a 2
22 +−+
= ca4
b)a2
bx(a2
2 +−+
=a4
ac4b)a2
bx(a2
2 −−+
สูตรที่ตองจําไวใช คือ
จากพหุนาม ax2 + bx + c เมื่อ a, b, c เปนคาคงตัวที่ a ≠ 0 จัดใหสวนที่มีตัวแปร เปนรูปกําลังสองสมบูรณไดเปน
a4ac4b)
a2bx(a
22 −−+
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
163
สวนการจดัโดยใชขัน้ตอนวธีิ ผูสอนจะฝกใหผูเรียนดาํเนนิขัน้ตอนตามขัน้ตอนในการพสูิจนขางตนทั้งสองวิธีการมีจุดเดนและจุดดอยอยูในตัว ขอใหสังเกตขอดีขอเสียจากตัวอยางตอไปนี้
ตัวอยาง จงเขียนสวนที่มีตัวแปรของพหุนามตอไปนี้ใหอยูในรูปกําลังสองสมบูรณ5x2 – 7x + 9
วิธีทํา
ทําโดยใชสูตร ทําโดยใชขั้นตอนวิธีจากพหุนาม ax2 + bx + c จัดใหสวนที่มีตัวแปรอยูในรูปกําลังสองสมบูรณไดเปน
a4ac4b)
a2bx(a
22 −−+
ดังนั้น จาก 5x2 – 7x + 9 จะจัดไดเปน
54)()())(x(
22
×××−−
−−
+9547
1075
= 2018049
1075 −
−− 2)x(
= 20131
1075 +− 2)x(
5x2 – 7x + 9 = 9575 +− )xx( 2
= 910049
107
575 +−+− ))(xx( 22
= 92049
1075 +−− 2)x(
= 2049180
1075 −
+− 2)x(
= 20131
1075 +− 2)x(
จากตัวอยางจะเห็นไดวา วิธีจําสูตรนั้นขอเสียคือ ถาจําสูตรผิดผลที่ไดจะผิดไปดวย สวนการคิดคํานวณนั้นตองมีความแมนยําทั้งสองวิธี วิธีการทําตามขั้นตอนวิธีอาจตองระวังมากหนอย ตอนที่คิดหาพจนคงตัวอาจลืมตัวคูณซึ่งในตัวอยางขางตน คือ 5
12. การใชความรูเร่ืองการเลื่อนแกนทางขนานเพื่อหาความสัมพันธของตัวแปร x และ y ที่มีกราฟเปนภาคตัดกรวย เปนวิธีที่ชวยใหหาความสัมพันธในรปูมาตรฐานไดรวดเร็วขึ้น แตตองอาศัย ความรูสองเรื่อง คือ
ก. ความสัมพันธของพิกัดของจุด เมื่อใชแกนชุดเดิมและแกนชุดใหมที่เกิดจากการเลื่อนทางขนาน (x′ = x – h และ y′ = y – k)
ข. ความสัมพันธที่มีกราฟเปนภาคตัดกรวย เมื่อจุดยอดหรือจุดศูนยกลางอยูที่จุดกําเนิด เชน x2 + y2 = r2, x2 = 4py, y2 = 4px ฯลฯ
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
164
ผูสอนควรดําเนินการในเรื่องทั้งสองนี้ใหชัดเจน และถาจะใหการสอนสมบูรณยิ่งขึ้นควรให ผูเรียนลองหาความสัมพันธท่ีมีกราฟเปนภาคตัดกรวย โดยใชวิธีท่ีแตกตางจากในหนังสือเรียน กลาวคือสําหรับพาราโบลา วงรี และไฮเพอรโบลา ผูสอนควรลองใหผูเรียนใชวิธีหาความสัมพันธจากบทนิยามโดยอาศัยสูตรการหาระยะทางระหวางจุดกับจุดและจุดกับเสนตรง เชน การหาสมการของพาราโบลา ที่มีจุดยอดอยูที่จุด (h, k) และมีแกนของพาราโบลาขนานกับแกน X หาไดดังนี้
ให (h, k) เปนจุดยอดและระยะจากจุดยอดไปยังโฟกัส คือ ⏐p⏐ จะไดวา ถาโฟกัสมีพิกัดเปน (h + p, k) แลวไดเรกตริกซ คือ กราฟของสมการ x = h – p (แตถาโฟกัสมีพิกัดเปน (h – p, k)แลวไดเรกตริกซ คือ กราฟของสมการ x = h + p)
เมื่อ P(x, y) เปนจุดใด ๆ บนพาราโบลา จากบทนิยามของพาราโบลาจะไดวาPF = PD
นั่นคือ 2)(2))(( kyphx −++− = )( phx −−
(x – (h + p))2 + (y – k)2 = (x – (h – p))2
(y – k)2 = 4px – 4ph(y – k)2 = 4p (x – h)
หมายเหตุ 1. รูปทีใ่ชในการพสูิจน เปนรูปทีส่มมตุขิึน้ ในกรณทีี ่p เปนจาํนวนจรงิลบ รูปจะไมใชรูปนี้2. ควรทดลองคิดในกรณีที่พิกัดของโฟกัสเปน (h – p, k) และไดเรกตริกซคือ กราฟของ
สมการ x = h + p แลวดูวาจะไดผลเหมือนกันหรือไม
•
•
Y Y′
X′
X
x = h – p
D P (x, y)
V (h, k) F (h + p, k)
0
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
165
13. ผูสอนอาจขยายความรูของผูเรียนโดยใหเขียนกราฟของอสมการที่เกิดจากการเปลี่ยน เครื่องหมายเทากับในสมการที่มีกราฟเปนภาคตัดกรวย เปนเครื่องหมาย ≠, >, <, ≥, ≤ เชน
x2 + y2 > 4 เปนตน14. การกําหนดมาตราสวนบนแกน X และแกน Y ตองเหมือนกัน เพราะถากําหนดตางกัน
กราฟที่ไดจะไมสมจริง เชน สมการที่กราฟควรเปนวงกลม อาจมีกราฟเปนวงรีได15. หลังจบบทเรียนแลวผูสอนควรใหแบบฝกทักษะเกี่ยวกับเรื่องภาคตัดกรวยเพิ่มเติม
อยางสม่ําเสมอ เพราะถาละเลยผูเรียนจะลืมวิธีการตาง ๆ ไดงาย16. ในบทนี้มีการกลาวถึงแกนสมมาตรของภาคตัดกรวย ซ่ึงเปนความรูที่ผูเรียนเคยศึกษา
มาแลวตั้งแตระดับประถมศึกษา บทนิยามทั่วไปที่ผูเรียนทราบคือ เมื่อพับรูปตามแกนสมมาตรแลวรูปที่อยูคนละขางของแกนสมมาตรจะทับกันสนิท แตในหนังสือเรียนนี้กลาววา พาราโบลาที่มาจากสมการ y2 = 12x มีแกน X เปนแกนสมมาตร เพราะเมื่อแทน y ในสมการดวย –y แลว ไดสมการคงเดิม แสดงวา กราฟของสมการ y2 = 12x มีแกน X เปนแกนสมมาตรโดยไมไดใหเหตุผลประกอบไววาเมื่อแทน y ในสมการดวย –y ไดสมการคงเดิมแลว เหตุใดแกน X จึงเปนแกนสมมาตร การที่สามารถ สรุปเชนนี้ได เพราะจุดที่มีพิกัด (x, y) กับ (x, –y) อยูหางแกน X เปนระยะเทากันคือ y เมื่อแทน y ในสมการ ดวย –y แลวไดสมการเดิมก็แสดงวาทั้งจุด (x, y) และ (x, –y) ตางอยูบนกราฟของสมการโดยมีคา x ที่เหมือนกันตางกันเฉพาะคา y และเนื่องจากการแทนคาดังกลาวไมไดเจาะจงแสดงวาทุก ๆ จุด (x, y) จะมีจุด (x, –y) ที่อยูบนกราฟคูกันเสมอ ดังนั้น เมื่อพับรูปตามแกน X จุดแตละคูดังกลาว จะทับกันเสมอ แสดงวาแกน X เปนแกนสมมาตร
ในทํานองเดียวกัน เมื่อมีสมการแสดงความสัมพันธระหวาง x กับ y และถาแทน x ในสมการดวย –x แลว สมการคงเดิมก็แสดงวากราฟของสมการนั้นมีแกน Y เปนแกนสมมาตร
การสมมาตรที่กลาวถึงในบทนี้กลาวเฉพาะการสมมาตรเมื่อเทียบกับแกน X หรือแกน Yหรือเสนตรงอื่น ซ่ึงนอกจากเสนตรงแลว การสมมาตรอาจเทียบกับจุดหรือระนาบก็ได
17. สมการภาคตัดกรวยในรูปตอไปนี้(x – h)2 + (y – k)2 = r2
(y – k)2 = 4c (x – h) (x – h)2 = 4c (y – k)
2
2
2
2
b)ky(
a)hx( −
+− = 1
2
2
2
2
b)hx(
a)ky( −
+− = 1
2
2
2
2
b)ky(
a)hx( −
−− = 1
2
2
2
2
b)hx(
a)ky( −
−− = 1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
166
เปนรูปสมการที่ชวยใหหาสวนสําคัญเกี่ยวกับภาคตัดกรวย เชน จุดศูนยกลาง จุดยอด ฯลฯ ไดงายเรียกรวม ๆ กันวา สมการในรูปมาตรฐาน (Standard form) เมื่อกระจายพจนกําลังสองแลวจัดเรียงพจนใหม จะอยูในรูปสมการกําลังสองสองตัวแปร ซ่ึงมีรูปทั่วไปดังนี้
Ax2 + Bxy + Cy2 + Dx + Ey + F = 0เมื่อ A, B, C, D, E และ F คือคาคงตัว เชน จากสมการวงกลมมาตรฐานเมื่อกระจายใหอยูในรูปทั่วไปจะได x2 + y2 – 2hx – 2ky + h2 + k2 – r2 = 0ซ่ึงเมื่อเทียบกับรูปสมการทั่วไปสองตัวแปรจะไดวา
A = 1, B = 0, C = 1, D = –2h, E = –2k, F = h2 + k2 – r2 ฉะนั้น อาจกลาวไดวาสมการวงกลมในรูปมาตรฐานทุกสมการ สามารถเขียนอยูในรูปทั่วไปไดเปน
x2 + y2 + Dx + Ey + F = 0 เมื่อ D, E และ F คือ คาคงตัว
ในทางกลับกันจากสมการในรูปทั่วไปขางตน ถาพิจารณากลับวา กราฟของสมการดังกลาว เปนวงกลมหรือไม จะพบวามีบางคาของคาคงตัว D, E และ F ทําใหกราฟไมใชวงกลม ขั้นตอนวิธีตอไปนี้เปนขั้นตอนวิธีคอนขางสําคัญในการเขียนกราฟของรูปทั่วไปของสมการวงกลม ซ่ึงตองฝกฝน ผูเรียนใหมีความคลองตัว ขั้นตอนวิธีที่ใชคือ การจัดพจนที่มีตัวแปรใหอยูในรูปกําลังสองสมบูรณ เพื่อใหสมการอยูในรูปมาตรฐาน
จากสมการ x2 + y2 + Dx + Ey + F = 0จะได x2 + Dx + 2)
2D( – 2)
2D( + y2 + Ey + 2)
2E( – 2)
2E( + F = 0
22 )2Ey()
2Dx( +++ =
4E
4D 22
+ – F
=4
F4ED 22 −+
จากสมการสุดทาย จะเห็นไดชัดเจนวา กราฟของสมการรูปทั่วไปจะเปนวงกลมหรือไมขึ้นอยู กับคาของ D2 + E2 – 4F ซ่ึงสามารถแยกกรณีพิจารณาไดดังนี้
กรณีท่ี 1 D2 + E2 – 4F > 0กรณีนี้จะไดวา กราฟของสมการที่กําหนดเปนวงกลมมี )
2E,
2D( −− เปนจุดศูนยกลาง
รัศมียาว 2
F4ED 22 −+ หนวย
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
167
กรณีท่ี 2 D2 + E2 – 4F = 0กรณีนี้กราฟของสมการที่กําหนดคือจุด )
2E,
2D( −− เรียกชื่อจุดที่เปนกราฟในกรณีนี้วา
วงกลมลดรูป (degenerate circle)
กรณีท่ี 3 ถา D2 + E2 – 4F < 0กรณีนี้สมการที่กําหนดไมมีกราฟ หรือกลาวอีกนัยหนึ่ง คือ ไมมีคูอันดับของจํานวนจริงใด ๆ
เปนคาํตอบ หรือสอดคลองสมการทีก่าํหนดให (เพราะไมมจีาํนวนจรงิใดยกกาํลังสองแลวไดจาํนวนจรงิลบ)ในทํานองเดียวกัน เมื่อกระจายพจนกําลังสองของภาคตัดกรวยอื่น ๆ จะไดรูปพหุนามทั่วไปของ
ภาคตัดกรวยแตละชนิด เชนจากสมการ (y – k)2 = 4 c(x – h)จะได y2 – 2ky + k2 = 4cx – 4chหรือ y2 – 4cx – 2ky + k2 + 4ch = 0ซ่ึงเมื่อเทียบกับรูปทั่วไปของสมการกําลังสอง สองตัวแปรจะอยูในรูป
y2 + Dx + Ey + F = 0จากสมการทั่วไปในรูปดังกลาวขางตนจะสามารถใชวิธีการทํานองเดียวกันกับเรื่องวงกลม
พิจารณากรณีตาง ๆ วา สมการทั่วไปดังกลาวจะมีกราฟเปนพาราโบลาเมื่อใดในทํานองเดียวกันจากสมการในรูปมาตรฐานของภาคตัดกรวยสมการอื่น ๆ สามารถจัดอยูในรูป
ทั่วไปได และจากสมการในรูปทั่วไปจะมีทั้งกรณีที่มีกราฟเปนภาคตัดกรวยและไมเปนภาคตัดกรวย ควรลองใหผูเรียนไดพิจารณาดวยตนเอง
18. สําหรับผูเรียนที่มีความสนใจและความสามารถพิเศษ อาจใหศึกษาเรื่องการหมนุแกน และการใชการเลื่อนแกนและหมุนแกนในการพิจารณากราฟของสมการกําลังสองสองตัวแปร รูปทั่วไปคือ สมการ
Ax2 + Bxy + Cy2 + Dx + Ey + F = 0 ในกรณีที่ B ≠ 0 บางสมการที่สามารถใชวิธีหมุนแกน ทําใหเปล่ียนรูปสมการใหพจน xy มีสัมประสิทธิ์เปนศูนย ซ่ึงจะทําใหไดสมการรูปทั่วไปเปนกรณีใดกรณีหนึ่งตามขอ 8 ทําใหสามารถเขียนกราฟของสมการไดโดยใชขั้นตอนวิธีจัดตัวแปรใหอยูในรูปกําลังสองสมบูรณ ตอไปนี้เปนความรูเร่ืองการหมุนแกนอยางงาย
สมมุติหมุนแกนทํามุม θ กับแกนชุดเดิมโดยหมุนในทิศทวนเข็มนาฬิกาไดแนวแกน ชุดใหมเรียกวา แกน X′ และแกน Y′ ดังรูป
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
168
ถา P เปนจุดใด ๆ บนระนาบมีพิกัดเปน (x, y) และ (x′, y′) เมื่อเทียบกับแกนชุดเดิมและ แกนชุดใหมตามลําดับ
เนื่องจากแกน X′ ทํามุม θ กับแกน X และผานจุดกําเนิด ดังนั้นแกน X′ ซ่ึงเปนเสนตรง มีความชัน tan θ ผานจุด (0, 0) จะมีสมการเมื่อเทียบกับแกนชุดเดิมเปน
y = (tan θ)xหรือ (tan θ) x – y = 0 ----------- (1)
และเนื่องจากแกน Y′ ตั้งฉากกับแกน X′ และผานจุดกําเนิด จึงมีสมการเมื่อเทียบกับแกนชุดเดิมเปนy = x
tan1θ
−
หรือ x + (tan θ) y = 0 ----------- (2)จาก (1) และ (2) เมื่อหาระยะจากจุด (x, y) ถึงแกน X′ และ Y′ โดยใชสูตรหาระยะจากจุด
ไปยังเสนตรงจะไดวาx′ =
θ+
θ+2tan1
y)(tanx y′ = θ+
θ−2tan1
x)(tany
(จากสูตรหาระยะจากจุดไปยังเสนตรงตองเลือกใชคาที่เมื่อแทนตัวแปร x, y ในสมการแลวไดคามากกวาศูนย แตในที่นี้แทนตัวแปร x, y ดวยคาใด ๆ x, y และคา x′, y′ ก็ยังเปนไดทั้งจํานวนบวกและจํานวนลบ การเลือกคาถาจะทําใหละเอียดจึงตองพิจารณาเปนกรณี ๆ ไป แตทุกกรณีจะออกมาตรงกันดังที่เขียนไว)
จากคาของ x′, y′ ที่สัมพันธกับ x, y ขางตน จัดสมการใหมโดยเขียน tan θ ในรูป θθ
cossin
จะไดx′ = x cos θ + y sin θy′ = y cos θ – x sin θ
•Y
X
X′Y′x′
P (x, y)(x′, y′)
y′
θ
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
169
หรือx = x′ cos θ – y′ sin θy = x′ sin θ + y′ cos θ
ประโยชนประการหนึ่งของการหมุนแกนคือ เพื่อจัดรูปทั่วไปของสมการกําลังสองสองตัวแปรAx2 + Bxy + Cy2 + Dx + Ey + F = 0
ใหอยูในรูปที่อางถึงแกนชุดใหมเปนA′x′2 + B′x′y′ + C′y2 + D′x′ + E′y′ + F′ = 0
โดยพยายามหมุนแกนใหคาของ B′ = 0 ซ่ึงจะทําใหสมการอยูในรูปทั่วไปที่ไมมีพจน xy เชนจากเรื่องไฮเพอรโบลามุมฉาก ซ่ึงเห็นไดชัดเจนวา แกนหมุนไป 45° ในกรณีนี้อยูในรูป xy = k, k > 0จะใชความสัมพันธเปน
x = x22 ′ – y
22 ′
y = x22 ′ + y
22 ′
แทนคา x และ y ในสมการ xy = k จะได22 y
21x
21 ′−′ = k
ดังนั้น จะจัดสมการในรูปมาตรฐาน เปน
2
2
)k2(x′ –
2
2
)k2(y′ = 1
กรณีทั่ว ๆ ไป การจะทําใหคา B′ เปนศูนยจะใชสูตรtan 2 θ =
CAB−
เชนจากสมการ4x2 – 4xy + y2 + 2x – 6y + 17 = 0
จะตองใหtan 2 θ =
144−− =
34−
นั่นคือθ−θ2tan1
tan2 = 34−
หรือ 2 tan2θ – 3 tan θ – 2 = 0(2 tan θ + 1) (tan θ – 2) = 0tan θ =
21− หรือ tan θ = 2
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
170
ใชเฉพาะคา tan θ ที่เปนบวก หาคา sin θ และ cos θ จะไดsin θ =
52 cos θ =
51
แทนคา x และ y ในสมการโดยใหx = x
51 ′ – y
52 ′
y = x5
2 ′ + y5
1 ′
จะได22 )y
51 x
52( )y
51 x
52)(y
52 x
51(4 )y
52 x
51(4 ′+′+′+′′−′−′−′
+ 17 )y5
1 x5
2(6 )y5
2 x5
1(2 +′+′−′−′ = 0
)y52 yx
53 x
52(4 )
5y4
5yx4
5x(4 22
22′−′′−′−
′+
′′−
′ + y5
4 x5
2 y51 yx
54 x
54 22 ′−′+′+′′+′
– 17 y5
6 x5
12+′−′ = 0
17 x52 y52 y5 2 +′−′−′ = 02)1 y5( −′ = x52 ′ – 162)
51 y( −′ =
58 x(
552
−′ )
เห็นไดวา สมการดังกลาวมีกราฟ เมื่อเทียบกับแกนที่หมุนไปเปนพาราโบลามีจุด )5
1,5
8(
เปนจุดยอด อยางไรก็ตามเรื่องนี้เปนเรื่องที่คอนขางยุงยาก ในกรณีที่ตองการใชเสริมใหผูเรียนควรทําภายหลัง จากเรียนตรีโกณมิติจนจบแลว และกรณีการจําสูตรคาของ tan 2θ อาจไมตองจําแตใชขั้นตอนวิธีแทนได ทั้งนี้ ผูสอนอาจตองเลือกโจทยที่ไมยากนักดวย และในการใชหลังจากหมุนแกนแลวจะตองเล่ือนแกนทาง ขนานกับแกนที่หมุนไปดวย
โดยการใชความรูดังกลาว จะสามารถพิจารณาสรุปเปนทฤษฎีวา จากสมการกําลังสองสองตัวแปร รูปทั่วไป
Ax2 + Bxy + Cy2 + Dx + Ey + F = 0เมื่อพิจารณาจากคา B2 – 4AC จะมีขอสรุปเกี่ยวกับกราฟดังนี้1. ถาเปนจํานวนจริงลบ กราฟจะเปนวงรี จุด หรืออาจไมมีกราฟ2. ถาเปนศูนย กราฟจะเปนพาราโบลา หรือเสนตรง 2 เสนที่ขนานกัน หรือเสนตรงเสนเดียว
หรือไมมีกราฟ3. ถาเปนจํานวนจริงบวก กราฟจะเปนไฮเพอรโบลา หรือเสนตรงสองเสนตัดกัน
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
171
กิจกรรมเสนอแนะระยะระหวางจุดสองจุด
กอนสอนบอกใหผูเรียนทราบวาระยะระหวางจุด A ถึงจุด B เขียนแทนดวย AB หรือ ⏐AB⏐1. ผูสอนควรใหผูเรียนหาระยะระหวางจุด 2 จุดบนแกน X หรือแกน Y กอนและหาระยะ
ระหวางจุด 2 จุดในแนวเสนตรงที่ขนานกับแกน X หรือแกน Y แลวจึงใหหาระยะระหวางจุด 2 จุดใด ๆบนระนาบ ดังวิธีการแตละขั้นดังตอไปนี้
(1) กําหนดตัวอยางของจุด 2 จุดบนแกน X ใหผูเรียนหาระยะระหวางจุด 2 จุดนี้หลาย ๆ ตัวอยาง เชน A(0, 0), B(4, 0) และ P(–3, 0), Q(2, 0) ฯลฯ ดังรูป
ผูเรียนควรตอบไดวา AB = 4 หนวย ไดจาก ⏐4 – 0⏐ หรือ ⏐0 – 4⏐ และ PQ = 5 หนวย ไดจาก ⏐–3 –2⏐ หรือ ⏐2 – (–3)⏐
จากกิจกรรมนี้ผูเรียนจะสรุปไดวา ระยะหางระหวางจุด A(a, 0) และจุด B(b, 0) คือ AB = ⏐a – b⏐ = ⏐b – a⏐
(2) ในทํานองเดียวกันจะหาระยะระหวางจุด 2 จุดบนแกน Y ไดโดยใชวิธีการเดียวกับ ขอ (1) ซ่ึงผูเรียนจะสรุปไดวา ระยะระหวางจุด C(0, c) และ D(0, d) คือ CD = ⏐c – d⏐ = ⏐d – c⏐
(3) กําหนดจุดสองจุดที่อยูในแนวเสนตรงเดียวกันกับเสนตรงที่ขนานกับแกน X หรือ แกน Y ใหผูเรียนหาระยะทางระหวางจุดสองจุดนั้น โดยวิธีเดียวกับการหาระยะระหวางจุดสองจุดใด ๆ บนแกน X และแกน Y ผูเรียนควรสรุปไดวา
ระยะระหวางจุด A(a, b) กับจุด B(a, c) คือ AB = ⏐b – c⏐ = ⏐c – b⏐และ ระยะระหวางจุด C(d, e) กับจุด D(f, e) คือ CD = ⏐d – f⏐ = ⏐f – d⏐โดยผูสอนยกตัวอยางที่เปนตัวเลขประกอบดวย
X
Y
A (0, 0) B (4, 0)•• X
Y
P (–3, 0) Q (2, 0)•• •
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
172
2. ในการหาระยะระหวางจุดสองจุดใด ๆ บนระนาบนั้นตองอาศัยทฤษฎีบทปทาโกรัส ดังนั้นเพื่อใหผูเรียนเกิดแนวความคิดที่จะนําทฤษฎีบทดังกลาวมาใช ผูสอนอาจใชวิธีการดังตอไปนี้
(1) กําหนดจุด A(0, a) และ B(b, 0) เปนจุดบนแกน Y และแกน X ตามลําดับ ใหผูเรียนหาระยะระหวางจุด A กับจุด B ผูสอนอาจยกตัวอยางจุดที่มีพิกัดเปนจํานวนจริง เชน A(0, 3) และ B(4, 0) หรือ A(0, –3) และ B(– 4, 0) เปนตน
ซ่ึงจากรูป ผูเรียนจะเห็นไดวา AB คือดานตรงขามของรูปสามเหลี่ยมมุมฉากผูสอนใหผูเรียนหา AB (ผูเรียนควรหาไดดวยตนเองโดยใชทฤษฎีบทปทาโกรัส)
(2) กําหนดจุด A อยูที่จุด (0, 0) และจุด B เปนจุดใด ๆ เชน B(3, 4) ฯลฯ ใหผูเรียนหา AB (ผูเรียนควรหาไดโดยเสนอวาควรลากเสนตรงขนานกับแกน X หรือแกน Y โดยใหเสนตรงนั้นผานจุด B จะไดรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก แลวใชทฤษฎีบทปทาโกรัส)
ถาผูเรียนยังเสนอแนะเพิ่มเติมจากสิ่งที่กําหนดใหไมได ผูสอนควรพยายามตั้งคําถามเพื่อใหผูเรียนนําความคิดเกี่ยวกับการหาระยะ AB ในขอ (1) มาใช ซ่ึงผูเรียน จะทราบวาจําเปนตองลากเสนตรงขนานกับแกน X หรือแกน Y โดยใหเสนตรงนั้นผานจุด B จะไดรูปสามเหลี่ยมมุมฉากแลวใชทฤษฎีบทปทาโกรัสผูสอนอาจฝกให ผูเรียนหา AB เมื่อ A เปนจุดบนแกน X (หรือแกน Y) แตไมใชจุด (0, 0)
X
Y
A (0, a)
B (b, 0)
•
•0
X
Y
B (a, b)
(0, 0)
•
•A
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
173
(3) กําหนดจุด A(x1, y1) และ B(x2, y2) เปนจุดในระนาบที่ไมอยูบนแกน X หรือแกน Y ใหผูเรียนหา AB จากความรูในขอ (1) และ (2) ผูเรียนจะทราบวาตองลากเสนตรงผานจุด A และ B
โดยที่เสนตรงดังกลาวตองขนานกับแกน X หรือแกน Yเพื่อทําใหเกิดรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก แลวใชทฤษฎีบทปทาโกรัสสรุปไดวา ระยะทางระหวางจุด A(x1, y1) กับB(x2, y2) คือ
AB = 221
221 )yy()xx( −+−
หรือ AB = 212
212 )yy()xx( −+−
หมายเหตุ เสนประในรูป ผูสอนควรจะใชชอลกสีลากเปนเสนทึบเพื่อใหผูเรียนเห็นเปนรูปสามเหลี่ยม มุมฉากไดชัดเจน
จุดก่ึงกลางระหวางจุด 2 จุด1. ผูสอนกําหนดจุด 2 จุดใด ๆ บนระนาบใหผูเรียนหาจุดกึ่งกลางระหวางจุดทั้ง 2 นั้น ผูเรียน
อาจจะหาตําแหนงโดยการใชวงเวียนหรือการวัดแตไมสามารถหาพิกัดของจุดกึ่งกลางไดทุกกรณี กิจกรรมนี้ทําเพื่อชักจูงใหผูเรียนเกิดความตองการทราบวิธีหาพิกัดของจุดกึ่งกลางระหวางจุด 2 จุดใด ๆ
2. ผูสอนกําหนดจุด 2 จุด ซ่ึงอยูบนแกน X ให เชน A(0, 0) กับ B(8, 0) หรือ A(0, 0) กับB(15, 0) ใหผูเรียนหาจุดกึ่งกลางระหวางจุด A และ B
ผูสอนกําหนดจุด 2 จุด เชน A(0, 0), B(– 4, 0) หรือ A(0, 0), B(–7, 0) ฯลฯ ใหผูเรียนหาจุดกึ่งกลางระหวางจุด A และ B
ผูสอนกําหนดจุด 2 จุด เชน A(8, 0), B(12, 0) หรือ A(9, 0), B(12, 0) หรือ A(– 4, 0), B(–8, 0) หรือ A(– 4, 0), B(12, 0) ฯลฯ ใหผูเรียนหาจุดกึ่งกลางระหวางจุด A และ B
ผูเรียนควรสรุปไดวา จุดกึ่งกลางระหวางจุด (x1, 0) กับ (x2, 0) คือ จุด )0,2
xx( 21 +
ผูสอนควรพยายามหลีกเลี่ยงใหผูเรียนคิดโดยการเขียนรูป ซ่ึงอาจใชตัวอยางที่เปนตัวเลขงาย ๆ(ในขั้นแรก ๆ ผูสอนอาจใชรูปบางเพื่อใหเกิดแนวความคิด แตหลังจากสอนจบแลวผูเรียนควรสรุปขอความขางตนไดโดยไมตองอาศัยรูป)
3. ผูสอนยกตัวอยางจุดซึ่งอยูบนแกน Y แลวทําในทํานองเดียวกับขอ 2 ซ่ึงผูเรียนควรสรุปไดวา จุดกึ่งกลางระหวางจุด (0, y1) กับ (0, y2) คือ )
2y y
,0( 21 +
X
Y
•
•A
B
0
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
174
4. ผูสอนกําหนดจุด 2 จุด ซ่ึงอยูในแนวเสนตรงเดียวกันที่ขนานกับแกน X เชน จุด A(3, 2) กับ B(7, 2) หรือ A(4, –3) กับ B(6, –3) ฯลฯ ใหผูเรียนหาจุดกึ่งกลาง
ผูเรียนควรสรุปไดวา จุดกึ่งกลางระหวางจุด (x1, y1) กับ (x2, y1) คือจุด )y,2
xx( 1
21 +
5. ผูสอนกําหนดจุด 2 จุด ซ่ึงอยูในแนวเสนตรงเดียวกันกับเสนที่ขนานกับแกน Y เชน A(3, 8) กับ B(3, 6) หรือ A(–3, 6) กับ B(–3, 8) ฯลฯ แลวทําในทํานองเดียวกับขอ 4
ผูเรียนควรสรุปไดวาจุดกึ่งกลางระหวางจุด (x1, y1) กับ (x1, y2) คือจุด )2
yy,x( 21
1+
6. การหาจุดกึ่งกลางของสวนของเสนตรง AB ในกรณีที่สวนของเสนตรงไมอยูในแนวขนานกับแกน X หรือแกน Y
ผูสอนกําหนดสวนของเสนตรง ซ่ึงมีจุดเริ่มตนจุดหนึ่งอยูที่จุด (0, 0) เชน สวนของเสนตรงที่เชื่อมจุด A(0, 0) และจุด B(4, 8) แลวใหผูเรียนหาพิกัดของจุด (x, y) ซ่ึงเปนจุดกึ่งกลางของ AB
ถาผูเรียนหาคา x ไมได ใหผูสอนแนะโดยการลาก เสนตรงผานจุด B(4, 8) ตัดและตั้งฉากกับแกน X ถาผูเรียนยังหาไมไดอีก ใหผูสอนแนะอีกขั้น โดยการลากเสนตรงผานจุดกึ่งกลางตัดและตั้งฉากกับแกน X และใชความรูเกี่ยวกับสมบัติของสามเหลี่ยมคลาย (ซ่ึงผูเรียนควรหาคา x ได ในทํานองเดียวกันใหผูเรียนหาคา y)
7. ผูสอนกําหนดสวนของเสนตรงซึ่งจุดปลายทั้งสองไมอยูบนแกน X หรือแกน Y ใหผูเรียน หาจุดกึ่งกลาง โดยผูสอนใชวิธีการถามเปนขั้น ๆ ดังวิธีที่ผานมา
ถาผูเรียนหาคา x ไมได ผูสอนควรแนะใหผูเรียนลากสวนของเสนตรง AE ใหขนานกับแกน X ตั้งฉากกับ CD และ BE ซ่ึงเปนสวนของเสนตรงที่ขนานกับแกน Y ที่จุด D และ E ตามลําดับ แลวใหผูเรียนใชความรูเกี่ยวกับสมบัติของสามเหลี่ยมคลาย (∆ ACD ∼ ∆ABE) หาคา x, y ซ่ึงผูเรียนควรสรุปไดวา จุดกึ่งกลางของสวนของเสนตรงที่มีจุดปลายที่จุด A(x1, y1) และจุด B(x2, y2) คือจุด )
2yy
,2
xx( 2121 ++
X
Y
B (x2, y2)
A (x1, y1) D (x, y1) E (x2, y1)•
•
0
C (x, y)
X
Y•
•A (0, 0)
B (4, 8)
(x, y) •
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
175
ความชันของเสนตรง
ในการนําเขาสูบทเรียนในเรื่องนี้ ผูสอนอาจยกตัวอยางเรื่องที่ผูเรียนคุนเคยในชีวิตประจําวัน เชน การพาดบันไดกับกําแพง ดังรูป
ผูสอนอาจใหผูเรียนดูรูปขางตนแลวใหชวยกันตอบคําถามวา บันไดที่พาดในลักษณะไหนมี ความชันมากกวากัน หลังจากที่ผูเรียนไดรวมกันอภิปรายแลวควรจะสรุปไดวา ความชันของบันไดขึ้นอยู กับระยะในแนวราบระหวางโคนบันไดกับกําแพง โดยบันไดที่โคนบันไดอยูหางจากกําแพงนอยกวา จะมีความชันมากกวา
ผูสอนยกตัวอยางใหม โดยสมมุติใหมีบันไดพาดขึ้นไปบนตึกในลักษณะตาง ๆ กัน แตมีระยะ ในแนวราบระหวางโคนบันไดกับตัวตึกคงเดิม ดังรูป
ผูสอนตั้งคําถามในทํานองเดียวกัน ผูเรียนควรจะสรุปไดวา ความชันของบนัไดขึ้นอยูกับระยะ ในแนวดิ่ง โดยบันไดที่พาดขึ้นไปยังตึกชั้นที่สูงกวาจะมีความชันมากกวาบันไดอันที่พาดขึ้นไปบนตึก ช้ันที่ต่ํากวา
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
176
ผูสอนลากสวนของเสนตรงในลักษณะตาง ๆ กัน บนกระดานกราฟ ดังรูป
จากรูปผูสอนใหผูเรียนรวมกันพิจารณาความชันของเสนตรงผูเรียนควรจะสรุปไดวา ความชันขึ้นอยูกับระยะในแนวดิ่งและแนวระดับ และผูสอนบอกผูเรียน
วา จะนิยามความชันของเสนตรงใด ๆ ไดดังนี้
บทนิยาม ให L เปนเสนตรงที่ผานจุด P1(x1, y1) และP2(x2, y2) โดยที่ x1 ≠ x2, m เปนความชันของเสนตรง L ก็ตอเมื่อm =
21
21
xxyy
−−
จากนั้น ใหผูเรียนฝกหาความชันของเสนตรงโดยอาศัยบทนิยามขางตน เพื่อใหผูเรียนเขาใจ ขอสรุปตอไปนี้ คือ
1. ถาความชันเปนจํานวนบวก เสนตรงจะทํามุมแหลมกับแกน X (วัดมุมทวนเข็มนาฬิกาจากแกน X)
2. ถาความชันเปนจํานวนลบ เสนตรงจะทํามุมปานกับแกน X (วัดมุมทวนเข็มนาฬิกา จากแกน X)
3. ถาเสนตรงขนานกับแกน X ความชันจะเปนศูนย4. เสนตรงที่ขนานกับแกน Y นั้น ไมอาจหาความชันได
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
177
เสนตั้งฉาก
ผูสอนกําหนดพิกัดของจุดยอดของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก (ดานประกอบมุมฉากดานหนึ่ง ไมขนานกับแกน Y) ให 3 จุด เชน
ใหผูเรียนทดสอบวา เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉากหรือไมโดยใชบทกลับของ ทฤษฎีบทของ ปทาโกรัสที่กลาววา “ถารูปสามเหลี่ยม ABC มีดานยาว a, b และ c หนวย ตามลําดับ และ c2 = a2 + b2 แลว ∆ ABC เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉากและมีดานที่ยาว c หนวย เปนดานตรงขามมุมฉาก”
ใหผูเรียนหาความชันของดานประกอบมุมฉาก และผลคูณของความชันของดานประกอบมุมฉากซ่ึงจะไดเทากับ –1
ผูสอนอาจยกตัวอยางอื่น ๆ ในทํานองเดียวกันผูสอนกําหนดเสนตรง 2 เสนที่ตั้งฉากกัน โดยอาศัยการกําหนดจุดบนเสนตรงแตละเสนใหบน
กระดานกราฟ ใหผูเรียนชวยกันแสดงวาผลคูณของความชันของเสนตรงทั้งสองเทากับ –1ผูสอนยกตัวอยางในทํานองเดียวกัน เพื่อใหผูเรียนมีแนวความคิดวา“ผลคูณของความชันของเสนตรง 2 เสนที่ตั้งฉากกันมีคาเทากับ –1”ผูสอนและผูเรียนชวยกันพิสูจนขอความดังกลาวตามวิธีการในหนังสือเรียน
Y
X
(– 4, 2)
(1, 1)
(–1, –1)0
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
178
ความสัมพันธที่มีกราฟเปนเสนตรงผูสอนกําหนดจุดบนกระดานกราฟ ดังรูป
จากรูป ผูสอนใหผูเรียนเขียนความสัมพันธที่มีกราฟตามที่กําหนดใหแบบแจกแจงสมาชิกซึ่ง ผูเรียนควรเขียนไดดังนี้คือ
{(–2, 3), (–1, 3), (0, 3), (1, 3), (2, 3), (3, 3)}ผูสอนกําหนดจุดเพิ่มขึ้น ในแนวเดียวกับเสนตรงที่ผานจุดที่กําหนดใหใหผูเรียนลากเสนตรงผานจุดเหลานั้น และใหพิจารณาพิกัดของจุดตาง ๆ ที่อยูบนเสนตรงนั้น
ซ่ึงผูเรียนควรจะตอบไดวา พิกัดของจุดที่อยูบนเสนตรงนั้นคือ (x, 3)ใหผูเรียนเขียนความสัมพันธที่มีกราฟเปนเสนตรงนั้นแบบบอกเงื่อนไข ซ่ึงผูเรียนควรเขียนได
ดังนี้r = {(x, y) ∈ R × R⏐y = 3}
ผูสอนยกตัวอยางในทํานองเดียวกันจนผูเรียนสามารถสรุปไดวาความสัมพันธที่มีกราฟเปนเสนตรงที่ขนานกับแกน X และผานจุด (0, b) คือ
{(x, y) ∈ R × R⏐y = b}และในทางกลับกันเมื่อกําหนดความสัมพันธในรูป {(x, y) ∈ R × R⏐y = b} ผูเรียนควรสรุป
ไดวา กราฟของความสัมพันธจะเปนเสนตรงที่ขนานกับแกน X และอยูหางจากแกน X เปนระยะ ⏐b⏐หนวย (ถา b > 0 กราฟจะอยูเหนือแกน X ถา b < 0 กราฟจะอยูใตแกน X ถา b = 0 กราฟจะทับแกน X)
ผูสอนใชวิธีการเดียวกันสําหรับความสัมพันธที่มีกราฟเปนเสนตรงที่ขนานกับแกน Y
กอนที่จะทําการสอนเรื่องภาคตัดกรวย ผูสอนอาจอธิบายลักษณะของกรวยกลมตรง โดยใชอุปกรณงาย ๆ เชน นํากรวยกระดาษ 2 อันมาตอกัน แลวช้ีใหเห็นสวนตาง ๆ ของกรวยตามหนังสือเรียน นอกจากนี้ ผูสอนอาจทบทวนเรื่องการหาระยะทางระหวางจุด 2 จุด และการจัดสมการกําลังสอง ใหอยูในรูปกําลังสองสมบูรณ (เพื่อใชหาสมการของภาคตัดกรวย)
0
Y
X
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
179
วงกลมผูสอนกาํหนดจดุคงทีใ่หจดุหนึง่ ใหผูเรียนหาจดุตาง ๆ ทีอ่ยูหางจากจดุคงทีน่ีเ้ปนระยะทางเทากนั
ผูเรียนอาจหาจุดตาง ๆ เหลานี้ไดโดย1. ผูกปลายเชือกขางหนึ่งกับปลายดินสอ เชือกอีกปลายหนึ่งติดกับหมุด แลวนําหมุดไปติดที่
จุดคงที่จับดินสอใหตั้งฉากกับระนาบดึงเชือกใหตึงเขียนจุดตาง ๆ รอบ ๆ หมุดดังรูป
ผูสอนบอกผูเขยีนวา เมือ่เขยีนจดุทัง้หมดในระนาบทีม่สีมบตัเิดยีวกนันี ้ จะไดกราฟทีเ่รียกวา“วงกลม”
ผูสอนถามผูเรียนวาจดุคงทีเ่รียกวาอะไร และระยะทางคงตวัเรียกวาอะไร (จดุศนูยกลาง, รัศม)ี2. ผูสอนกําหนดจุดศูนยกลางใหอยูที่จุดกําเนิด และรัศมีของวงกลมให เชน กําหนดจุด
ศูนยกลางที่ (0, 0) รัศมีของวงกลมเทากับ 5 หนวย แลวใหผูเรียนหาความสัมพันธที่มีกราฟเปนวงกลม ซ่ึงผูเรียนควรจะหาไดคือ x2 + y2 = 25 กรณีที่ผูเรียนไมสามารถหาความสัมพันธได ผูสอนควรชี้แนะให ผูเรียนลากเสนจากจุด (x, y) ใดๆ บนวงกลมลงมาตั้งฉากกับแกน X แลวพิจารณาความสัมพันธโดยใชทฤษฎีบทพีทาโกรัส
3. ผูสอนกําหนดจุดศูนยกลางและรัศมีของวงกลม เชน กําหนดจุดศูนยกลางที่ (1, 2) รัศมียาว 5 หนวย แลวเขียนแกนชุดใหมใหมีจุดกําเนิดที่จุด (1, 2) ถามผูเรียนวา สมการที่มีกราฟเปนวงกลมดังกลาวมีความสัมพันธในรูปพิกัด (x′, y′) เปนอยางไร ผูเรียนควรจะตอบไดวา ความสัมพันธ คือ
{(x′, y′) ∈ R × R ⏐x′2 + y′2 = 52}จากนั้น ถามผูเรียนตอไปวา ความสัมพันธเมื่อเทียบกับแกนชุดเดิมจะเปนอยางไร ผูเรียน
ควรตอบไดวา คือ{(x, y) ∈ R × R⏐(x – 1)2 + (y – 2)2 = 52}
4. ดําเนินการสอนในทํานองเดียวกับขอ 2 และ 3 แตเปลี่ยนรัศมีและจุดศูนยกลางเปน r หนวยและ (h, k) ตามลําดับ โดยในการสอนผูสอนตองชี้ใหผูเรียนเห็นอยางชัดเจนวา แตละวิธีมีหลักการอยางไรอาจจะโดยใหผูเรียนชวยกันสรุปก็ได รวมทั้งควรใหผูเรียนทราบดวยวา ความสัมพันธที่มีกราฟเปนวงกลมที่เขียนในรูป (x – h)2 + (y – k)2 = r2 เรียกวา รูปมาตรฐาน สวนที่กระจายพจนแลว เขียนในรูป
x2 + y2 + Dx + Ey + F = 0 เมื่อ D, E และ F คือ คาคงตัวเรียกวา รูปทั่วไป
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
180
จากนั้นจึงใหอภิปรายถึงวิธีการที่จะเขียนกราฟจากสมการที่เขียนในรูปทั่วไปวาจะตองทําอยางไรจึงจะเขียนกราฟได ซ่ึงผูเรียนควรสรุปไดวาจะเขียนกราฟวงกลมไดจะตองทราบจุดศูนยกลางของวงกลมและความยาวของรัศมี โดยจะตองจัดสมการที่กําหนดมาใหอยูในรูปมาตรฐาน ซ่ึงมีวิธีทํา 2 วิธี จัดโดยใชขั้นตอนวิธีหรือสรางเปนสูตรไวใชดังนี้จากสมการ
x2 + y2 +Dx + Ey + F = 0จะได 2)
2Dx( + + 2)
2Ey( + = F
4E
4D 22
−+
=4
F4ED 22 −+
และจะไดวากราฟวงกลมมี )2E,
2D( −− เปนจุดศูนยกลางและความยาวของรัศมีเปน
2F4ED 22 −+ โดยที่ D2 + E2 – 4F > 0
อยางไรก็ตามผูสอนควรนําอภิปรายใหผูเรียนเห็นวาการจําสูตรไวใชเปนเรื่องไมควรทําเพราะอาจจําผิดได5. ผูสอนใหผูเรียนพิจารณาวา กราฟของสมการ x2 + y2 + Dx + Ey + F = 0 เมื่อ D, E, F
เปนคาคงตัว ซ่ึงเปนสมการรูปทั่วไปจะเปนวงกลมเมื่อใด และถากราฟไมเปนวงกลมกราฟจะเปนรูปใด
พาราโบลา1. ผูสอนลากเสนตรงเสนหนึ่งและกําหนดจุดจุดหนึ่งซึ่งจุดนี้ไมอยูบนเสนตรงนั้น แลวใหผูเรียน
หาจุดตาง ๆ ที่อยูหางจากจุดและเสนตรงที่กําหนดใหเปนระยะทางเทากัน ซ่ึงผูสอนอาจเสนอแนะโดยใชอุปกรณชวยดังนี้
ปกหมุดตรงจุดที่กําหนดให (จุด C) ดังรูป ผูกเสนเชือกซึ่งยาวเทากับ AB โดยปลายขางหนึ่งผูกติด ที่จุด A บนไม T อีกปลายหนึ่งผูกติดที่จุด C
เ ล่ือนไม T ไปตามแนวเสนตรง y = – p ที่กําหนดใหใชดินสอ (หรือชอลก) ทับเสนเชือกพาด ตามแนวไม T (ดังรูป)
2. ผูสอนใหผูเรียนพิจารณาจุดแตละจุดที่ไดวามีความสัมพันธอยางไรกับจุด C และเสนตรง ที่กําหนดให (จุดที่ไดแตละจุดอยูหางจากเสนตรงและจุดที่กําหนดใหเปนระยะทางเทากัน)
Y
XB
PC (0, p)
A
y = – p0
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
181
3. ผูสอนบอกผูเรียนวาเมื่อเขียนจุดทั้งหมดในระนาบที่มีสมบัติเดียวกันนี้จะไดกราฟที่เรียกวา“พาราโบลา”
4. ผูสอนและผูเรียนชวยกันสรุปบทนิยามของพาราโบลา5. ผูสอนแนะนําสวนตาง ๆ ของพาราโบลาคือ โฟกัส ไดเรกตริกซ และจุดยอด6. ผูสอนกําหนดโฟกัส (ที่มีพิกัดคือ (p, 0) หรือ (0, p)) และไดเรกตริกซ แลวใหผูเรียนหา
สมการของพาราโบลา โดยอาศัยบทนิยามและการหาระยะระหวางจุดสองจุด เชน ผูสอนกําหนดจุด (0, 4)และเสนตรง y = – 4 ให ผูเรียนควรหาไดวา สมการของพาราโบลาที่มีจุด (0, 4) เปนโฟกัสและเสนตรงy = – 4 เปนไดเรกตริกซคือ x2 = 16y
7. ผูสอนกาํหนดโฟกสั (p, 0) และไดเรกตรกิซ x = – p แลวใหผูเรียนหาสมการของพารา-โบลาในรูป y2 = 4px โดยใชวิธีการในทํานองเดียวกับขางตน
8. ผูสอนใหผูเรียนเขียนกราฟของพาราโบลาที่มีสมการอยูในรูป y2 = 4px แลวผูสอนแนะนําแกนของพาราโบลา โฟกัส และจุดยอดของพาราโบลา
9. ผูสอนใหผูเรียนหาสมการของพาราโบลาในรูป x2 = 4py โดยใชวิธีการในทํานองเดียวกัน10. ผูสอนเขียนกราฟของพาราโบลาที่มีสมการอยูในรูป x2 = 4py แลวใหผูเรียนชวยกันบอก
พิกัดของจุดยอด โฟกัส และแกนของพาราโบลา11. ผูสอนกําหนดสวนตาง ๆ ของพาราโบลา แลวใหผูเรียนหาสมการของพาราโบลาและในทาง
กลับกันใหผูเรียนหาสวนตาง ๆ ของพาราโบลาเมื่อกําหนดสมการมาให12. ผูสอนวาดรูปพาราโบลาโดยใชจุดอื่นที่ไมใช (0, 0) เปนจุดยอดแตแกนของรูปขนานกับ
แกน X หรือ Y แลวถามผูเรียนวา กราฟดังกลาวจะยังเรียกวา พาราโบลาหรือไม ถาเทียบกับแกนชุดใหมกราฟนั้นจะมีสมการเปนอยางไร สุดทายเมื่อพูดถึงกรณีที่จุดยอดอยูที่ (h, k) จะไดสมการมาตรฐาน 2 แบบ คือ (y – k)2 = 4p(x – h)
และ (x – h)2 = 4p(y – k)จากนั้นใหตัวอยางการหาสมการเมื่อกําหนดเงื่อนไขมาให
13. ใหผูเรียนทดลองหาความสัมพันธที่มีกราฟเปนพาราโบลา (h, k) เปนจุดยอดและมีแกนขนานกับแกน X และ Y โดยใชบทนิยามของพาราโบลา
14. จากสมการรูปมาตรฐาน(y – k)2 = 4p(x – h)
และ (x – h)2 = 4p(y – k)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
182
ใหผูเรียนกระจายพจนจัดในรูปทั่วไป โดยอิงกับรูปทั่วไปของสมการกําลังสองสองตัวแปรAx2 + Bxy + Cy2 + Dx + Ey + F = 0
จะจัดสมการไดในรูปy2 + Dx + Ey + F = 0
และ x2 + Dx + Ey + F = 0
อภิปรายปญหาวาจากสมการรูปทั่วไป ถาตองการเขียนกราฟจะตองทําอยางไร ผูเรียนควรสรุปไดวาตองใชขั้นตอนวิธีจัดสมการใหอยูในรูปมาตรฐาน หรือสรางสูตรไวใช จากนั้นสอนตัวอยางการเขียนกราฟจากสมการรูปทั่วไป
วงรี1. ผูสอนกําหนดจุดคงที่ใหสองจุด แลวใหผูเรียนหาจุดตาง ๆ ซ่ึงผลบวกของระยะทางจากจุด
เหลานี้ไปยังจุดคงที่ทั้งสองมีคาคงตัว ผูสอนอาจใหผูเรียนหาจุดตาง ๆ เหลานี้ โดยใชอุปกรณดังนี้ผูสอนนําเชือกมาเสนหนึ่ง ตรึงปลายเชือกทั้งสองขางดวยหมุดที่จุดคงที่ที่กําหนดให ใชดินสอ (หรือชอลก)ดึงเสนเชือกใหตึง แลวเขียนจุดตาง ๆ ดังรูป
2. ใหผูเรียนพิจารณาวา ระยะทางจากแตละจุดที่ไดไปยังจุดคงที่ที่กําหนดใหสองจุดมีความสัมพันธกันอยางไร (ผลบวกของระยะทางจากจุดใด ๆ ที่ไดไปยังจุดคงที่ทั้งสองมีคาคงตัวซ่ึงเทากับ ความยาวของเสนเชือกที่ผูกอยูระหวางจุดคงที่ทั้งสอง)
3. ผูสอนบอกผูเรียนวา กราฟที่ไดเรียกวา “วงรี” จุดคงที่นั้นเรียกวา โฟกัส และสรุป บทนิยามของวงรี
4. ผูสอนกําหนดโฟกัสและผลบวกคงตัวให แลวใหผูเรียนหาสมการของวงรีโดยอาศัย บทนิยาม และการหาระยะทางระหวางจุดสองจุด เชน ผูสอนกําหนดจุด (– 4, 0) และ (4, 0) เปนจุดคงที่และผลบวกของระยะทางจากจุด (x, y) ใด ๆ บนวงรีไปยังจุดคงที่ทั้งสองเทากับ 10 ซ่ึงผูเรียนควรหา สมการของวงรีไดคือ
9y
25x 22
+ = 1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
183
5. ผูสอนกําหนดโฟกัส (c, 0) และ (– c, 0) และผลบวกของระยะทางคงตัวเทากับ 2a โดยที่ 2a > 2c แลวผูสอนและผูเรียนชวยกันหาสมการของวงรีในรูป
2
2
ax + 2
2
by = 1
โดยใชวิธีการในทํานองเดียวกับขางตน6. ผูสอนใหผูเรียนเขียนกราฟของวงรีที่มีสมการในรูป 2
2
ax + 2
2
by = 1 แลว
ผูสอนแนะนําโฟกัสของวงรี จุดศูนยกลางของวงรี จุดยอดของวงรี แกนเอก และแกนโทของวงรี พรอมทั้งบอกความยาวของแกนทั้งสอง
7. ผูสอนใหผูเรียนหาสมการของวงรีที่มีโฟกัสอยูที่จุด (0, c) และ (0, – c) ในรูป
2
2
ay + 2
2
bx = 1 โดยใชวิธีการในทํานองเดียวกัน
8. ผูสอนเขียนกราฟของวงรีที่มีสมการอยูในรูป 2
2
ay + 2
2
bx = 1 แลวใหผูเรียนชวยกันหา
โฟกัสของวงรี จุดศูนยกลางของวงรี จุดยอดของวงรี แกนเอกและแกนโทของวงรี พรอมทั้งบอก ความยาวของแกนทั้งสอง
9. ผูสอนกําหนดสวนตาง ๆ ของวงรี แลวใหผูเรียนหาสมการของวงรี และในทางกลับกัน ใหผูเรียนหาสวนตาง ๆ ของวงรี เมื่อกําหนดสมการของวงรีมาให
10. ผูสอนกําหนดรูปวงรีใหมีจุด (h, k) เปนจุดศูนยกลางแลวเขียนแกนชุดใหมใหมีจุด (h, k)เปนจุดกําเนิดจากนั้นถามผูเรียนวา ถาเขียนสมการของกราฟในรปูพิกัดของแกนชุดใหม (x′, y′) จะได สมการอยางไรบาง แลวดําเนินการจนไดสมการรูปมาตรฐานทั้งนี้อาจเริ่มโดยกําหนดคา h กับ k เปนจํานวนจริงที่ทราบคากอนก็ได
เมื่อไดสมการรูปมาตรฐานแลว ใหผูเรียนลองใชบทนิยามหาสมการรูปมาตรฐานดวยก็จะชวยเพิ่มเทคนิคการแกปญหาใหผูเรียนมากขึ้น
จากนั้นใหตัวอยางการหาสมการวงรีรูปมาตรฐาน เมื่อกําหนดเงื่อนไขที่เพียงพอให11. จากสมการในรูปมาตรฐาน
2
2
2
2
b)ky(
a)hx( −
+− = 1
และ2
2
2
2
a)ky(
b)hx( −
+− = 1
เมื่อกระจายพจนแลวเทียบกับรูปทั่วไปของสมการกําลังสองตัวแปร จะไดสมการทั่วไปของวงรีในรูป Ax2 + Cy2 + Dx + Ey + F = 0
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
184
ซ่ึงจากสมการรูปทั่วไปนี้ ผูเรียนควรสรุปไดเชนเดียวกันกับภาคตัดกรวยรูปพาราโบลาวา จะสามารถเขียนกราฟของสมการ ถาจัดสมการใหอยูในรูปมาตรฐาน วิธีการก็เชนเดียวกันคือ ใชขั้นตอนวิธี หรือสรางสูตรไวใช
ผูสอนอาจใหผูเรียนพจิารณากรณทีีก่ราฟของสมการรปูทัว่ไปไมใชวงรีดดูวยกไ็ดวา มเีงือ่นไขอยางไร (กราฟจะเปนวงรี หรือจดุหรือไมมีกราฟก็ไดเชนเดียวกับวงกลม)
12. อภิปรายปญหาการใชสเกลบนแกน X และ Y ไมเทากัน เชน ใหเขียนกราฟของสมการ
4y
16x 22
+ = 1โดยกําหนดระยะ 1 หนวย บนแกน Y ใหยาวเทากับ 4 หนวย ของระยะบนแกน X
ใหอภิปรายแลวสรุปวาระยะบนแกน X และแกน Y ควรจะเปนอยางไร กราฟจึงจะถูกตอง
ไฮเพอรโบลา1. ผูสอนกําหนดจุดคงที่สองจุดใหผูเรียนหาจุดตาง ๆ ซ่ึงผลตางของระยะทางจากจุดเหลานี้
ไปยังจุดคงที่ทั้งสองมีคาคงตัว โดยผูสอนอาจใชอุปกรณชวย เพื่อใหผูเรียนหาจุดเหลานี้ไดโดย
ใชเชือกซึ่งผูกปลายทั้งสองขางเขาดวยกันเปนปม วางพาดและคลองที่หมุด F′ และ F ตามลําดับ (ดังรูป)ผูกชอลกใหอยูในวงเชือกแลวทําใหเชือกตึง ดึงปลายเชือกขางที่มีปมเชือกที่เปนวงซึ่งมีชอลกอยูภายใน ก็จะลดความยาวลง
ในทางกลับกัน คลองเชือกที่ F′ และพาดเสนเชือกไวที่ F แลวดําเนินการดวยวิธีเดียวกันกับขางตน
2. ผูสอนบอกผูเรียนวา รอยชอลกบนกระดานทีไ่ดนัน้เปนกราฟของไฮเพอรโบลา จดุคงทีน่ัน้เรียกวาโฟกัส และสรุปบทนิยามของไฮเพอรโบลา
F•• F′
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
185
3. ผูสอนกําหนดโฟกัสและผลตางของระยะทางจากจุด P(x, y) ใด ๆ บนไฮเพอรโบลาไปยังโฟกัสทั้งสองให เชน ผูสอนกําหนดจุดคงที่คือ (–3, 0) และ (3, 0) และผลตางคงตัวของระยะทางระหวางจุด P(x, y) บนไฮเพอรโบลาไปยังจุดคงที่เทากับ 4 ใหผูเรียนหาสมการของไฮเพอรโบลาโดยอาศัย บทนิยามและการหาระยะทางระหวางจุดสองจุด ซ่ึงผูเรียนควรจะไดสมการดังกลาวคือ
4x 2
– 5
y2
= 14. ผูสอนกาํหนดโฟกสัที ่(–c, 0) และ (c, 0) และผลตางคงตวัของระยะทางจากจดุ P(x, y) ใด ๆ
บนไฮเพอรโบลาไปยังโฟกัสทั้งสองใหเทากับ 2a โดยที่ 2a < 2c แลวผูสอนและผูเรียนชวยกันหาสมการของไฮเพอรโบลาในรูป 2
2
ax – 2
2
by = 1 โดยใชวิธีในทํานองเดียวกัน
5. ผูสอนใหผูเรียนหาสมการของไฮเพอรโบลาทีม่โีฟกสัอยูทีจ่ดุ (c, 0), (– c, 0) ในรปู 2
2
ax – 2
2
by = 1
แลวผูสอนแนะนาํโฟกสัของไฮเพอรโบลา จดุศนูยกลางของไฮเพอรโบลา จดุยอดของไฮเพอรโบลา แกนตามขวางและแกนสังยุค พรอมทั้งบอกความยาวของแกนทั้งสอง
6. ผูสอนใหผูเรียนหาสมการของไฮเพอรโบลาทีม่โีฟกสัอยูทีจ่ดุ (0, c), (0, – c) ในรปู 2
2
2
2
bx
ay
− = 1
โดยใชวิธีการในทํานองเดียวกัน7. ผูสอนกําหนดสวนตาง ๆ ของไฮเพอรโบลา แลวใหผูเรียนหาสมการของไฮเพอรโบลา
ในทางกลับกันใหผูเรียนหาสวนตาง ๆ ของไฮเพอรโบลาเมื่อกําหนดสมการมาให8. ดําเนินกิจกรรมทํานองเดียวกันกับขอ 10 – 11 ของวงรีหรือจะใหผูเรียนศึกษาดวยตนเองก็ได9. ผูสอนเพิ่มเติมความรูเร่ืองเสนกํากับ (assymtote) ซ่ึงไดจากการลากเสนทแยงมุมของรูป
ส่ีเหล่ียม ซ่ึงมีดานคูหนึ่งผานจุดยอดขนานกับแกนสังยุคและดานอีกคูหนึ่งผานจุดปลายแกนสังยุคขนานกับแกนตามขวางมีสมการดังนี้
สมการไฮเพอรโบลา สมการเสนกํากับ
2
2
2
2
by
ax
− = 1
2
2
2
2
bx
ay
− = 1
y = xab±
y = xba±
( ) ( ) 2
2
2
2 aky
ahx −
−− = 1
2
2
a)ky( − – 2
2
b)hx( − = 1
y – k = )hx(ab −±
y – k = )hx(ba −±
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
186
ผูสอนบอกผูเรียนวากราฟของไฮเพอรโบลาจะเขาใกลเสนกาํกบั แตจะไมตดัหรือสัมผัสเสนกาํกบันั้น
10. การสอนไฮเพอรโบลามุมฉากในรูป xy = k อาจดําเนินการหาจุดที่กราฟผาน เชน ในหนังสือเรียนก็ได ถาสอนโดยวิธีดังกลาวควรถามรายละเอียดเกี่ยวกับเสนกํากับแกนของรูปหรือผูสอนอาจดําเนินการใหผูเรียนหาความสัมพันธระหวางพิกัด (a, b) กับ (a, b) เมื่อหมุนแกนไป 45° ดังรูป ตอไปนี้ก็ได
จากรูปสมการของแกน X′, Y′ เมื่อเทียบกับแกนชุดเดิมคือy = x และ y = –x ตามลําดับ
เมื่อหาระยะจากจุด (a, b) ถึงเสนตรงทั้งคูตามลําดับจะไดวาa′ =
2ba+ และ b′ =
2ab−
เมื่อเปลี่ยน a, b, a′, b′ ใหอยูในรูปตัวแปรจะไดวาx′ =
2yx+ และ y′ =
2xy−
หรือเมื่อเขียน x, y ในรูปของ x′ , y′ จะไดx =
22 (x′ – y′) และ y =
22 (x′+ y′)
จากสมการ xy = k แทนคา x และ y จากความสัมพันธขางตนจะได)yx(
21 22 ′−′ = k
หรือ2
2
)k2(x′ –
2
2
)k2(y′ = 1 เมื่อ k > 0
และ2
2
)k2(y′ –
2
2
)k2(x′ = 1 เมื่อ k < 0
ลองแทน k ดวย 6 แลวดําเนินการเขียนกราฟดูจะไดผลเชนเดียวกันกับตัวอยางในหนังสือเรียน
Y
X
Y′
45°a′
(a, b)• (a′, b′)
b′
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
187
ตัวอยางกิจกรรม
ในบทเรียนนี้จะมีสองหัวขอใหญดวยกันคือ ความรูเบื้องตนเกี่ยวกับเรขาคณิตวิเคราะห และ ภาคตดักรวย และกจิกรรมทีจ่ะเสนอแนะไวในคูมอืครูเลมนี ้ เร่ืองความรูเบือ้งตนเกีย่วกบัเรขาคณติวเิคราะห ผูสอนควรจัดกิจกรรมใหผูเรียนไดเกิดการเรียนรูจากสิ่งแวดลอมนอกหองเรียนดูบาง โดยการศึกษา นอกสถานที่ สวนเรื่องภาคตัดกรวยนั้น ผูสอนอาจใหผูเรียนศึกษาคนควาการประยุกตใชงานของวงกลมวงรี พาราโบลา และไฮเพอรโบลา เพื่อใหผูเรียนเกิดความตระหนักและเห็นคุณคาในการเรียนคณิตศาสตรและตอไปนี้จะขอกลาวถึงตัวอยางการประยุกตใชงานของภาคตัดกรวย พอเปนสังเขป
การประยุกตใชงานของวงกลม• การหาตําแหนงศูนยกลางของแผนดินไหว
นกัวทิยาศาสตรทีศ่กึษาเกีย่วกบัเรือ่งแผนดนิไหว สามารถหาตาํแหนงของศนูยกลางของแผนดนิไหว โดยการหาจุดตัดของวงกลม 3 วง รัศมีของวงกลมแตละวงจะแทนระยะหางจากศูนยกลางของแผนดินไหวถึงสถานีรับสัญญาณแตละแหง จุดศูนยกลางของวงกลมคือ ตําแหนงของสถานีรับสัญญาณ
การประยุกตใชงานของพาราโบลาพาราโบลาที่เราพบเห็นและรูจักกันดีคือ เสนทางการเคลื่อนที่แบบวิถีโคงหรือโปรเจกไตล
การเคลื่อนแบบวิถีโคงหรือโปรเจกไตลเปนการเคลื่อนที่ของวัตถุใน 2 แนวที่ตั้งฉากกัน (คือ แนวดิ่งและแนวระดับ) ในเวลาเดียวกัน โดยการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งจะอยูภายใตแรงดึงดูดของโลก สวนการเคลื่อนที่ในแนวระดับวัตถุจะเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงที่ และถือวาแรงตานของอากาศมีผลตอการเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนที่แบบวิถีโคงนอยมาก ตัวอยางการเคลื่อนที่แบบวิถีโคงที่มีเสนทางการเคลื่อนที่เปนพาราโบลาเชน การเคลื่อนที่ของลูกปนใหญ การกระดอนของลูกบอล การกระโดดขึ้นเหนือน้ําของปลาโลมาเปนตน
สมบัติทางเรขาคณิตของพาราโบลานําไปใชกับงานไดหลายอยางเชน ถานําแหลงกําเนิดแสง ไปวางไวที่ตําแหนงโฟกัสของตัวสะทอนแสงรูปพาราโบลา รังสีสะทอนของแสงจะขนานกับแกนของพาราโบลา ตัวอยางเชน แสงจากสปอรตไลท หรือไฟจากแฟลชกลองถายรูป ในกระบวนการกลับกัน ถารังสีของแสงจากระยะไกลที่ขนานกับแกนของพาราโบลา เมื่อกระทบกับผิวสะทอนรูปพาราโบลา จะสะทอนมารวมกันที่โฟกัส ถาตัวสะทอนนี้ใชกับแสงอาทิตย เมื่อนําวัตถุไปวางที่ตําแหนงโฟกัส จะทําใหวัตถุมีอุณหภูมิสูงขึ้น นอกจากนี้ตัวสะทอนพาราโบลายังใชในจานรับสัญญาณดาวเทียม เพื่อรับสัญญาณคลื่นแมเหล็กไฟฟาจากดาวเทียม
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
188
การประยุกตใชงานของวงรี
ปรากฏการณทางธรรมชาติหลายอยางที่เกี่ยวของกับวงรี เชน การโคจรของดาวเคราะหรอบ ดวงอาทติย เคปเลอรนกัคณติศาสตรในชวงคริสตศตวรรษที ่17 ไดพบวา การโคจรของดาวเคราะหแตละดวงรอบดวงอาทติยเปนวงร ี โดยมดีวงอาทติยเปนโฟกสัจดุหนึง่ การโคจรของดวงจนัทร และดาวเทยีมรอบโลก ก็เปนวงรีเชนเดียวกัน ดาวหางฮัลเลยที่โคจรรอบดวงอาทิตย 1 รอบในเวลา 76 ป ก็มีเสนทางโคจรเปนวงรีเชนเดียวกัน
อิเล็กตรอนของอะตอมซึ่งเปนสวนประกอบของธาตุตาง ๆ มีวงโคจรโดยประมาณเปนวงรีและ มีนิวเคลียสอยูที่โฟกัสหนึ่ง
วงรีมีสมบัติที่สําคัญคือ การนําไปใชเปนตัวสะทอนแสงและคลื่นเสียงแสงหรือสัญญาณใด ๆ ก็ตามที่มีจุดกําเนิดอยูที่โฟกัสหนึ่งของวงรี จะถูกสะทอนไปรวมกันที่โฟกัสอีกจุดหนึ่ง
การประยุกตใชงานวงรีที่นาสนใจในปจจุบันคือ การใชอางวงรีในการสลายนิ่วในไตโดยไมตองมีการผาตัด โดยวิธีการนี้จะใชสมบัติการสะทอนของวงรี ถาสงคลื่นออกจากโฟกัสหนึ่งไปยังเสนรอบรูปของวงรี คล่ืนนั้นจะสะทอนไปยังอีกโฟกัสหนึ่ง ดวยจุดเดนขอนี้ชวยใหนักวิทยาศาสตรพัฒนาเครื่องสลายนิ่วดวยคล่ืนกระแทก (shock wave) คล่ืนกระแทกจะถูกสรางขึ้นที่โฟกัสหนึ่ง และสะทอนไปชนนิ่วในไตซึ่งอยูตําแหนงโฟกัสที่สอง
หลักการสะทอนของวงรีนี้สามารถนําไปใชสรางหองกระซิบ (whispering galleries) โดยการออกแบบสรางหองที่มีเพดานเปนวงรี ผูที่นั่งอยูที่โฟกัสหนึ่งจะไดยินผูที่อยูใกล ๆ อีกโฟกัสหนึ่งคุยกัน
การประยุกตใชงานของไฮเพอรโบลา
เมื่อเครื่องบินบินดวยความเร็วมากกวาความเร็วเสียงจะทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงความดันของอากาศรอบ ๆ ตัวเครื่องบิน เปนสาเหตุทําใหเกิดคลื่นกระแทก รูปรางของหนาคลื่นกระแทกจะมีลักษณะเปนกรวยกลม และเมื่อหนาคลืน่กระแทกไปตดักบัระนาบของพืน้ดนิจะเกดิเปนสวนหนึง่ของไฮเพอรโบลาคล่ืนกระแทกนี้จะกระทบทุก ๆ จุดที่อยูบนโคงนี้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้น คนที่อยูในที่ตาง ๆ บนพื้นดินตามแนวเสนโคงจะไดยินเสียงคลื่นกระแทกในเวลาเดียวกัน
ถามีแหลงกําเนิดคลื่นวงกลม 2 แหลง สงคลื่นวงกลมที่มีความถี่เทากันออกมาพรอมกัน ตําแหนงที่คล่ืนจากแหลงกําเนิดคล่ืนทั้งสองพบกันจะสัมพันธกับไฮเพอรโบลาซึ่งหลักการนี้ไดนําไปใชในระบบการคนหาตําแหนงวัตถุดวยคล่ืนวิทยุระบบนี้ เรียกวา Loran (Long Range Navigation)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
189
Loran เปนระบบคนหาตําแหนงซึ่งประกอบดวย สถานีสงสัญญาณที่รูตําแหนงแนนอนตั้งแต 2 สถานีขึ้นไป สงสัญญาณคลื่นวิทยุที่มีความถี่เทากันออกมาพรอมกันไปยังตัวรับสัญญาณที่เคลื่อนที่ ตัวรับสัญญาณ Loran จะวัดความแตกตางของเวลาของสัญญาณที่มาถึงจากสถานีตาง ๆ ความแตกตาง คงตัวของเวลาที่มาถึงของสัญญาณจากสถานีสงคูหนึ่งจะกําหนดเปนโคงไฮเพอรโบลา ซ่ึงตัวรับสัญญาณจะตองอยูบนโคงนี้ โดยปกติสถานีสงสัญญาณจะใชตั้งแต 3 สถานขีึ้นไปเพื่อขจัดความไมแนนอนของตําแหนงของตัวรับสัญญาณ
เฉลยแบบฝกหัด 3.1.1
1. ให จุด O แทนจุดกําเนิด (0, 0)จุด P แทนจุดที่โจทยกําหนดให
(1) (3, 4)OP = 22 )04()03( −+− = 5 หนวย
(2) (0, 3)OP = 22 )03()00( −+− = 3 หนวย
(3) (–1, –3)OP = 22 )03()01( −−+−− = 10 หนวย
(4) (s, t)OP = 22 )0t()0s( −+− = 22 ts + หนวย
2. (1) (2, 5) และ (9, 5)ให P แทนจุด (2, 5)
Q แทนจุด (9, 5)เพราะวา P และ Q มีคาพิกัดหลังเทากันดังนั้น PQ = ⏐2 – 9⏐ = 7 หนวย
(2) (– 4, 7) และ (6, 7)ให P แทนจุด (– 4, 7)
Q แทนจุด (6, 7)เพราะวา P และ Q มีคาพิกัดหลังเทากันดังนั้น PQ = ⏐– 4 – 6⏐ = 10 หนวย
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
190
(3) (–5, 6) และ (–5, –3)ให P แทนจุด (–5, 6)
Q แทนจุด (–5, –3)เพราะวา P และ Q มีคาพิกัดแรกเทากันดังนั้น PQ = ⏐6 – (–3)⏐ = 9 หนวย
(4) (– 4, –8) และ (– 4, –2)ให P แทนจุด (– 4, –8)
Q แทนจุด (– 4, –2)เพราะวา P และ Q มีคาพิกัดแรกเทากันดังนั้น PQ = ⏐–8 – (–2)⏐ = 6 หนวย
3. (1) (3, 4) และ (2, 2)ให P แทนจุด (3, 4)
Q แทนจุด (2, 2)PQ = 22 )24()23( −+− = 5 หนวย
(2) (–1, –2) และ (3, – 4)ให P แทนจุด (–1, –2)
Q แทนจุด (3, – 4)PQ = 22 ))4(2()31( −−−+−− = 20 = 52 หนวย
(3) (0, s) และ (t, 0)ให P แทนจุด (0, s)
Q แทนจุด (t, 0)PQ = 22 )0s()t0( −+− = 22 st + หนวย
(4) (0, s + t) และ (s + t, 0)ให P แทนจุด (0, s + t)
Q แทนจุด (s + t, 0)PQ = 22 )0)ts(())ts(0( −+++− = 2)ts(2 +
= )ts(2 + หนวย
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
191
(5) (2, 13) และ (8, 5)ให P แทนจุด (2, 13)
Q แทนจุด (8, 5)PQ = 22 )513()82( −+− = 10 หนวย
(6) (–5, 3) และ (0, 8)ให P แทนจุด (–5, 3)
Q แทนจุด (0, 8)PQ = 22 )83()05( −+−− = 25 หนวย
(7) (–6, 4) และ (–6, 17)ให P แทนจุด (–6, 4)
Q แทนจุด (–6, 17)PQ = 22 )174())6(6( −+−−− = 213 = 13 หนวย
(8) (–2, –1) และ (–7, –6)ให P แทนจุด (–2, –1)
Q แทนจุด (–7, –6)PQ = 22 ))6(1())7(2( −−−+−−− = 22 55 + = 25 หนวย
4. (1) พิกัดของจุด Cกําหนดให C มีพิกัดเปน (x, 4)( จากรูป ABCD เปนรูปสี่เหล่ียมคางหมู ที่มีดาน BC ขนานกับดาน AD และขนานกับแกน X)
B (–1, 4) C
D X
Y
A(– 4, 0) O
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
192
จากโจทย BC = 8 หนวย และ B มีพิกัดเปน (–1, 4) จะได
BC = 22 )44())1(x( −+−−
8 = 2)1x( +
8 = 1x+
x = 7, –9
แตจากรูป C อยูในจตุภาคที่ 1ดังนั้น จุด C มีพิกัดเปน (7, 4)
(2) ความยาวของสวนของเสนตรง ABจากโจทย A มีพิกัดเปน (– 4, 0)และ B มีพิกัดเปน (–1, 4) จะได
AB = 22 )40())1(4( −+−−−
= 22 43 +
AB = 5 หนวย
(3) พิกัดของจุด Dกําหนดให D มีพิกัดเปน (x, 0)(เนื่องจาก AD อยูบนแกน X)จากโจทย A มีพิกัดเปน (– 4, 0) จะได
AD = 22 )00())4(x( −+−−
AD = 2)4x( +
AD = 4x+ ---------- (1)หา AD ไดจากสูตร
พื้นที่ ABCD = 21 × สูง × ผลบวกของดานคูขนาน
ความสูงของ ABCD คือ ความยาวของเสนที่ลากจากจุด B มาตั้งฉากกับแกน Xที่จุด (–1, 0)ดังนั้นความสูงของ ABCD มีขนาดเทากับ 22 )04())1(1( −+−−− = 4 หนวย
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
193
48 =21 × 4 × (BC + AD)
48 =21 × 4 × (8 + AD)
48 = 2(8 + AD)48 = 16 + 2AD32 = 2ADAD = 16 หนวย
แทนคา AD = 16 หนวย ใน (1) จะได16 = 4x+
x = 12, –20แตจากรูป D อยูบนแกน X ทางดานบวกดังนั้น จุด D มีพิกัดเปน (12, 0)
5.จากรูปAB = 22 )12()14( −+−− = 26 หนวยBC = 22 )11()11( +++ = 8 หนวยAC = 22 )12()14( +++− = 18 หนวย
จะได BC2 + AC2 = 2)8( + 2)18( = 26 หนวยนั่นคือ AB2 = BC2 + AC2
ดังนั้น ABC เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉากนั่นคือ (1, 1), (–1, –1) และ (– 4, 2) เปนจุดยอดของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
2
-2
-5 X
Y
B ( 1, 1 )
C (-1, -1 )
A ( -4, 2 )
0
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
194
6. ระยะระหวางจุด (–3, – 4) กับแกน X คือระยะระหวางจุด Q(–3, – 4) และ P(–3, 0)ดังนั้น PQ = 22 )04()]3(3[ −−+−−−
= 4 หนวย
7. ความยาวของเสนรอบรูปสามเหลี่ยม ABC = AB + AC + BC
AB = 22 )48()37( −+−
= 32
= 24 หนวยAC = 22 ))2(4())1(3( −−+−−
= 52
= 132 หนวยBC = 22 ))2(8())1(7( −−+−−
= 164 = 412 หนวยดังนั้น ความยาวของเสนรอบรูปสามเหลี่ยม ABC = AB + AC + BC = 41213224 ++ หนวย
8. สมมุติใหจุด A มีพิกัด (0, y1) ซ่ึงอยูบนแกน Y หางจากจุด B(2, 5) และ C(3, –7) เปนระยะเทากันเพราะวา AB = AC
21
2 )5y()20( −+− = 21
2 )]7(y[)30( −−+−2
1 )5y(4 −+ = 21 )7y(9 ++
4 + (y1 – 5)2 = 9 + (y1 + 7)2
25y10y4 121 +−+ = 49y14y9 1
21 +++
29y10y 121 +− = 58y14y 1
21 ++
–24y1 = 29y1 =
2429−
ดังนั้น A มีพิกัด (0, 2429− )
P ( -3 , 0 )
-5
X
Y
0
Q ( -3 , -4 )
10
10
5
5-5
A(3, 4)
C (-1, -2)
B (7, 8)
0 X
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
195
9. ให A(4, 6), B(6, 8) และ C(–2, –2) เปนจุดยอดของรูปสามเหลี่ยมจะได AB = 22 )86()64( −+− = 22
BC = 22 )82()62( −−+−− = 412
CA = 22 )62()42( −−+−− = 10
ความยาวของ AB, BC และ AC ไมมีคูใดที่เทากันเลยดังนั้น รูปสามเหลี่ยมซึ่งมีจุดสามจุดนี้เปนจุดยอด จึงไมเปนรูปสามเหลี่ยมหนาจั่ว
10. ให P(–3, 2) เปนจุดศูนยกลางของวงกลมที่ผานจุด Q(7, 4)รัศมีของวงกลมคือ PQ = 22 )42()73( −+−− = 262 หนวย
11.
X0
10
5
-5
5 105
A (4, 6)B (6, 8)
C (-2, -2)
Y
X0P (-3, 2)
20
10
-10
-20 20Q (7, 4)
Y
108642
-2-15 -10 -5 5 10 X
Y
C (-8, 8)
B (-12, 0) D (-8, 0) A(10, 0)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
196
จากรูปจากจุด C(–8, 8) ลากเสนตรงขนานแกน Y ตัดแกน X ที่จุด D จะไดพิกัดของจุด D คือ D(–8, 0)พื้นที่ของสามเหลี่ยม =
21 × ฐาน × สูง ----------- (1)
ถาใหAB เปนความยาวฐาน ดังนั้น CD จะเปนความสูงของรูปสามเหลี่ยม ABCความยาวฐานคือ AB = 22 )00()]12(10[ −+−− = 22ความสูงคือ CD = 22 )08()]8(8[ −+−−− = 8ดังนั้น พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC =
21 × 22 × 8 = 88 ตารางหนวย
12. ให A(0, 0), B(8, 18) และ C(12, 27) เปนจุดสามจุดAB = 22 )180()80( −+− = 972
BC = 22 )2718()128( −+− = 97
AC = 22 )270()120( −+− = 973
จะไดวา AC = AB + BCดังนั้น (0, 0), (8, 18) และ (12, 27) อยูบนเสนตรงเดียวกัน
13. เงื่อนไขที่ทําใหจุด P1, P2 และ P3 ใด ๆ อยูบนเสนเดียวกันคือP1P2 + P2P3 = P1P3
14. ให A(3, 4) เปนจุดศูนยกลางของวงกลมที่ผานจุด B(6, 8)ให C มีพิกัดเปน (0, 0)
AB = 22 )84()63( −+− = 169+ = 5 หนวยAC = 22 )04()03( −+− = 169+ = 5 หนวยจุด C(0, 0) อยูบนวงกลม เพราะอยูหางจากจุดศูนยกลางเทากับความยาวของรัศมีของ
วงกลม
15. ใหแกน X สัมผัสวงกลมที่จุด B(x, 0)เมื่อแกน X สัมผัสกับวงกลมรัศมี AB ยอมตั้งฉากกับแกน Xจะได x = 4ดังนั้น จุดสัมผัสคือ (4, 0)
-5
10B (x, 0)
A (4, -3)
0 X
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
197
เฉลยแบบฝกหัด 3.1.2
1. (1) ใหจุด P1 มีพิกัด )2,21(
ใหจุด P2 มีพิกัด (3, –1)และจุดกึ่งกลางระหวาง P1 และ P2 คือ P(x, y)
x =2
)321( +
=47
y =2
))1(2( −+ =21
ดังนั้น จุดกึ่งกลางระหวางจุด P1 และ P2 คือ (47 ,
21 )
(2) ใหจุด P1 มีพิกัด (–1, –3)ใหจุด P2 มีพิกัด (5, 3)และจุดกึ่งกลางระหวาง P1 และ P2 คือ P(x, y)
x =2
)51( +− = 2
y =2
)33( +− = 0ดังนั้น จุดกึ่งกลางระหวางจุด P1 และ P2 คือ (2, 0)
(3) ใหจุด P1 มีพิกัด (3, 25− )
ใหจุด P2 มีพิกัด (–3, –9)และจุดกึ่งกลางระหวาง P1 และ P2 คือ P(x, y)
x =2
))3(3( −+ = 0
y =2
))9(25( −+−
=423−
ดังนั้น จุดกึ่งกลางระหวางจุด P1 และ P2 คือ )423,0( −
(4) ใหจุด P1 มีพิกัด (–3, –2)ใหจุด P2 มีพิกัด (–1, –1)และจุดกึ่งกลางระหวาง P1 และ P2 คือ P(x, y)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
198
x =2
))1(3( −+− = –2
y =2
))1(2( −+− =23−
ดังนั้น จุดกึ่งกลางระหวางจุด P1 และ P2 คือ )23,2( −−
2. (1) ใหจุด P มีพิกัด (x, y)จะได 1 =
2x3+ นั่นคือ x = –1
และ 2 =2
y4+ นั่นคือ y = 0ดังนั้น พิกัดของจุด P คือ (–1, 0)
(2) ใหจุด P มีพิกัด (x, y)จะได 5 =
215x+ นั่นคือ x = –5
และ 6 =2
4y− นั่นคือ y = 16ดังนั้น พิกัดของจุด P คือ (–5, 16)
3. ให AC และ BD เปนเสนทแยงมุมสองเสนจุดกึ่งกลางของเสนทแยงมุม AC คือ ( 2
31,292 ++ ) = )2,2
11(
จุดกึ่งกลางของเสนทแยงมุม BD คือ ( 231,2
47 ++ ) = )2,211(
ดังนั้น จุดกึ่งกลางของเสนทแยงมุมของรูปสี่เหล่ียม ABCD เปนจุดเดียวกันคือ )2,2
11(
4. ให O เปนจุดกึ่งกลางระหวาง P(2, 1) และ Q(6, 5) ดังนั้น O = )2
51,2
62( ++ = (4, 3)ระยะระหวางจุด O(4, 3) กับจุด A(8, 2) คือ 22 )32()48( −+− = 17 หนวย
5. จุดกึ่งกลางของสวนของเสนตรง คือ ⎟⎠
⎞⎜⎝
⎛ ++2
)y3y(,
2)x3x( 1111 = (2x1, 2y1)
6. พิกัดของจุดศูนยกลางคือ )2113,
271( ++ = (4, 7)
ความยาวของรัศมีของวงกลม = ระยะระหวางจุด (4, 7) กับจุด (1, 3) เทากับ 5
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
199
7. เสนมัธยฐานคือ เสนที่ลากจากจุดยอดมุมมาแบงครึ่งฐานดังนั้น จุดปลายของเสนมัธยฐานคือ จุดที่แบงครึ่งดานของรูปสามเหลี่ยมให P1(x1, y1) เปนจุดปลายเสนมัธยฐานของรูป ∆ ABC ที่มี AB เปนฐานจะได x1 =
234+ =
27
y1 = 289+ =
217
ดังนั้น p1 มีพิกัดเปน (27 ,
217 )
ให P2(x2, y2) เปนจุดปลายเสนมัธยฐานของรูป ∆ ABC ที่มี BC เปนฐานจะได x2 =
2)1(3 −+ = 1
y2 = 228+ = 5
ดังนั้น P2 มีพิกัดเปน (1, 5)ให P3(x3, y3) เปนจุดปลายเสนมัธยฐานของรูป ∆ ABC ที่มี AC เปนฐานจะได x3 =
2)1(4 −+ =
23
y3 =2
29+ =2
11
ดังนั้น P3 มีพิกัดเปน )2
11,23(
8. ให R มีพิกัด (4, y)A มีพิกัด (–5, 2)C มีพิกัด (13, –6)
โดยพิกัดจุด R อยูหางจากจุด A และจุด C เปนระยะทางเทากันจะได RA = RC 22 )2y()54( −++ = 22 )6y()134( ++−
2)2y(81 −+ = 2)6y(81 ++
y = –2
9. หาจุดกึ่งกลางของดานของรูปสี่เหล่ียม ABCD ไดดังนี้จุดกึ่งกลางของดาน AB คือ )
253,
244(P ++− หรือ P(0, 4)
จุดกึ่งกลางของดาน BC คือ )2115,
284(Q ++ หรือ Q(6, 8)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
200
จุดกึ่งกลางของดาน CD คือ )2
711,2
88(R +− หรือ R(0, 9)จุดกึ่งกลางของดาน DA คือ )
237,
248(S +−− หรือ S(–6, 5)
หาความยาวรอบรูปของรูปสี่เหล่ียม PQRS ไดดังนี้PQ = 22 )84()60( −+− = 52 = 132
QR = 22 )98()06( −+− = 37
RS = 22 )59()60( −++ = 52 = 132
SP = 22 )45()06( −+−− = 37
นั่นคือ ความยาวของเสนรอบรูป PQRS = 132 + 37 + 132 + 37 = 134 + 372
10. ให ABC เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉากโดยที่
A, B และ C มีพิกัดเปน (x, y), (0, 0) และ (x, 0)ตามลําดับP เปนจุดกึ่งกลางของ ABดังนั้น จุด P มีพิกัด )
2y,
2x(
หาระยะระหวางจุด P กับจุดยอดทั้ง 3 จุดของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
PA = 22 )y2y()x
2x( −+−
=4
y4
x 22+
PB = 22 )02y()0
2x( −+−
=4
y4
x 22+
PC = 22 )02y()x
2x( −+−
=4
y4
x 22+
จะไดวา PA = PB = PCดังนั้น ระยะระหวางจุดกึ่งกลางของดานตรงขามมุมฉากของรูปสามเหลี่ยมมุมฉากกับจุดยอด
ทั้งสามมีความยาวเทากัน
B(0, 0)
)2y,
2x(P A(x, y)
C(x, 0) X
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
201
11. ให ABCD เปนรูปสี่เหล่ียมดานขนานAC และ BD เปนเสนทแยงมุมของรูปสี่เหล่ียมดานขนาน ABCDให P(x, y) เปนจุดกึ่งกลางของเสนทแยงมุม ACP(x, y) มีพิกัด )
2y
,2
xx( 221 +
ให Q(x′, y′) เปนจุด กึ่งกลางของเสนทแยงมุม BD Q(x′, y′) มีพิกัดเปน )
2y
,2
xx( 221 +
จะเห็นวา P(x, y) และ Q(x′, y′) มีพิกัดเดียวกันดังนั้น P(x, y) เปนจุดเดียวกันกับ Q(x′, y′)นั่นคือ เสนทแยงมุมของรูปสี่เหล่ียมดานขนานยอมแบงครึ่งซึ่งกันและกัน
12. ให A(x, y) เปนจุดกึ่งกลางของ R(–7, –5) T(6, 1)ดังนั้น จุดกึ่งกลางของ RT คือ )2,
21(A −−
หาความยาวของเสนมัธยฐาน SA ไดโดยSA = 22 )27()
213( +++
=4
373 หนวย หรือ 2373 หนวย
13.
X
Y
A(0, 0) B(x1, 0)
C(x1+ x2, y2)D(x2, y2)
S(3, 7)
T(6, 1)
R(-7, -5)-4
-4 4
4
8
88 X
Y
0
10
5
-10 0 X
Y
A(2, 7) B(-5, 6)
R S T
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
202
วิธีท่ี 1 แบงสวนของเสนตรง AB ใหเปน 4 สวนจุดที่แบงกําหนดใหเปนจุด R, S, Tซ่ึงมีพิกัด (x, y), (x1, y1), (x2, y2) ตามลําดับจากรูป จุด R คือจุดที่อยูหางจากจุด A เทากับ
43 ของระยะระหวาง A และ B
หาพิกัดของจุด R โดย
1. หาพิกัดของจุด S ซ่ึงจุด S เปนจุดกึ่งกลางของสวนของเสนตรง ABx1 =
225+− =
23−
y1 =2
76+ =2
13
ดังนั้น จุด S มีพิกัด )2
13,23(−
2. หาพิกัดของจุด R ซ่ึงจุด R เปนจุดกึ่งกลางของสวนของเสนตรง BS
x =2
)5()23( −+−
=2
))2
10(23( −+−
=4
13−
y =2
)62
13( +=
2
)21213( +
=425
ดังนั้น จุด S มีพิกัด )425,
413(− นั่นคือ พิกัดของจุดซึ่งอยูหางจาก A อยู
43 ของระยะ
ระหวาง A และ B คือ )425,
413(−
วิธีท่ี 2 ให C(x, y) เปนจุดที่อยูบนสวนของเสนตรง A(2, 7) B(–5, 6) ซ่ึงทําให CA = AB43
C(x, y) C′(x, 7)
B(-5, 6)
10
5
-10 0 X
Y
A(2, 7) A′(-5, 7)
Y
C(x, y)B(-5, 6)
10
5
-10 0 X
A(2, 7) D(2, y)
A′(2, 6)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
203
ลาก CC′ และ BA′ ขนานกับแกน Yตัดกับ AA′ ซ่ึงลากขนานกับแกน X ที่จุด C′และ A′ ตามลําดับ
จะไดพิกัดของจุด C′ คือ (x, 7)พิกัดของจุด A′ คือ (–5, 7)
∆ AA′B คลายกับ ∆ AC′Cดังนั้น
AACA′′ =
ABAC
แตABAC =
43
จะได AC′ = AA43 ′
⏐2 – x⏐ =43 ⏐2 – (–5)⏐
4 – 4x + x2 =16441
(4x + 13)(4x – 29) = 0x =
429,
413−
แต )425,
429( , )
431,
413(− , )
431,
429( เปนจุดอยูนอกสวนของเสนตรง
ดังนั้น พิกัดของจุด C คือ (425,
413− )
เฉลยแบบฝกหัด 3.1.3
1. (1) m = 0206
−− = 3
(2) m = 0206
−−− = –3
(3) m = 51237−− =
74
(4) m = 0304
−−−− =
34
(5) m = 35)8(7
−−−− =
815−
(6) m = )1t(t2
s3s+−−− =
1t3−− =
t13−
ลาก CD และ BA′ ขนานกับแกน Xตัดกับ AA′ ซ่ึงลากขนานกับแกน Y ที่จุด D และ A′ตามลําดับ
จะไดพิกัดของจุด D คือ (2, y)พิกัดของจุด A′ คือ (2, 6)
∆ AA′B คลายกับ ∆ ADCดังนั้น
AAAD
′=
ABAC
แตABAC =
43
จะได AD = AA43 ′
⏐7 – y⏐ = )67(43 −
y =425 ,
431
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
204
2. (1) P(5, 2) และ Q(x, 6) ; m = 4 m =
)xx()yy(
12
12
−−
4 = )5x()26(
−−
4(x – 5) = 44x – 20 = 4 4x = 24 x = 6
(2) P(4, x) และ Q(–3, 1) ; m = 21
m =)xx()yy(
12
12
−−
21 =
)43()x1(
−−−
21 =
7)x1(
−−
27− = 1 – x
x = 1 + 27
x = 29
(3) P(6, –3) และ Q(9, x) ; m = 32−
m =)xx()yy(
12
12
−−
32− =
)69())3(x(
−−−
–2 = x + 3 x = –5
(4) P(x, 12) และ Q(5, 12) ; m = 0 m =
)xx()yy(
12
12
−−
0 =)x5()1212(
−−
ดังนั้น x คือ จํานวนจริงใด ๆ ยกเวน 5
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
205
(5) P(1, x) และ Q(4, 3) ; m = 34
m =)xx()yy(
12
12
−−
34 =
)14()x3(
−−
4 = 3 – xx = –1
3. m =)xx()yy(
12
12
−−
m =ab
)ba
ab(
−
−
=)ab(
abab 22
−
⎟⎟⎠
⎞⎜⎜⎝
⎛ −
=)ab(ab
)ab)(ab(−+−
=ab
ab+
4.
พิจารณาดาน ABความยาวของ AB = 22 )107()25( −+−
= 99+
= 18
= 23 หนวยความชันของ AB =
)25()107(
−− = –1
Y
10
5
10 X0
A(2, 10)
B(5, 7)
C(2, 4)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
206
พิจารณาดาน BCความยาวของ BC = 22 )47()25( −+−
= 99+
= 18
= 23 หนวยความชันของ BC =
)25()47(
−− = 1
พิจารณาดาน ACความยาวของ AC = 22 )410()22( −+−
= 360+
= 6 หนวยความชันของ AC =
)22()410(
−−
=06
ดังนั้น เสนตรง AC ไมมีความชัน เพราะไมนิยาม
5.
จะไดวา ส่ีเหล่ียม PQRS เปนรูปสี่เหล่ียมดานขนานดังนั้น เสนตรงที่แบงพื้นที่ส่ีเหล่ียมดานขนาน PQRS ออกเปนรูปสามเหลี่ยมสองรูปที่มีพื้นที่เทากัน คือ เสนทแยงมุม PR และ QSความชันของ PR =
)6(141−−−−− =
55− = –1
ความชันของ QS =)8(1)1(4
−−−− =
95
Y
5
-10
P(-6, 4) Q(1, 4)
S(-8, -1) R(-1, -1)X0
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
207
6.
จากโจทย พื้นที่ของรูปสี่เหล่ียมคางหมู ABCD = 24 ตารางหนวยพื้นที่ของรูปสี่เหล่ียมคางหมู =
21 × ผลบวกของดานคูขนาน × สูง
24 =21 × (AB + CD) × AD ---------- (1)
ความยาวของ AB = 22 ))2(2()26 ( −−−+−− = 64 = 8 หนวยจากโจทย ดาน AB เปนฐานที่ยาวเปน 2 เทาของดานคูขนาน DCจะไดวา AB = 2DC = 8 หนวยดังนั้น DC = 4 หนวยแทนคา AB = 8 หนวย และ DC = 4 หนวย ลงใน (1)จะได 24 =
21 × (8 + 4) × AD
24 =21 × 12 × AD
AD = 4 หนวย
ใหจุด D มีพิกัด (– 6, y)ดังนั้น AD = 22 )2y()66 ( +++−
4 = 2)2y( +
y = 2, – 6ดังนั้น จุด D มีพิกัด (– 6, 2) หรือ (– 6, – 6)ดังนั้น จุด C มีพิกัด (–2, 2) หรือ (–2, – 6)
5
-5
-10 X
Y
B(2, -2)
C(-2, 2)D(-6, 2)
A(-6, -2)
D(-6, -6) C(-2, -6)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
208
หาความชันของ BC ไดโดยกรณีที่ 1 C มีพิกัด (–2, –6) ความชันของ BC =
)22()2(6
−−−−−
= 44
−−
= 1
กรณีที่ 2 C มีพิกัด (–2, 2) ความชันของ BC = )2(2
22−−−−
= 44−
= –1
เฉลยแบบฝกหัด 3.1.4
1. ความชันของเสนตรงที่ผานจุด (–2, – 4) และ (3, 3) คือ 3234
−−−− =
57
ความชันของเสนตรงที่ผานจุด (1, –2) และ (6, 5) คือ 6152
−−− =
57
จะเห็นวา ความชันของเสนตรงทั้งสองเทากัน แสดงวา เสนตรงทั้งสองขนานกัน
2. เนื่องจากเสนตรงสองเสนขนานกันความชันจึงเทากัน เทากับ 12
12
xxyy
−− , x1 ≠ x2
3. เนื่องจากเสนตรงสองเสนขนานกันความชันจึงเทากัน
k372
−−−− =
3124
−−−
k = 0
4. ใหความชันของเสนตรงที่ผานจุด (–2, –1) และ (1, 0) เปน m1
m1 =1201−−−− =
31
ใหความชันของเสนตรงที่ผานจุด (4, 3) และ (1, 2) เปน m2
m2 =1423−− =
31
42
-25 X
Y
(4, 3)(1, 2)
(1, 0)(-2, -1)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
209
ใหความชันของเสนตรงที่ผานจุด (1, 0) และ (4, 3) เปน m3
m3 =4130
−− = 1
ใหความชันของเสนตรงที่ผานจุด (–2, –1) และ (1, 2) เปน m4
m4 =1221−−−− = 1
จะเห็นวา m1 = m2 และ m3 = m4
ดังนั้น (–2, –1), (1, 0), (4, 3) และ (1, 2) เปนจุดยอดของรูปสี่เหล่ียมดานขนาน
5. ความชันของเสนตรงที่ผานจุด (1, 2), (6, 7) เทากับ 1627
−− = 1
ความชันของเสนตรงที่ผานจุด (1, 2), (–3, 4) เทากับ 13
24−−− =
21−
จะเห็นวาความชันของเสนตรงทั้งสองไมเทากันดังนั้น จุด (1, 2), (6, 7) และ (–3, 4) ไมอยูบนเสนตรงเดียวกัน
6. จุดทั้งสามจะอยูบนเสนตรงเดียวกันได เมื่อความชันของเสนตรงที่ผานจุด (b, 6), (–1, 4) และความชันของเสนตรงที่ผานจุด (–1, 4), (– 4, 2) มีคาเทากันดังนั้น จะไดวา
)1(b
46−−− =
)4(124
−−−−
b = 2
7. เสนตรงที่ผานจุด (p, q + r) และ (q, r + p) มีความชันเทากับ
qp)pr()rq(
−+−+ =
qppq
−− =
)qp(qp−−− = –1
เสนตรงที่ผานจุด (p, q + r) และ (r, p + q) มีความชันเทากับ
rp)qp()rq(
−+−+ =
rppr−− =
)pr(pr−−− = –1
เสนตรงที่ผานจุด (q, r + p) และ (r, p + q) มีความชันเทากับ
rq)qp()pr(
−+−+ =
rqqr−− =
)qr(qr−−− = –1
ดังนั้น จุด (p, q + r) + (q, r + p) และ (r, p + q) อยูบนเสนตรงเดียวกัน
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
210
8. ความชันของเสนตรง AB =)6(6
66−−− = 0
ความชันของเสนตรง CD =612
)6(0−−− = 1
ความชันของเสนตรง BC = 61260−− = –1
ความชันของเสนตรง AD =)6(6
66−−−− = –1
จะเห็นวา เสนตรง BC และเสนตรง AD มีความชันเทากันดังนั้น มีดาน BC ขนานกับดาน AD เพียงคูเดียวนั่นคือ A(–6, 6), B(6, 6), C(12, 0)และ D(6, –6) เปนจุดยอดของรูปสี่เหล่ียมคางหมู
9. ใหจุด A, B, C และ D เปนจุดกึ่งกลางของดาน PQ, QR, RS และ SPดังนั้น หาพิกัดของจุดกึ่งกลางทั้งสี่ไดดังนี้A = )
262,
213( ++− = (–1, 4)
B = )2
46,2
51( ++ = (3, 5)C = )
204,
235( ++ = (4, 2)
D = )2
20,2
33( +− = (0, 1)ความชันของดาน AB เทากับ
3154−−− =
41
ความชันของดาน BC เทากับ 4325
−− = –3
ความชันของดาน CD เทากับ 0412
−− =
41
ความชันของดาน DA เทากับ 1041+− = –3
จะเห็นวา ความชันของดาน AB = ความชันของดาน CDและ ความชันของดาน BC = ความชันของดาน DAดังนั้น จุดกึ่งกลางของดานทั้งสี่ของรูปสี่เหล่ียม PQRS เปนจุดยอดของรูปสี่เหล่ียมดานขนาน
10. ให ABCD เปนรูปสี่เหล่ียมคางหมูที่มีดาน AB // DCเพื่อความสะดวกใหจุด A มีพิกัดเปน (0, 0)จุด B อยูบนแกน X มีพิกัดเปน (a, 0)จุด C มีพิกัด (b, c)จุด D มีพิกัด (d, c)
10
5
-5
-10
-10 10 X
Y
B(6, 6)
C(12, 0)
D(6, -6)
A(-6, 6)
X
Y
)2c,
2d(
A(0, 0) B(a, 0)
C(b, c)D(d , c)
)2c,
2ba( +
8
6
42
-2-5 5 X
Y
Q(1, 6)B(3, 5)
R(5, 4)
C(4, 2)
S(3, 0)D(0, 1)
P(-3, 2)
A(-1, 4)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
211
เนื่องจากความชันของดาน AB เทากับ 0 และ AB // DCดังนั้น ความชันของดาน DC เทากับ 0จะได จุดกึ่งกลางระหวางจุด A(0, 0) และ D(d, c) คือ )
2c,
2d(
จุดกึ่งกลางระหวางจุด B(a, 0) และ C(b, c) คือ )2c,
2ba( +
ความชันของเสนตรงที่ผานจุด )2c,
2d( และ )
2c,
2ba( + เทากับ 0
นั่นคือ เสนตรงที่เชื่อมจุดกึ่งกลางของดานที่ไมใชดานคูขนานของสี่เหล่ียมคางหมูจะขนานกับดาน คูขนาน
11. ให A(0, 0), B(x1, 0), C(x2, y2) และ D(x3, y3)เปนจุดยอดของรูปสี่เหล่ียมใด ๆP เปนจุดกึ่งกลางของดาน AB มีพิกัดเปน )0,
2x
( 1
Q เปนจุดกึ่งกลางของดาน BC มีพิกัดเปน )2
y,
2xx
( 221 +
R เปนจุดกึ่งกลางของดาน CD มีพิกัดเปน )2
yy,
2xx
( 3232 ++
S เปนจุดกึ่งกลางของดาน AD มีพิกัดเปน )2
y,
2x
( 33
ความชันของเสนตรง PQ =2x
2
x x
0 2
y
121
2
−+
−=
2
2
xy
ความชันของเสนตรง RS =2
x
2x x
2y
2
y y
332
332
−+
−+
=2
2
xy
ดังนั้น เสนตรง PQ ขนานกับเสนตรง RS
R
SA(0, 0) X
Y
P
Q
C(x2, y2)
B(x1, 0)
D(x3, y3)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
212
ความชันของเสนตรง QR =2
x x
2x x
2y
2
y y
2132
232
+−
+
−+
=13
3
x xy−
ความชันของเสนตรง PS =2x
2
x
0 2
y
13
3
−
−=
13
3
x xy−
ดังนั้น เสนตรง PS ขนานกับเสนตรง QRแสดงวา P, Q, R และ S เปนจุดยอดของรูปสี่เหล่ียมดานขนาน PQRS
เฉลยแบบฝกหัด 3.1.5
1. ให m เปนความชันของเสนตรงที่ตั้งฉากกับเสนตรง lจะได m
43× = –1
m =34−
2. ให m1 เปนความชันของเสนตรงที่ตั้งฉากกับเสนตรง lจะได 1m
mk × = –1
m1 =km−
3. ใหเสนตรงซึ่งผานจุด (3, 4) และ (–3, –5) มีความชันเทากับ m
m =3345
−−−− =
69
−− =
23
ใหความชันของเสนตรงที่ตั้งฉากกับเสนตรงที่ผานจุด (3, 4) และ (–3, –5) คือ m1
ดังนั้น m⋅m1 = –1
23 ⋅m1 = –1
m1 =32−
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
213
4. ใหความชันของเสนตรงซึ่งผานจุด (4, 3) และ (–3, –5) คือ mm =
4335
−−−− =
78
−− =
78
ใหความชันของเสนตรงซึ่งผานจุด (–2, –3) และ (–8, 2) คือ m1
m1 =)8(2
23−−−−− =
65−
ดังนั้น m⋅m1 =78
⎟⎠⎞
⎜⎝⎛−
65 =
4240− =
2120−
จะเห็นวา m⋅m1 ≠ –1 ดังนั้น เสนตรงสองเสนนี้ไมตั้งฉากกัน
5. ความชันของเสนตรงที่ผานจุด O (0, 0) และ P(a, b) คือ m1 = ab
ความชันของเสนตรงที่ผานจุด O (0, 0) และ Q(–b, a) คือ m2 = b
a−
จะได m1⋅m2 = –1 แสดงวา สวนของเสนตรง OP ตั้งฉากกับสวนของเสนตรง OQ
6. ให P1(1, 6), P2(8, 8) และ P3(–7, 2) เปนจุดยอดของรูปสามเหลี่ยมm1 = ความชันของ P1P2 =
8186
−− =
72
m2 = ความชันของ P2P3 =7828
+− =
156 =
52
m3 = ความชันของ P1P3 =7126
+− =
84 =
21
พิจารณา m1m2 =52
72× =
354 ≠ –1
m2m3 =21
52× =
51 ≠ –1
m1m3 =21
72× =
71 ≠ –1
แสดงวา จุด (1, 6), (8, 8) และ (–7, 2) ไมเปนจุดยอดของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
7. ให m เปนความชันของเสนตรง ซ่ึงผานจุด (k, 7) และ (–3, –2)m =
k372
−−−−
=k3
9−−−
ให m1 เปนความชันของเสนตรงซึ่งผานจุด (3, 2) และ (1, – 4)m1 =
3124
−−− =
26
−− = 3
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
214
เนื่องจากเสนตรงทั้งสองเสนตั้งฉากกันดังนั้นm⋅m1 = –1
k39−−− ⋅3 = –1
)k3(27+−
− = –1
–27 = 3 + kk = –30
8. เสนทแยงมุมทั้งสองของรูปสี่เหล่ียม คือ เสนตรงที่ผานจุด (2, 5) และ (6, 9) กับเสนตรงที่ผานจุด(2, 9) และ (6, 5) ดังรูป
ใหความชันของเสนทแยงมุมที่ผานจุด (2, 5) และ (6, 9) เปน m1 ซ่ึงเทากับ 2659
−− = 1
ใหความชันของเสนทแยงมุมที่ผานจุด (2, 9) และ (6, 5) เปน m2 ซ่ึงเทากับ 2695
−− = –1
จะเห็นวา m1⋅m2 = –1ดังนั้น เสนทแยงมุมทั้งสองตั้งฉากซึ่งกันและกัน
9. ให A, B, C และ D เปนจุดยอดของรูปสี่เหล่ียมซ่ึงมีพิกัดเปน (2, 1), (6, 4), (3, 8) และ (–1, 5)ตามลําดับ
AB = 22 )41()62( −+− = 5BC = 22 )84()36( −+− = 5CD = 22 )58()13( −++ = 5AD = 22 )51()12( −++ = 5
0
10
2X
Y
468
2 4 6 8
(2, 9) (6, 9)
(2, 5) (6, 5)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
215
ดังนั้น ABCD เปนรูปสี่เหล่ียมดานเทาความชันของดาน AB = m1 =
2614
−− =
43
ความชันของดาน BC = m2 = 6348
−− =
34−
m1m2 = 43 (
34− ) = –1
นั่นคือ AB ⊥ BCในทํานองเดียวกันจะแสดงไดวา BC ⊥ CD , CD ⊥ AD และ DA ⊥ ABดังนั้น ABCD เปนรูปสี่เหล่ียมจัตุรัสพื้นที่ของ ABCD = 5 × 5 = 25 ตารางหนวย
10. (1) กําหนดจุด A(–5, 4), B(4, 9), C(9, 0) และ D(0, –5)AB = 22 )94()45( −+−− = 106
BC = 22 )90()49( −+− = 106
CD = 22 )50()09( ++− = 106
AD = 22 )45()50( −−++ = 106
ดังนั้น ABCD เปนรูปสี่เหล่ียมดานเทา(2) ความชันของดาน AB = m1 =
)5(449−−− =
95
ความชันของดาน BC = m2 = 4990
−− =
59−
m1m2 = 95 (
59− ) = –1
ดังนั้น AB และ BC ตั้งฉากกันในทํานองเดียวกัน จะแสดงไดวา BC ⊥ CD , CD ⊥ AD และ DA ⊥ AB
เนื่องจาก ABCD มีดานทั้ง 4 ยาวเทากัน และมีมุมทุกมุมเปนมุมฉากดังนั้น ABCD เปนรูปสี่เหล่ียมจัตุรัส
11. (1) กําหนดจุด A(6, 8), B(5, 4), C(3, 6) และ D(4, 10)ให m1 = ความชันของดาน AB =
5648
−− = 4
m2 = ความชันของดาน CD =43
106−− =
14−− = 4
m3 = ความชันของดาน BC =3564
−− =
22− = –1
m4 = ความชันของดาน AD =46
108−− =
22− = –1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
216
จะได AB ขนานกับ CD และ BC ขนานกับ AD
ดังนั้น ABCD เปนรูปสี่เหล่ียมดานขนาน(2) เพราะ m1m3 = 4(–1) = – 4ดังนั้น AB ไมตั้งฉากกับ BC
นั่นคือ ABCD ไมเปนรูปสี่เหล่ียมมุมฉาก
12. จากรูปใหพิกัดของจุดยอดของรูปสี่เหล่ียมจัตุรัส
ABCD คือ A(0, 0), B(x1, 0), C(x1, y1) และ D(0, y1)ดังนั้น ความชันของเสนทแยงมุม AC =
1
1
x0y0
−−
= 1
1
xy = m1
และ ความชันของเสนทแยงมุม BD = 1
1
x00y
−−
= 1
1
xy− = m2
m1m2 = 1
1
xy (
1
1
xy− ) = 2
1
21
xy−
แต y1 = x1 เพราะ ABCD เปนรูปสี่เหล่ียมจัตุรัสดังนั้น m1m2 = –1นั่นคือ เสนทแยงมุมของรูปสี่เหล่ียมจัตุรัส ABCD ตัดกันเปนมุมฉาก
13. ให A(0, 0), B(a, 0) และ C(b, c) เปนจุดยอดของรูปสามเหลี่ยม และ D(x1, y1), E(x2, y2) เปนจุดกึ่งกลางของดาน BC, AC ตามลําดับเพราะวา x1 =
2ba+ , y1 =
2c
ดังนั้น D มีพิกัดเปน )2c,
2ba( +
x2 = 2b , y2 =
2c
ดังนั้น E มีพิกัดเปน )2c,
2b(
แตเสนมัธยฐานของรูปสามเหลี่ยมเทากัน 2 เสน นั่นคือ AD = BEหรือ 22 )
2c()
2ba( ++ = 22 )
2c()a
2b( +−
X
Y
C(x1, y1)
B(x1, 0)
D(0, y1)
A(0, 0)
X
Y
D(x1, y1)E(x2, y2)
C(b, c)
B(a , 0)A(0, 0)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
217
จะได b =2a
ดังนั้น AC = 22 cb + = 22
c4
a +
BC = 22 c)ab( +− = 22 c)a2a( +− = 2
2c
4a +
จะเห็นวา สามเหลี่ยม ABC มีดานยาวเทากัน 2 ดานดังนั้น ABC เปนรูปสามเหลี่ยมหนาจั่ว
เฉลยแบบฝกหัด 3.1.6
1. (1) ไมเปน (2) ไมเปน (3) เปน (4) เปน (5) ไมเปน2. (1) {(x, y) ∈ R × R⏐y =
73 }
(2) {(x, y) ∈ R × R⏐x = 32− }
(3) {(x, y) ∈ R × R⏐y = 7 หรือ y = –1}(4) {(x, y) ∈ R × R⏐x = 3 หรือ x = –7}
3.ความชัน ระยะตัดแกน X ระยะตัดแกน Y
(1)32
27
37
−
(2)45−
52
21
(3)41 –5
45
(4)23−
37
−27
−
(5) 55
11 –11
(6)169 32 –18
(7) 1 0 0(8) 0 ไมตัดแกน X
23
−
(9) ไมมีความชัน 4 ไมตัดแกน Y(10)
32−
27
37
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
218
4. เสนตรง 3y = 2x – 6 มีความชันเทากับ 32
เสนตรง y = 1x32 + มีความชันเทากับ
32
ดังนั้น เสนตรง 3y = 2x – 6 ขนานกับเสนตรง y = 32 x + 1
5. ใหเสนตรง 2x + y = 8 มีความชันเทากับ –2ใหเสนตรง y = 5x
21 − มีความชันเทากับ
21
แต (–2)(21 ) = –1
ดังนั้น เสนตรง 2x + y = 8 ตั้งฉากกับเสนตรง y = 5x21 −
6. เสนตรง x + 2y + 12 = 0 มีความชันเทากับ 21−
ดังนั้น สมการเสนตรงที่ผานจุด (7, 5) และขนานกับเสนตรง x + 2y + 12 = 0 คือ(y – 5) = )7x(
21 −−
y – 5 =2x− +
27
y2x + =
27 + 5
y2x + =
217
x + 2y – 17 = 0
7. เสนตรง 3x – 2y + 12 = 0 มีความชันเทากับ 23
ดังนั้น สมการเสนตรงที่ผานจุด (3, 2) และตั้งฉากกับเสนตรง 3x – 2y + 12 = 0 จะมีความชันเทากับ mโดยที่
23m⋅ = –1
m =32−
และมีสมการคือ (y – 2) = )3x(32 −−
y – 2 = 23x2 +−
3y – 6 = –2x + 6 2x + 3y – 12 = 0
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
219
8. จุดที่เสนตรง 2x – 3y + 1 = 0 ตัดแกน X คือจุด )0,21(−
จุดที่เสนตรง 2x – 3y + 1 = 0 ตัดแกน Y คือจุด )31,0(
จุดที่เสนตรง x + y – 2 = 0 ตัดแกน X คือจุด (2, 0)จุดที่เสนตรง x + y – 2 = 0 ตัดแกน Y คือจุด (0, 2)เขียนกราฟไดดังนี้
หาจุดตัดของเสนตรงทั้งสองโดยการแกสมการไดดังนี้2x – 3y + 1 = 0 ---------- (1)x + y – 2 = 0 ---------- (2)
จาก (2) x = 2 – y ---------- (3)แทนคา (3) ลงใน (1)
2(2 – y) – 3y + 1 = 04 – 2y – 3y + 1 = 04 – 5y + 1 = 0
y = 1แทนคา y = 1 ลงใน (2) จะได
x + 1 – 2 = 0 x = 1
ดังนั้น จุดตัดของเสนตรงทั้งสองคือ จุด (1, 1)
4
2
-2
2 4-2-4 X
Y
2x - 3y + 1 = 0
x + y - 2 = 0
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
220
9. (1) เสนตรงที่ผานจุด (1, 2) และ (–3, 4) มีความชันm =
1324−−−
=21−
ดังนั้น สมการเสนตรงที่ผานจุด (–1, 0) และมีความชันเทากับ 21− คือ
(y – 0) = )1x(21 +−
y =21
2x −−
x + 2y + 1 = 0เขียนความสัมพันธไดดังนี้ {(x, y)⏐x + 2y + 1 = 0}
(2) ใหความชันของเสนตรงที่ตั้งฉากกับเสนตรงที่ผานจุด (–1, 3) และ (–2, –2) มีความชันเปน m1
m =1232
+−−− = 5
m⋅m1 = 5⋅m1 = –1∴ m1 =
51−
ดังนั้น สมการเสนตรงที่ผานจุด (–1, – 4) และมีความชันเทากับ 51− คือ
(y + 4) =51− (x + 1)
y + 4 =51
5x −−
5y + 20 = –x – 1 x + 5y +21 = 0
เขียนความสัมพันธไดดังนี้ {(x, y)⏐x + 5y + 21 = 0}
(3) Y
X(2, 0) (6, 0)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
221
ดังนั้น จุดทุกจุดบนเสนตรงที่อยูหางจากจุด (6, 0) และ (2, 0) เปนระยะทางเทากันคือ เสนตรงที่ขนานกับแกน Y และตัดแกน X ที่จุด (4, 0)เขียนความสัมพันธไดดังนี้ {(x, y)⏐x = 4}
10. จากโจทย เสนตรงที่ตองการ ตั้งฉากกับเสนตรง x – 7y – 11 = 0หาความชันของเสนตรงที่ตองการไดโดย
m =BA− =
71
−− =
71
m⋅m1 = –1
71 ⋅m1 = –1m1 = –7
ดังนั้น ความชันของเสนตรงที่ตองการคือ –7จุดที่เสนตรงนี้ผานคือจุดตัดระหวางเสนตรง x – 7y – 11 = 0 กับเสนตรง 3x + 5y – 7 = 0
x – 7y – 11 = 0 ---------- (1)3x + 5y – 7 = 0 ---------- (2)
(1) × 3 3x – 21y – 33 = 0 ---------- (3)(2) – (3) 26y + 26 = 0 ---------- (4)
y = –1แทนคา y = –1 ลงใน (1) จะได
x + 7 – 11 = 0x = 4
ดังนั้น จุดที่เสนตรงนี้ผานคือ จุด (4, –1)ดังนั้น สมการเสนตรงที่ตองการคือ
(y + 1) = –7(x – 4)y + 1 = –7x + 287x + y – 27 = 0
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
222
11.
จากรูปใหระยะระหวางจุด (0, 0) และ (4, 0) เปนฐานของรูปสามเหลี่ยม ฐานของรูปสามเหลี่ยม
ยาว 4 หนวยพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม =
21 × ฐาน × สูง
4 =21 × 4⏐y⏐
⏐y⏐ = 2y = 2 หรือ –2
คูอันดับที่ตองการคือ สมาชิกของเซต {(x, y)⏐y = –2 หรือ y = 2, x ∈ R}
12. ความชันของเสนตรง 5x – 3y + 17 = 0 คือ m1 = 35
ความชันของเสนตรง 3x + 5y – 6 = 0 คือ m2 = 53−
ความชันของเสนตรง 5x – 3y – 8 = 0 คือ m3 = 35
ความชันของเสนตรง 3x + 5y + 4 = 0 คือ m4 = 53
−
จะเห็นวา m1 = m3 และ m2 = m4
แสดงวา เสนตรงซึ่งมีสมการเปน 5x – 3y + 17 = 0 กับ 5x – 3y – 8 = 0 ขนานกันและเสนตรงซึ่งมีสมการเปน 3x + 5y – 6 = 0 กับ 3x + 5y + 4 = 0 ขนานกันพิจารณา m1m2 = )
53)(
35( − = –1
ในทํานองเดียวกัน จะได m2m3 = m3m4 = m4m1 = –1แสดงวา เสนตรงที่มีความชัน m3 ตั้งฉากกับเสนตรงที่มีความชัน m2 และ m4
เสนตรงที่มีความชัน m1 ตั้งฉากกับเสนตรงที่มีความชัน m2 และ m4
ดังนั้น 5x – 3y + 17 = 0, 3x + 5y – 6 = 0, 5x – 3y – 8 = 0และ 3x + 5y + 4 = 0 เปนดานของรูปสี่เหล่ียมผืนผา
2 40A B X
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
223
13. เสนตรง ax + by = d1 มีความชันเทากับ ba−
เสนตรง ax + by = d2 มีความชันเทากับ ba−
ดังนั้น เสนตรง ax + by = d1 ขนานกับเสนตรง ax + by = d2
เฉลยแบบฝกหัด 3.1.7
1. (1) d = 22 )8(6
4)3(8)2(6
−+
+−−
= 4 หนวย
(2) d = 22 34
8)6(3)0(4
+
−+
= 2 หนวย
(3) d = 22 32
13)0(3)0(2
+
−+
= 13
13 = 13 หนวย
(4) d = 22 57
1)11(5)8(7
+
−−
= 0 หนวย
(5) d = 21
11−
= 0 หนวย
2. (1) เลือกจุดบนเสนตรง 3x + 4y – 7 = 0 มาหนึ่งจุด เชน (1, 1)หาระยะทางระหวางเสนตรง 3x + 4y + 3 = 0 กับจุด (1, 1)
d =22 43
3)1(4)1(3
+
++
= 2 หนวย
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
224
(2) เลือกจุดบนเสนตรง 3x – 4y – 7 = 0 มาหนึ่งจุด เชน (1, –1)หาระยะทางระหวางเสนตรง 6x – 8y + 16 = 0 กับจุด (1, –1)
d =22 )8(6
16)1(8)1(6
−+
+−−
= 3 หนวย
(3) เลือกจุดบนเสนตรง 5x + 12y – 15 = 0 มาหนึ่งจุด เชน (3, 0)หาระยะทางระหวางเสนตรง 10x + 24y + 9 = 0 กับจุด (3, 0)
d =22 2410
9)0(24)3(10
+
++
=23 หนวย
(4) เลือกจุดบนเสนตรง x – y – 3 = 0 มาหนึ่งจุด เชน (3, 0)หาระยะทางระหวางเสนตรง 3x – 3y + 7 = 0 กับจุด (3, 0)
d =22 )3(3
7)0(3)3(3
−+
+−
=23
16 =3
28 หนวย
(5) เลือกจุดบนเสนตรง 3x + y + 5 = 0 มาหนึ่งจุด เชน (0, –5)หาระยะทางระหวางเสนตรง 7 – 3x – y = 0 กับจุด (0, –5)
d =22 )1()3(
)5()0(37
−+−
−−−
=10
12 =5106 หนวย
3. ให y = mx + c เปนสมการของเสนตรงที่ตองการหาแตเสนตรงนี้ขนานกับเสนตรง 3x – 4y – 5 = 0 จะได m =
43
ดังนั้น สมการของเสนตรงนี้คือ y = cx43 + หรือ cyx
43 +− = 0
จากสมการ 3x – 4y – 5 = 0 เมื่อ y = 0 จะได x = 35
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
225
จะได (35 , 0) เปนจุดอยูบนเสนตรง 3x – 4y – 5 = 0
ดังนั้นจุด (35 , 0) อยูหางจากเสนตรง cyx
43 +− = 0 เปนระยะ 1 หนวย
จากสูตร d =22
11
BA
CByAx
+
++
ในที่นี้ d = 1, A = 43 , B = –1, x1 =
35 , y1 = 0
จะได 1 =1
169
c)0)(1()35)(
43(
+
+−+
45 = c
45 +
C = 0, 25−
ดังนั้น สมการเสนตรงที่ตองการคือ y = 43 x หรือ y =
43 x
25−
4. สมการเสนตรงที่ขนานกับเสนตรง 4x – 3y + 26 = 0 คือ 4x – 3y + c = 0หาคา c โดย
2 =22 )3(4
c)8(3)8(4
−+
+−
10 = c8+
ดังนั้น c = 2 หรือ –18ดังนั้น สมการเสนตรงที่ตองการคือ 4x – 3y + 2 = 0 หรือ 4x – 3y – 18 = 0
5. สมการเสนตรงที่ตั้งฉากกับเสนตรง 12y = 5x – 7 คือ 12x + 5y + c = 0หาคา c โดย
3 =22 5)12(
c)2(5)1(12
+
++−
39 = c2+−
c = -37 หรือ 41ดังนั้น สมการที่ตองการคือ 12x + 5y – 37 = 0 หรือ 12x + 5y + 41 = 0
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
226
6. สมการของเสนขนานคูนั้นคือ 12x – 5y + c = 0 และ 12x – 5y + c1 = 0 ซ่ึงอยูหางกัน 8 หนวยจากโจทย เสนตรง 12x – 5y – 10 = 0 อยูกึ่งกลางระหวางเสนขนานดังนั้น เสนขนานคูนั้นจะหางจากเสนตรง 12x – 5y – 10 = 0 เปนระยะทาง 4 หนวยเลือกจุดที่อยูบนเสนตรง 12x – 5y – 10 = 0 มาหนึ่งจุด เชน (0, –2)หาคา c ไดโดย
4 =22 )5(12
c)2(5)0(12
−+
+−−
52 = c10+
ดังนั้น c = 42, –62ดังนั้น เสนขนานคูนั้นมีสมการเปน 12x – 5y + 42 = 0 และ 12x – 5y – 62 = 0
เฉลยแบบฝกหัด 3.2.1
1. (1) แทนคา r = 3 h = 2 และ k = –1 ลงในสมการมาตรฐาน จะได(x – 2)2 + (y + 1)2 = 9
(2) แทนคา (h, k) = (0, 0) จะไดx2 + y2 = r2
แทนคา (x, y) = (7, 4) จะไดr2 = 49 + 16 = 65
ดังนั้น สมการวงกลมที่ตองการคือx2 + y2 = 65
(3) แทนคา (h, k) = (–1, 5) จะได(x + 1)2 + (y – 5)2 = r2
แทนคา (x, y) = (– 4, – 6) จะไดr2 = (– 4 + 1)2 + (– 6 – 5)2 = 130
ดังนั้น สมการวงกลมที่ตองการคือ(x + 1)2 + (y – 5)2 = 130
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
227
(4) ดังนั้น จุดศูนยกลาง คือ (h, k) = ⎟⎠⎞
⎜⎝⎛ −++−
2)5(3,
271 = (3, –1)
ดังนั้น จะไดสมการ (x – 3)2 + (y + 1)2 = r2
แทนคา (x, y) = (–1, 3) จะไดr2 = (–1 – 3)2 + (3 + 1)2 = 32
ดังนั้น สมการวงกลม คือ(x – 3)2 + (y + 1)2 = 32
(5) เนื่องจากรัศมีของวงกลมคือ ระยะหางระหวางเสนสัมผัส y = 0 กับจุดศูนยกลางของวงกลม∴ r =
22 01
0)3(1)7(0
+
+−+ = 3
จะได สมการวงกลมที่ตองการคือ(x – 7)2 + (y + 3)2 = 9
(6) เนื่องจากรัศมีของวงกลมคือ ระยะหางระหวางเสนสัมผัส x = 0 กับจุดศูนยกลางของวงกลม (h, k)
22 01
0)k(0)h(1
+
++ = 5
∴ h = 5เนื่องจากวงกลมอยูในควอดรันตที่ 1 จะได
h = h = 5และ
22 10
0)k(1)h(0
+
++ = 5
∴ k = k = 5ดังนั้น สมการวงกลมคือ
(x – 5)2 + (y – 5)2 = 25
2. (1) x2 + y2 + 4x – 2y + 1 = 0(x2 + 4x) + (y2 – 2y) = –1(x2 + 4x + 4) + (y2 – 2y + 1) = –1 + 4 + 1(x + 2)2 + (y – 1)2 = 4จะไดวา สมการที่กําหนดใหเปนสมการของวงกลมที่มีจุดศูนยกลาง (–2, 1) และรัศมี 2 หนวย
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
228
(2) x2 + y2 + y = 0x2 + (y2 + y) = 0x2 + (y2 + y +
41 ) =
41
x2 + (y + 21 )2 =
41
จะไดวา สมการที่กําหนดใหเปนสมการของวงกลมที่มีจุดศูนยกลาง (0, –21 ) และรัศมี
21 หนวย
(3) x2 + y2 + 10x – 4y + 13 = 0(x2 + 10x) + (y2 – 4y) = –13(x2 + 10x + 25) + (y2 – 4y + 4) = –13 + 25 + 4(x + 5)2 + (y – 2)2 = 16จะไดวา สมการที่กําหนดใหเปนสมการของวงกลมที่มีจุดศูนยกลาง (–5, 2) และรัศมี 4 หนวย
(4) x2 + y2 + x + 2y + 1 = 0(x2 + x) + (y2 + 2y) = –1(x2 + x +
41 ) + (y2 + 2y + 1) = –1 +
41 + 1
(x + 21 )2 + (y + 1)2 =
41
จะไดวา สมการที่กําหนดใหเปนสมการของวงกลมที่มีจุดศูนยกลาง )1,21( −− และรัศมี
21 หนวย
(5) x2 + y2 + 6x + 2 = 0(x2 + 6x) + (y2) = –2(x2 + 6x + 9) + y2 = –2 + 9(x + 3)2 + y2 = 7จะไดวา สมการที่กําหนดใหเปนสมการของวงกลมที่มีจุดศูนยกลาง (–3, 0) และรัศมี 7 หนวย
(6) x2 + y2 – 21 x +
21 y –
81 = 0
(x2 – 21 x) + (y2 +
21 y) =
81
(x2 – 21 x +
161 ) + (y2 +
21 y +
161 ) =
81 +
161 +
161
(x – 41 )2 + (y +
41 )2 =
41
จะไดวา สมการที่กําหนดใหเปนสมการของวงกลมที่มีจุดศูนยกลาง (41 , –
41 ) และรัศมี
21 หนวย
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
229
3. หารัศมีของวงกลมโดยหาระยะทางจากจุด (–1, 1) ถึงเสนตรง 3x – 2y + 18 = 0
r =22 )2(3
18)1(2)1(3
−+
+−−
= 13 หนวยดังนั้น สมการวงกลม คือ (x + 1)2 + (y – 1)2 = 13
4. x2 + y2 – x – 3y = 0 ---------- (1)x + y = 1 ---------- (2)x = 1 – y ---------- (3)แทนคา (3) ลงใน (1)(1 – y)2 + y2 – (1 – y) – 3y = 01 – 2y + y2 + y2 – 1 + y – 3y = 02y2 – 4y = 02y(y – 2) = 0
y = 0, 2แทนคา y = 0 ใน (3) ได x = 1
y = 2 ใน (3) ได x = –1ดังนั้น จุดตัดระหวางกราฟ x + y = 1 และ x2 + y2 – x – 3y = 0 คือ (1, 0) และ (–1, 2)
5. (1) {(x, y)⏐x2 + y2 ≤ 4}
X
Y
(0, 2)
(2, 0)
(0, -2)
(-2, 0)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
230
(2) {(x, y)⏐x2 + y2 > 9}
6. x2 + y2 – 4y – 12 = 0x2 + (y2 – 4y) = 12x2 + (y2 – 4y + 4) = 12 + 4x2 + (y – 2)2 = 16
พื้นที่ที่ตองการ = π(4)2 – π(2)2
= π(16 – 4)= 12 π ตารางหนวย
(0, 3)
(3, 0)(-3, 0)
(0, -3)
X
Y
X
(0, 6)
Y
(0, -2)
(0, 2)
(2, 0)(-2, 0)
x2 + y2 – 4y – 12 = 0
x2 + y2 = 4
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
231
7.
พื้นที่ที่ตองการ = 41 π(3)2 =
49 π ตารางหนวย
8. สมการเสนสัมผัสวงกลม x2 + y2 – 10x = 0 ณ จุดที่วงกลมนี้ตัดกับเสนตรง 4x + 3y = 20คือ สมการเสนตรงที่ตั้งฉากกับสมการเสนตรง 4x + 3y = 20 และมีระยะหางจากจุดศูนยกลางของวงกลม (5, 0) เปนระยะทาง 5 หนวย
3x – 4y + c = 0
22 43
c)0(4)5(3
+
+− = 5
c15+ = 25 c = 10, – 40
ดังนั้น สมการเสนตรงที่ตองการคือ 3x – 4y + 10 = 0 และ 3x – 4y – 40 = 0
(0, 3)
(3, 0)(-3, 0)
(0, -3)
X
Y
y = x
x2 + y2 = 9
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
232
เฉลยแบบฝกหัด 3.2.2
1. (1) 125y
9x 22
=+
เนื่องจากตัวหารของ y2 มากกวาตัวหารของ x2 ดังนั้นวงรีมีแกนเอกอยูบนแกน Ya2 = 25, b2 = 9
∴ c2 = 25 – 9 = 16จะได a = 5, b = 3 และ c = 4
จุดยอดของวงรีคือ (0, ±5)โฟกัสของวงรีคือ (0, ±4)ความเยื้องศูนยกลางคือ
54
ความยาวแกนเอกคือ 10ความยาวแกนโทคือ 6
X
Y
(0, 5)F1(0, 4)
(3, 0)
(0, -5)
(-3, 0)
F2(0, -4)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
233
(2) 116y
25x 22
=+
เนื่องจากตัวหารของ x2 มากกวาตัวหารของ y2 ดังนั้นวงรีมีแกนเอกอยูบนแกน Xa2 = 25, b2 = 16
∴ c2 = 25 – 16 = 9จะได a = 5, b = 4 และ c = 3
จุดยอดของวงรีคือ (±5, 0)โฟกัสของวงรีคือ (±3, 0)ความเยื้องศูนยกลางคือ
53
ความยาวแกนเอกคือ 10ความยาวแกนโทคือ 8
X
Y
(0, 4)
(-5, 0) (5, 0)
(0, -4)
F1(3, 0)F2(–3, 0)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
234
(3) 9x2 + 4y2 = 36หารดวย 36 ตลอดทั้งสมการจะได
19y
4x 22
=+
เนื่องจากตัวหารของ y2 มากกวาตัวหารของ x2 ดังนั้นวงรีมีแกนเอกอยูบนแกน Ya2 = 9 และ b2 = 4
∴ c2 = 9 – 4 = 5จะได a = 3, b = 2 และ c = 5
จุดยอดของวงรีคือ (0, ±3)โฟกัสของวงรีคือ (0, ± 5 )ความเยื้องศูนยกลางคือ
35
ความยาวแกนเอกคือ 6ความยาวแกนโทคือ 4
)5,0(F2 −
)5,0(F1
X
Y
(0, 3)
(0, -3)
(2, 0)(-2, 0)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
235
(4) 4x2 + 25y2 = 100หารดวย 100 ตลอดทั้งสมการจะได
14y
25x 22
=+
เนื่องจากตัวหารของ x2 มากกวาตัวหารของ y2 ดังนั้นวงรีมีแกนเอกอยูบนแกน Xa2 = 25 และ b2 = 4
∴ c2 = 25 – 4 = 21จะได a = 5, b = 2 และ c = 21
จุดยอดของวงรีคือ (±5, 0)โฟกัสของวงรีคือ (± 21 , 0)ความเยื้องศูนยกลางคือ
521
ความยาวแกนเอกคือ 10ความยาวแกนโทคือ 4
)0,21(F2 − )0,21(F1X
Y
(0, 2)
(0, -2)
(5, 0)(-5, 0)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
236
(5) x2 + 4y2 = 16หารดวย 16 ตลอดทั้งสมการจะได
14y
16x 22
=+
เนื่องจากตัวหารของ x2 มากกวาตัวหารของ y2 ดังนั้นวงรีมีแกนเอกอยูบนแกน Xa2 = 16 และ b2 = 4
∴ c2 = 16 – 4 = 12จะได a = 4, b = 2 และ c = 32
จุดยอดของวงรีคือ (±4, 0)โฟกัสของวงรีคือ (± 32 , 0)ความเยื้องศูนยกลางคือ
23
ความยาวแกนเอกคือ 8ความยาวแกนโทคือ 4
)0,32(F2 − )0,32(F1
(0, 2)
(0, -2)
(4, 0)(-4, 0) X
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
237
(6) 4x2 + y2 = 16หารดวย 16 ตลอดทั้งสมการจะได
116y
4x 22
=+
เนื่องจากตัวหารของ y2 มากกวาตัวหารของ x2 ดังนั้นวงรีมีแกนเอกอยูบนแกน Ya2 = 16 และ b2 = 4
∴ c2 = 16 – 4 = 12จะได a = 4, b = 2 และ c = 32
จุดยอดของวงรีคือ (0, ±4)โฟกัสของวงรีคือ (0, ± 32 )ความเยื้องศูนยกลางคือ
23
ความยาวแกนเอกคือ 8ความยาวแกนโทคือ 4
)32,0(F2 −
)32,0(F1
X
Y
(0, 4)
(0, -4)
(2, 0)(-2, 0)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
238
(7) 2x2 + y2 = 3หารดวย 3 ตลอดทั้งสมการจะได
13y
23x 22
=+⎟⎠⎞
⎜⎝⎛
เนื่องจากตัวหารของ y2 มากกวาตัวหารของ x2 ดังนั้นวงรีมีแกนเอกอยูบนแกน Ya2 = 3 และ b2 =
23
∴ c2 = 3 – 23 =
23
จะได a = 3 , b = 23 และ c =
23
จุดยอดของวงรีคือ (0, ± 3 )โฟกัสของวงรีคือ (0, ±
23 )
ความเยื้องศูนยกลางคือ 2
1
ความยาวแกนเอกคือ 32
ความยาวแกนโทคือ 6
)23,0(F2 −
)23,0(F1
)3,0(
)0,23()0,
23(−
)3,0( −
X
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
239
(8) 5x2 + 6y2 = 30หารดวย 30 ตลอดทั้งสมการจะได
15y
6x 22
=+
เนื่องจากตัวหารของ x2 มากกวาตัวหารของ y2 ดังนั้นวงรีมีแกนเอกอยูบนแกน Xa2 = 6 และ b2 = 5
∴ c2 = 6 – 5 = 1จะได a = 6 , b = 5 และ c = 1
จุดยอดของวงรีคือ (± 6 , 0)โฟกัสของวงรีคือ (±1, 0)ความเยื้องศูนยกลางคือ
61
ความยาวแกนเอกคือ 62
ความยาวแกนโทคือ 52
)0,1(F2 − )0,1(F1
)0,6(
)5,0( −
)0,6(−
)5,0(2
-2
X
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
240
(9) x2 + 4y2 = 1จะได x2 + 1
41y2
=⎟⎠⎞
⎜⎝⎛
เนื่องจากตัวหารของ x2 มากกวาตัวหารของ y2 ดังนั้นวงรีมีแกนเอกอยูบนแกน Xa2 = 1 และ b2 =
41
∴ c2 = 1 – 41 =
43
จะได a = 1, b = 21 และ c =
23
จุดยอดของวงรีคือ (±1, 0)โฟกัสของวงรีคือ (±
23 , 0)
ความเยื้องศูนยกลางคือ 23
ความยาวแกนเอกคือ 2ความยาวแกนโทคือ 1
)0,23(F2 − )0,
23(F1
)21,0( −
)21,0(
X
Y
(1, 0)(–1, 0)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
241
(10) 9x2 + 4y2 = 1จะได 1
41y
91x 22
=⎟⎠⎞
⎜⎝⎛
+⎟⎠⎞
⎜⎝⎛
เนื่องจากตัวหารของ y2 มากกวาตัวหารของ x2 ดังนั้นวงรีมีแกนเอกอยูบนแกน Ya2 =
41 และ b2 =
91
∴ c2 = 41 –
91 =
365
จะได a = 21 , b =
31 และ c =
65
จุดยอดของวงรีคือ (0, ±21 )
โฟกัสของวงรีคือ (0, ±65 )
ความเยื้องศูนยกลางคือ 35
ความยาวแกนเอกคือ 1ความยาวแกนโทคือ
32
)65,0(F2 −
)65,0(F1
)0,31(− )0,
31(
)21,0( −
)21,0(
X
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
242
(11)21 x2 +
81 y2 =
41
คูณดวย 4 ตลอดทั้งสมการจะได1
2y
21x 22
=+⎟⎠⎞
⎜⎝⎛
เนื่องจากตัวหารของ y2 มากกวาตัวหารของ x2 ดังนั้นวงรีมีแกนเอกอยูบนแกน Ya2 = 2 และ b2 =
21
∴ c2 = 2 – 21 =
23
จะได a = 2 , b = 2
1 และ c = 23
จุดยอดของวงรีคือ (0, ± 2 )โฟกัสของวงรีคือ (0, ±
23 )
ความเยื้องศูนยกลางคือ 23
ความยาวแกนเอกคือ 22
ความยาวแกนโทคือ 2
)23,0(F1
)0,21(− )0,
21(
)2,0( −
)2,0(
X
Y
)23,0(F2 −
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
243
(12) x2 = 4 – 2y2
หารดวย 4 ตลอดทั้งสมการ จะได
2y
4x 22
+ = 1เนื่องจากตัวหารของ x2 มากกวาตัวหารของ y2 ดังนั้น วงรีมีแกนเอกอยูบนแกน X
a2 = 4 และ b2 = 2∴ c2 = 4 – 2 = 2จะได a = 2, b = 2 และ c = 2
จุดยอดของวงรีคือ (±2, 0)โฟกัสของวงรีคือ ( 2± , 0)ความเยื้องศูนยกลางคือ
22
ความยาวแกนเอกคือ 4ความยาวแกนโทคือ 22
(13) y2 = 1 – 2x2
จะได1
y
)21(
x 22+ = 1
เนื่องจากตัวหารของ y2 มากกวาตัวหารของ x2 ดังนั้น วงรีมีแกนเอกอยูบนแกน Ya2 = 1 และ b2 =
21
∴ c2 = 1 – 21 =
21
จะได a = 1, b = 2
1 และ c = 2
1
)0,2(F2 − )0,2(F1
)2,0(
)2,0( −
X
Y
(2, 0)(-2, 0)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
244
จุดยอดของวงรี คือ (0, ±1)โฟกัสของวงรี คือ (0,
22
± )
ความเยื้องศูนยกลาง คือ 22
ความยาวแกนเอก คือ 2ความยาวแกนโท คือ 2
(14) 20x2 + 4y2 = 5หารดวย 5 ตลอดทั้งสมการ จะไดวา
)45(
y )
41(
x 22+ = 1
เนื่องจากตัวหารของ y2 มากกวาตัวหารของ x2 ดังนั้น วงรีมีแกนเอกอยูบนแกน Ya2 =
45 และ b2 =
41
∴ c2 = 45 –
41 = 1
จะได a = 25 , b =
21 และ c = 1
จุดยอดของวงรีคือ (0, 25± )
โฟกัสของวงรีคือ (0, ±1)ความเยื้องศูนยกลางคือ
52
ความยาวแกนเอกคือ 5
ความยาวแกนโทคือ 1
)22,0(F2 −
)22,0(F1
)0,22(−
)0,22(
X
Y
(0, 1)
(0, -1)
)0,21(− )0,
21(
)25,0( −
)25,0(
X
Y
)1,0(F1
)1,0(F2 −
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
245
2. (1) จากกราฟจะไดวา a = 5, b = 4 และแกนเอกอยูบนแกน Xดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ
16y
25x 22
+ = 1
(2) จากกราฟจะไดวา a = 4 , c = 3 และแกนเอกอยูบนแกน Y∴ b2 = a2 – c2 = 16 – 9 = 7ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ
16y
7x 22
+ = 1
(3) จากกราฟจะไดวา b = 2, c = 2 และแกนเอกอยูบนแกน Y∴ a2 = b2 + c2 = 4 + 4 = 8ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ
8y
4x 22
+ = 1
(4) จากกราฟจะไดวา (x, y) = (8, 6), a = 16 แกนเอกอยูบนแกน Xแทนคา (x, y) ลงในสมการมาตรฐานจะได
2
22
b)6(
256)8(
+ = 1
2b36 = 1 –
25664
2b36 =
43
∴ b2 = 48ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ
48y
256x 22
+ = 1
3. (1) จากเงื่อนไขจะไดวา c = 4, a = 5 และแกนเอกอยูบนแกน X∴ b2 = a2 – c2 = 25 – 16 = 9ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ
9y
25x 22
+ = 1
(2) จากเงื่อนไขจะไดวา c = 3, a = 5 และแกนเอกอยูบนแกน Y∴ b2 = a2 – c2 = 25 – 9 = 16ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ
25y
16x 22
+ = 1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
246
(3) จากเงื่อนไขจะไดวา a = 2, b = 1 และแกนเอกอยูบนแกน Yดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ
4y
1x 22
+ = 1
(4) จากเงื่อนไขจะไดวา a = 3, b = 2 และแกนเอกอยูบนแกน Xดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ
4y
9x 22
+ = 1
(5) จากเงื่อนไขจะไดวา c = 2, b = 3 และแกนเอกอยูบนแกน Y∴ a2 = b2 + c2 = 9 + 4 = 13ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ
13y
9x 22
+ = 1
(6) จากเงื่อนไขจะไดวา c = 5, a = 6 และแกนเอกอยูบนแกน X∴ b2 = a2 – c2 = 36 – 25 = 11ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ
11y
36x 22
+ = 1
(7) จากเงื่อนไขจะไดวา a = 10, c = 3 และแกนเอกอยูบนแกน X∴ b2 = a2 – c2 = 100 – 9 = 91ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ
91y
100x 22
+ = 1
(8) จากเงื่อนไขจะไดวา b = 3, c = 4 และแกนเอกอยูบนแกน X∴ a2 = b2 + c2 = 9 + 16 = 25ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ
9y
25x 22
+ = 1
(9) จากเงื่อนไขจะไดวา a = 5, (x, y) = ( 5 , 2) และแกนเอกอยูบนแกน Xแทนคา (x, y) ลงในสมการมาตรฐานจะได
25)5( 2
+ 2
2
b)2( = 1
2b4 = 1 –
255 =
54
∴ b2 = 5ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ
5y
25x 22
+ = 1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
247
(10) จากเงื่อนไขจะไดวาac =
91 , c = 2 และแกนเอกอยูบนแกน Y
a2 =
91
∴ a = 18∴ b2 = a2 – c2 = 324 – 4 = 320ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ
324y
320x 22
+ = 1
(11) จากเงื่อนไขจะไดวาac = 0.8, c = 1.5 และแกนเอกอยูบนแกน X
a5.1 = 0.8
∴ a = 8.05.1 =
815
∴ b2 = a2 – c2 = 64225 –
49 =
64144 225 − =
6481
ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ 81y64
225x64 22
+ = 1
(12) จากเงื่อนไขจะไดวาac =
23 , a = 2 และแกนเอกอยูบนแกน Y
2c =
23
∴ c = 3
∴ b2 = a2 – c2 = 4 – 3 = 1ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ
4y
1x 22
+ = 1
4. จากโจทยจะไดวา 2a = (1.47 + 1.53) × 108 กิโลเมตร∴ a =
2103 8× = 1.5 × 108 กิโลเมตร
และ c = (1.5 – 1.47) × 108 = 0.03 × 108 กิโลเมตร∴ b2 = a2 – c2 = (2.25 – 0.0009) × 1016 = 2.2491 × 1016
ดังนั้น สมการวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย คือ
16
2
16
2
102491.2y
1025.2x
×+
×= 1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
248
5. จากโจทยจะไดวา ac = 0.25 และ 2b = 1 × 1010 กิโลเมตร
∴ b = 5 × 109 กิโลเมตรa2 = b2 + c2
a2 = (25 × 1018) + (0.25a)2
2a000,10
6251 ⎟⎠⎞
⎜⎝⎛ − = 25 × 1018
∴ a2 = 1810259375
10000 ×× = 18103
80×
∴ a = 9103
80 × ≈ 5.16 × 109 กิโลเมตร
∴ c = 0.25 9103
80 × ≈ 1.29 × 109 กิโลเมตรระยะทางระหวางดาวพลูโตกับดวงอาทิตยที่ perihelion เทากับ a – c ≈ (5.16 – 1.29) × 109 กิโลเมตร
≈ 3.87 × 109 กิโลเมตรที่ aphelion เทากับ a + c ≈ (5.16 + 1.29) × 109 กิโลเมตร
≈ 6.45 × 109 กิโลเมตร
เฉลยแบบฝกหัด 3.2.3
1. (1) จากสมการ x2 = y41
จะได 4p =41
∴ p =161 > 0
ดังนั้น พาราโบลามีแกนอยูในแนวตั้งซึ่งโคงเปดขึ้นดานบนโฟกัส คือ (0,
161 )
ไดเรกตริกซ คือ y = 161−
ความยาวของเลตัสเรกตัม คือ 41
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
249
(2) จากสมการ y2 = xจะได 4p = 1∴ p =
41 > 0
ดังนั้น พาราโบลามีแกนอยูในแนวนอนซึ่งโคงเปดไปทางขวาโฟกัส คือ (
41 , 0)
ไดเรกตริกซ คือ x = 41−
ความยาวของเลตัสเรกตัม คือ 1
)161,
81(
)161,0(F
161y −=
)161,
81(−
0.4
0.2
-0.2
-0.5 0.5X
Y
)21,
41(
)0,41(F
)21,
41( −-0.5
0.5
1
-1
-1 1
41x −=
X
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
250
(3) x2 = 9yจะไดวา 4p = 9∴ p =
49 > 0
ดังนั้น พาราโบลามีแกนอยูในแนวตั้งซึ่งโคงเปดขึ้นทางดานบนโฟกัส คือ (0,
49 )
ไดเรกตริกซ คือ y = 49−
ความยาวของเลตัสเรกตัม คือ 9
(4) x2 = 31 y
จะไดวา 4p =31
∴ p =121 > 0
ดังนั้น พาราโบลามีแกนอยูในแนวตั้งซึ่งโคงเปดขึ้นทางดานบนโฟกัส คือ (0,
121 )
ไดเรกตริกซ คือ y = 121−
ความยาวของเลตัสเรกตัม คือ 31
)49,0(F
49y −=
)49,
29(− )
49,
29(
4
2
-2
-4
-5 5 X
Y
)121,0(F
)121,
61(− )
121,
61(
121y −=
0.2
-0.2
-0.5 0.5X
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
251
(5) y2 = 5xจะไดวา 4p = 5∴ p =
45 > 0
ดังนั้น พาราโบลามีแกนอยูในแนวนอนซึ่งโคงเปดทางขวาโฟกัส คือ ( 0,
45 )
ไดเรกตริกซ คือ x = 45−
ความยาวของเลตัสเรกตัม คือ 5
(6) y2 = –2xจะไดวา 4p = –2∴ p =
21− < 0
ดังนั้น พาราโบลามีแกนอยูในแนวนอนซึ่งโคงเปดทางซายโฟกัส คือ (
21− , 0)
ไดเรกตริกซ คือ x = 21
ความยาวของเลตัสเรกตัม คือ 2
45x −=
)0,45(F
)25,
45( −
)25,
45(
4
2
-2
-4
X
Y
21x=
)1,21( −−
)0,21(F −
)1,21(−
X
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
252
(7) x2 = –8yจะไดวา 4p = –8∴ p = –2 < 0ดังนั้น พาราโบลามีแกนอยูในแนวตั้งซึ่งโคงเปดดานลางโฟกัส คือ (0, –2)ไดเรกตริกซ คือ y = 2
ความยาวของเลตัสเรกตัม คือ 8
(8) y2 = 2xจะไดวา 4p = 2∴ p =
21 > 0
ดังนั้น พาราโบลามีแกนอยูในแนวนอนซึ่งโคงเปดทางดานขวาโฟกัส คือ (
21 , 0)
ไดเรกตริกซ คือ x = 21−
ความยาวของเลตัสเรกตัม คือ 2
)1,21( −
)1,21(
)0,21(F
21x −=
X
Y
-5 5 10
4
2
-2
-4
-6
-8
X
Y
y = 2
F(0, –2) (4, –2)(–4, –2)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
253
(9) y2 = – x61
จะไดวา 4p =61−
∴ p =241− < 0
ดังนั้น พาราโบลามีแกนอยูในแนวนอนซึ่งโคงเปดทางซายโฟกัส คือ (
241− , 0)
ไดเรกตริกซ คือ x = 241
ความยาวของเลตัสเรกตัม คือ 61
(10) x2 = 7yจะไดวา 4p = 7∴ p =
47 > 0
ดังนั้น พาราโบลามีแกนอยูในแนวตั้งซึ่งโคงเปดขึ้นทางดานบนโฟกัส คือ (0,
47 )
ไดเรกตริกซ คือ y = 47−
ความยาวของเลตัสเรกตัม คือ 7
)47,0(F
)47,
27(− )
47,
27(
47y −=
8
6
4
2
-2
-5 5X
Y
)0,241(F −
)121,
241( −−
)121,
241(F −
241x=
0.6
-0.6
-1 -0.5 0.5 1
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
254
(11) x2 = y53−
จะไดวา 4p =53−
∴ p =203− < 0
ดังนั้น พาราโบลามีแกนอยูในแนวตั้งซึ่งโคงเปดดานลางโฟกัส คือ (0, )
203−
ไดเรกตริกซ คือ y = 203
ความยาวของเลตัสเรกตัม คือ 53
(12) y2 = 32− x
จะไดวา 4p =32−
∴ p =61− < 0
ดังนั้น พาราโบลามีแกนอยูในแนวนอนซึ่งโคงเปดทางดานซายโฟกัส คือ (
61− , 0)
ไดเรกตริกซ คือ x = 61
ความยาวของเลตัสเรกตัม คือ 32
)0,61(F −
)31,
61( −−
)31,
61(−
61x=
1
-1
-1X
Y
Y
X
y = 203
F (0, )203−
•)203,
103( −−
)203,
103( −
y = 2x35−
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
255
2. (1) จากเงื่อนไขจะได p = 2 และพาราโบลามีแกนอยูในแนวนอนดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ y2 = 8x
(2) จากเงื่อนไขจะได p = 21− และพาราโบลามีแกนอยูในแนวนอน
ดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ y2 = –2x
(3) จากเงื่อนไขจะได p = –8 และพาราโบลามีแกนอยูในแนวตั้งดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ x2 = –32y
(4) จากเงื่อนไขจะได p = 5 และพาราโบลามีแกนอยูในแนวตั้งดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ x2 = 20y
(5) จากเงื่อนไขจะได p = –2 และพาราโบลามีแกนอยูในแนวตั้งดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ x2 = –8y
(6) จากเงื่อนไขจะได p = – 6 และพาราโบลามีแกนอยูในแนวนอนดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ y2 = –24x
(7) จากเงื่อนไขจะได p = 10 และพาราโบลามีแกนอยูในแนวนอนดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ y2 = 40x
(8) จากเงื่อนไขจะได p = 21 และพาราโบลามีแกนอยูในแนวตั้ง
ดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ x2 = 2y
(9) จากเงื่อนไขจะได 2p = 2 และพาราโบลามีแกนอยูในแนวนอน∴ p = 1ดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ y2 = 4x
(10) จากเงื่อนไขจะได p = – 6 และพาราโบลามีแกนอยูในแนวตั้งดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ x2 = –24y
(11) จากเงื่อนไขจะได p = 8 และพาราโบลามีแกนอยูในแนวตั้งดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ x2 = 32y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
256
(12) จากเงื่อนไขจะได 4(–p) = 8 และพาราโบลามีแกนอยูในแนวตั้ง∴ p = –2ดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ x2 = –8y
3. (1) จากกราฟจะได p = –3 และพาราโบลามีแกนอยูในแนวตั้งดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ x2 = –12y
(2) จากกราฟจะได p = 2 และพาราโบลามีแกนอยูในแนวนอนดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ y2 = 8x
(3) จากกราฟจะได p = –2 และพาราโบลามีแกนอยูในแนวนอนดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ y2 = –8x
(4) จากกราฟจะได p = 1 และพาราโบลามีแกนอยูในแนวตั้งดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ x2 = 4y
(5) จากกราฟจะได p = 2 และพาราโบลามีแกนอยูในแนวนอนดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ y2 = 8x
(6) จากกราฟจะได p = – 4 และพาราโบลามีแกนอยูในแนวตั้งดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ x2 = –16y
4. (1) พิจารณาสมการ y2 = 4pxแทนคา (x, y) = )
215,
32( ลงไปในสมการ จะได
2)2
15( = )32(p4
∴ p =32675
ดังนั้น สมการพาราโบลาคือ y2 = x8
675
(2) การติดตั้งอุปกรณรวมสัญญาณไวที่จุดโฟกัส คือ )0,32675(
หางจากจุดยอด 32675 ฟุต
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
257
เฉลยแบบฝกหัด 3.2.4
1. (1) x2 – 9
y2
= 1สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ x2 เทากับ 1 เปนจํานวนบวกดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางในแนวนอนในที่นี้จะไดวา a2 = 1 และ b2 = 9
∴ a = 1 และ b = 3∴ c = 22 ba + = 91+ = 10
ดังนั้น จะไดวาจุดยอดคือ (±1, 0)โฟกัสคือ ( 10± , 0)เสนกํากับคือ y = ±3x
(2)16x
4y 22
− = 1
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ y2 เทากับ 41 เปนจํานวนบวก
ดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางในแนวตั้งในที่นี้จะไดวา a2 = 4 และ b2 = 16
∴ a = 2 และ b = 4∴ c = 22 ba + = 164+ = 52
ดังนั้น จะไดวาจุดยอดคือ (0, ±2)โฟกัสคือ (0, 52± )เสนกํากับคือ y = x
21
±
)0,10(− )0,10(X
Y
3
-3
-1 1F1F2
)52,0( −
)52,0(
Y
4-4-2
2
X
F1
F2
–
–
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
258
(3) y2 – x2 = 1สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ y2 เทากับ 1 เปนจํานวนบวกดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางในแนวตั้งในที่นี้จะไดวา a2 = 1 และ b2 = 1
∴ a = 1 และ b = 1∴ c = 22 ba + = 11+ = 2
ดังนั้น จะไดวาจุดยอดคือ (0, ±1)โฟกัสคือ (0, 2± )เสนกํากับคือ y = ±x
(4) x2 – 4y2 – 8 = 0∴
2y
8x 22
− = 1
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ x2 เทากับ 81 เปนจํานวนบวก
ดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางในแนวนอนในที่นี้จะไดวา a2 = 8 และ b2 = 2
∴ a = 22 และ b = 2
∴ c = 22 ba + = 28+ = 10
ดังนั้น จะไดวาจุดยอดคือ (±2 2 , 0)โฟกัสคือ ( 10± , 0)เสนกํากับคือ y = x
21
±
)2,0( −
)2,0(X
Y
F1
F2–1 1
)0,10(− 0,10(22− 222
X
Y
2−
F2 F1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
259
(5) 22
x 4
y− = 1
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ y2 เทากับ 41 เปนจํานวนบวก
ดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางในแนวตั้งในที่นี้จะไดวา a2 = 4 และ b2 = 1
∴ a = 2 และ b = 1∴ c = 22 ba + = 14+ = 5
ดังนั้น จะไดวาจุดยอดคือ (0, ±2)โฟกัสคือ (0, 5± )เสนกํากับคือ y = ±2x
(6)16y
9x 22
− = 1
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ x2 เทากับ 91 เปนจํานวนบวก
ดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางในแนวนอนในที่นี้จะไดวา a2 = 9 และ b2 = 16
∴ a = 3 และ b = 4∴ c = 22 ba + = 169+ = 5
ดังนั้น จะไดวาจุดยอดคือ (±3, 0)โฟกัสคือ (±5, 0)เสนกํากับคือ y = x
34
±
)5,0( −
)5,0(
X
Y
2
-21-1
F1
F2
X
Y
4
-4
-3 3 (5 , 0)(-5 , 0)F2 F1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
260
(7) 9y2 – 4x2 = 36∴
9x
4y 22
− = 1
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ y2 เทากับ 41 เปนจํานวนบวก
ดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางในแนวตั้งในที่นี้จะไดวา a2 = 4 และ b2 = 9
∴ a = 2 และ b = 3∴ c = 22 ba + = 94+ = 13
ดังนั้น จะไดวาจุดยอดคือ (0, ±2)โฟกัสคือ (0, 13± )เสนกํากับคือ y = x
32±
(8) y2 – 2x2 = 3∴
3x2
3y 22
− = 1
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ y2 เทากับ 31 เปนจํานวนบวก
ดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางในแนวตั้งในที่นี้จะไดวา a2 = 3 และ b2 =
23
∴ a = 3 และ b = 23
∴ c = 22 ba + = 233+ =
23 =
223
ดังนั้น จะไดวาจุดยอดคือ (0, 3± )โฟกัสคือ (0,
223± )
เสนกํากับคือ y = x2±
)13,0( −
)13,0(
X
Y
3-3-2
2
F1
F2
)2
23,0( −
)2
23,0(
3−
3
X
Y
F1
F2
23−
23
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
261
(9) 16x2 – y2 = 144∴
144y
9x 22
− = 1
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ x2 เทากับ 91 เปนจํานวนบวก
ดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางในแนวนอนในที่นี้จะไดวา a2 = 9 และ b2 = 144
∴ a = 3 และ b = 12∴ c = 22 ba + = 1449 + = 173
ดังนั้น จะไดวาจุดยอดคือ (±3, 0)โฟกัสคือ ( 173± , 0)เสนกํากับคือ y = ±4x
(10)25y x
22 − = 1
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ x2 เทากับ 1 เปนจํานวนบวกดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางในแนวนอนในที่นี้จะไดวา a2 = 1 และ b2 = 25
∴ a = 1 และ b = 5∴ c = 22 ba + = 251+ = 26
ดังนั้น จะไดวาจุดยอดคือ (±1, 0)โฟกัสคือ ( 26± , 0)เสนกํากับคือ y = ±5x
X)0 ,173(− )0 ,173(
Y
-12
12
3-3F2 F1
X
Y
)0 ,26()0 ,26(−
5
-5
-1 1F2 F1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
262
(11) 25y2 – 9x2 = 225∴
25x
9y 22
− = 1
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ y2 เทากับ 91 เปนจํานวนบวก
ดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางในแนวตั้งในที่นี้จะไดวา a2 = 9 และ b2 = 25
∴ a = 3 และ b = 5∴ c = 22 ba + = 259+ = 34
ดังนั้น จะไดวาจุดยอดคือ (0, ±3)โฟกัสคือ (0, 34± )เสนกํากับคือ y = x
53±
(12) y2 – 4x2 + 1 = 0∴ 4x2 – y2 = 1
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ x2 เทากับ 4 เปนจํานวนบวกดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางในแนวนอนในที่นี้จะไดวา a2 =
41 และ b2 = 1
∴ a = 21 และ b = 1
∴ c = 22 ba + = 141 + =
25
ดังนั้น จะไดวาจุดยอดคือ (
21± , 0)
โฟกัสคือ (25± , 0)
เสนกํากับคือ y = ±2x
)34 0( , −
X
Y
5-5
-3
3
)34 ,0(F1
F2
X)0,25(− )0,
25(
21− 2
1
Y
1
-1
F2 F1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
263
(13) 9y2 – 25x2 = 225∴
9x
25y 22
− = 1สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ y2 เทากับ
251 เปนจํานวนบวก
ดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางในแนวตั้งในที่นี้จะไดวา a2 = 25 และ b2 = 9
∴ a = 5 และ b = 3∴ c = 22 ba + = 925+ = 34
ดังนั้น จะไดวาจุดยอดคือ (0, ±5)โฟกัสคือ (0, ± 34 )เสนกํากับคือ y = x
35±
(14) 22
x 2
y− = 1
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ y2 เทากับ 21 เปนจํานวนบวก
ดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางในแนวตั้งในที่นี้จะไดวา a2 = 2 และ b2 = 1
∴ a = 2 และ b = 1∴ c = 22 ba + = 12+ = 3
ดังนั้น จะไดวาจุดยอดคือ (0, 2± )โฟกัสคือ (0, 3± )เสนกํากับคือ y = x2±
)34,0( −
)34,0(
X
Y
5
-5
-3 3
F1
F2
)30( ,−
)3,0(
2−
2X
Y
–1 1
F1
F2
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
264
(15) y2 – x2 – 4 = 0∴
4x
4y 22
− = 1
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ y2 เทากับ 41 เปนจํานวนบวก
ดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางในแนวตั้งในที่นี้จะไดวา a2 = 4 และ b2 = 4
∴ a = 2 และ b = 2∴ c = 22 ba + = 44+ = 22
ดังนั้น จะไดวาจุดยอดคือ (0, ±2)โฟกัสคือ (0, 22± )เสนกํากับคือ y = ±x
(16) 9y2 – 16x2 = 1สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ y2 เทากับ 9 เปนจํานวนบวกดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางในแนวตั้งในที่นี้จะไดวา a2 =
91 และ b2 =
161
∴ a = 31 และ b =
41
∴ c = 22 ba + = 161
91 + =
125
ดังนั้น จะไดวาจุดยอดคือ (0,
31± )
โฟกัสคือ (0, 125± )
เสนกํากับคือ y = x34±
)22,0( −
)22,0(
X
Y
2
-22-2
F1
F2
X
Y
F1
F2
41
−
)125,0(
)125,0( −
41
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
265
2. (1) จากกราฟ จะได a = 2, c = 4 และไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางอยูในแนวนอน ∴ b = 22 ac − = 416− = 12
ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ 12y
4x 22
− = 1
(2) จากกราฟ จะได a = 12, c = 13 และไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางอยูในแนวตั้ง ∴ b = 22 ac − = 144169− = 5
ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ 25x
144y 22
− = 1
(3) จากกราฟ จะได a = 4, (x, y) = (3, –5) และแกนตามขวางอยูในแนวตั้งแทนคา (x, y) ลงในสมการมาตรฐานจะได
2
22
b)3(
16)5(−
− = 1
2b9 = 1
1625− =
169
∴ b2 = 16ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ
16x
16y 22
− = 1
(4) จากกราฟ จะได a = 32 , (x, y) = (4, 4) และแกนตามขวางอยูในแนวนอนแทนคา (x, y) ลงในสมการมาตรฐานจะได
2
2
2
2
b)4(
)32()4(
− = 1
2b16 = 1
1216 − =
124 =
31
∴ b2 = 48ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ
48y
12x 22
− = 1
(5) จากกราฟ จะได ab =
21 , a = 3 และแกนตามขวางอยูในแนวนอน
∴ b =23
ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ 9y4
9x 22
− = 1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
266
(6) จากกราฟ จะได ba = 3, a = 3 และแกนตามขวางอยูในแนวตั้ง
∴ b = 1ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ 2
2
x 9
y− = 1
3. (1) จากโจทย จะได c = 5, a = 3 และแกนตามขวางอยูในแนวตั้ง∴ b2 = c2 – a2 = 25 – 9 = 16
ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ 16x
9y 22
− = 1
(2) จากโจทย จะได c = 10, a = 8 และแกนตามขวางอยูในแนวนอน∴ b2 = c2 – a2 = 100 – 64 = 36
ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ 36y
64x 22
− = 1
(3) จากโจทย จะได c = 2, a = 1 และแกนตามขวางอยูในแนวนอน∴ b2 = c2 – a2 = 4 – 1 = 3
ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ 3
y x2
2 − = 1
(4) จากโจทยจะไดวา c = 6, a = 2 และแกนตามขวางอยูในแนวตั้ง∴ b2 = c2 – a2 = 36 – 4 = 32
ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ 32x
4y 22
− = 1
(5) จากโจทยจะไดวา a = 1, ab = 5 และแกนตามขวางอยูในแนวนอน
∴ b = 5ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ
25y x
22 − = 1
(6) จากโจทยจะไดวา a = 6, ba =
31 และแกนตามขวางอยูในแนวตั้ง
∴ b = 18ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ
324x
36y 22
− = 1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
267
(7) จากโจทยจะไดวา c = 8, ba =
21 และแกนตามขวางอยูในแนวตั้ง
∴ c2 = a2 + b2
∴ 2
2
bc = 1)
ba( 2 +
∴ 2b64 = 1
41 + =
45
∴ b2 = )54(64 =
5256
∴ a2 =4
b2=
564
ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ 256x5
64y5 22
− = 1
(8) จากโจทยจะไดวา a = 6, (x, y) = (–5, 9) และแกนตามขวางอยูในแนวตั้งแทนคา (x, y) ลงในสมการมาตรฐาน
2
22
b)5(
36)9( −
− = 1
∴2b
25 3681
− = 1
∴ 2b25 = 1
3681− =
3645
∴ b2 =45
3625× = 20
ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ 20x
36y 22
− = 1
(9) ถาแกนตามขวางอยูในแนวตั้งแทนคา ba = 1 และ (x, y) = (5, 3) ลงในสมการมาตรฐาน
จะไดa2 = (3)2 – (5)2 2)
ba( = 9 – 25 = –16 ซ่ึงเปนไปไมได
ดังนั้น แกนตามขวางอยูในแนวนอนแทนคา
ab = 1 และ (x, y) = (5, 3) ลงในสมการมาตรฐาน จะได
∴ b2 = (5)2 22 3)ab( − = 25 – 9 = 16
∴ a2 = b2 = 16ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ
16y
16x 22
− = 1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
268
(10) จากโจทยจะได c = 3, (x, y) = (4, 1) และแกนตามขวางอยูในแนวนอนแทนคา (x, y) ลงในสมการมาตรฐานจะได
2
2
2
2
b)1(
a)4(
− = 1
∴ 16b2 – a2 = (ab)2 ---------- (*) a2 + b2 = c2 = 9
∴ a2 = 9 – b2
แทนคา a2 ลงใน (*)16b2 – (9 – b2) = (9 – b2)b2
16b2 – 9 + b2 = 9b2 – b4
∴ b4 + 8b2 – 9 = 0∴ (b2 + 9)(b2 – 1) = 0∴ b2 = 1∴ a2 = 9 - 1 = 8
ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ 22
y 8
x− = 1
(11) จากโจทยจะไดวา c = 5, a = 3 และแกนตามขวางอยูในแนวนอน∴ b2 = c2 – a2 = 25 – 9 = 16
ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ 16y
9x 22
− = 1
(12) จากโจทยจะไดวา c = 1, a = 21 และแกนตามขวางอยูในแนวตั้ง
∴ b2 = c2 – a2 = 1 – 41 =
43
ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ 4y2 – 9x16 2
= 1
4. (1) ∴4
y 4
x 22− = 1
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ x2 เทากับ 41 เปนจํานวนบวก
ดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางอยูในแนวนอน∴ a2 = 4 = b2
∴ a = 2 = b
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
269
จะได เสนกํากับ คือ y = x และ y = –x∴ m1m2 = 1(–1) = -1ดังนั้น เสนกํากับทั้งสองเสนตั้งฉากกัน
(2) เนื่องจากเสนกํากับตั้งฉาก ดังนั้น )ab)(
ab( − = –1
∴ b2 = a2
∴ b = a∴ c2 = a2 + a2
∴ a2 = 2
c2
จากโจทย จะไดวา ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางอยูในแนวนอนดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ
2
2
2
2
cy2
cx2
− = 1
5. ⎟⎠⎞
⎜⎝⎛⎟⎠⎞
⎜⎝⎛−
ab
ab = –1
∴ b2 = a2
∴ b = ac2 = a2 + b2 = 2a2
∴ c = a2
a)12( − = c - a = 2 × 109 ไมลa = 4.83 × 109 ไมล
∴ b2 = a2 = 23.33 × 1018 ไมล
สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ 18
2
1033.23x×
– 18
2
1033.23y×
= 1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
270
เฉลยแบบฝกหัด 3.2.5
1. (1) 19
)2y( 4
)1x( 22
=−+−
เนื่องจากตัวหารของ (y – 2)2 มากกวาตัวหารของ (x – 1)2
ดังนั้น แกนเอกอยูในแนวตั้งเนื่องจาก a2 = 9 และ b2 = 4
∴ a = 3 และ b = 2∴ c2 = a2 – b2 = 9 – 4 = 5∴ c = 5
จุดศูนยกลางคือ (1, 2)โฟกัสคือ (1, 52± )จุดยอดคือ (1, 5), (1, –1)ความยาวแกนเอกคือ 6ความยาวแกนโทคือ 4
(2) 116
)3x( )3y(2
2 =+ −+
เนื่องจากตัวหารของ (x – 3)2 มากกวาตัวหารของ (y + 3)2
ดังนั้น แกนเอกอยูในแนวนอนเนื่องจาก a2 = 16 และ b2 = 1
∴ a = 4 และ b = 1∴ c2 = a2 – b2 = 16 – 1 = 15∴ c = 15
จุดศูนยกลางคือ (3, –3)โฟกัสคือ (3, 15± , –3)จุดยอดคือ (7, –3), (–1, –3)ความยาวแกนเอกคือ 8ความยาวแกนโทคือ 2
X
Y
(1,5)
(3,2)
(1,-1)
(-1,2) (1,2)
X
Y
(3,-2)
(3,-4)
(7,-3)(-1,-3) (3,-3)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
271
(3) 1 25
)5x( 9
y 22
=++
เนื่องจากตัวหารของ (x + 5)2 มากกวาตัวหารของ y2
ดังนั้น แกนเอกอยูในแนวนอนเนื่องจาก a2 = 25 และ b2 = 9
∴ a = 5 และ b = 3∴ c2 = a2 – b2 = 25 – 9 = 16∴ c = 4
จุดศูนยกลางคือ (–5, 0)โฟกัสคือ (–1, 0), (–9, 0)จุดยอดคือ (0, 0), (–10, 0)ความยาวแกนเอกคือ 10ความยาวแกนโทคือ 6
(4) 1 4
)2y( x2
2 =+ +
เนื่องจากตัวหารของ (y + 2)2 มากกวาตัวหารของ x2
ดังนั้น แกนเอกอยูในแนวตั้งเนื่องจาก a2 = 4 และ b2 = 1
∴ a = 2 และ b = 1∴ c2 = a2 – b2 = 4 – 1 = 3∴ c = 3
จุดศูนยกลางคือ (0, –2)โฟกัสคือ (0, 32±− )จุดยอดคือ (0, 0), (0, – 4)ความยาวแกนเอกคือ 4ความยาวแกนโทคือ 2
(-5,3)
(-5,-3)
(-5,0) (0,0)(-10,0) X
Y
X
Y
(0,0)
(0,-2) (1,-2)(-1,-2)
(0,-4)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
272
2. (1) (x – 3)2 = 8(y + 2)สังเกตวา 4p = 8∴ p = 2 > 0ดังนั้น พาราโบลา เปนโคงเปดทางดานบนจุดยอดคือ (3, –2)โฟกัสคือ (3, 0)เสนไดเรกตริกซคือ y = – 4
(2) (y – 5)2 = –6(x – 2)สังเกตวา 4p = – 6∴ p =
23− < 0
ดังนั้น พาราโบลา เปนโคงเปดทางดานซายจุดยอดคือ (2, 5)โฟกัสคือ (
21 , 5)
เสนไดเรกตริกซคือ y = 27
(3) ∴(x + 21 )2 = y
41−
สังเกตวา 4p =41−
∴ p = 16
1− < 0ดังนั้น พาราโบลา เปนโคงเปดลงดานลางจุดยอดคือ (
21− , 0)
โฟกัสคือ (21− ,
161− )
เสนไดเรกตริกซคือ y = 161
X
Y
0(3,-2) y = -4
(3,0)
X
)5,21(
27x =
Y
(2, 5)
)0,21(−
)161,
21( −−
161y=
X
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
273
(4) y2 = 16(x + 21 )
สังเกตวา 4p = 16∴ p = 4 > 0ดังนั้น พาราโบลา เปนโคงเปดไปทางขวาจุดยอดคือ (
21− , 0)
โฟกัสคือ (27 , 0)
เสนไดเรกตริกซคือ x = 29−
3. (1) 116
)3y( 9
)1x( 22
=+−−
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ (x – 1)2 เทากับ 91 ซ่ึงเปนจํานวนบวก
ดังนั้น แกนตามขวางอยูในแนวนอนจะได a2 = 9 และ b2 = 16∴ a = 3 และ b = 4∴ c = 22 ba + = 169+ = 5ดังนั้น จุดศูนยกลางคือ (1, –3)โฟกัสคือ (6, –3), (– 4, –3)จุดยอดคือ (4, –3), (–2, –3)สมการเสนกํากับ คือ y + 3 =
34± (x – 1)
(2) 1)6y()8x( 22 =−−+
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ (x + 8)2 เทากับ 1 ซ่ึงเปนจํานวนบวกดังนั้น แกนตามขวางอยูในแนวนอนจะได a2 = 1 และ b2 = 1∴ a = 1 และ b = 1∴ c = 22 ba + = 11+ = 2
ดังนั้น จุดศูนยกลางคือ (–8, 6)โฟกัสคือ ( 28±− , 6)จุดยอดคือ (-7, 6), (–9, 6)สมการเสนกํากับ คือ y – 6 = ±(x + 8)
X
Y
(1,-3) F1(6,-3)F2(-4,-3)
)6,28(F1 −− )6,28(F2 +−
(-8,6)
X
Y
Y
)5,1(F1
( 72
, 0)( 12
− , 0)X = 92
−X
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
274
(3) 14
)1x( y2
2 =− −
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ y2 เทากับ 1 ซ่ึงเปนจํานวนบวกดังนั้น แกนตามขวางอยูในแนวตั้งจะได a2 = 1 และ b2 = 4∴ a = 1 และ b = 2∴ c = 22 ba + = 41+ = 5
ดังนั้น จุดศูนยกลางคือ (1, 0)โฟกัสคือ (1, 5± )จุดยอดคือ (1, ±1)สมการเสนกํากับ คือ y = )1x(
21 −±
(4) 22
)3x( 25
)1y(−−
− = 1
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ (y – 1)2 เทากับ 251 ซ่ึงเปนจํานวนบวก
ดังนั้น แกนตามขวางอยูในแนวตั้งจะได a2 = 25และ b2 = 1∴ a = 5 และ b = 1∴ c = 22 ba + = 125+ = 26
ดังนั้น จุดศูนยกลาง คือ (3, 1)โฟกัสคือ (3, 261± )จุดยอดคือ (3, 6), (3, – 4)สมการเสนกํากับ คือ y – 1 = ±5(x – 3)
)261,3( +
(3 , 1)
)261,3( −
X
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
275
4. (1) จากกราฟ จะได (h, k) = (0, 4), (x, y) = (1, 0) และพาราโบลาเปนโคงเปดลงดานลางแทนคา (x, y) ลงในสมการมาตรฐานจะได
(1 – 0)2 = 4p (0 – 4)∴ p =
161−
ดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ x2 = )4y(41 −−
(2) จากกราฟ จะได (h, k) = (– 6, 0), p = 6 และพาราโบลาเปนโคงเปดไปทางดานขวา∴ p = 6
ดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ y2 = 24(x + 6)
(3) จากกราฟ จะได 2a = 10 , 2b = 8 และแกนเอกอยูในแนวแกน X∴ a = 5, b = 4
(h, k) = ( 0,2
010+ ) = (5, 0)
ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ 16y
25)5x( 22
+− = 1
(4) จากกราฟ จะได (h, k) = (2, –3) และ 2a = 6, 2b = 4 และแกนเอกอยูในแนวแกน Y∴ a = 3 และ b = 2
ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ 4
)2x( 9
)3y( 22 −+
+ = 1
(5) จากกราฟ จะได (h, k) = (0, 1) และ 2a = 2 และแกนตามขวางอยูในแนวตั้งดังนั้น
ba = 1
∴ a = 1 และ b = 1ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ (y – 1)2 – x2 = 1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
276
(6) จากกราฟ จะได 2a = 6 – 2 = 4, (x, y) = (8, 4), (h, k) = (4, 0) และแกนตามขวางอยูในแนวนอน
∴ a = 2แทนคา (x, y) ลงในสมการมาตรฐาน
∴2
4)48( − – 2
2
b)04( − = 1
∴ 2b16 = 1
416 − = 3
∴ b2 =3
16
ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ 16y3
4)4x( 22
−− = 1
5. (1) 9y2 – 36y + 4x2 = 0∴ 9(y2 – 4y + 4) – 36 + 4x2 = 0∴ 9(y – 2)2 + 4x2 = 36∴
9x
4)2y( 22
+− = 1 เปนสมการวงรี
เนื่องจากตัวหารของ x2 มากกวาตัวหารของ (y – 2)2
ดังนั้น แกนเอกอยูในแนวนอน∴ a2 = 9 และ b2 = 4∴ a = 3 และ b = 2∴ c2 = a2 – b2 = 9 – 4 = 5∴ c = 5
จุดศูนยกลางคือ (0, 2)โฟกัสคือ ( 5± , 2)จุดยอดคือ (±3, 2)ความยาวแกนเอกคือ 6ความยาวแกนโทคือ 4 X
Y
(0, 4)
(0, 2)
(0, 0)
(3, 2)(-3, 2)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
277
(2) ∴ x2 = 4y + 8x∴ x2 – 8x + 16 = 4y + 16
(x – 4)2 = 4(y + 4) เปนสมการพาราโบลาสังเกตวา 4p = 4
∴ p = 1 > 0ดังนั้น พาราโบลาเปนโคงเปดขึ้นดานบนจุดยอดคือ (4, – 4)โฟกัส คือ (4, –3)ไดเรกตริกซคือ y = –5
(3) y2 – 2y – 4x2 + 16x = 20(y2 – 2y + 1) – 4(x2 – 4x + 4) = 20 + 1 – 16(y – 1)2 – 4(x – 2)2 = 5∴
5)2x(4
5)1y( 22 −
−− = 1 เปนสมการไฮเพอรโบลา
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ (y – 1)2 เทากับ 51 ซ่ึงเปนจํานวนบวก
ดังนั้น แกนตามขวางอยูในแนวตั้งจะได a2 = 5 และ b2 =
45
∴ a = 5 และ b = 25
∴ c = 22 ba + =455+ =
25
ดังนั้น จุดศูนยกลางคือ (2, 1)โฟกัสคือ (2,
27 ), (2,
23− )
จุดยอดคือ (2, 51± )เสนกํากับคือ (y – 1) = ±2(x – 2)
X
Y
(4, -3)(4, -4)
y = -5
)51,2( −
)51,2( +
)23,2(F2 −
)27,2(F1
X
Y
(1 , 2)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
278
(4) x2 + 6x + 9 = 12y∴ (x + 3)2 = 12y เปนสมการพาราโบลาสังเกตวา 4p = 12∴ p = 3ดังนั้น พาราโบลาเปนโคงเปดขึ้นดานบนจุดยอดคือ (–3, 0)โฟกัสคือ (–3, 3)ไดเรกตริกซคือ y = –3
(5) 4x2 – 24x + 25y2 + 250y = –5614(x2 – 6x + 9) + 25(y2 +10y + 25) = –561 + 36 + 6254(x – 3)2 + 25(y + 5)2 = 100∴
4)5y(
25)3x( 22 +
+− = 1 เปนสมการวงรี
เนื่องจากตัวหารของ (x – 3)2 มากกวาตัวหารของ (y + 5)2
ดังนั้น แกนเอกอยูในแนวนอนa2 = 25 และ b2 = 4
∴ a = 5 และ b = 2∴ c2 = a2 – b2 = 25 – 4 = 21∴ c = 21
จุดศูนยกลางคือ (3, –5)โฟกัสคือ (3 ± 21 , –5)จุดยอดคือ (8, –5), (–2, –5)ความยาวแกนเอกคือ 10 ความยาวแกนโท คือ 4
y = -3
(-3,3)
(-3,0) X
Y
X
Y
(3,-3)
(3,-5)(3,-7)
(8,-5)(-2,-5)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
279
(6) x2 – 2x + 2y2 = 1x2 – 2x + 1 + 2y2 = 2(x – 1)2 + 2y2 = 2∴
2)1x( 2− + y2 = 1 เปนสมการวงรี
สังเกตวา ตัวหารของ (x – 1)2 มากกวาตัวหารของ y2
ดังนั้น แกนเอกอยูในแนวนอนa2 = 2 และ b2 = 1
∴ a = 2 และ b = 1∴ c2 = a2 – b2 = 2 – 1 = 1∴ c = 1จุดศูนยกลางคือ (1, 0)โฟกัสคือ (0, 0), (2, 0)จุดยอดคือ (1 2± , 0)ความยาวแกนเอกคือ 22
ความยาวแกนโทคือ 2
(7) 16x2 – 96x – 9y2 = –28816(x2 – 6x + 9) – 9y2 = –288 + 14416(x – 3)2 – 9y2 = –144∴
9)3x(
16y 22 −
− = 1 เปนสมการไฮเพอรโบลา
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ y2 เทากับ 161 ซ่ึงเปนจํานวนบวก
ดังนั้น แกนตามขวางอยูในแนวตั้งQ a2 = 16 และ b2 = 9∴ a = 4 และ b = 3∴ c = 22 ba + = 916+ = 5จุดศูนยกลางคือ (3, 0)โฟกัสคือ (3, ±5)จุดยอดคือ (3, ±4)เสนกํากับคือ y = )3x(
34
−±
)0,21( − )0,21( +X
Y
( 1 , 1 )
( 1 , -1 )
( 1 , 0 )
)5,3(F2 −
)5,3(F1
X
Y
(3,0)
(3,4)
(3,-4)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
280
(8) 4y2 – 4y = 8x – 9)
41yy(4 2 +− = 8x – 9 + 1
2)21y(4 − = 8(x – 1)
2)21y( − = 2(x – 1) เปนสมการพาราโบลา
สังเกตวา 4p = 2∴ p = 0
21 >
ดังนั้น พาราโบลาเปนโคงเปดไปทางขวาจุดยอดคือ )
21,1(
โฟกัสคือ )21,
23(
ไดเรกตริกซคือ x = 21
(9) x2 – 4(y2 + 2x) = –16x2 – 8x – 4y2 = –16x2 – 8x + 16 – 4y2 = 0(x – 4)2 – 4y2 = 0∴ y =
21± (x – 4)
X
Y
( 4 , 0)
)21,
23()
21,1(
21x =
X
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
281
(10) x2 – 10x – y2 + 10y = 1x2 – 10x + 25 – (y2 – 10y + 25) = 1 + 25 – 25(x – 5)2 – (y – 5)2 = 1 เปนสมการไฮเพอรโบลาสังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ (x – 5)2 เทากับ 1 เปนจํานวนบวกดังนั้น แกนตามขวางอยูในแนวนอน
∴ a2 = 1 = b2
∴ a = 1 = b∴ c = 22 ba +
= 11+ = 2
จุดศูนยกลางคือ (5, 5)โฟกัสคือ (5 2± , 5)จุดยอดคือ (6, 5), (4, 5)เสนกํากับคือ y – 5 = ± (x – 5)
(11) 3x2 – 6x + 4y2 – 24y = –393(x2 – 2x + 1) + 4(y2 – 6y + 9) = –39 + 3 + 363(x – 1)2 + 4(y – 3)2 = 0(y – 3)2 = 2)1x(
43 −−
เนื่องจาก (y – 3)2 ≥ 0 และ 43− (x –1 )2 ≤ 0
ดังนั้น (y – 3)2 = 0 = 2)1x(43 −−
∴ x = 1 และ y = 3
)5,25( − )5,25( +
X
Y
(6,5)(4,5)(5,5)
Y
X
(1, 3)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
282
(12) x2 + 20x + 4y2 – 40y = –300x2 + 20x + 100 + 4(y2 – 10y + 25) = –300 + 100 + 100(x + 10)2 + 4(y – 5)2 = –100ซ่ึงเปนไปไมได เนื่องจาก –100 < 0แต (x + 10)2 + 4(y – 5)2 ≥ 0ดังนั้น สมการไมมีกราฟในระนาบจํานวนจริง
6. (1) 2y2 – 4y + x + 5 = 0
∴ y =)2(2
)5x)(2(4)4()4( 2 +−−±−−
=4
)5x(8164 +−±
= 10x24211 −−±
= 6x2211 −−±
ใชเครื่องคํานวณเขียนกราฟของy = 6x2
211 −−+
และ y = 6x2211 −−−
(2) 9y2 – 36y + 4x2 = 0
∴ y =)9(2
)x4)(9(4)36()36( 22 −−±−−
=18
)x4(36)36(36 22−±
= 2x918
)2(62 −±
= 2x9322 −±
ใชเครื่องคํานวณเขียนกราฟของy = 2x9
322 −+
และ y = 2x9322 −−
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
283
(3) 9y2 – 36y + 36 – 6x – x2 = 0
∴ y =)9(2
)xx636)(9(4)36()36( 22 −−−−±−−
=18
)xx636(36)36(36 22 −−−±
= 2xx636361862 ++−±
= x6x312 2 +±
ใชเครื่องคํานวณเขียนกราฟของy = x6x
312 2 +±
และ y = x6x312 2 +−
(4) –4y2 + 8y + x2 + 4x = 0
∴ y =)4(2
)x4x)(4(488 22
−+−−±−
=8
)x4x(16648 2
−++±−
= )x4x(4841 2 ++±
= 2xx44211 ++±
ใชเครื่องคํานวณเขียนกราฟของy = 2xx44
211 +++
= 2xx44211 ++−
7. 4x2 + 4x + y2 – 8y = –F4(x2 + x +
41 ) + y2 – 8y + 16 = –F + 1 + 16
4(x + 21 )2 + (y – 4)2 = 17 – F
(1) ถาสมการเปนวงรี∴ 17 – F > 0∴ F < 17
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
284
(2) ถาสมการเปนจุดจุดเดียว∴ 17 – F = 0∴ F = 17
(3) ถาสมการเปนเซตวาง∴ 17 – F < 0∴ F > 17
8. y2 = – x + 100∴ y2 = – (x – 100)สังเกตวา 4p = –1∴ p =
41− < 0
ดังนั้น พาราโบลาเปนโคงเปดทางดานซาย∴ จุดยอดคือ (100, 0)และโฟกัสคือ )0,
4399(
เนื่องจากโฟกัสอีกจุดคือ จุดกําเนิดดังนั้น แกนเอกอยูในแนวแกน X∴ 2c =
4399
∴ c =8
399
จุดศูนยกลางคือ )0),04
399(21( + = )0,
8399(
∴ a = 8
399 100 − = 8
401
∴ b2 = a2 – c2
=22
8399
8401
⎟⎠⎞
⎜⎝⎛−⎟
⎠⎞
⎜⎝⎛
=64
159201 64
160801−
= 25
ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ 25y
160801
)8
399x(64 22
+−
= 1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
285
แบบฝกหัดทบทวน
1. (x – h)2 + (y – k)2 = r2
2. (1) วงรี คอื เซตของจดุทัง้หมดในระนาบซึง่ผลบวกของระยะทางจากจดุใด ๆ ไปยงัจดุ 2 จดุ ซ่ึงตรงึอยูกับที่มีคาคงตัว และเรียกจุดคงที่ซ่ึงตรึงอยูกับที่ทั้งสองวา โฟกัส
(2) จุดยอด คือ (±a, 0)โฟกัส คือ (±c, 0) โดยที่ c = 22 ba −
แกนเอก คือ สวนของเสนตรงที่เชื่อมจุดยอดแกนโท คือ สวนของเสนตรงที่เชื่อมจุด (0, b) กับจุด (0, – b)
(3) ความเยื้องศูนยกลาง คือ อัตราสวน c ตอ a ใชวัดความรีของวงรีถาความเยื้องศูนยกลางเขาใกล 1 แสดงวา วงรีมีความรีมากถาความเยื้องศูนยกลางเขาใกล 0 แสดงวา วงรีมีความรีนอยคํานวณโดย e =
ac โดยที่ c = 22 ba −
(4)2
2
2
2
ay
bx
+ = 1, a > b > 0
X
Y
(0, b)
(–a, 0) (a, 0)
(0, –b)
F1(c, 0)F2(–c, 0)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
286
3. (1) พาราโบลา คือ เซตของจุดทั้งหมดในระนาบซึ่งหางจากจุดจุดหนึ่งที่ตรึงอยูกับที่และเสนตรงที่ตรึงอยูกับที่เสนหนึ่งเปนระยะทางเทากันเราจะเรียกจุดที่ตรึงอยูกับที่วาโฟกัสและเรียกเสนตรงที่ตรึงอยูกับที่วาไดเรกตริกซ
(2) จุดยอด คือ (0, 0)โฟกัส คือ (0, p)ไดเรกตริกซ คือ y = –p
ถา p < 0 กราฟของพาราโบลาจะมีลักษณะเปนโคงเปดลงดานลาง
(3) จุดยอด คือ (0, 0)โฟกัส คือ (p, 0)ไดเรกตริกซ คือ x = –p
X
Y
F(o, p)
y = -p
X
Y
F(o, -p)
y = p
X
Y
x = -p
F(p , 0 )
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
287
ถา p < 0 พาราโบลาจะเปนโคงเปดไปทางดานซาย
4. (1) ไฮเพอรโบลา คือ เซตของจุดทั้งหมดในระนาบ ซ่ึงผลตางของระยะทางจากจุดใด ๆ ไปยังจุด 2 จุดซ่ึงตรึงอยูกับที่มีคาคงตัว จุด 2 จุดดังกลาวเรียกวาโฟกัส
(2) จุดยอด คือ (±a, 0)โฟกัส คือ (±c, 0) โดยที่ c = 22 ba +
เสนกํากับ คือ y = xab±
แกนตามขวาง คือ สวนของเสนตรงที่เชื่อมจุดยอดทั้งสอง
X
Y
x = p
F(-p , 0 )
xaby=x
aby −=
(a,0)(-a,0) X
Y
F2(c,0)F1(-c,0)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
288
(3) 2
2
ay – 2
2
bx = 1
(4) วิธีเขียนกราฟของไฮเพอรโบลา1) วาดรูปสี่เหล่ียมมุมฉากศูนยกลาง ซ่ึงเปนรูปสี่เหล่ียมมุมฉากมีจุดกําเนิดเปนศูนยกลาง
มีแตละดานขนานกับแกนพิกัดและตัดแกนพิกัดที่ ±a และ ±b2) ลากเสนกํากับ ซ่ึงเปนเสนตรงที่เกิดจากการตอเสนทแยงมุมของรูปสี่เหล่ียมมุมฉาก3) ลงจุดยอด คือ จุดที่ระยะตัดแกน X ทั้งสองที่จุด (x = a± ) ของ
2
2
2
2
by
ax
− = 1 หรือ
จุดที่ระยะตัดแกน Y ทั้งสอง (y = a± ) ของ 2
2
2
2
bx
ay
− = 1
4) เขียนกราฟของไฮเพอรโบลา เร่ิมตนจากจุดยอดทีละจุด แลวลากเสนโคง ลูเขาหาเสนกํากับ
5. (1) แทน x ดวย x – h กราฟจะเลื่อนไปทางขวา h หนวยแทน x ดวย x + h กราฟจะเลื่อนไปทางซาย h หนวย
(2) แทน y ดวย y – k กราฟจะเลื่อนขึ้นบางบน k หนวยแทน y ดวย y + k กราฟจะเลื่อนลงขางลาง k หนวย
6. กราฟจะเปนวงกลม ถา A = Cกราฟจะเปนวงรี ถา A และ C มีเครื่องหมายเหมือนกันกราฟจะเปนพาราโบลา ถา A หรือ C เปน 0 แคตัวใดตัวหนึ่งกราฟจะเปนไฮเพอรโบลา ถา A และ C มีเครื่องหมายตรงกันขาม
7. (x – 2)2 + (y + 5)2 = 4
8. (h, k) = (–5, 1) และ (x, y) = (0, 0)แทนคา (x, y) ลงในสมการมาตรฐานจะได(0 + 5)2 + (0 – 1)2 = r2
∴ r2 = 26ดังนั้น สมการวงกลมที่ตองการคือ (x + 5)2 + (y – 1)2 = 26
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
289
9. จากโจทยจะไดจุดศูนยกลาง คือ )2
83,2
)1(2( +−+ = )2
11,21(
2r = 22 )83())12( ( −+−−
= 259+ = 34
∴ r =234
ดังนั้น สมการวงกลมที่ตองการคือ 22 )2
11y()21x( −+− =
217
10. (1) x2 + 2x + y2 – 6y = –9x2 + 2x + 1 + y2 – 6y + 9 = –9 + 1 + 9∴ (x + 1)2 + (y – 3)2 = 1 เปนสมการวงกลมจุดศูนยกลาง คือ (–1, 3)รัศมี คือ 1 หนวย
(2) 2x2 – 2x + 2y2 + 8y =21
)41xx(2 2 +− + 2(y2 + 4y + 4) = 8
21
21 ++
∴ 22 )2y(2)21x(2 ++− = 9
∴ 22 )2y()21x( ++− =
29 เปนสมการวงกลม
จุดศูนยกลาง คือ )2,21( −
รัศมี คือ 2
3 หนวย
(3) x2 – 12x + y2 = –72x2 – 12x + 36 + y2 = –72 + 36∴ (x – 6)2 + y2 = –36ซ่ึงเปนไปไมได เนื่องจาก –36 < 0ดังนั้น ไมมีกราฟในระนาบจํานวนจริง
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
290
(4) x2 – 6x + y2 – 10y = –34x2 – 6x + 9 + y2 – 10y + 25 = –34 + 9 + 25
(x – 3)2 + (y – 5)2 = 0∴ (x – 3)2 = – (y – 5)2
เนื่องจาก (x – 3)2 ≥ 0 และ – (y – 5)2 ≤ 0ดังนั้น (x – 3)2 = 0 = – (y – 5)2
∴ x = 3 และ y = 5ดังนั้น กราฟนี้ คือ จุด 1 จุด
11. (1) ∴4
y 16x 22
+ = 1สังเกตวา ตัวหารของ x2 มากกวาตัวหารของ y2
ดังนั้น แกนเอกอยูในแนวนอน∴ a2 = 16 และ b2 = 4∴ a = 4 และ b = 2∴ c2 = a2 – b2 = 16 – 4 = 12∴ c = 32
จุดศูนยกลาง คือ (0, 0)จุดยอด คือ (±4, 0)โฟกัส คือ (± 32 , 0)ความยาวแกนเอก คือ 8ความยาวแกนโท คือ 4
)0,32(−X
Y
( 0 ,2 )
( 0 ,-2 )
( 4 ,0 )( -4 ,0 ) )0,32(
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
291
(2) ∴)
41(
y )
91(
x 22+ = 1
เนื่องจากตัวหารของ y2 มากกวาตัวหารของ x2
ดังนั้น แกนเอกอยูในแนวตั้งQ a2 =
41 และ b2 =
91
∴ a = 21 และ b =
31
∴ c = 22 ba − = 91
41− =
65
จุดศูนยกลาง คือ (0, 0)จุดยอด คือ (0,
21± )
โฟกัส คือ (0, 65± )
ความยาวแกนเอก คือ 1ความยาวแกนโท คือ
32
(3) 4x2 + 9y2 – 36y = 04x2 + 9 (y2 – 4y + 4) = 36∴ 4x2 + 9(y – 2)2 = 36∴
4)2y(
9x 22 −
+ = 1สังเกตวา ตัวหารของ x2 มากกวาตัวหารของ (y – 2)2
ดังนั้น แกนเอกอยูในแนวนอน∴ a2 = 9 และ b2 = 4∴ a = 3 และ b = 2∴ c = 22 ba − = 49− = 5
จุดศูนยกลาง คือ (0, 2)จุดยอด คือ (±3, 2)โฟกัส คือ ( 5± , 2)ความยาวแกนเอก คือ 6
)2,5(− )2,5(
X
Y
( 0 , 0 )
( 3 , 2 )
( 0 , 4 )
( -3 , 2 )( 0 , 2 )
)65,0( −
)65,0(
)0,31(− )0,
31(
)21,0( −
)21,0(
X
Y
ความยาวแกนโท คือ 4
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
292
(4) 2x2 – 4x + y2 + 4y = 22(x2 – 2x + 1) + (y2 + 4y + 4) = 2 + 2 + 42(x – 1)2 + (y + 2)2 = 8∴
8)2y(
4)1x( 22 +
+− = 1
เนื่องจากตัวหารของ (y + 2)2 มากกวาตัวหารของ (x – 1)2
ดังนั้น แกนเอกอยูในแนวตั้ง∴ a2 = 8 และ b2 = 4∴ a = 22 และ b = 2∴ c = 22 ba − = 48− = 2จุดศูนยกลาง คือ (1, –2)จุดยอด คือ (1, 222±− )โฟกัส คือ (1, 0), (1, – 4)ความยาวแกนเอก คือ 24
ความยาวแกนโท คือ 4
12. (1) ∴ x2 = –8yสังเกตวา 4p = –8∴ p = –2 < 0ดังนั้น พาราโบลาเปนโคงเปดลงดานลางจุดยอด คือ (0, 0)โฟกัส คือ (0, –2)ไดเรกตริกซ คือ y = 2
(2) ∴ y2 = 2xสังเกตวา 4p = 2∴ p =
21 > 0
ดังนั้น พาราโบลาเปนโคงเปดทางขวาจุดยอด คือ (0, 0)
)222,1( −−
)222,1( +−
X
Y
(1,0)
(1,-2)
(1,-4)
(3,-2)(-1,-2)
X
Y
y = 2
(0,0)
(0,-2)
21x −=
)0,21( X
Y
โฟกัส คือ (21 , 0)
ไดเรกตริกซ คือ x = 21−
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
293
(3) y2 – 4y = x – 2∴ y2 – 4y + 4 = x – 2 + 4∴ (y – 2)2 = (x + 2)สังเกตไดวา 4p = 1∴ p =
41 > 0
ดังนั้น พาราโบลาเปนโคงเปดไปทางขวาจุดยอด คือ (–2, 2)โฟกัส คือ )2,
47(−
ไดเรกตริกซ คือ x = 49−
(4) 2x2 + 6x = –5y – 102(x2 + 3x +
49 ) = –5y – 10 +
29
2)23x(2 + = –5y –
211
2)23x( + = )
1011y(
25 +−
สังเกตวา 4p =25−
∴ p =85− < 0
ดังนั้น พาราโบลาเปนโคงเปดลงดานลางจุดยอด คือ )
1011,
23( −−
โฟกัส คือ )4069,
23( −−
ไดเรกตริกซ คือ y = 4019−
)1011,
23( −−
4019y −=
)4069,
23( −−
X
Y
X
Y
x = 94
−
(-2, 2) ( 74
− , 2)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
294
13. (1) ∴8y
16x 22
− = 1
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ x2 เทากับ 161 ซ่ึงเปนจํานวนบวก
ดังนั้น ไฮเพอรโบลามีแกนตามขวางอยูในแนวนอน∴ a2 = 16 และ b2 = 8∴ a = 4 และ b = 22
∴ c = 22 ba + = 816+ = 62
จุดศูนยกลาง คือ (0, 0)จุดยอด คือ (±4, 0)โฟกัส คือ ( 62± , 0)เสนกํากับ คือ y = x
22±
(2) ∴16x
4y 22
− = 1
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ y2 เทากับ 41 ซ่ึงเปนจํานวนบวก
ดังนั้น แกนตามขวางอยูในแนวตั้ง∴ a2 = 4 และ b2 = 16∴ a = 2 และ b = 4∴ c = 22 ba +
= 164+ = 52
จุดศูนยกลาง คือ (0, 0)จุดยอด คือ (0, ±2)โฟกัส คือ (0, 52± )เสนกํากับ คือ y = x
21± )52,0(F2 −
)52,0(F1
X
Y
(0,2)
(0,-2)
(4,0)(-4,0)
(0, – 22 )
(0, 22 ) x22y=x
22y −=
)0,62(− )0,62(( 4 , 0 )( -4 , 0 ) X
Y
F1F2
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
295
(3) 9y2 + 18y – (x2 + 6x) = 189(y2 + 2y + 1) – (x2 + 6x+ 9) = 18 + 9 – 99(y + 1)2 – (x + 3)2 = 18∴
18)3x(
2)1y( 22 ++
− = 1สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ (y + 1)2 เปนจํานวนบวกดังนั้น แกนตามขวางอยูในแนวตั้ง∴ a2 = 2 และ b2 = 18∴ a = 2 และ b = 23
∴ c = 22 ba + = 182+ = 52
จุดศูนยกลาง คือ (–3, –1)จุดยอด คือ (–3, 21±− )โฟกัส คือ (–3, 521±− )เสนกํากับ คือ y = x
31±
)521,3(F2 −−−
)521,3(F1 +−−
)21,3( +−−
)21,3( −−−
)1,233( −−− )1,233( −+−X
Y
(-3,-1)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
296
(4) y2 – 6y – x2 = 0y2 – 6y + 9 – x2 = 9∴
9x
9)3y( 22
−− = 1
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ (y – 3)2 เทากับ 91 ซ่ึงเปนจํานวนบวก
ดังนั้น แกนตามขวางอยูในแนวตั้ง∴ a2 = 9 = b2
∴ a = 3 = b∴ c = 22 ba + = 99+ = 23จุดศูนยกลาง คือ (0, 3)จุดยอด คือ (0, 0), (0, 6)โฟกัส คือ (0, 233± )เสนกํากับ คือ y = ±x
14. (1) ∴ y2 = –12(x – 1) เปนสมการพาราโบลาสังเกตวา 4p = –12∴ p = –3 < 0ดังนั้น พาราโบลาเปนโคงเปดทางซายจุดยอด คือ (1, 0)โฟกัส คือ (–2, 0)
X
Y
(1,0)F(-2,0)
x = 4
)233,0(F1 +
)233,0(F2 −
X
Y
(3,3)(-3,3) (0,3)(0,6)
(0,0)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
297
(2) ∴144x
12yy 22
+− = 0
∴144x
1241yy 2
2
++−
= 481
∴144x
12
)21y( 2
2
+−
= 481
∴3
x
)41(
)21y( 2
2
+−
= 1 เปนสมการวงรี
สังเกตวา ตัวหารของ x2 มากกวาตัวหารของ 2)21y( −
ดังนั้น แกนเอกอยูในแนวนอน∴ a2 = 3 และ b2 =
41
∴ a = 3 และ b = 21
∴ c = 22 ba − = 413− =
211
จุดศูนยกลาง คือ (0, 21 )
จุดยอด คือ ( 3± , 21 )
โฟกัส คือ 211(± ,
21 )
)21,3()
21,3(− )
21,
211(F2 − )
21,
211(F1
)21,0(
X
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
298
(3) x2 – y2 = –144∴
144y2
– 144x 2
= 1 เปนสมการไฮเพอรโบลาสังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ y2 เทากับ
1441 ซ่ึงเปนจํานวนบวก
ดังนั้น แกนตามขวางอยูในแนวตั้ง∴ a2 = 144 = b2
∴ a = 12 = b∴ c = 22 ba + = 144144+ = 212
จุดยอด คือ (0, ±12)โฟกัส คือ (0, ± 212 ) เสนกํากับ y = ±x
)212,0(F2 −
)212,0(F1
X
Y
(0,12)
(0,-12)
(12,0)(-12,0)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
299
(4) x2 + 6x – 9y2 = 0x2 + 6x + 9 – 9y2 = 9∴ (x + 3)2 – 9y2 = 9∴ 2
2
y 9
)3x(−
+ = 1 เปนสมการไฮเพอรโบลา
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ (x + 3)2 เทากับ 91 ซ่ึงเปนจํานวนบวก
ดังนั้น แกนตามขวางอยูในแนวนอน∴ a2 = 9 และ b2 = 1∴ a = 3 และ b = 1∴ c = 22 ba + = 10
จุดยอด คือ (0, 0), (–6, 0)โฟกัส คือ (–3 0,10± ) เสนกํากับ y = )3x(
31
+±
(5) 4x2 – 8x + y2 – 8y = 04(x2 – 2x + 1) + y2 – 8y + 16 = 4 + 164(x – 1)2 + (y – 4)2 = 20
5)1x( 2− +
20)4y( 2− = 1 เปนสมการวงรี
สังเกตวา ตัวหารของ (y – 4)2 มากกวาตัวหารของ (x – 1)2
)0,103( −− X
Y
(0,0)(-3,0)(-6,0) )0,103( +−F2 F1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
300
ดังนั้น แกนเอกอยูในแนวตั้ง∴ a2 = 20 และ b2 = 5∴ a = 52 และ b = 5
∴ c = 22 ba − = 520− = 15
จุดศูนยกลาง คือ (1, 4)จากยอด คือ (1, 4 52± )โฟกัส คือ (1, 4 15± )
(6) 3x2 – 6x – 6y = 103(x2 – 2x + 1) = 6y + 10 + 3∴ (x – 1)2 = )
613y(2 +
สังเกตวา 4p = 2∴ p =
21 > 0
ดังนั้น พาราโบลาเปนโคงซึ่งเปดขึ้นดานบนจุดยอด คือ (1,
613− )
โฟกัส คือ )35,1( −
(1, 53
− )X
Y
(1, 136
− )
)154,1( −
)154,1( +
)4,51( +)4,51( −
)524,1( +
)524,1( −
)4,1(
X
Y
F1
F2
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
301
(7) y2 – 16y + 64 = x + 64∴ (y – 8)2 = x + 64สังเกตวา 4p = 1∴ p =
41 > 0
ดังนั้น พาราโบลาเปนโคงซึ่งเปดไปทางขวาจุดยอด คือ (– 64, 8)โฟกัส คือ )8,
4255(−
เสนไดเรกตริกซ คือ x = 4
257−
(8) 2x2 – 4x – y2 = – 42(x2 – 2x + 1) – y2 = – 4 + 22(x – 1)2 – y2 = –2∴ 2
2
)1x( 2
y−− = 1 เปนสมการไฮเพอรโบลา
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ y2 เทากับ 21 ซ่ึงเปนจํานวนบวก
ดังนั้น แกนตามขวางอยูในแนวตั้ง∴ a2 = 2 และ b2 = 1∴ a = 2 และ b = 1∴ c = 22 ba + = 12 + = 3
จุดศูนยกลาง คือ (1, 0)จุดยอด คือ (1, 2± )โฟกัส คือ (1, 3± )เสนกํากับคือ y = )1x(2 −±
4257x −=
)8,4
255(F −
X
Y
(-64,8)
F2(1,- 3 )
F1(1, 3 )
)2,1( −
)2,1(X
Y
(1,0)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
302
(9) 2x2 – 12x + y2 + 6y = –262(x2 – 6x) + y2 + 6y = –262(x2 – 6x + 9) + y2 + 6y + 9 = –26 + 18 + 9∴ 2
2
)3y( )
21(
)3x(++
− = 1 เปนสมการวงรี
สังเกตวา ตัวหารของ (y + 3)2 มากกวาตัวหารของ (x – 3)2
ดังนั้น แกนเอกอยูในแนวตั้ง∴ a2 = 1 และ b2 =
21
∴ a = 1 และ b = 2
1
∴ c = 22 ba − = 2
1
จุดศูนยกลาง คือ (3, –3)จุดยอด คือ (3, –2), (3, – 4)โฟกัส คือ (3,
213±− )
)3,2
13( −+
)2
13,3( +−
)2
13,3( −−
)3,2
13( −−
X
Y
(3, –2)
(3,-4)
(3,-3)
F1
F2
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
303
(10) 36x2 – 36x – 4y2 – 8y = 3136(x2 – x +
41 ) – 4(y2 + 2y + 1) = 31 + 9 – 4
22 )1y(4 )21x(36 +−− = 36
∴9
)1y( )21x(
22 +−− = 1 เปนสมการไฮเพอรโบลา
สังเกตวา สัมประสิทธิ์ของ (x – 21 )2 เทากับ 1 ซ่ึงเปนจํานวนบวก
ดังนั้น แกนตามขวางอยูในแนวนอน∴ a2 = 1 และ b2 = 9∴ a = 1 และ b = 3∴ c = 22 ba + = 91+ = 10
จุดศูนยกลาง คือ (21 , –1)
จุดยอด คือ (21− , –1), (
23 , –1)
โฟกัส คือ )1,1021( −±
เสนกํากับคือ (y + 1) = )21x(3 −±
)1,1021( −+)1,10
21( −− )1,
21( −− )1,
23(
)1,21( −
X
Y
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
304
(11) 9x2 – 15x + 8y2 + 8y = –279(x2 –
3625x
35 + ) + )
41yy(8 2 ++ = 2
42527 ++−
22 )21y(8)
65x(9 ++− =
475−
ซ่ึงเปนไปไมได เนื่องจาก 4
75− < 0 แต 9(x –
65 )2 + 8(y +
21 )2 ≥ 0
ดังนั้น ไมมีกราฟในระนาบจํานวนจริง
(12) x2 – 4x + 4y2 = 8x2 – 4x + 4 + 4y2 = 8 + 4(x – 2)2 + 4y2 = 12
3y
12)2x( 22
+− = 1 เปนสมการวงรี
สังเกตวา ตัวหารของ (x – 2)2 มากกวาตัวหารของ y2
ดังนั้น แกนเอกอยูในแนวนอนดังนั้น a2 = 12 และ b2 = 3∴ a = 32 และ b = 3
∴ c = 22 ba − = 312− = 3จุดศูนยกลาง คือ (2, 0)จุดยอด คือ (2 32± , 0)โฟกัส คือ (5, 0), (–1, 0)
)0,322( − )0,322( +
)3,2( −
)3,2(
X
Y
(2, 0)(–1, 0) (5, 0)F2 F1
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
305
15. (1) จากโจทย จะไดวา พาราโบลาเปนโคงเปดขึ้นดานบน∴ 2p = 1 – (–1) = 2∴ p = 1∴ จุดยอด คือ (0,
2)1(1 −+ ) = (0, 0)
ดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการ คือ x2 = 4y
(2) จากโจทย จะไดวา แกนเอกอยูในแนวตั้ง∴ c =
208− = 4
∴ 2a = 10∴ a = 5∴ b2 = a2 – c2 = 25 – 16 = 9ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการ คือ
25)4y(
9x 22 −
+ = 1
(3) จากโจทย จะไดวา แกนตามขวางอยูในแนวตั้ง(h, k) = )
2)2(2,0( −+ = (0, 0)
∴ a =2
)2(2 −− = 2∴
ba =
21
∴ b = 2a = 4ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการ คือ
16x
4y 22
− = 1
(4) จากโจทย จะไดวา ไฮเพอรโบลามีแนวตามขวางอยูในแนวตั้ง∴ c =
217− = 3
∴ a =2
26 − = 2
∴ b2 = c2 – a2 = 9 – 4 = 5ดังนั้น สมการไฮเพอรโบลาที่ตองการคือ
4)4y( 2− –
5)2x( 2− = 1
(5) จากโจทย จะไดวา วงรีมีแกนเอกอยูในแนวตั้ง∴ c =
213− = 1
(h, k) = )2
31,2
11( ++ = (1, 2)
คูมอืครสูาระการเรยีนรูเพิม่เตมิคณติศาสตร เลม ๒กลุมสาระการเรยีนรูคณติศาสตรชัน้มธัยมศกึษาปที ่๔
ตามหลกัสตูรการศกึษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบนัสงเสรมิการสอนวทิยาศาสตรและเทคโนโลยีกระทรวงศกึษาธกิาร
ISBN 974 - 01 - 3820 - 9พมิพครัง้ทีห่นึง่ ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนายพิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วงัทองหลาง กรงุเทพมหานครมลีขิสทิธิต์ามพระราชบญัญตัิ
306
เนื่องจากจุดยอดจุดหนึ่งอยูบนแกน X ดังนั้น จุดยอดจุดนั้น คือ (1, 0)∴ a = 2 – 0 = 2∴ b2 = a2 – c2 = 4 – 1 = 3ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการคือ
4)2y(
3)1x( 22 −
+− = 1
(6) จากโจทย จะไดวา พาราโบลาเปนโคงเปดดานขวา∴ p = 5 – 0 = 5ดังนั้น สมการพาราโบลาที่ตองการคือ (y – 5)2 = 20(x – 5)
(7) จากโจทย จะไดวา วงรีมีแกนเอกอยูในแนวตั้ง∴ 2a = 12 – (–8) = 20∴ a = 10∴ (h, k) = )
2)8(12,
277( −++ = (7, 2)
แทนคา (x, y) = (1, 8) ลงในสมการมาตรฐาน2
2
2 )( b
)(100
2871 −+
− = 1
∴10036
b36
2 + = 1
∴ 2b36 = 100
64
∴ b2 = 643600 =
4225
ดังนั้น สมการวงรีที่ตองการ คือ 100
)2y( 225
)7x(4 22 −+
− = 1
(8) จากโจทย พาราโบลาเปนโคงเปดทางขวาสมการมาตรฐานคือ y2 = 4p(x + 1) ------ (1)แทนคา (x, y) = (0, 2) ลงในสมการ (1)4 = 4p(0 + 1)p = 1ดังนั้น สมการมาตรฐานที่ตองการคือ y2 = 4(x + 1)
X
Y
(-1,0)(0,0)
x = -2